มิถุนายน 2562

 
 
 
 
 
 
1
3
4
5
6
8
9
10
15
16
21
22
23
25
27
28
29
30
 
 
All Blog
ตอนที่ 2 Review ๛ Eastern Europe ๛ [Bangkok-Frankfurt] 10-11 May 2019
Flight การเดินทาง


10 May 2019
Oman Air อยู่ประตูทางเข้าที่ 9 ค่ะ


จุด Check In Row T


เคยมาแต่ตอนดึกๆ พอมาตอนเย็นๆรู้สึกแปลกๆ ไม่คุ้นเคย 555



มาดูที่หน้าจอว่าต้องไป Check In ที่ Counter ไหน แต่ยังไม่ขึ้น เดินๆ รอไปก่อน


คิดถึง Emirates ตอนใช้บริการไปสวิส แต่นางไม่มีโปร ก็เลยต้องผ่านเลยนางไป T-T


หน้าจอขึ้นแล้วว่าให้ไป Check In ที่ Row S


Counter S18 หรือ S17 ก็ได้


เขาให้น้ำหนัก 30Kg. ขาไปก็ 22.1 ละ ขากลับเพิ่มได้อีก 7.9 Kg. แต่คาดว่าคงไม่ได้ซื้ออะไรเยอะ เพราะแค่ไปเที่ยวก็หมดหลายบาท ถ้าช้อปเยอะเกรงจะล้มละลายซะก่อน ที่สำคัญยังมีอีกหลายทริปรออยู่ ต้องแบ่งงบประมาณให้เพียงพอ


พนักงานเขาให้ Boarding Pass มา 2 ใบเลยค่ะ ใช้ต่อเครื่องที่มัตกัสได้เลย


ไปตรวจของโลหะ-ของเหลว และผ่านเครื่องตรวจ Passport กันต่อ


ผ่านการตรวจโลหะ – ของเหลวมาแล้วก็เดินมาใช้บริการ Miracle Lounge หน่อย อยู่ตรงข้ามกับ Gate D6


Citibank เขาให้ใช้บริการได้ 2 ครั้ง/ปี ก็พอดี ความสามารถทางการเงินและเวลา ไปได้แค่ปีละ 2 Trip พอดีเลย


มีคนพอสมควรแต่ไม่พลุกพล่านค่ะ โต๊ะว่างตลอด เขาเข้ามาทานเสร็จก็ออกไป


คราวที่แล้วลองข้าวหน้าเป็ดไปแล้ว คราวนี้ลองก๋วยเตี๋ยวบ้างละกัน


ก๋วยเตี๋ยวอร่อย ตักมาชิมอย่างละนิดละหน่อย


ต่อด้วยซูชิ ผลไม้ และขนมหวาน ตาม Step




อิ่มแล้วก็มาอาบน้ำต่อ เนื่องจากไฟล์ทบินค่ำๆ ออกจากบ้านบ่ายๆ กลัวรถติด เพราะเป็นเวลาเลิกงาน อากาศก็ร้อนมาก เกรงว่าอาบแล้วจะเน่าอีกรอบ ก็เลยมาใช้บริการ Miracle Lounge จะดีกว่า


ได้เวลาขึ้นเครื่องแล้ว เดินไปรอที่ Gate


นั่งรอซักพัก เขาก็เรียกขึ้นเครื่อง


ที่นั่งเป็นแบบ 3-3-3




มีจอ TV หมอน และผ้าห่มให้




มีถุงยังชีพ เป็นถุงแขน ที่ปิดตา แปรงสีฟัน ยาสีฟันให้ด้วยค่ะ


กลางคืนกรุงเทพไฟสว่างสไว สวยงาม


เครื่อง Take Off ได้ซักพัก แอร์ก็เสริฟขนมและเครื่องดื่ม ขนมอร่อย





มีเมนูอาหารมาให้ด้วย แต่จิ๊บเลือกอาหารทะเลไว้


ไม่รู้จะทำอะไรก็เล่นเกมส์บ้าง สลับกับดูแผนที่ว่าถึงไหนแล้ว จะดูหนังก็ฟังไม่ออก ไม่มี subthai





