ปาร์ตี้อาหารไท้ยไทย และจักรยานเจ้ากรรม (1)
สวัสดีจ้า
จากการที่อยู่ที่นี่มาเกือบ 1 เดือน ทำให้พบว่า ธรรมเนียม ที่เป็นที่นิยมมากของเหล่า นักเรียนไทย ที่นี่ เก๊าะคือ การสลับสับเปลี่ยนกันจัด "ปาร์ตี้" อาหารไทยที่บ้านของแต่ละคนจ้ะ
ปาร์ตี้ที่ว่านี้ ไม่ได้เป็นการสังสรรค์แบบ เปิดเพลงเสียงดัง หรือ ดริ๊งแดร๊งดรั๊ง แต่อย่างใดจ้ะ หากแต่ เป็นปาร์ตี้ ที่ เจ้าภาพ (เจ้าของบ้าน) จะจัดเตรียมทำกับข้าวไว้ แล้วเชิญคนอื่นๆ มาทานที่บ้าน ทั้งนี้ คนที่มา (กินฟรี) อาจจะหิ้วขนมนมเนย ผลไม้ หรือ กุ้ง หอย ปู ปลา มาช่วยแจมทำกับข้าวกะเจ้าของบ้านเก๊าะได้
ตลอด 1 เดือนที่ป้ามาอยู่นี่ เก๊าะได้รับเชิญให้ไปร่วม "แจม" ปาร์ตี้ (กินฟรี) แบบเนี้ยอยู่หลายครั้งเรยทีเดียว (เฉลี่ยอาทิตย์ละ 1 ครั้ง)
อย่างเช่น ครั้งเนี้ย จัดที่บ้านพี่ นร ไทย ที่ป้าไปพักกะเค้าจ้ะ ป้าเรยยมีสถานะกึ่งๆ เป็นเจ้าภาพไปด้วย ปาร์ตี้ที่ว่านี้ พี่เค้าลงมือทำ "ข้าวคลุกกะปิ" จ้า
พอซัก 4 โมงเย็น พี่เค้าเก๊าะเริ่มลงมือ
อันนี้ หอมซอยทอดกรอบ ไข่เจียว และผักสด เสร็จเรียบร้อยแร้วววว
อันนี้ ข้าวคลุกกะปิเสร็จพร้อมเสริฟ์แย้ววว
พี่ นร ไทยคนนึงที่เป็น แขก ของพวกเรา หิ้วปลาปูนมาด้วย (ฟังชื่อแร้ว อาจเข้าใจผิดว่าเป็นปลาแถบลุ่มน้ำเจ้าพระยา แต่อันที่จริงมันคือปลา Poon อันขึ้นชื่อของที่นี่จ้ะ) ป้าได้รับเกียรติให้เป็นแผนกทอดปลา ด้วยเห็นว่าเป็น ลูกน้ำเค็ม แต่อันที่จริงแล้ว เป็นแผนก "เฝ้าปลา" มากกว่า (เก๊าะมันไม่ต้องทำไรเรยย ยืนรอให้มันสุก แล้วเก๊าะพลิกอ่ะ)
ส่วนตัวข้าพเจ้า เนื่องจากไม่มีฝีมือการทำอาหารอันเลิศหรูประการใดจะอวด จึงซื้อไก่ย่างห้าดาวมาร่วมแจมจ้า
ตอนที่ป้าบอกพี่ นร ไทยเจ้าบ้านที่ป้าไปอยู่ด้วยว่า จะซื้อไก่ย่างมาเสิรฟ์ พี่เค้าเก๊าะเรยจัดแจง หุงข้าวเหนียว ด้วยจ้า (สุดยอดจริงๆ ปรบมือให้เรยค่ะ ) พี่เค้ามีเครื่องเคราไทยๆ ทุกอย่าง จะกินอะไรขอให้บอก ทำให้อิกต่างหาก
นอกจากที่ปรากฏในภาพ เก๊าะยังมีหมูหวาน และ น้ำพริกหนุ่มอิกด้วย เป็นอันว่ามื้อนี้ก็อิ่มหมีพีมันเรียบร้อย ตบท้ายด้วยผลไม้สดๆ อย่าง ลูกแพร์ตุรกี ลูกพรุนสด ทับทิม และองุ่น จ้า (กินเพลิน เรยลืมถ่ายรูปเรยยย)
