หลังจากตั้งหลักในห้องพักของโฮสเทลได้แล้ว ฉันก็คว้าแผนที่และกล้อง เติมน้ำก๊อกใส่ขวดเปล่าที่เตรียมมาแล้วก็ออกไปเที่ยว อากาศข้างนอกหนาวเย็นมาก ถ้าดูจากอากาศที่เช็คมาล่วงหน้าจะเห็นว่าเดือนเมษายนอุณหภูมิยังค่อนข้างต่ำ วันแรกของการเยือน Stockholm อุณหภูมิอยู่ราวๆ 2 องศา เห็นว่าจะมีฝนด้วย ตอนนี้ฝนยังไม่มาเลยต้องเร่งฝีเท้าในการเที่ยวหน่อยล่ะ ข้อมูลพยากรณ์อากาศจาก www.timeanddate.com/weather
ฉันตั้งใจจะไปชม Kungliga Slottet (The Royal Palace) หรือพระราชวังเก่า แต่ดูจากเวลาแล้วคงเร็วเกินที่จะไปยืนรอ เพราะที่นี่เปิดในเวลา 12.00-15.00 น. อย่างไรก็ตาม ละแวกใกล้เคียงกันนั้นเป็นย่านเมืองเก่าหรือที่เรียกว่า Gamla Stan เป็นย่านที่เราสามารถเดินเล่นเพราะมีอะไรให้ดูเยอะค่ะ บริเวณจตุรัส Gamla Stan
ที่บริเวณนี้จะมี Nobel Museum อยู่ด้วย แต่รางวัลโนเบลไม่ได้แจกกันที่นี่นะคะ ที่นี่เป็นเพียงแค่พิพิธภัณฑ์เท่านั้น ส่วนการแจกรางวัลก็จะทำพิธีกันที่ Oslo City Hall ประเทศ Norway ในสาขาสันติภาพ ส่วนสาขาอื่นจะทำพิธีกันที่ Stockholm City Hall (Stockholm Stadshus) และงานเลี้ยงรับรองก็มักจะจัดที่ Stockholm Concert Hall ค่ะ Nobel Museum
storkyrkan (The Great Church) หรือ Saint Nicolaus Church อยู่เบื้องหน้า
ฉันเดินเล่นอยู่จนถึง 11.30 น. ก็เดินย้อนกลับไปที่บริเวณพระราชวังอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งจะมีพิธีเปลี่ยนเวรทหารรักษาพระองค์ตอนเที่ยงวัน ฉันไปยืนรอพร้อมๆ กับนักท่องเที่ยวคนอื่นๆ ที่เริ่มทยอยมาจับจองที่ยืน และแล้วก็เริ่มมีเม็ดฝนโปรยลงมา ยืนรออยู่พักหนึ่งก็รู้สึกว่าสู้ไม่ไหวแล้ว เพราะนอกจากอากาศจะหนาวเย็นมากสำหรับคนไทยอย่างเราๆ ยังมาเจอลมและฝนเข้าไปอีก ฉันถึงกับหนาวปากสั่นมือสั่นจนต้องควักถุงมือหนังออกมาสวมให้ไออุ่นกับฝ่ามือน้อยๆ แล้วก็วิ่งเข้าไปหลบฝนอยู่ตรงอาคารด้านที่มีหลังคาให้พอเป็นที่กำบังลมและฝนได้ ...ใต้อาคารนี่ก็ยังสามารถมองเห็นพิธีสวนสนามของทหารอยู่บ้าง อาศัยเลนส์จากกล้องซูมให้สูงสุดก็พอจะช่วยขยายภาพให้ดูได้ใกล้ขึ้นเหมือนกับยืนอยู่กลางสนามได้เหมือนกันนะ บริเวณพระราชวัง Kungliga Slottet ซึ่งกล้องเก็บภาพได้เพียงช็อตละ 1/4 เท่านั้น
ทหารยามในเครื่องแบบ ...ดูชุดและท่ายืนไม่ค่อยสมาร์ทสักเท่าไหร่
ถ่ายจากมุมที่ยืนหลบลมและฝน ยังเห็นนักท่องเที่ยวยืนรอดูการสวนสนามอยู่จำนวนมาก