เนื่องจากเลือกอาหารพิเศษไว้ แอร์ก็เลยเอาอาหารมาเสริฟก่อนคนอื่นค่ะ




ถึง มัตกัส ตอน 5 ทุ่มค่ะเพื่อต่อเครื่อง มาถึงสนามบินมัตกัสแล้วก็มาดูจอว่าต้องไปรอที่ Gate ไหน ยืนรอให้หน้าจอเปลี่ยนภาษา ก็ไม่เปลี่ยนซักที


หันไปมอง อ้าว เขามี 2 จอ แยกภาษากัน คิดว่าเปลี่ยนภาษาไปมา Gate ยังไม่ออก


เดินตามมวลมหาชนไปเรื่อยๆ ก่อน


11 May 2019
เดินมาเรื่อยๆก็จะเจอขั้นตอนการตรวจโลหะ-ของเหลวค่ะ ขวดน้ำขวดเล็กๆ ที่แอร์เขาแจกบนเครื่องไม่โดนยึดนะคะ ลองใส่กระเป๋าไว้ทั้งขาไป ขากลับแล้ว เขาให้ผ่าน ไม่ต้องทิ้งค่ะ ถือเอาไว้จิบน้ำได้


ตรวจเสร็จก็เดินตามป้าย All Gate ไปค่ะ


มีคนมาต่อเครื่องกันเยอะเลยค่ะ


ถึงแม้จะเป็นเวลาเที่ยงคืนแล้ว แต่ร้านขายของก็ยังเปิดต้อนรับเงินจากกระเป๋าเราอยู่ค่ะ


มาดูจออีกที Gate ออกแล้วค่ะ มีบอกด้วยว่าเดินกี่นาที แสดงว่าไม่ไกลมาก


เอา Passport มาขอ Password ได้ที่เครื่อง Kios ตู้นี้ค่ะ หรือจะกดเปิด wifi แล้วขอ password โดยใส่เบอร์ sim ที่เราซื้อมาจากไทยก็ได้ค่ะ Sim2fly , Travel Sim ใช้ได้ค่ะ


แล้วก็เดินมารอขึ้นเครื่องที่ Gate ค่ะ


เขาจะแบ่งฝั่งเป็นฝั่งคู่และฝั่งคี่ค่ะ เช่น B8 เดินต่อไปก็จะเป็น B10 ต้องเดินเลี้ยวซ้ายไปอีกฝั่ง


ไปรอขึ้นเครื่องที่ Gate B7 ค่ะ


นั่งรอซักพักก็เห็นคนมายืนต่อคิว พวกเราก็เดินตามไปต่อคิวเพื่อตรวจ Passport และ Boarding pass


ใฝ่ฝันไว้ว่าเดินลงไปแล้วจะขอนอนเหยียดๆซัก 20 นาทีเหอะ ปรากฏว่าเก้าอี้มีที่พักแขน เป็นอันพับความฝันลงไปทันที


เครื่องบินมาจอดรอพวกเราแล้ว


ปลายทาง Frankfurt


นั่งหลับๆตื่นๆได้ซักพัก เจ้าหน้าที่ก็เรียกขึ้นเครื่อง


ที่นั่งจาก มัตกัส ไป Frankfurt เป็นแบบ 2-4-2 ค่ะ จิ๊บชอบที่นั่งแบบนี้มาก เพราะลุกไปห้องน้ำง่ายหน่อย