ถัดจากมื้อนี้เพียงไม่กี่วัน เก๊าะมีพี่คนไทยอิกท่านหนึ่ง ดำริจะเลี้ยงข้าวน้องๆ ที่บ้านอีกจ้า
พี่คนเนี้ยแต่งงานกับคนดัตช์ และมีบ้านอยู่ชานเมืองไลเดน จ้ะ ถ้านั่งรถไฟจากไลเดนไป ก็เพียงป้ายเดียวเท่านั้น แต่ถ้าจะปั่นรถถีบไป ก็ประมาณ 15-20 นาที
พี่ นร ไทยเค้าก็อยากจะปั่นจักรยานกันไป เพราะว่าจะได้ถือโอกาสชมวิวทิวทัศน์ไปด้วย อิกทั้งไปกันเป็นทีมก็สนุกดี ป้าเอง เก๊าะเรยต้องร่วมแจม ปั่น ไปกะเค้าด้วย โดยนัดออกสตาร์ทตอน 4 โมง
ก่อนเวลานัดเล็กน้อย ป้าแอบไปซื้อ onion rings หรือหอมทอด จากร้านแถวบ้านมารับประทานเรียกน้ำย่อยก่อน อย่าเพิ่งสงสัยว่า ป้าเล่าอนุภาค onion rings นี้ขึ้นมาทำไม มีความสำคัญอะไรนักหรือ โปรดอ่านต่อไปข้างล่าง ก็จะเข้าใจเอง
เมื่อทีมปั่นพร้อม ขบวนจักรยาน "แฟนฉัน" เก๊าะออกเดินทาง โดยมีป้าปั่นเกือบรั้งท้าย (มีคนปิดท้ายขบวนเช่นเคย) แรกปั่น ป้าก็ไม่กระไรนัก เพราะได้ฝึกซ้อมจากวันก่อนมาแล้ว
แต่ครั้นปั่นไปๆๆๆๆๆ ทำไม ทีมปั่นของเราข้างหน้า ทิ้งห่างป้าออกไปทุกทีๆๆๆๆ ทำไม ปั่นเท่าไหร่ๆ มันเก๊าะไปกระดื๊บๆๆๆ ไม่ได้หยั่งใจซักที ทำไม ขามันอ่อนแรงลงไปทุกทีๆๆๆๆๆๆ
คำตอบเก๊าะคือ มันเหนื่อยอะจิ ทางวิบากมาก ขึ้นเนินไม่เว้นแต่ละเนิน แถมต้านลมอิกต่างหาก ตอนปั่นต้านลมพร้อมกับขึ้นเนินนี่ เจ้าประคุณเอ๋ย ไม่อยากจะเซ่ดเรยทีเดียว
ในใจคิดแต่ว่า เมื่อไหร่มันจะถึงซักที เหนื่อยมากเรยนะ ไม่ได้เว่อร์นะ มันเหนื่อยจริงๆ รู้ซึ้งถึงคำว่า "เหนื่อยใจจะขาดเลยล่ะ" จะไม่ไหวแล้วนะ แต่ก็ต้องปั่นๆๆๆๆๆๆๆ ต่อไป ในใจคิดแต่ว่า "นี่ชั้นกำลังทำอะไรอยู่เนี่ย ทำไมเราต้องทรมานตัวเองขนาดนี้เรยเรอะ"
นี่ถ้าป้าเป็นเด็กน้อย คงจะลงไปดีดดิ้นชักแหง่กๆๆๆ อยู่ที่พื้น แล้ว (แหกปาก) บอกว่า "ไมไปแล้ว จะกลับแล้ววววว" แต่นี่ อายุปาไปจะ 30 แล้ว ทำไงได้
เวลาจอดหยุดไฟแดงที ขาป้าจะสั่งหงึกๆๆๆๆ จนกลัวว่าจะทรงตัวไม่ได้เลยทีเดียว อยากจะร้องไห้
20 นาทีวิบาก (กรรม) ผ่านไป ในที่สุดเก๊าะถึงบ้านพี่เค้า (ซะที)
และนี่ เก๊าะคือ พาหนะวิบาก (กรรม) ของป้า (คันที่ล้อวงเล็กสุด มีไฟสีส้มๆ ติดอยู่นั่นแหละจ้ะ หรือเพราะล้อมันเล็กหว่า)