พิธีสวนสนามของทหารรักษาพระองค์ (ด้านหลังพระราชวัง) เกือบบ่ายสองฉันจึงย้อนกลับเข้าไปในย่าน Gamla Stan อีกครั้งหนึ่งเพื่อที่จะหาอาหารกลางวันทาน เดินเข้าเดินออกอยู่หลายร้าน เนื่องจากร้านอาหารส่วนมากจะเป็นประเภท Cafe พอเปิดประตูเข้าไปก็มักจะเจอลูกค้านั่งอยู่เต็มร้าน เลยต้องเดินวนหาอยู่นานพอควร แล้วก็ไปจบที่คาเฟ่แห่งหนึ่ง ไม่มีอาหารหนักๆ ประเภทอาหารท้องถิ่นหรอกนะคะ ร้านประเภทนี้จะมีกาแฟ เบเกอรี่ และแซนด์วิชเป็นหลัก มื้อแรกของทริปจึงเป็นแซนด์วิชชีสแซลมอนรมควัน หุหุ.. มันเป็น Cold Sandwich ซะด้วยสิคะ ขนมปังนี่แข็งเชียว คนที่นี่เขาคงนิยมทานกันแบบนี้กระมัง โชคดีที่ยังได้ลาเต้ร้อนๆ หนึ่งแก้วใหญ่เป็นตัวช่วยไม่ให้ฝืดคอมากนัก ส่วนเรื่องราคาก็ไม่ต้องไปคิดมาก มื้อนี้จ่ายไปแค่ 100SEK หรือประมาณ 500 บาทเอง อาหารมื้อแรกของทริป Salmon Cheese Sandwich
ร้านค้าสองข้างทางตามถนนเล็กๆ ใน Gamla Stan
อิ่มแล้วก็เดินเล่นไปเรื่อยๆ นะคะ ผ่านไปเห็นหน้าร้านๆ หนึ่ง คนมุงดูกันเยอะ ..เดี๋ยวจะเสียชื่อไทยมุงหมด ฉันจึงเร่งฝีเท้าเข้าไปดูบ้าง ก็เจอเข้ากับนางแบบสามนางกำลังโพสต์ท่าให้ช่างภาพถ่ายรูปอยู่ เข้าใจว่าน่าจะเป็นการถ่ายรูปโฆษณาลงในนิตยสารนะ มองเพลินดีค่ะ นางแบบกำลังโพสต์ท่า
จาก Gamla Stan ฉันดูแผนที่เพื่อจะไปชมพิพิธภัณฑ์เรือไวกิ้งหรือ Vasa Museum ต่อ ทริปนี้ไม่มี GPS เป็นตัวช่วยเหมือนสองทริปที่แล้ว จึงหลงทิศหลงทางบ่อยมาก ...ที่จริงน่าจะเป็นเอกลักษณ์ประจำตัวอย่างนึงเลยนะคะ ก็ขนาดมีตัวช่วยยังเผลอหลงฟากหลงฝั่งอยู่บ่อยๆ ต้องยอมรับว่าฉันหรือคนไทยส่วนมากยังใช้แผนที่กันไม่เก่งนัก อาจจะเป็นเพราะถนนในยุโรปมันเหมือนซอยเล็กซอยน้อยซะมาก ถ้าจะให้ดีหรือมีตังค์มากพอ แผนที่แบบ 3D ในเมืองต่างๆ จะช่วยให้เที่ยวได้ง่ายขึ้นเยอะ เพียงแต่ราคามันสูงกว่าแผนที่ทั่วไปเท่านั้นเอง ข้อมูลการเดินทางของพิพิธภัณฑ์วาซาบอกไว้ว่า ให้นั่งรถเมล์สาย 47 หรือ 69 จาก Central station (Stockholm C)/Sergels Torg หรือรถเมล์สาย 44 จาก Karlaplan ฉันจึงใช้วิธีนั่งรถใต้ดินจาก Gamla Stan (สายสีแดง T13) ไปที่สถานี Karlaplan ก็แค่ 3 สถานีเท่านั้นแล้วก็ต่อรถสาย 44 ไปอีกแค่ 2 ป้ายรถเมล์ นี่ถ้าเดินก็คงจะใช้เวลาประมาณ 10 นาทีเท่านั้น
ถึงแล้วค่ะ ....อาคารภายนอกของ Vasa Museum มีลักษณะเหมือนเรือคว่ำ Vasa เป็นเรือที่ถูกกู้ขึ้นมาในศตวรรษที่ 17 ตกแต่งประดับประดาด้วยรูปแกะสลักนับร้อยชิ้น โดยที่เรือลำนี้เป็นเรือรบหลวงลำใหญ่ที่สุด ขณะที่จมลงสู่ใต้ท้องทะเลเป็นเวลานานถึง 333 ปี ก่อนที่จะถูกกู้ขึ้นสู่ผิวน้ำอีกครั้ง ...Vasa ถูกสร้างตามคำสั่งของกษัตริย์สวีเดนนาม Gustav II Adolf ใช้เวลาในการก่อสร้างประมาณสองปี ใช้คนงานถึง 400 คน โดยมีเสากระโดงเรือสามเสา สามารถขึงใบเรือได้ 10 ใบ วัดจากยอดเสากระโดงเรือถึงกระดูกงูได้ 52 เมตร และจากหัวเรือถึงท้ายเรือได้ 69 เมตร หนัก 1,200 ตัน เมื่อสร้างเสร็จ เรือลำนี้จึงเป็นเรือที่ทรงอานุภาพที่สุดเท่าที่เคยสร้างมา ความอลังการของเรือไวกิ้ง