มีจอ TV หมอน ผ้าห่ม เหมือนเครื่องที่มากจากกรุงเทพ


หน้าจอมีบอกเลขที่นั่งด้วย


ด้านหน้ามีถุงใส่ขยะ หรือใส่ของไม่รู้ จิ๊บก็ใส่ของบ้างขยะบ้าง


นั่งไปก็ดูแผนที่ไป เมื่อไหร่จะถึงซักที


จิ้มหน้าจอ TV ไปเรื่อยๆ แก้เบื่อ


เครื่อง Take Off ได้ซักพัก แอร์ก็เอาขนมมาเสริฟ




ท้องฟ้าเริ่มจะสว่างแล้ว




แอร์เอาอาหารมาเสริฟ เลือกอาหารทะเลไป ก็เลยได้ก่อนคนอื่น




ท้องฟ้าสว่างแล้ว ใกล้ถึงแล้ว


ดูในแผนที่เหมือนจะบินวน


ในที่สุดพวกเราก็มาถึง ฝนตกต้อนรับพวกเราเลยทีเดียว


ลงจากเครื่องแล้วก็เดินตามมวลมหาชนไป


เห็นป้าย Baggage Claim น่าจะเป็นป้ายนี้แหละ เดินตามป้ายไป ไปพบกับตม.ก่อน ตม.พวกเราเลือกผู้หญิงค่ะเข้าไปพร้อมกันเลย 3 คน อีก 1 คนเขาเกิดเหตุ Accident บินมาพร้อมพวกเราไม่ได้ก็เลยบินตามมาทีหลัง เขาก็ถามว่ามาเที่ยวเหรอ เที่ยวเมืองไหนบ้าง จิ๊บก็ยื่นเอกสารเลยค่ะ ทั้งแฟ้ม มีทั้งเอกสารการจองโรงแรม ตั๋วเครื่องบิน ตั๋วรถไฟ นางบอก Good แล้วนางก็ยิ้ม ปั๊มให้พวกเราผ่านเข้าไปเลย รู้มาว่า ตม.เยอรมันนี่ เคี่ยวได้เรื่องอยู่ ก็เลยเตรียมตัวเป็นอย่างดี


ผ่านตม.แล้วก็มารับกระเป๋าค่ะ




รับกระเป๋าออกมาแล้วก็ต้องไปซื้อ Frankfurt Card ก่อน เป็นบัตรใช้บริการรถโดยสารสาธารณะภายในเมือง Frankfurt และจากสนามบินค่ะ  และยังใช้เป็นส่วนลด 50% ในการเข้าชมพิพิธภัณฑ์ใน Frankfurt ได้ถึง 26 แห่ง ส่วนลด 15% ในการเข้าชมละครโอเปร่าที่โรงละคร Oper Frankfurt รวมทั้งส่วนลดในการล่องเรือ ส่วนลดร้านค้า ร้านอาหารอีกหลายแห่ง ตามที่ได้หาข้อมูลมาซื้อได้ที่ Welcome Center แต่ตอนนี้มันปิด น่าจะยังเช้าอยู่ ก็เลยเดินๆไปถามพนักงานหลายคน เขาก็ตอบแบบงงๆ เหมือนไม่รู้หรือพวกเราฟังไม่รู้เรื่องก็ไม่แน่ใจ 


จนเจอผู้ชายผิวดำชุดสีแดง เขาเป็นพนักงานคอยช่วยเหลือนักท่องเที่ยว เขาก็เดินพามาส่ง ตรงนี้ค่ะ


จิ๊บจำไม่ได้แล้วว่าอยู่ตรงไหน มันเป็นชั้นเดียวกับจุด Check in สายการบินลุฟฮันซ่า ตรงข้ามร้าน Bistrot นี้ค่ะ




ได้มาแล้วค่ะ ตั๋วกลุ่ม 1 วัน ราคา €22 ส่วนตั๋วเดี่ยวราคา €10.5  กว่าจะหาจุดซื้อเจอ เดินวนไป วนมาตั้งนานแน่ะ


เขาจะถามว่าใช้วันไหน แล้วก็เขียนวันที่ลงไปด้านหลังบัตรค่ะ


ได้บัตรแล้วก็มาดูหน้าจอ ว่าต้องไปขึ้นรถไฟที่ชานชลาไหน เห็นละ 9:23 Frankfurt (Main) ชานชลาที่ 1


ได้ชานชลาแล้วก็เดินตามป้าย Train Station ไปเลยค่ะ


แล้วก็จะเห็นป้าย Gleis 1 Frankfurt City ลงชานชลาที่ 1


มาถึงแล้วชานชลาที่ 1 รถไฟไป Frankfurt Hbf


นั่งประมาณ 10 กว่านาทีก็ถึง Frankfurt Hbf แล้วค่ะ


มาถึงแล้วก็เดินหา Locker สำหรับเก็บกระเป๋าก่อนค่ะ ฝากระเป๋าไว้ก่อน เย็นๆค่อยมาเอาแล้วนั่งรถไฟไปที่ Würzburg เลยค่ะ เดี๋ยวไปเที่ยวเมือง Frankfurt กันก่อน


