เมื่อคืนนี้ได้หลับสบายแม้ว่าจะมีเพื่อนร่วมห้องย่องเข้ามาตอนดึก ฉันรู้สึกตัวก็เพียงแค่ชะโงกตัวขึ้นมาดู เธอก็มีมารยาทถามว่าขอเปิดไฟในห้องได้ไหม ฉันบอกว่าตามสบายแล้วก็หลับต่อ ตอนเช้าตื่นมาเก็บของในล็อกเกอร์ส่วนตัว ก็พบว่ามีอีกหนึ่งหนุ่มนอนแอ้งแม้งอยู่อีกเตียง นี่ย่องเข้ามาตอนไหนไม่รู้จริงๆ ค่ะ
วันนี้ต้องบอกลา Stockholm เมืองหลวงของสวีเดนแล้ว ฉันเช็คเอ๊าท์ออกจาก Skanstulls Hostel แล้วนั่งรถไฟใต้ดินไปสถานี Stockholm C ...มีเวลาเหลือเฟือสำหรับเช้านี้ค่ะ เพราะซื้อตั๋วรถไฟมาจากเมืองไทยเรียบร้อยแล้ว ....ข้อควรรู้อย่างหนึ่งสำหรับการท่องเที่ยวในประเทศสแกนดิเนเวีย ทั้งสวีเดน เดนมาร์ก และนอร์เวย์ คือ ให้รีบซื้อตั๋วรถไฟล่วงหน้าไว้ก่อนนานๆ เพราะจะได้ราคาที่ถูก ยิ่งซื้อใกล้วันเดินทางหรือในวันเดินทางจะได้ตั๋วที่แพงมากๆ ...ตัวอย่างเช่นฉันวางแผนการเดินทางจาก Stockholm ไป Malmö เช็คราคาตั๋วชั้นสองสำหรับรถไฟ SJ X2000 หนึ่งเดือนก่อนเดินทาง ราคาแค่ 419SEK แต่มาทำรายการซื้อจริงในอาทิตย์ถัดไป ราคากระโดดไปที่ 573SEK นี่ถ้ายิ่งใกล้แล้วเกิดตั๋วชั้นสองหมด ราคาของตั๋วชั้นหนึ่งจะสูงถึง 1,692SEK เลยทีเดียว มีเวลาที่สถานีเกือบสองชั่วโมง ฉันเลยถือโอกาสเดินสำรวจบริเวณสถานี Stockholm C เป็นสถานีที่ใหญ่มากๆ เหมือนกับสถานีรถไฟประจำเมืองหลวงในประเทศยุโรปโดยทั่วไปแหละค่ะ
ด้านหน้าของ Stockholm Central Station
ภายในสถานี Stockholm Central Station
มีล็อกเกอร์แบบทันสมัยให้ฝากกระเป๋าด้วยระบบจอแบบสัมผัส
ลองตรวจสอบสภาพอากาศวันนี้ ศูนย์องศาเซลเซียสหรือนี่ โอ๋ยยย!!! เห็นอุณหภูมิแล้วสองมือก็ขยับผ้าพันคอให้กระชับขึ้นโดยอัตโนมัติ เหลือบดูนาฬิกาอีกครั้ง เห็นว่าเหลืออีกไม่ถึง 20 นาทีก็จะได้เวลาขึ้นรถไฟ จึงเดินออกไปที่ชานชาลา หุหุ...เจอเข้ากับลมหนาวถึงกับปากซีดปากสั่นจนฟันกระทบกันอีกแล้ว ต้องรีบหยิบถุงมือหนังขึ้นมาสวมช่วยบรรเทาความหนาว
ครู่เดียวก็มีรถไฟแล่นเข้ามาจอด แสดงตัวอักษรขึ้นเมืองปลายทางไว้เป็น Kopen ฉันก็เลยขยับตัวลงนั่งที่เก้าอี้ตัวเดิมอีกครั้ง มองดูผู้คนส่วนใหญ่ที่ขนกระเป๋าขึ้นรถไฟกันจนเกือบไม่เหลือคนคอยที่ชานชาลา ก็เลยเอะใจว่า Kopen นี่มันคงเป็น Copenhagen ซึ่งต้องผ่านเมือง Malmö แหงๆ เลย คราวนี้ไม่ถามใครแล้วล่ะค่ะ คว้ากระเป๋าขึ้นไปหาที่นั่งเลยดีกว่า ไม่งั้นได้ตกรถไฟเป็นครั้งแรกแน่ๆ ..เกือบไปแล้วไหมล่ะจอมเป๋อเอ๋ย... อิอิ