เรือ Vasa ถือเป็นทรัพย์สมบัติทางศิลปะที่โดดเด่นล้ำค่ามาก และก็เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญที่สุดแห่งหนึ่งของสวีเดนหรือของในโลกเลยก็ว่าได้ ... กระทั่งเคยมีคำกล่าวไว้ว่า หากไปเที่ยวเมืองสตอกโฮล์มเพียงเพื่อชมเรือวาซาเพียงอย่างเดียว ก็ถือว่าคุ้มค่ามากแล้ว
ฉันคิดว่าคนที่กล่าวไว้ไม่ได้พูดเวอร์เกินไปเลย เพราะในขณะที่เดินชม ฉันเกิดอาการแบบที่เรียกว่าขนลุกซู่อยู่หลายรอบด้วยความอลังการของเรือวาซาลำนี้ รับรองว่าไม่ใช่เป็นเพราะอากาศหนาวเย็นหรอก เนื่องจากภายในอาคารมีเครื่องทำความร้อนให้ความอบอุ่นแก่ร่างกายอย่างดี ดังนั้น ภาพที่ฉันนำมาลงจึงไม่เท่ากับเศษเสี้ยวของที่ได้มีโอกาสไปเดินดูรอบๆ เรือลำนี้เลยค่ะ คนสมัยก่อนเขาแกะสลักกันได้ขนาดนี้เลยหรือ
สภาพที่ยังดีมากเมื่อเทียบกับการจมอยู่ใต้ทะเลถึง 333 ปี
วาซาจำลอง
หลังจากอิ่มตากับความยิ่งใหญ่ของ Vasa Museum แล้วก็เดินต่อมาที่ Nordiska Museet หรือ Nordic Museum ซึ่งอยู่ใกล้ๆ กัน พอเข้าไปถึงก็ยื่นบัตร Stockholm Card ให้กับเจ้าหน้าที่เพื่อเข้าชมฟรี แต่เจ้าหน้าที่บอกว่าจะปิดเวลา 17.00 น. ฉันดูเวลาในขณะนั้นปรากฏว่าเป็นเวลา 16.30 น. ดังนั้น จะมีเวลาเดินแค่ครึ่งชั่วโมงเอง ซึ่งไม่พอแน่ๆ การเข้าชมพิพิธภัณฑ์แห่งนี้น่าจะใช้เวลาไม่ต่ำกว่า 2 ชม. พอเจ้าหน้าที่ถามย้ำอีกครั้งว่าแน่ใจที่จะชมรึเปล่า เพราะบัตร Stockholm Card สามารถใช้เข้าชมได้เพียงครั้งเดียวเท่านั้น ฉันจึงตอบปฏิเสธ และบอกเจ้าหน้าที่ว่าพรุ่งนี้ค่อยกลับมาใหม่ดีกว่า ป้ายขนาดใหญ่ของพิพิธภัณฑ์ Nordiska
วันแรกยังเที่ยวไม่ค่อยได้มากเท่าไหร่นะคะ สาเหตุหลักมาจากอากาศที่หนาวเหน็บนี่แหละ เดินๆ อยู่ก็พาลจะขาแข็งก้าวไม่ออกเอาดื้อๆ ...สุดท้ายก็เลยคิดว่ากลับไปหาของอร่อยๆ ชิมดีกว่า ถ้าสังเกตจากทริปก่อน จะเห็นว่าฉันเป็นคน enjoy eating ไปประเทศไหนก็จะสรรหาอาหารท้องถิ่นชิมรสชาติดู แต่หลังจากเดินไปเดินมาแวะดูร้านอาหารต่างๆ ไม่รู้เหมือนกันว่าอะไรเป็นอาหารประจำชาติ เหมือนกับที่เคยถามคนสวีเดนที่มาเมืองไทย เขาให้คำตอบว่า ที่สตอกโฮล์มมีร้านอาหารเยอะแยะมากมาย แต่จะไม่รู้ว่าอาหารประจำชาติคืออะไร เพราะไปไหนก็จะเจอแต่พิซซ่าและอาหารไทยเยอะแยะไปหมด
มาเจอเข้ากับตัวเอง ฉันก็เลยค่อนข้างเห็นด้วย เพราะสุดท้ายต้องอาศัยร้านสะดวกซื้อ ได้พาสต้าสลัดทูน่ามาหนึ่งกล่องใหญ่ พร้อมกับแอ๊ปเปิ้ลอีก 2 ลูก หมดไป 60SEK ก็อิ่มไปอีกหนึ่งมื้อและผ่านไปอีกหนึ่งวันในทริปนี้นะคะ |
รูปเยอะ จุใจ เหมือนได้เดินตามไปเที่ยวด้วยเลยค่ะ
Vasa ในสมัยก่อนคงอลังการฯ จริงๆ ค่ะ