รถไฟที่พวกเรามาเมื่อกี้


มองหาสัญลักษณ์รูปกระเป๋าและมีกุญแจ


นั่นไงเห็นแล้ว เดินตามลูกศรไปเลย


สถานีรถไฟคล้ายๆหัวลำโพงเลย


Locker อยู่ข้างๆร้านดอกไม้ค่ะ แต่พวกเราไม่มีเหรียญเลย พึ่งมาถึงมีแต่แบงค์ €20 และ €50 กันทั้งนั้น


ก็เลยไปหาซื้อของเพื่อเอาเงินทอนเป็นเหรียญ ขอเขาว่าขอเงินทอนเป็นเหรียญนะ บางร้านเขาก็ให้ บางร้านก็บอกไม่มี


ได้เหรียญมาแล้วก็เอากระเป๋าใส่ช่อง หยอดเหรียญ แล้วก็หมุนกุญแจ ก่อนหมุน อ่านให้แน่ใจก่อนว่าหมุนไปทางไหน เพราะเคยพลาดจ่ายเงิน 2 รอบมาจากญี่ปุ่นแล้ว


Locker หมดแล้วยังเหลืออีกคนที่ยังไม่ได้เก็บกระเป๋า ก็เลยเดินๆหาดู หันหน้าหาชานชลาเลี้ยวขวาไปเจออีกฝั่ง โห ตรงนี้เพียบเลย แถมดูดีมีสกุลรุนชาติกว่าตรงนั้นอีก


ก่อนอื่นก็มาถ่ายรูปกันตรงหน้าสถานีรถไฟก่อน เห็นหลายคนเขาบอกเหมือนหัวลำโพงบ้านเรา


แล้วก็เดินลงเข้าไปในสถานีลงบันไดไปขึ้นรถไฟใต้ดิน หรือที่เรียกว่า U-Bahn ค่ะ


ก่อนขึ้นรถไฟต้องศึกษาก่อนว่าขึ้นผิดฝั่งหรือเปล่า


ข้างๆชานชลา มีแผนที่รถไฟด้วยนะ แต่ตัวหนังสือเล็กไปป่าว จะมองเห็นเร้อ


นั่ง U-Bahn ไปลงสถานี Willy-Brandt-Platz ค่ะ มาถึงแล้วก็เดินมั่วๆออกจากสถานีก่อน


แล้วก็ Search Google Map ให้นำทางไป Goethe House and Museum


เดินฝ่าสายฝนปรอยๆ ตัดไปตามสวน และร้านค้ามากมาย ซึ่งจิ๊บก็จำไม่ได้ว่าผ่านถนนอะไรบ้าง




Google Map ก็พามาถึง Goethe House and Museum ได้อย่างถูกต้อง




Goethe House and Museum บ้านและพิพิธภัณฑ์เกอเธ่อ เป็นบ้านเกิดของ โยฮานน์ โวล์ฟกัง เกอเธ่อ กวีผู้ยิ่งใหญ่ชาวเยอรมัน เป็นนักประพันธ์และผู้เขียนบทละครแนวโรแมนติกและปรัชญา เขาเคยได้รับตำแหน่งสำคัญในรัฐบาล ผลงานที่สร้างชื่อได้แก่ Faust , Werther


เข้ามาแล้วก็มาซื้อตั๋วก่อนค่ะ


ผู้ใหญ่ €7 แต่ถ้ามี Frankfurt Card เหลือ €3.5


ก็จะได้ตั๋วแบบนี้




เห็นห้องน้ำฟรีแล้วก็รีบเข้าก่อนเลยค่ะ ห้องน้ำฟรีหายาก ในห้างก็ €0.5 แน่ะ


ด้านในจะแบ่งเป็นห้องต่างๆ มีการเก็บรวบรวมข้อมูล ประวัติ และข้าวของเครื่องใช้เกี่ยวกับ โยฮานน์ โวล์ฟกัง เกอเธ่อ
















ฝนเริ่มหยุดแล้ว ออกเดินทางต่อกันเลย


แล้วก็ไปต่อกันที่พิพิธภัณฑ์ศิลปะสมัยใหม่ Museumsufer Moderne Kunst (MMK) เป็นผลงานของ ฟรานซิส เบคอน รอย ลิคเท็นสไตน์และแอนดี้วอร์ฮอล อาคารที่มีรูปทรงเหมือนชิ้นพายแห่งนี้มักถูกคนเรียกติดตลกว่า ตึกชิ้นเค้ก


