"ทฤษฎีมีอยู่ว่าคนที่เหมือนกันจะโคจรมาพบกัน" - ควันใต้หมวก
Group Blog
 
 
กรกฏาคม 2551
 12345
6789101112
13141516171819
20212223242526
2728293031 
 
10 กรกฏาคม 2551
 
All Blogs
 
ความเรียบง่ายบนความยากของชีวิต



หลายครั้งที่ผมรู้สึกว่าชีวิตเป็นเรื่องง่าย
ตั้งแต่ผมคิดว่าตัวเองเป็น คนง่ายๆ –เกิดมาอย่างง่ายๆ-กินอย่างง่ายๆ-นอนอย่างง่ายๆ (รวมถึงบางทีอาจจะตายอย่างง่ายๆ (หมายถึงไม่ห่วงหล่อว่าสภาพหลังการหยุดหายใจจะเป็นยังไง)) จึงคิดอย่างง่ายๆว่าจะทำอะไรก็ได้บนโลกง่ายๆใบนี้ หากมันไม่เดือดร้อนถึงผู้คน (ที่น่ารักและน่าคบทั้งหลาย)
ย้อนกลับไปในอดีต (สมัยที่ยังหนุ่มและหน้าตาดีกว่านี้)
ในวัยห้าขวบโดยประมาณ หลังจากที่โชคชะตาเขียนบทให้ผมต้องพลัดพรากกับเด็กหญิงผมเปียคนหนึ่งในเย็นวันสุดท้ายที่เราได้นั่งชิงช้าด้วยกัน เป็นครั้งแรกที่ผมบอกกับตัวเองว่า ในอนาคตจงมีชีวิตต่อไปอย่างเรียบง่าย ให้อารมณ์มาก่อนเหตุผล (พูดให้น่าหมั่นไส้ว่าใช้หัวใจมากกว่าสมอง)
นั่นคงเป็นเหตุผลที่ผมกลายเป็นคนขวางโลกสติไม่ค่อยสมประกอบมาจนถึงทุกวันนี้
คิดได้ดังนั้น ผมจึงพยายามเริ่มทำตัวอย่างง่ายๆ - หายใจอย่างง่ายๆ-หัวเราะอย่างง่ายๆ-ร้องไห้อย่างง่ายๆ-มีการศึกษาอย่างง่ายๆ เรียน (เมื่ออยากรู้) ก็ได้ หรือไม่เรียน (เมื่อไม่อยากรู้) ก็ได้ –ไม่เคยยึดติดกับมาตรฐานที่สังคมยัดเยียดอย่างมักง่าย
และมันก็ไม่ยากเท่าไหร่ที่จะทำแบบนั้น

มีเพียงบางครั้งเท่านั้นที่ผมรู้สึกว่าชีวิตเป็นเรื่องยาก
เพราะการมีชีวิตอยู่ในยุคนี้ทำให้ความเป็นตัวเองหลงเหลืออยู่เพียงครึ่งเดียว ส่วนอีกครึ่งคือรสนิยมสาธารณะที่ถูกปลูกฝังให้เชื่อว่าเป็นความต้องการจริงๆ
ทำให้ความฝันของหลายคนเปื้อนฝุ่นอยู่ในลิ้นชัก จนนานไปก็ถูกลืม...

