สแกนกาย..สแกนใจ...แล้วไปสแกนดิเนเวีย
สำหรับคนทำงานที่ไม่ค่อยมีเวลาว่างนัก ฉันก็คงเหมือนกับใครหลายๆ คนที่ให้โอกาสกับตัวเองในการพักผ่อนนานๆ สักครั้งในช่วงวันหยุดยาวหรือวันหยุดในเทศกาลสงกรานต์ประจำปี ...ทริปปีนี้ก็ยังคงเป็นการไปท่องเที่ยวยุโรป แต่เป้าหมายในการเที่ยวห่างออกจากประเทศที่ต้องการจะไปจริงๆ
ฉันยังไม่เคยมีความคิดที่จะไปเที่ยวในประเทศกลุ่มสแกนดิเนเวียมาก่อน แม้ว่าสวีเดนหนึ่งในกลุ่มประเทศสแกนดิเนเวียจะเป็นประเทศที่ฉันเคยมีเพื่อนต่างแดนที่เขียนจดหมายติดต่อกันมาตั้งแต่สมัยวัยรุ่น และมีคนรู้จักอยู่ที่สวีเดนก็ตาม แต่หลังจากที่จับพลัดจับพลูตัดสินใจโดยเอาตั๋วในวันที่สามารถเดินทางได้สะดวก และลาพักผ่อนให้กระทบกับงานน้อยที่สุด ฉันจึงต้องเปลี่ยนแผนเที่ยวจากประเทศเยอรมันมาเป็นเที่ยวสแกนดิเนเวียแทน ทั้งที่ตั๋วการบินไทยที่ได้ราคาก็แพงแสนแพงในช่วงนั้น ...สี่หมื่นหกค่ะ เห็นค่าตั๋วแล้วก็นึกอยากเปลี่ยนใจอยู่เหมือนกันนะคะ แต่พอมานึกย้อนหลัง มันก็คุ้มในแง่ของประสบการณ์การเดินทางครั้งนี้ที่มีอะไรให้จดจำอย่างมากมาย
ทริปนี้ใช้หนังสือ 4 เล่มกับข้อมูลในอินเตอร์เน็ต ทริปสแกนดิเนเวียครั้งนี้เป็นอะไรที่ค่อนข้างยุ่งวุ่นวายตั้งแต่แรก เริ่มต้นด้วยเรื่องของข้อมูลที่มีค่อนข้างน้อยทั้งในอินเตอร์เน็ตและหนังสือหนังหาตามแผงหนังสือ ฉันจึงทำได้แค่หาข้อมูลคร่าวๆ ในเวลาอันจำกัด ทริปแรกออสเตรีย-สาธารณรัฐเช็กใช้เวลาในการหาข้อมูลเริ่มต้นที่สามเดือน ทริปต่อมาสวิตเซอร์แลนด์-ฝรั่งเศสใช้เวลาสองเดือน มาทริปนี้ใช้เวลาเหลือแค่เดือนเดียว นี่ทริปหน้าอาจจะไปแบบไม่มีข้อมูลอะไรเลยก็ได้นะ เมื่อเตรียมข้อมูลเพียงพอแล้วก็รีบไปขอวีซ่าที่สถานทูต เห็นในเว็บบอร์ดท่องเที่ยวเขาบอกว่าสถานทูตสวีเดนออกวีซ่าได้ง่ายสุดในกลุ่ม พอไปยื่นจริงฉันคิดว่าค่อนข้างยุ่งค่ะ ปีก่อนๆ ฉันใช้เวลาในการยื่นขอวีซ่าไม่เกินครึ่งชั่วโมง แต่ที่สถานทูตสวีเดนใช้เวลานานถึงชั่วโมงครึ่ง ซึ่งน่าจะเป็นปัญหาในการบริหารจัดการของสถานทูตมากกว่าอย่างอื่น เพราะหลังจากทำการนัดกับ Call center เขาให้เวลานัดตอน 8 โมงเช้า ขอขยับเวลาสายหน่อยก็ไม่ได้ พอไปถึงสถานทูต ก็ต้องไปรับบัตรคิวใหม่ เพราะ Call center จะนัดเป็นช่วงเวลา 8 โมงเช้า 9 โมงเช้า 10 โมงเช้า คนที่นัด 10 โมงแต่ไปถึงก่อนก็เข้าคิวให้เจ้าหน้าที่ตรวจเอกสารก่อน ฉันเหลือบมองดูชื่อตัวเองก็เห็นเป็นคิวแรกของวัน แต่ตอนสถานทูตเปิดสู้แรงเบียดจากคนอื่นไม่ได้ ก็โน่นล่ะค่ะ.. ต้องไปต่อคิวคนที่ได้เวลานัด 9 โมงหรือ 10 โมง ...