ใช้ Frankfurt Card ลด เหลือคนละ €6


พอเดินเข้าไปดูแล้วก็ งงๆ ปนขำตัวเอง ว่าเข้าไม่ถึง แต่ละอันหมายถึงอาราย












ถึงแม้จะเข้าไม่ถึงงานศิลปะแบบนี้ แต่พวกเราก็เดินดูจนครบนะคะ กลัวไม่คุ้มค่าเข้า 555


เบื่อพิพิธภัณฑ์ละ เปลี่ยนแนวไปเดินเล่นในตลาดกันบ้าง บ่ายแล้วเริ่มจะหิว








มาที่ Kleinmarkthalle Frankfurt กันต่อค่ะ เป็นตลาดในร่มพื้นที่ 1,500 ตารางเมตร เป็นทั้งตลาดสด ตลาดของแห้ง และตลาดดอกไม้สด ที่มีร้านค้ามากกว่า 156 ร้านแน่ะ




ในตลาดมีทั้งต้นไม้ ของสด ขนมอาหาร ให้เลือกกันมากมายค่ะ














Hotdog ร้านนี้แถวยางจริง ไรจริง ท่าทางน่าจะอร่อย ไม่ได้ลองชิม สู้แถวไม่ไหว




ผักผลไม้ ก็ดูสดน่าทานมาก








แต่มังคุดกับเงาะนั้น เห็นสภาพและราคาแล้ว กลับมากินบ้านเราจะเหมาะกว่า




เดินขึ้นไปด้านบนมองลงมา เห็นร้านค้าติดๆกันมากมาย ด้านบนจะเป็นร้านอาหารค่ะ มีโต๊ะหน้าร้านไม่กี่โต๊ะ


เห็นกุหลาบแล้วอยากจะหิ้วกลับบ้าน


ช็อคโกแลตก็มีให้เลือกมากมายเลย




ร้านขายผัก บางอย่างก็ใหญ่จนน่าตกใจ เช่นต้นหอม กระเทียม หอมแดง






Paper mint หรือบ้านเราเรียกสาระแหน่ นั้นก็ใบใหญ่มาก


สรุปว่าก็ไม่ได้เลือกกินอะไรในตลาดเลย มาถูกใจร้าน Nordsee เป็นร้านขายอาหารทะเล ก็ถือว่าราคาแพงนะคะแต่ก็พอรับได้ ราคาจะมีตั้งแต่ €8 - €15 ถ้าเลือกเป็น Set ก็จะถูกหน่อย แต่ถ้าสั่งๆให้เขาตักให้ก็จะแพงขึ้นมานิดนึง ร้านนี้นับว่าพวกเรากินบ่อยพอสมควร  ต้องกินคู่กับโค้ก ไม่งั้นเลี่ยน








อิ่มแล้วก็เดิน Shopping กันต่อ ในย่าน Zeil เป็นถนนสาย Shopping มีร้านค้าและห้างสรรพสินค้าให้เดินชมมากมาย พวกเราก็ window Shopping กันไปเรื่อยๆค่ะ มาวันแรกๆ ยังไม่กล้าช้อปมาก เดี๋ยวจะหมดตัวซะก่อน








ฝนตกก็เลยเดินหลบฝนเข้ามาในห้าง MyZeil


เขาจะมี Design มีปล่องตรงกลางให้น้ำฝนไหลลงมา


แล้วก็จะมีคนสงสัยว่า น้ำมันลงไปไหนน้า


มาแวะเข้าห้องน้ำในห้างนี้หน่อย สตั๊นไป 3 วิ ราคา €0.5 ก็เกือบๆ 20 บาทล่ะค่ะ


แต่ด้านในก็หรูหราสมราคาอยู่นะ สถานีรถไฟ ห้าง เก็บค่าเข้าห้องน้ำหมดค่ะ ปราสาทบางปราสาทก็เก็บนะคะ ฉะนั้นถ้าเจอห้องน้ำฟรี พวกเราปวดไม่ปวด ก็ปรี่เข้าไปก่อนเลยค่ะ