เย็นวันศุกร์วันหนึ่ง, แถวสยาม, เมื่อหลายอาทิตย์ก่อน ผมฝ่าสายฝนกระหน่ำและเบียดกับผู้คนล้นทะลักข้ามไปยังสกาล่า เพื่อภาพยนตร์เรื่องหนึ่งที่เข้าฉายเป็นวันแรก
หนังเรื่อง “Tokyo Tower - Mom and Me, and Sometimes Dad” มีคำโปรยบนโปสเตอร์ที่ตั้งคำถามว่า
“เคยถามตัวเองไหมว่า ระหว่างความฝันกับคนที่เรารัก อะไรมีค่ามากกว่ากัน ?”
ผมยืนนิ่ง (ตัวเปียก) หน้าโปสเตอร์แผ่นยักษ์ที่ไม่มีคำตอบ ขมวดคิ้ว และตั้งคำถามต่อไปอีกว่า
“หากขาดสิ่งใดสิ่งหนึ่งไป ชีวิตจะยังมีความสุขได้อีกหรือเปล่า? ”
เมื่อดูหนังจบ (ตัวหายเปียกแล้วแต่ตาเปียกแทน)
รู้สึกว่าหนังทำหน้าที่ของคนรักแม่ได้อย่างสมบูรณ์แบบ รวมถึงทำให้ผมรู้สึกว่า ‘ชีวิตเป็นสิ่งมหัศจรรย์ที่เรียบง่าย สวยงามและทรงพลัง’ – เช่นเดียวกับความรักของแม่
โดยไม่จำเป็นต้องนำเสนอฉากชวนหัวในครอบครัว มองข้ามปัญหาน่าเบื่อหน่ายชวนกลัดกลุ้มทั้งหลาย และเลือกถ่ายทอดมันออกมาในแง่มุมที่ดูงดงาม เป็นธรรมชาติ รวมถึงไม่ต้องพึ่งการแสดงที่เกินจริงให้คนดูรำคาญในความซ้ำซากและบ่นว่า “เนื้อเรื่องแบบนี้ฉันเคยดูมาแล้วใน Always นี่”
ภาพบางภาพก็สื่อความหมายได้ลงตัวและสมบูรณ์แบบโดยไม่ต้องมีคำพูดใดๆ (เช่นภาพแม่จูงมือลูกเดินบนรางรถไฟ และลูกจูงมือแม่เดินข้ามถนน ดูแล้วก็พยักหน้าตามและคิดว่านั่นคือ ‘ความสุข’ ที่เรียบง่าย)
เมื่อนึกถึงคำโปรยบนโปสเตอร์อีกครั้ง- ผมยิ้ม – นึกอิจฉาหนุ่มผู้โชคดีอย่างพระเอกในเรื่อง ใครก็ตามที่มีทั้งสองอย่างเพียบพร้อมคงจะมีความสงบสุขในชีวิตอย่างแท้จริง
และจะโชคดีที่สุดถ้าทั้งสองอย่างเป็นสิ่งเดียวกัน

อย่างที่เห็น ผมเป็นโรคซาบซึ้งกับความเศร้าง่ายเกินความจำเป็น (แต่ วิธีขจัดความเศร้าก็ไม่ยากนัก แค่หาหมอนนุ่มๆมาหนึ่งใบ และชก ชก ชก จนกว่าคุณจะสบายใจ-ยืมไปใช้ได้ไม่ว่ากัน เทคนิคนี้ยังประยุกต์ใช้ได้อีกเวลาไปโกรธใครมาแต่ไม่อยากชกตัวเอง)
แม้จะมีอารมณ์ขันอยู่ลึกๆ และชอบสรรหาสิ่งฮาๆมาใส่สมองเป็นประจำ แต่ผมกลับพบว่าการมีความสุขเป็นเรื่องยากเสมอ จึงพยายามกรอกหูให้ตัวเองเชื่อว่า การมีความเศร้าก็เป็นความสุขอย่างหนึ่ง มันอาจจะสุขเพราะสวยงาม – หรือเพราะความเศร้าทำให้รู้สึกว่าไม่มีอะไรจะต้องสูญเสียอีกแล้วมั้ง – เพื่อนของผมคนหนึ่งกล่าวไว้ (คนเดียวกันกับตอนที่แล้ว)
แม้จะทำตัวเป็นชายหนุ่มที่หายใจเข้าออกเป็นเรื่องรักๆใคร่ๆ ดูหนังต้องหนังรัก อ่านหนังสือต้องนิยายรัก ฟังเพลงต้องเพลงรัก เขียนบทกวีต้องกวีรัก
แต่อันที่จริงก็ยังไม่รู้ว่า ความรักและความสุขคือสิ่งเดียวกันใช่ไหม? – ผมไม่แน่ใจ (จริงๆนะ) แต่ไม่อยากให้คำตอบคือใช่ (ตามประสาคนที่ไม่ค่อยจะมีรักแท้บ่อยๆอย่างมนุษย์น่าอิจฉารอบกาย และนานๆที เมื่อมันเกิดขึ้นโดยความไม่ได้ตั้งใจ เรื่องราวก็มักจบลงแบบไม่มี ever ever after ปิดในบรรทัดสุดท้าย กล่าวคือกลายเป็นเรื่องสลดหดหู่ ตลกร้าย ที่มาในรูปแบบของบทกวีแทบทุกครั้ง (มิน่าผมถึงดูหนังของทิม เบอร์ตันแล้วอินสุดๆ ไม่ตกใจกับฉากโหดๆทั้งหลาย แถมยังยิ้มออกโดยไม่รู้สึกรู้สาอะไร)