อืมม!! แล้วจะให้เวลานัด 8 โมงทำไมนะเนี่ย
ตอนรอสัมภาษณ์ก็เจอสาวสวยมาดมั่นคนหนึ่ง เธอบอกว่าหนูมาขอที่นี่ทุกปีแหละเพราะแฟนหนูอยู่ที่นั่น เขาสัมภาษณ์ยิ่งกว่าตอนหนูไปสมัครงานเสียอีก ฉันได้ฟังแล้วก็รู้สึกใจแป้วไปเหมือนกัน ขณะนั่งรอก็มองสำรวจห้องสัมภาษณ์ซึ่งมี 4 ห้องเล็กๆ เป็นห้องกระจก 3 ห้อง ด้านหลังของห้องก็คือสำนักงานของเจ้าหน้าที่ ห้องสุดท้ายเป็นห้องไม้ทึบไม่เห็นด้านใน นี่ถ้าถูกเข้าห้องทึบคงจะอึดอัดน่าดูเลยนะคะ ฉันถูกเรียกสัมภาษณ์เกือบ 9 โมงครึ่ง ต่อจากสาวสวยคนนั้นซึ่งเข้าไปนานเกือบ 20 นาทีแล้วก็ออกมาด้วยสีหน้าไม่ค่อยดีนัก เพราะเจ้าหน้าที่ไม่ได้ให้คำตอบยืนยันว่าจะได้วีซ่าแน่ๆ
...เจ้าหน้าที่หนุ่มซึ่งเป็นคนไทยเป็นผู้สัมภาษณ์ฉันนะคะ เริ่มต้นก็ขอถ่ายรูปก่อน (เป็นรูปที่ติดในวีซ่า) จากนั้นก็ต่อด้วยคำถามว่าโสดหรือแต่งงานแล้ว พอฉันบอกว่าโสด คำถามที่ถามกลับมาอีกก็เล่นเอางง คือ เขาถามว่ามีบุตรหรือเปล่า ฉันก็บอกว่าไม่มี เขาก็ถามอีกว่า ไม่เคยมีนะ ...เออ!!! อะไรกันเนี่ย ก็สถานะของคนขอวีซ่ามีอยู่แล้วในใบสมัครนี่นา ซึ่งมีให้เลือกทั้ง Single, Married, Separated, Divorced, Widow, other ความหมายมันก็บอกชัดเจนเวลาเราเลือก Single แอบนึกค่อนขอดอยู่ในใจว่า ...นี่เจ้าหน้าที่เขาจะไม่ดูข้อมูลที่ให้เรากรอกเลยหรืองัยกันนะ
ใบขอวีซ่าของที่นี่เขาให้กรอกข้อมูลละเอียดยิบเลยนะคะ ต้องกรอกชื่อพี่น้องทั้งหมดพร้อมวันเดือนปีเกิดของแต่ละคน แล้วต้องบอกด้วยว่าพี่น้องคนไหนแต่งงานหรือโสด ถ้าแต่งแล้วแต่งกับใคร ชื่ออะไร ลูกกี่คน ...นี่ยังไม่นับที่ฉันถูกเจ้าหน้าที่ลองภูมิด้วยคำถามเกี่ยวกับการเดินทางอื่นๆ อีกด้วย เช่น จะเดินทางจากเมือง Stockholm ไปเมือง Malmö ยังไง พอตอบว่าใช้บริการรถไฟ ก็ถูกถามกลับพร้อมกับส่ายหน้าว่า คุณรู้หรือเปล่าว่าระยะทางห่างเท่าไหร่ มันไกลมากนะ ฉันจึงบอกว่าชอบนั่งดูวิวทิวทัศน์ค่ะ แล้วสวีเดนก็มีรถไฟด่วน X2000 ใช้เวลาประมาณ 4-5 ชม.