วีซ่าเรื่องง่ายๆ “ไปญี่ปุ่นยากจะตาย แค่วีซ่าก็ไม่ผ่านแล้ว” “ วีซ่าญี่ปุ่นหรอ ขอยากนะ” “ขอวีซ่าญี่ปุ่นต้องมีเงินเป็นแสนเถอะ ถึงจะไปได้” จากคำพูดของคนหลายๆคนที่กรอกหูมาตั้งแต่เด็ก จากเรื่องราวที่ได้ยินมาจากตามหนังสือ วิทยุ หรือ โทรทัศน์ สำหรับผู้หญิงคนหนึ่งที่ใฝ่ฝันเหลือเกิน กับการไปญี่ปุ่น มีหลายครั้งต้องปลอบตัวเองให้ทำใจ และมีอีกหลายครั้งที่นึกท้อในหลายเดือน แต่สิบปากว่า ก็ไม่เท่ากับลงมือทำ ตัวผู้เขียนที่ลบเอาคำพูดต่างๆทิ้ง และลงมือลองสักตั้ง เพื่อที่จะได้รู้ๆไปเลยว่า วีซ่าที่เขาว่ากันว่ายาก มันจะแน่สักแค่ไหนเชียว สิ่งแรกที่ทำคือ หาข้อมูล สมัยนี้อะไรๆก็เป็นเรื่องง่ายๆ แค่เราเปิดอินเตอร์เน็ตถามอากู๋ เราก็สามารถรู้เรื่องได้ในไม่กี่นาที โดยข้อมูลที่เราต้องรู้คือ เอกสารประการยื่นขอวีซ่า อัตราค่าธรรมเนียม และสถานที่ยื่นขอวีซ่า หลังจากผู้เขียนทราบข้อมูลแล้ว ก็เริ่มเตรียมการจากสิ่งที่ง่ายๆก่อนเลยคะ (1) หนังสือเดินทางที่ใหม่เอี่ยม เพราะเพิ่งไปถอยมาเนื่องจากภารกิจบางประการ เพราะฉะนั้นเหลือมากกว่า 2 หน้าที่เขาระบุไว้แน่นอน จากนั้นก็ไปถ่าย (2) รูป 2x2 นิ้วคะ พอดีตอนนั้นกำลังอารมณ์ดีเกินไป รูปเลยออกมาสวยเยอะไปหน่อยคะ พอเป็นขาวดำแล้วแอบรับกับตัวเองไม่ได้ หนังสือเดินทางเลยมีวีซาญี่ปุ่นที่เก็บไว้เป็นที่ระทึกขวัญตัวเองพอสมควรคะ (3) ทะเบียนบ้าน ตัวจริง กับ สำเนาอย่างละ 1 ชุด และ (4) ใบเปลี่ยนนามสกุล ผู้เขียนเชื่อเรื่องหมอดูคะ อาซินแซ แกทักว่า ชื่อบวกนามสกุลไม่ดี ให้ไปเปลี่ยนนามสกุล ที่นี่ทั้งตระกูลก็เปลี่ยนกันยกเซตเลย ก็เลยต้องพกเจ้าเอกสารนี้ไปด้วยคะ ตอนแรกไม่ได้ยื่นไปกับการขอวีซ่าคะ แต่เจ้าหน้าที่ตรวจสอบเสร็จ เขาก็ขอเอกสารไปเป็นหลักฐานด้วยคะ เพราะฉะนั้น ควรเตรียมไปไว้ด้วยก็ดีนะคะ ต่อจากเรื่องง่ายๆ มาเรื่องที่ยากที่สุดก่อนเลยคะ (5) สมุดบัญชีเงินฝากคะ ผู้เขียนก็ทำงานเป็นโปรแกรมเมอร์ พิมพ์คอมตอกๆไปวันๆ ในบริษัทญี่ปุ่นแห่งหนึ่งคะ เงินเดือนก็พอมีพอกิน แต่ตอนจะขอวีซ่านั้น เงินในบัญชีมีแค่ 9000 บาทคะ เดือดร้อนหม่าม้าผู้ใจดีให้หยิบยืมก่อน 10000 บาท ฝากใส่ธนาคาร ให้ตัวเลขในบัญชีดูกิ๊บเก๋คะ คือฝากเข้าไปก่อนจะไปขอวีซ่าเพียงแค่ 2 วันคะ ประเด็นสำคัญที่เขาต้องการดูสมุดบัญชีของเรา คือ เขาต้องการทราบรายรับของเราคะว่า มีเข้าทุกเดือนจริงไหม ถ้าจริงแสดงว่าเรามีที่ทำงานเป็นหลักแหล่ง