หรือเป็นไปได้ว่าเราจะไม่มีความสุขหากไม่มีความรัก
เพราะการส่งยิ้มในวันแรกพบเป็นเรื่องง่าย แต่การฝืนยิ้มในวันสุดท้ายเป็นเรื่องยาก
เพราะการตกหลุมรักเป็นเรื่องง่าย แต่การยืดวันหมดอายุของความรักเป็นเรื่องยาก และการใช้ชีวิตคู่นั้นเป็นเรื่องยากกว่า
เพราะการได้พบใครบางคนเป็นเรื่องง่าย แต่การได้พบใครคนหนึ่งเป็นเรื่องยาก และการจะลืมใครคนหนึ่งนั้นเป็นเรื่องยากกว่า หรืออาจจะเป็นไปไม่ได้...

เราจะสามารถมีความสุขโดยไม่มีความรักได้ไหม? – ผมไม่แน่ใจ แต่คิดว่าคงจะแย่กว่า หากมีความรักโดยไม่มีความสุข
ความรักและความสุขมีความคล้ายกันตรงที่มันไม่ง่ายเลย

บางคนอาจเคยคิดว่าชีวิตเป็นเรื่องง่าย
จนวันหนึ่ง เมื่อมีใครคนหนึ่งปรากฏตัวขึ้น และเดินเข้ามาในห้องของคุณโดยไม่ได้เคาะประตูแล้ว โลกหลังจากนั้นของคุณจะไม่ใช่ใบเดิม ห้องเดิมก็ดูเปลี่ยนไป ท้องฟ้าก็ดูเปลี่ยนไป ใบหน้าเดิมในกระจกก็ดูเปลี่ยนไป ไม่มีสิ่งใดเหมือนเดิม แม้ใครคนหนึ่งจะไม่อยู่ข้างคุณอีกแล้วก็ตาม
ในบางครั้งคุณอาจจะยิ้มอย่างที่ไม่เคยยิ้ม
ในบางครั้งคุณอาจจะรู้สึกอย่างที่ไม่เคยรู้สึก
ในบางครั้งคุณอาจจะร้องไห้อย่างที่ไม่เคยร้อง และพบว่ามันไม่ง่ายอีกต่อไป ในการที่จะทำตัวเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น และใช้ชีวิตอยู่เพียงคนเดียวบนโลกใบนี้
คุณอาจจะกลับมาตั้งคำถามเดิมๆกับตัวเองและใครบางคน
“ระหว่างความฝันกับคนที่เรารัก อะไรมีค่ามากกว่ากัน ?” หรือ “หากขาดสิ่งใดสิ่งหนึ่งไป ชีวิตจะยังมีความสุขได้อีกหรือเปล่า?”
และพบคำตอบว่าการมีชีวิตอยู่บนดาวอื่นอาจจะเป็นเรื่องง่ายกว่า.




Create Date : 10 กรกฎาคม 2551
Last Update : 18 กรกฎาคม 2551 0:45:00 น. 2 comments
Counter : 509 Pageviews.

 
อืม


โดย: อีฟ IP: 161.200.255.162 วันที่: 13 กรกฎาคม 2551 เวลา:2:32:45 น.  

 
บางครั้งคนนึงเข้ามาในตอนที่เราไม่ได้ดีอะไร
แต่พอเค้าออกไปจากชีวิต เราก็รู้วิธีที่จะทำตัวให้ดี
ควรจะขอบคุณหรือแค้นใจดี


โดย: no no no IP: 125.24.139.12 วันที่: 4 กรกฎาคม 2552 เวลา:22:17:35 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

gyunwin
Location :
กรุงเทพ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




...ทฤษฎีมีอยู่ว่า คนที่เหมือนกันจะโคจรมาพบกัน...คุณเชื่อไหม?
Friends' blogs
[Add gyunwin's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.