ไม่ใช่เหรอคะ เจ้าหน้าที่ก็เลยพยักหน้าให้ เลยถือว่าโชคดีไปที่ถูกเจ้าหน้าที่ไล่แล้วไม่จน ใช้เวลาสัมภาษณ์ไปแค่ 10 นาที เจ้าหน้าที่ก็นัดวันมารับวีซ่าในอีกสองอาทิตย์ให้หลัง ...ดังนั้น ถ้าหากใครจะหาโอกาสไปใช้บริการของที่นี่ เตรียมข้อมูลให้พร้อมทุกอย่างนะคะ
แล้ววันเดินทางก็มาถึง เวลาหนึ่งนาฬิกาของวันที่ 10 เมษายน หรือตีหนึ่งเศษของคืนวันที่ 9 ฉันเลือกที่นั่งริมหน้าต่างเหมือนเช่นเคย ที่นั่งด้านข้างเป็นคู่สามี-ภรรยาคนไทยที่ไปเที่ยวสแกนดิเนเวียเช่นเดียวกัน ต่างกันที่ไปกับทัวร์แห่งหนึ่ง 5 คืน 7 วัน ราคา 7 หมื่นเศษ เจ้าเศษนี่น่าจะเป็นเศษใกล้ 8 หมื่นกระมัง แต่ก็ถือว่าไม่แพงนะคะ เพราะจากการจองที่พักต่างๆ ในกลุ่มประเทศนี้อย่างคร่าวๆ ค่าที่พักแค่อาทิตย์เดียวราคาสูงเกือบเท่าสองอาทิตย์ที่ดิฉันเคยจ่ายในทริปก่อนๆ เห็นจะต้องขอแอบบ่นเล็กๆ กับราคาตั๋วของการบินไทยที่ค่อนข้างแพง เมื่อเทียบกับความสะดวกสบายและความบันเทิงต่างๆ ในที่นั่งชั้นประหยัดซึ่งได้รับจากสายการบินอื่นที่ราคาถูกกว่า ฉันยังติดใจบริการของสายการบินเอมิเรตที่เคยใช้บริการเมื่อคราวบินไปลงซูริคอยู่เลยค่ะ ทั้งในเรื่องของจอภาพทัชสกรีนในแต่ละที่นั่งซึ่งการบินไทยก็ไม่มี ...ชั้นประหยัดก็คือชั้นประหยัดจริงๆ สายการบินแขกกลับมีอาหารอร่อยและหลากหลายกว่า อย่างไรก็ตาม ในเรื่องของการบริการของพนักงานบนเครื่องนั้น ว่ากันตามจริงฉันยังไม่เคยได้รับบริการที่ไม่น่าพอใจเลยสักครั้งค่ะ
เที่ยวขาไปนี่ฉันได้หลับเต็มอิ่มกับเที่ยวบินตรง ใช้เวลาเดินทางประมาณ 10 ชั่วโมงเศษก็ถึงสนามบิน Arlanda, Stockholm เมืองหลวงของสวีเดนตอนประมาณ 7 โมงเช้า (ที่สแกนดิเนเวียในช่วงเดือนเมษายนเวลาจะช้ากว่าเมืองไทย 5 ชั่วโมง) และก็เหมือนๆ กับขาเข้าของทุกประเทศที่จะต้องผ่านการตรวจจาก ตม. ฉันไปเข้าแถวตามปกติ แต่สังเกตว่าแถวที่ยืนอยู่ช่างขยับช้าซะเหลือเกิน ท่าทางเจ้าหน้าที่จะเข้มงวด แล้วก็จริงอย่างคิดค่ะ พอถึงคิวก็ขลุกขลักนิดหน่อย เจ้าหน้าที่พอทราบว่าเป็นหญิงไทยเดินทางมาคนเดียวก็ซักยิบๆ ถามว่าใครเชิญมาพัก ฉันก็บอกว่าไม่มี มาเที่ยวเอง พักที่โรงแรม เจ้าหน้าที่ก็ขอดูตั๋วขากลับหน่อย ...