เป็นสิ่งที่เพิ่มความน่าเชื่อถือของเราคะ ว่าเราจะกลับมาจริง ไม่ได้อ้างอิงอะไร จากนั้นก็ (6) ใบรับรองสถานภาพการทำงาน ผู้เขียนก็เดินตรงดิ่งไปยังฝ่ายบุคคลของบริษัท ยื่นเรื่องให้บริษัทออกให้คะ โดยขอให้เขาระบุเงินเดือนของเราลงไปด้วยเพื่อเป็นหลักฐานยืนยันคะ สิ่งนี้ผู้เขียนเห็นว่า สำคัญสุดคะ เพราะแม้เงินในบัญชีของผู้เขียนจะดูกรุบกริบมากถึงมากที่สุด แต่เจ้าใบนี้คือตัวเอกของการขอวีซ่าครั้งนี้คะ อาจจะเพราะบริษัทของผู้เขียนเป็นบริษัทญี่ปุ่นที่มีการส่งพนักงานไปกลับญี่ปุ่นเป็นประจำ ความน่าเชื่อถือจึงบังเกิดคะ และแล้วก็มาถึงเอกสาร 2 ชิ้นลำดับสุดท้าย คือ (7) ใบคำร้องขอวีซ่า และ (8) แบบสอบถามการยื่นร้องขอวีซ่า พระเจ้าช่วยเครื่องพิมพ์ หรือที่เรียกว่า Printer ของข้าพเจ้าเกิดเสียและรวนเรขึ้นมาคะ จึงต้องใช้วิธีการที่สองไปตายเอาดาบหน้าคะ เพราะคิดว่า ที่ยื่นขอวีซ่า ต้องน่าจะมีใบแบบฟอร์มให้ยื่นขอสิ ไม่อย่างนั้น จะเป็นที่ยื่นขอได้ยังไง ก็เดินทางสู่ JVAC ด้วยรถไฟลอยฟ้าที่เร็วที่สุดในเมืองไทย เพราะมีอยู่ที่เดียว ไปลงหลังคาแดง เอ้ยไม่ใช่คะ สถานีรถไฟฟ้าศาลาแดง ทางออกที่ 4 แล้วเดินลงบันไดทางฝั่งสีลมคอมเพล็กซ์คะ จากนั้นเดินวกกลับมานิดนึง ที่ข้างๆห้างสีลมคอมเพล็กซ์จะมีส่วนอาคารสำนักงานคะ เดินเข้าไปเลย กดลิฟท์ไปชั้น 15 ก็ถึงเลยคะ ผู้เขียนก็เดินตรงเข้าไปด้วยความมั่นใจ ก็หยิบเอกสารทั้งสองฉบับมากรอก ที่นั้นเขาจะมีตัวอย่างการกรอกให้คะ ง่ายๆสบายๆ เสร็จเรียบร้อยก็ไปกดบัตรคิว เตรียมรอเชือดคะ เกือบลืมไปคะ ในเอกสารการยื่นขอวีซ่าที่ผู้เขียนยื่นไปด้วยอีกฉบับหนึ่ง คือแผนการเดินทางคะ ในส่วนนี้จะอธิบายแนะนำในบทความหน้านะคะ และแล้ว นาทีที่ระทึกขวัญก็มาถึงคะ หลังจากนั้นอีก 5 วัน ผู้เขียนก็ไปรับวีซ่า ผลปรากฏว่า ผ่านคะ เกือบจะร้องไห้ ณ ตรงนั้น แต่เกรงใจเจ้าหน้าที่คะ อีกอย่างเดียวเขานึกว่า เรามีอาการทางประสาท จะขอยึดคืนไม่ให้ไปคะ ทำได้แต่กรีดร้องเบาๆด้วยความดีใจ และรีบบึ่งกลับบ้าน มาร้องดังๆที่บ้านอย่างมีความสุข ในที่สุดฝันฉันก็กำลังจะเป็นจริง
ขนมหวานกับชาเขียว |
jp_haruzame
Rss Feed Smember ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?] Group Blog All Blog Link |
||
Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved. |
เงินเดือนหลังจากหักลบแล้ว ประมาณ 9000 - 9500 บาท
จะเพียงพอต่อการขอวีซ่าหรือไม่คะ