ที่นั่งของฉันอยู่บนตู้ขบวนที่ 3 ที่วางกระเป๋าตรงประตูขึ้น-ลงมีคนวางจนเต็มหมด จึงลากกระเป๋าเข้าไปตรงที่นั่ง คิดว่าจะวางไว้ระหว่างที่วางเท้าใต้ที่นั่ง แต่หนุ่มนักศึกษาที่นั่งติดกันแสดงความเป็นสุภาพบุรุษเสียก่อน ช่วยยกกระเป๋าขึ้นวางบนที่พักกระเป๋าเหนือศีรษะให้เพื่อจะได้นั่งอย่างสบายน่ะค่ะ นั่งไปได้สักพักหลังรถไฟออก "แอ๊บ" ก็โทร.มาคอนเฟิร์มอีกครั้งว่าฉันได้ขึ้นรถไฟแล้วแน่ๆ จะได้ไปดักรอที่สถานี Linköping เจ้าหน้าที่รถไฟมาตรวจตั๋วตามธรรมเนียมปฏิบัติ ฉันยื่นกระดาษ A4 ซึ่งพิมพ์ข้อความตอนซื้อตั๋วผ่านเว็บไซต์ของการรถไฟสวีเดนให้เจ้าหน้าที่ตรวจดู ...เป็นอะไรที่สะดวกดีนะคะ เพราะเจ้าหน้าที่แค่ดูว่าตรงกับที่ที่เรานั่งอยู่ ก็ทำเครื่องหมายไว้เท่านั้นเอง ไม่ได้ขอดูพาสปอร์ตหรือบัตรอะไรเลยค่ะ
ตั๋วรถไฟที่พิมพ์จากบ้าน
เที่ยงตรง รถไฟก็แล่นมาถึงสถานี Linköping พอดี ระหว่างที่ลดความเร็วเพื่อเทียบชานชาลา ฉันมองออกไปนอกหน้าต่างก็มองเห็นแอ๊บกำลังมองหาฉันเช่นกัน รีบโบกมือให้เมื่อต่างฝ่ายต่างเห็นกัน พอรถไฟจอด ฉันจึงรีบวิ่งลงไปด้านล่างกอดทักทายกันได้แค่เสี้ยวนาทีเท่านั้น แอ๊บรีบส่งถุงให้ ฉันขอบคุณแล้วก็รีบวิ่งหันกลับขึ้นไปบนรถไฟ "แอ๊บ" และลูกน้อย พี่ "ขวัญข้าว" และ น้อง "ข้าวใหม่"
รถไฟเริ่มเคลื่อนตัวออกจากสถานี Linköping เราโบกมือลากัน สักพักฉันก็พลิกดูถุงกระดาษที่แอ๊บหิ้วมาให้ เอาแค่ตัวอักษรที่ถุงก็ทำเอาหัวใจพองโตแล้วล่ะ มีรูปหัวใจ พร้อมกับตัวอักษร "feel great" เปิดถุงแล้วหยิบของข้างในออกมา พบว่าเป็นข้าวผัดไข่ใส่กุนเชียงในกล่องพลาสติกพร้อมช้อนสำหรับมื้อกลางวัน แอ๊ปเปิ้ลและลูกแพร์อย่างละ 3 ลูก บรรจุอยู่ในถุงพลาสติกใส แถมด้วยน้ำผลไม้อีกหนึ่งขวดลิตร ที่สำคัญเหนืออื่นใดคือโปสการ์ดที่เรียงร้อยถ้อยคำไว้ให้เห็นถึงความรักความอบอุ่นที่แอ๊บมีให้ ความรู้สึกในขณะนั้น นอกจากจะเต็มไปด้วยความตื้นตันแล้ว ยังรู้สึกว่าข้าวกล่องมื้อกลางวันบนรถไฟไป Malmö มื้อนี้ เป็นข้าวกล่องที่อร่อยที่สุดในโลกไปโดยปริยาย
ของที่แอ๊บหิ้วมาฝาก
พอใกล้ถึงสถานี Malmö หนุ่มที่นั่งข้างฉันก็เตรียมตัวลง ฉันจึงลุกจากที่นั่งหยิบกระเป๋าเดินทางที่วางอยู่เหนือศีรษะ ด้วยความเกรงใจจึงไม่กล้าร้องขอแรงหนุ่มที่ช่วยยกขึ้นไปวางให้ตอนขามาหยิบลงมาให้ ฉันแข็งใจรับน้ำหนักกระเป๋าหนัก 13 กิโลด้วยมือขวาเพียงข้างเดียว ทำเอาข้อมือพลิกเล็กน้อย ก็กัดฟันทนเจ็บเอาค่ะ คิดว่าเดี๋ยวคงจะหาย อุตส่าห์นั่งรถไฟมาตั้ง 4.5 ชั่วโมง จะทำใจเสาะหิ้วกระเป๋าไม่ไหวก็กระไรอยู่