ยุ่งตรงนี้ค่ะ เพราะฉันดันเอา e-ticket เก็บใส่ไว้ในกระเป๋าที่โหลดขึ้นเครื่อง ตอนขาออกจากกรุงเทพฯ ไม่ได้ใช้เพราะเช็คอินทางอินเตอร์เน็ตจากบ้านไปเรียบร้อย แต่ยังโชคดีที่เก็บไฟล์เกี่ยวกับทริปนี้ไว้ในมือถือด้วย เลยเปิดให้เจ้าหน้าที่เธอดู e-ticket พร้อมกันนั้น ฉันก็สำทับอีกครั้งว่าขากลับไปกลับที่นอร์เวย์ไม่ใช่ที่สวีเดน เธอก็เลยประทับตราให้ผ่านไปได้ สงสัยว่าจะรีบปล่อยออกเพราะมั่นใจว่าไม่หนีบหนุ่มสวีดิชกลับเมืองไทยด้วยกระมัง
ภายในรถไฟ Arlanda Express จากสนามบินก็จัดแจงซื้อตั๋วรถไฟ Arlanda Express เข้าเมืองในราคา 240 SEK (อัตราแลกเปลี่ยนประมาณ 5 บาท/1SEK) ไม่ยุ่งยากอะไรค่ะ ซื้อจากเครื่องขายบัตรอัตโนมัติสีเหลือง แล้วก็ลงลิฟท์ไปชั้นล่าง รถไฟจอดรอที่ชานชาลาอยู่แล้ว ใช้เวลาเดินทางประมาณ 20 นาทีเท่านั้น
เมื่อถึงสถานีรถไฟ Stockholm C หรือ Stockholm Central Station ก็จัดการซื้อ Stockholm Card แบบ 2 วัน/525SEK ไม่รู้ว่าจะคุ้มค่าหรือเปล่านะคะ ถ้าหากได้เข้าพิพิธภัณฑ์มากๆ อย่างที่ตั้งใจก็คงจะคุ้มอยู่หรอก จากนั้นก็มองหาทางเข้าเมโทรหรือรถไฟใต้ดินสายสีเขียว เพื่อจะเดินทางไปยังสถานี Skanskull ซึ่งฉันจองที่พักชื่อ Skanstulls Hostel ไว้ และก็เหมือนจะเป็นธรรมเนียมของฉันที่จะต้องแสดงความเปิ่นเป๋อเผลอเดินวนหลงทิศหลงทาง กว่าจะไปถึงโฮสเทลได้ก็เกือบเก้าโมงเช้า พนักงานเขาให้เข้าเช็คอินได้เลย หลังจากขอดูพาสปอร์ตแล้วก็อธิบายรายละเอียดห้องให้ฟังว่า ห้อง 13A อยู่ตรงไหน เลี้ยวซ้ายเลี้ยวขวายังไง ต้องเดินผ่านอะไรบ้าง แหม! เธออธิบายได้ชัดเจนดีจังค่ะ สภาพภายในห้องนอน มีล็อกเกอร์ส่วนตัวให้แต่ละเตียง (ด้านบนซ้ายเป็นภาพตัวอย่างจากในเว็บของโฮสเทล)
พอฉันไขกุญแจห้องเปิดเข้าไปก็ต้องตกใจและใจสั่นอย่างแรงค่ะ แฮ่ะๆ เพราะหนึ่งหนุ่มพุ่งพรวดจากเตียง A ของฉัน กระโดดขึ้นไปเตียง C ซึ่งเป็นเตียงสองชั้นที่อยู่อีกฟากหนึ่งของห้อง แล้วก็มีอีกสองหนุ่มที่นอนอยู่เตียง B และ D นอนมองมาที่ฉันตาแป๋ว ดูอายุทั้งสามหนุ่มก็น่าจะอายุไม่เกิน 25 วินาทีนั้นเองฉันแอบนึกในใจว่า "ไอ้หยา!! ....สองคืนที่โฮสเทลนี่จะรอดไหมเนี่ย!"