หลังจากลงจากรถแล้ว สิ่งที่เกิดกับป้าก็คือ ขาสั่นหงึกหงักๆๆๆ อีกทั้งรู้สึกวิงเวียน คลื่นไส้ เป็นอย่างมาก จนแทบจะทรงตัวไม่ไหวเลยทีเดียว ครั้นพยุงร่างเข้าไปในบ้านเค้าได้แล้ว เก๊าะรีบขอเข้าห้องน้ำด่วนนนน ขอนั่งสงบสติอารมณ์ในส้วมซักครู่ มันอยากจะอ๊อกมั่กมากเลยยย ทรมานสุดๆๆๆๆๆ ฮือออออ
ณ เพลานี้เอง ที่ onion rings ที่กินเข้าไปออกฤทธิ์ มันตีขึ้นมาปริ่มคอหอย และเมื่อป้า "นึก" ถึงหน้าตารสชาติของมัน เก๊าะยิ่งผะอืดผะอมมากขึ้นๆๆๆๆ จนขอเรียกอาการนี้ว่า อาการ onion rings เมื่อตั้งสติในส้วมได้แล้ว เก๊าะพยุงร่างออกมาเผชิญโลกแห่งความจริงภายนอก เจ๊อะกับฝูงชนด้านนอก
ทุกคนหันมามอง (สภาพ) ป้า แล้ว ต่างเก๊าะเบิ่งตาด้วยความสมเพชระคนแปลกใจ "โอ๊ะ นั่น เหงื่อ หรือ น้ำ คะน้อง ที่อยู่บนหน้า" "หน้าซีดจัง จะเป็นลมเหรอ จะเป็นลมเหรอ" "นั่งก่อนๆ ไหวมั้ย จะขึ้นไปนอนพักมั้ย" "เอายาดมมั้ย" "ฯลฯ" คำพูดหลายสิ่งประดังประเดเข้ามา
"ไม่เป็นไรค่ะ ขอนั่งพักซักครู่" ป้าฝืนตอบไปอย่างแกนๆ กลัว onion rings จะพ่นออกมาใส่ผู้หวังดีทั้งหลาย พร้อมกับหยิบพิมเสนน้ำส่วนตัวออกมาสูดดม
หลังจากนั้น ฝูงชนก็คลายความสนใจ แยกย้ายกันไปหน้าที่ของตัว บ้างก็ทำกับข้าว บ้างก็เล่นกับเด็ก บ้างก็สนทนากันเรื่องโน้นนี้ ส่วนป้า ได้นั่งหลับตา พร้อมภาวนา พุทโธ พุทโธ ตลอดเวลา เพื่อปรับลมปราณให้เข้าที่ พร้อมทั้งพยายามสลัด รูปรสกลิ่นเสียงของ onion rings ออกไป อ้อ พร้อมกับจิบโค้กไปด้วย อันนี้ช่วยได้มั่กมากเรย
15 นาทีผ่านไป ร่างกายจึงเข้าสู่สภาวะปกติ (เฮ้อออออ)
เก๊าะมาคิดๆ ว่าทำไมคนอื่นเค้าไม่เหนื่อยกันนะ หรือจะเป็นเพราะจักรยานของเราวงล้อมันเล็ก อานต่ำ ฯลฯ แต่ในที่สุด ป้าก็ได้ข้อสรุป (สำหรับตัวเอง) ว่าอาจเป็นเพราะไม่ค่อยได้ออกกะลังกายล่ะมั้ง แรงเก๊าะเลยน้อย เหนื่อยง่ายเมื่อยเร็วกว่าคนอื่น พูดง่ายๆ ว่าไม่แข็งแรงเท่าคนอื่นน่านเองงง
ครั้นดีขึ้น จึงขอออกไปเดินสูดอากาศด้านนอก เสียหน่อย
แถบนี้ เป็นหมู่บ้านของผู้มีอันจะกินจ้ะ
ครั้นกลับเข้ามาในบ้าน เก๊าะได้เวลาตั้งโต๊ะพอดิบพอดี
ต้มย้ำไก่น้ำใส หม้อยักษ์