ฝนหยุดแล้วก็เดินไป RÖmerberg จัตุรัสเรอเมอร์แบร์ก กันต่อ


อากาศแบบว่าหนาวมาก พึ่งมาจากเมืองไทยเสื้อผ้ายังไม่ค่อยพร้อมเท่าไหร่




ยุโรปก็มีขอทานนะ เลี้ยงไซบีเรีย ซะด้วย


มาถึงแล้วค่ะ จัตุรัสเรอเมอร์แบร์ก มีกลุ่มคนจีนมาประชาสัมพันธ์ เกี่ยวกับการรำไทเก็ก อันนี้จิ๊บก็เดาๆเอานะ






เดินไปรับลมหนาวต่อตรงแถวแม่น้ำไมน์




เดินข้ามสะพาน Iron ไป มีกุญแจแขวนด้วย


ข้ามไปกะว่าจะเดินไปเกาะตรงกลาง ตรงใต้สะพาน Brickegickel แต่ฝนเริ่มลงอีกแล้ว




ก็เลยเดินกลับสถานีรถไฟดีกว่า


เดินลงไปที่สถานี Dome/Römer


นั่งหลบฝนและความหนาวอยู่ใน KFC แล้วก็ซื้อเฟรนฟราย มากินเล่นไปพลางๆ


ค่าเสียหายค่ะ


เขาไม่มีซอสมะเขือเทศให้นะ ถ้าจะเอาต้องซื้อ มีให้แต่เกลือ และกระดาษเปียกเช็ดมือ


ได้เวลาแล้วต้องไปขึ้นรถไฟที่ Frankfurt (Main) Hbf ไป Würzburg Hbf พวกเราจะไปนอนที่เมืองนี้กันค่ะ นั่ง U-Bahn จาก Dome ไปลง Frankfurt (Main) Hbf


ไปถึง Frankfurt (Main) Hbf แล้วก็ไปเอากระเป๋าใน Locker ก่อน


ดูป้ายแล้วรถไฟจอดชานชลา A9 เดินไปที่ชานชลา มีป้ายบอกปลายทาง Würzburg Hbf ป้ายอยู่อันล่างแสดงว่าต้องรอให้ ขบวนที่จะไป Berlin ไปก่อน ถึงจะเป็นขบวนของเรา ตามหลักสากลโลกเนอะ


พวกเราก็นั่งรอกันไป รอแล้วรอเล่า




มองเห็นขบวนนี้เข้ามา ดูเลขข้างขบวนแล้ว มันเป็นขบวนของ Berlin เขา เราก็นั่งมองเขาขึ้นรถไฟด้วยความอิจฉา เพราะเราหนาวมากแล้ว


นั่งไปซักพัก เอ๊ะ นี่มันเลยเวลามา  1 นาทีแล้วทำไมขบวนนี้ยังไม่ออก แล้วขบวนเรายังไม่มา เห็นแถบขาวๆตรงป้ายนะคะ แต่คิดเองเออเองว่า เขาคงบอกว่าเลทละมั้งไม่ได้เดินไปอ่านใกล้ๆแต่อย่างใดเลย หันขวับไปที่ชานชลาข้างๆ อ้าว นั่นมันขบวนที่เราจะต้องขึ้นนี่หว่า ชิหายละ ทำไงดีล่ะ ตกรถไฟแล้ว ต้องซื้อตั๋วใหม่มั้ยนี่ แล้วรถไฟไม่รู้มีอีกกี่รอบ แย่แล้ว อุตสาห์ระวังอย่างดีนะเนี่ย จ้องอย่างดียังพลาดได้


ก็เลยเดินไป Information ก่อนเลยค่ะ โวยวายเต็มที่ ว่า you เปลี่ยนชานชลาโดย I ไม่รู้เรื่องเลยนะเนี่ย I ตกรถไฟแล้ว นางบอกพวกเรามาว่า ให้รอรถขบวนถัดไป อีก 1 ชม.นะ You แล้วนางก็ Print ตารางเวลารถไฟมาให้พวกเรา เซ็งเลยกะจะถึง Würzburg ก่อนมืดซะหน่อย แถมต้องนั่งรอไปอีก 1 ชม.แน่ะ