...บอกตรงๆ ว่าทำอะไรต่อไม่ถูก เลยวางกระเป๋าเดินทางพักไว้ข้างเตียงก่อน แล้วก็เผ่นออกจากห้องไปเข้าห้องน้ำทำใจ ย้อนกลับไปที่ห้องนอนอีกครั้ง คราวนี้ยืนคิดอยู่ไม่ถึงครึ่งนาทีก็ตัดสินใจเดินกลับไปที่เคาน์เตอร์ กระมิดกระเมี้ยนถามพนักงานต้อนรับว่า มีห้องอื่นอีกไหม พอจะช่วยเปลี่ยนห้องให้หน่อยได้มั้ย พนักงานก็ถามกลับมาว่า มีอะไรผิดปกติรึเปล่า ...แฮ่ะๆ ฉันเลยตอบไปตรงๆ ว่า มีผู้ชายนอนอยู่ในห้องสามคน ไม่ค่อยสะดวกใจเท่าไหร่ค่ะ เธอก็ทำท่าขมวดคิ้วหน่อยๆ แล้วบอกว่าห้องอื่นก็เหมือนกัน เพราะที่นี่เป็นห้องรวมไม่ได้แยกชายหญิง ที่จริง ฉันน่าจะเคาะกะโหลกตัวเองอยู่เหมือนกันค่ะว่า นึกยังไงถึงได้ตัดสินใจเลือกโฮสเทลนี้ อาจจะแค่ดูจากในเว็บไซต์ของโฮสเทล //www.skanstulls.se/en อย่างไรก็ตาม ฉันคงทำหน้าตาได้เลิ่กลั่ก เพราะสุดท้ายเจ้าหน้าที่ก็เปลี่ยนห้องให้ใหม่ เป็นห้องสี่เตียงเหมือนเดิม แต่ไม่มีหน้าต่าง ขนาดห้องเท่าเดิม คือประมาณ 2*3 เมตร แค่พอซุกหัวนอนได้ ห้องที่ได้ใหม่นี้น่าจะเป็นห้องที่คนพักเพิ่งเช็คเอ๊าท์ออก เพราะอีกสองเตียงยังไม่ได้ทำใหม่เลย
โล่งอกโล่งใจไปเปลาะนึงสำหรับวันแรกของทริปสแกนดิเนเวียนะคะ ขอพักให้หายตื่นเต้นและหายเหนื่อยก่อนนะคะ แล้วค่อยออกไปเที่ยวกัน
Free TextEditor
Create Date : 13 กุมภาพันธ์ 2554 |
Last Update : 22 กุมภาพันธ์ 2554 15:30:04 น. |
|
12 comments
|
Counter : 3784 Pageviews. |
|
|
ติดตามอ่านบล๊อก(ในอีกบล๊อก)ของคุณมีนาตั้งแต่ทริปออสเตรีย-เชคแล้วค่ะ
นับถือที่ฉายเดี่ยวตลอด เก่งดีจังค่ะ^^