หลังจากนั้น ไม่ลืมที่จะหยิบแผนที่ของเมืองบริเวณสถานีรถไฟ กางแผนที่สำรวจดูคร่าวๆ น่าจะไม่มีรถเมล์สายไหนผ่าน ก็เลยตัดสินใจเดินลากกระเป๋าหาโรงแรม Astoria Hotel ที่จองไว้ ...เดินจากสถานีข้ามคลองไปอีกฝั่ง แล้วเดินลัดเลาะหาถนน Gråbrödersgatan เลขที่ 7 ใช้เวลาประมาณ 15 นาทีก็มาถึงโรงแรมค่ะ Astoria Hotel เป็นโรงแรมที่เล็กมากๆ แต่ราคาไม่เล็กตามขนาดของโรงแรม ห้องเดี่ยวคืนละ 895SEK ห้องกระจิ๋วหลิวจริงๆ ประตูห้องน้ำเป็นบานเลื่อนพลาสติกที่ปิดล็อคไม่ได้อีกต่างหาก ที่รู้สึกดีหน่อยเห็นจะเป็นรายการทีวี เพราะมีรายการข่าวหรือรายการอื่นๆ ให้เลือกดูเป็นภาษาอังกฤษหลากหลายช่อง อ้อ! แล้วก็มี wi-fi ให้ใช้ตลอดเวลาที่พักด้วยค่ะ ฉัน review และให้คำจำกัดความโรงแรมนี้ไว้ใน tripadvisor ว่า "Tiny room but another good" และสำหรับแบบสอบถามของ booking.com คำนวณเป็นคะแนนอยู่ที่ 7.5 จาก 10 ค่ะ
Astoria Hotel
ติดตามข่าวเมืองไทยจากสถานีของประเทศเพื่อนบ้านอย่างเดนมาร์ก
ฉันถามทางไป Turning Torso จากพนักงานต้อนรับของโรงแรม เขาบอกว่าสามารถเดินไปได้ ใช้เวลาประมาณ 20 นาที พอเดินจริงๆ ไกลเอาเรื่องเหมือนกันนะคะ ตอนกลับเข้าเมืองก็เลยขอนั่งรถเมล์แทน Turning Torso
หนึ่งในแลนด์มาร์คหรือสัญลักษณ์ใหม่ของเมือง Malmö เห็นจะเป็นตึก Turning Torso อพาร์ทเม้นต์หรูหรา ที่มีลักษณะคล้ายๆ กับตึกถูกบิด ตึกนี้เป็นการผสมผสานทางด้านวิศวกรรม ประติมากรรม และสถาปัตยกรรม ซึ่ง Santiago Calatrava สถาปนิกชาวสเปน ออกแบบตึกนี้โดยได้รับแรงบันดาลใจจากการหมุนลำตัวของคน (Twisting Torso) และที่สำคัญคือการออกแบบให้ตัวตึกมีลักษณะที่ไม่ก่อมลพิษด้วยระบบการรีไซเคิลขยะ ให้ถูกนำมาใช้ในรูปแบบพลังงานสำหรับใช้ในโรงงานเตาเผาภายในเมือง Malmö ด้วย Malmo Radhus ศาลาว่าการเมืองมาลเมอ
บริเวณจตุรัส Stortorget ใกล้ศาลาว่าการเมือง
St. Peter's Church
ด้านหน้าโบสถ์ St. Peter
ซุ้มประตูทางเดินใต้ตัวตึกแห่งหนึ่ง
บริเวณ Lilla Torg จตุรัสที่มีตึกเก่าสมัยศตวรรษที่ 15
ปัจจุบันเป็นลานกลางแจ้งมีร้านกาแฟและร้านอาหารมากมาย
ตึกเก่าที่มีดีไซน์โดดเด่น
อาคารสีสันลวดลายแปลกตา
ประติมากรรมน่ารักบนถนน
ถ้าถามว่าเมืองนี้มีความคุ้มค่าน่าค้างแรมหรือไม่ ฉันไม่แน่ใจในคำตอบนัก แม้ว่าจะนิยมชมชอบและหลงรักเมืองเล็กมากกว่าเมืองใหญ่ก็ตาม เมืองนี้ดูเหมาะที่จะเป็นเมืองผ่านมากกว่า ใช้เวลาเดินเล่นสัก 3 ชั่วโมงหรือครึ่งวันก็น่าจะเพียงพอ อาจจะเพราะฉันได้เข้าชมสถานที่ต่างๆ ของเมืองมาลเมอน้อย เนื่องจากวันที่ไปเยือนเป็นวันจันทร์ซึ่งพิพิธภัณฑ์ปิด สถานที่หลายแห่งก็ปิดเวลา 4-5 โมงเย็น ค่าครองชีพค่อนข้างสูงแบบเมืองเล็กที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวทั่วไปของยุโรป
อย่างไรก็ตาม ฉันยังคิดว่าแต่ละเมืองมีเสน่ห์ในตัวของมันเอง อยู่ที่เราจะค้นพบหรือไม่ ครั้งนี้ฉันอาจจะมีเวลาที่เร่งรีบเกินไป จึงยังไม่สามารถค้นพบเสน่ห์ที่แท้จริงของเมืองมาลเมอได้ค่ะ ไว้ข้ามประเทศไปผจญภัยในเดนมาร์กกับฉันต่อนะคะ |