นั่งรอแบบเซ็งๆไปอีก 1 ชม.ค่ะ แต่จริงๆไม่ถึง แค่ 40 นาทีรถไฟก็มาแล้ว เพราะ Frankfurt เป็นต้นทาง พวกเราก็รีบวิ่งประหนึ่งไฟไหม้ ไปขึ้นรถไฟ กลัวตกรถอีกรอบ


ได้ขึ้นรถไฟซะที สัญญากับตัวเองว่าต่อไปนี้จะรอรถไฟใกล้ๆป้าย เกิดอะไรจะได้รู้ หึหึ


ซักพักก็มีเจ้าหน้าที่มาตรวจตั๋ว ก็เอาตั๋วที่ซื้อล่วงหน้าผ่านเว็บไว้ ส่งให้เขา เขาก็สแกน QR Code แล้วก็หนีบเหมือนรถไฟไทยเลยค่ะ แต่ของเราเป็นตัดตั๋ว ของเขาเป็นหนีบปั๊มวันที่ใช้ พวกเราก็กลัวว่าเขาจะถามหรือเปล่าตั๋วกับเวลารถไฟไม่ตรงกัน แต่เขาก็ไม่เห็นว่าอะไร ตรวจเสร็จเขาก็เดินไป


พอมาถึง Würzburg Hbf หาลิฟต์ไม่เจอ ก็ต้องแบกกระเป๋า 20 กว่ากิโล ลงบันไดค่ะ


โรงแรมอยู่ห่างจาก สถานีรถไฟประมาณ 800-900 เมตร แต่พวกเรามีกระเป๋าใหญ่ และฝนตกด้วย ก็เลยต้องถาม Google Map ว่านั่งรถอะไรไปถึงโรงแรมได้บ้าง นางบอกรถบัส 450 พวกเราก็ตามไป เปิดชื่อโรงแรมให้คนขับดู เขาก็บอกราคาเรามา


ค่ารถบัสค่ะ 1ป้ายเท่านั้น


แต่ป้ายรถจะเลยโรงแรมมาหน่อย ก็เดินย้อนขึ้นไป


เดินเข้าโรงแรมแบบสะบักสบอมมาก


จองห้องแบบ Twin Room ไว้ โรงแรมนี้ค่อนข้างแพง แต่หาถูกและใกล้สถานีรถไฟกว่านี้ไม่ได้แล้วค่ะ ตกคนละประมาณ 2,300 บาท/คืนแน่ะ


ตอนแรกจองไว้ 2 ห้อง เพราะมากัน 4 คน แต่อีกคนเขามาด้วยกันไม่ได้ ก็เลยยกเลิกไป 1 ห้อง แล้ว E-mail ไปขอเตียงเสริมเขา เขาคิด €20/คืน ก็โอนะ เพราะใช้แค่นอนกับอาบน้ำ ยังดีที่เขาให้ยกเลิกได้แบบกระชั้นชิด


มี TV ให้ด้วยค่ะ เปิดเอาไว้ไม่ให้มันเงียบเกินไปแค่นั้น เพราะฟังไม่ออก ไฟในห้องหลายๆโรงแรมจะออกแนว สลัวๆ


ห้องน้ำแยกเปียก แยกแห้งให้ค่ะ




ห้องอาบน้ำไม่มีประตู พวกเราก็ต้องแบบกุลสตรีนิดนึง กลัวจะเปียกออกไปข้างนอก


เดินลงไปซื้อน้ำที่มินิมาร์ทในปั๊มน้ำมัน ช็อคกับราคาน้ำแป๊บ ขวดที่แถวบ้านเราราคา 17 บาทนั้นที่นี่ 70 บาท จริงๆกินน้ำในก๊อกได้นะคะ แต่พวกเรายังไม่คุ้นเคย ไปวันแรกๆก็ซื้อกินเอา พอวันหลังๆก็ก๊อกบ้างซื้อบ้าง แล้วแต่สถานการณ์ ถ้าเจอน้ำที่ไหนขายถูกแบบไม่ถึง €1 ก็ซื้อนะ ขวด 1.5 ลิตรน่ะค่ะ แต่ถ้าเกือบ €2 แบบนี้ก็ไม่เอา แพงเกิ๊น

 



Create Date : 07 มิถุนายน 2562
Last Update : 31 สิงหาคม 2564 14:05:52 น.
Counter : 91 Pageviews.

0 comments
ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
 *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

Journeyjib
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]