กะเพราเป็ดจ้า
ผัดผักรวมจานยักษ์อิกเช่นกัน
พาสต้าแบบอิตาเลี่ยน (อันนี้เพื่อนเจ้าของบ้านชาวอิหร่าน ทำมาแจมจ้ะ)
เต็มโต๊ะไปหมดเยยยย นับว่าคุ้มค่ากับการเอาชีวิตมาเป็นลมเรยทีเดียว
จากนั้นเก๊าะปฏิบัติการโซ้ยยยยยย หลังจากอิ่มแปล้ และเม้าท์กันได้ยกใหญ่แร้วว เก๊าะได้เวลาลาจาก และเก๊าะได้เวลา วิบากกรรมป้าอิกแร้วววว ต้องปั่นกลับอิกนะจิ
ตอนแรก ป้างอแง จะขอแยกตัวกลับรถไฟคนเดียว โดยจูงจักรยานไปด้วย (ไม่เอาแร้ววว เข็ดแร้ววว) แต่ไม่มีใครยอม เค้าบอกว่าถ้าไปรถไฟ ต้องเสียค่าตั๋วให้จักรยานด้วย ซึ่งแพงมั่กมากกกก บางคนก็ให้กะลังใจว่า ขามามันขึ้นเนินและต้านลมใช่มั้ย เก๊าะแปลว่า ขากลับมันจะลงเนินและลมจะช่วยพัดไงล่ะ อะไรต่างๆ นานา
ในที่สุด เก๊าะต้องจำใจยอมปั่นกลับจนได้ โดยคราวนี้ พี่เค้าเสนอวิธีให้ปรับเบาะนั่งสูงขึ้นอิก เพื่อช่วยให้ปั่นง่ายขึ้นและเร็วขึ้น
แต่กระนั้น ความทุกข์ก็ยังไม่ไปจากป้า ง่ายๆ เพราะเมื่ออานสูง ขาเก๊าะหยั่งไม่ถึงอ่ะดิ (ไอ้คราวก่อนที่ล้ม เก๊าะเพราะขาไม่ถึงเนี่ยแหระ) ชีวิตคนเรานี่มันอะไรนักหนา ทำไมเราถึงได้มีปัญหามากหยั่งงี้นะ
ในที่สุด ป้าเก๊าะต้องจำใจจำทนปั่นทั้งอานสูงๆ หยั่งงั้นแหระ ยอมรับว่ามันช่วยให้ปั่นเร็วขึ้น และไม่เมื่อย แต่.... ความเครียดจะตึงสุด เก๊าะไอ้ตอนเบรกจอดเนี่ยแหละ ต้องเหยียดขา พ้อยท์เท้า ราวกับเต้นบัลเลต์เรยทีเดียว
ขาปั่นมา ภาวนา ขอให้เจอไฟแดงเยอะๆ จะได้จอดพัก ขาปั่นกลับ ภาวนา ขอให้เจอไฟเขียวเยอะๆ จะได้ไม่ต้องเบรก อนิจจังจริงๆ คนเรา
แต่ขากลับเหมือนฟ้าจะเป็นใจ ไฟเขียวโลดดดดเลยจ้ะ แตะเบรก 2 ครั้งเท่านั้นเอง ตอนแรกเริ่ม กะตอนถึงบ้านจ้ะ
ในที่สุด เก๊าะถึงบ้านอย่างสวัสดิภาพ ขากลับ ไม่เป็นลมแล้วจ้ะ แต่ให้ขี่วิบากอย่างนี้อิก เก๊าะไม่เอาแร้วววเหมือนกันจ้ะ เฮ้อ... ขี่จักรยานจนเป็นลม...ขายหน้าเค้าไปทั่วจริงๆ
ป.ล. อาจจะพร่ำเพ้อถึงความระทมจากจักรยานเย้อะหน่อยน้า เก็บไว้เป็นหลักฐานทางความรู้สึก จะได้จำความรู้สึกนี้ได้ในภายหน้าไง
Create Date : 26 กันยายน 2550 |
|
9 comments |
Last Update : 26 กันยายน 2550 4:09:04 น. |
Counter : 839 Pageviews. |
|
|
|