--but life goes on, and this old world will keep on turning--

เธอไม่ใช่แสงดาว(3)

-3-

งานเสร็จแล้ว รตาถอนหายใจอย่างปลอดโปร่งเมื่อปิดเครื่องคอมพิวเตอร์ลง หากก็เหมือนกับทุกครั้ง ที่หลังจากทำงานเสร็จ เธอจะมีอาการปวดหัวรุมๆ เหมือนจะเป็นไข้ จนต้องกินยาแก้ไข้แล้วดื่มน้ำตาม ก่อนจะมานั่งหลับตานิ่งๆ อยู่บนโซฟากลางห้อง บอกตัวเองว่าต่อไปนี้จะทำงานอย่างมีระบบ จะได้ไม่ต้องหามรุ่งหามค่ำให้ร่างกายทรุดโทรมอย่างนี้อีก เพราะใกล้ถึงกำหนดส่งทีไร รตาจะปวดหัวตัวร้อน ด้วยความอ่อนเพลียแบบนี้ทุกทีไป เพียงแต่คราวนี้ออกจะหนักอยู่สักหน่อย

คืนนี้เงียบเสียเหลือเกิน ไม่มีเสียงโทรศัพท์ทั้งจากธเนศและภาวัต และเธอเองก็ตอบตัวเองไม่ได้ว่า จะเป็นสุขเมื่อได้รับโทรศัพท์จากใครมากกว่ากัน รู้แต่ว่าตัวเองเหงา และความเงียบของห้องก็กำลังจะทำให้เธอร้องไห้ รตาควานหารีโมทโทรทัศน์ ก่อนจะกดเปิดอย่างเหม่อๆ ไม่ได้สนใจจะดูจริงจัง เพียงอยากได้เสียงเป็นเพื่อนเสียมากกว่า หากเปิดมาก็เจอกับละครเรื่องใหม่ของธเนศ ซึ่งแม้เพิ่งออนแอร์ได้เพียงสองอาทิตย์ แต่เรตติ้งก็กระฉูดอย่างไม่มีคู่แข่ง

น่าแปลก..วินาทีนั้นเธอกลับนึกถึงภาวัต ที่เคยมานั่งๆ นอนๆ ดูละครหลังข่าวเป็นเพื่อนเธออยู่จนดึกดื่น พร้อมกับวิพากษ์วิจารณ์ละครชนิดที่ผู้จัดมาได้ยินคงเป็นลม จนเธออยากบอกให้ไปกำกับเองเสียดีไหม

โดยเฉพาะละครที่ธเนศเล่น ที่รตาใจจดใจจ่อคอยชมเสียเหลือเกินนั่นแหละ เขาจะนั่งลงดูอย่างสนใจ แล้วลงมือติ ติ ติ และติ ติทุกอย่างตั้งแต่กระดุมเสื้อนางเอกไปจนถึงถุงเท้าพระเอก ด้วยถ้อยคำประเภท

"อี๊ หน้าตี๋แล้วยังใส่ถุงเท้าสีเทา ไม่ได้เข้ากันเล้ย สงสัยจริงว่าใครเป็นคนจัดเสื้อผ้าให้นายคนนี้"

เธอต่างหากที่สงสัย ว่าหน้าตี๋แล้วมันเกี่ยวกับถุงเท้าสีเทาตรงไหนกันนะ?

รตาหัวเราะให้กับความทรงจำนั้น ก่อนจะยิ้มออกมาอย่างเหงาๆ ในค่ำคืนที่อ่อนล้า อยากคุยกับใครสักคน น่าแปลกที่คนที่เธอนึกถึงกลับเป็นภาวัต ไม่ใช่ธเนศ ที่สองสามวันมานี้แวะเวียนมาหาเธออยู่ทุกเย็น หากอยู่ได้ไม่นานก็ลากลับไปเพราะเห็นเธอวุ่นอยู่กับงาน

รตาโผเผไปนอนบนเตียง เมื่อรู้สึกว่าความปวดในศีรษะดูเหมือนจะทวีขึ้น แต่ก็แข็งใจหยิบโทรศัพท์มากดเบอร์ที่คุ้นเคย วูบหนึ่งที่คิดละอายใจ นี่เธอเป็นคนรักประเภทไหนกัน ที่คอยแต่จะร่ำร้องหาเขา ให้คอยปลอบโยนในวันที่อ่อนแอ หากในวันที่เขาเป็นทุกข์บ้าง เธอกลับออกไปดินเนอร์กับใครก็ไม่รู้หน้าตาเฉย

ใช่ ! ใครก็ไม่รู้ น่าแปลกที่ในความเหงาจับใจ ธเนศกลายเป็น "ใครก็ไม่รู้" มิใช่ "ดาว" ดวงเดิมที่เธอเฝ้ามองมาแสนนาน ยามอยู่ใกล้เขา มีแต่ความรื่นเริง สนุกสนานก็จริง แต่ดวงตาพราวระยับคู่นั้นก็ไม่เหมือนกับดวงตาอีกคู่ ที่ติดอยู่ในความคิดคำนึงของเธอเสมอ ดวงตาที่อาจจะไม่มีแววหวาน กระจ่างใสราวกับแสงดาวอย่างธเนศ แต่ก็มีความอบอุ่น อ่อนโยน พร้อมจะปกป้องและคุ้มครอง เป็นแววตาที่ไม่ว่ารตาจะกังวล เป็นทุกข์กับเรื่องใด เพียงดวงตาอบอุ่นคู่นั้นทอดมอง ความหนาวเหน็บหรืออ่อนล้าเพียงใด ก็มลายหายไปได้ในทันที

และวันนี้เธอคิดถึงดวงตาคู่นั้นเหลือเกิน รตาบอกตัวเองอย่างอ่อนระโหยเมื่อซุกตัวลงกับผ้าห่มผืนหนา หนาวจนเริ่มสั่นไปทั้งตัว และเมื่อสัญญาณโทรศัพท์บอกว่าไม่มีคนรับ น้ำอุ่นๆ ก็หยดรินจากปลายตา หรือเขาจะโกรธ ภาวัตอาจจะได้เห็นหนังสือพิมพ์ฉบับนั้นแล้ว ฉบับที่ธเนศยื่นให้เธออ่านอย่างหัวเสียเมื่อตอนเย็น บอกว่าจะเอาเรื่องนักข่าวคนนั้นให้ได้ เพราะทำให้ทั้งเขาและเธอเสียชื่อเสียง

รตาอยากจะปฏิเสธ อยากจะบอกว่าเธอไม่คิดว่ามันเป็นการเสียชื่อเสียง หากได้ลงหนังสือพิมพ์คู่กับใครสักคนที่เธอรักและชื่นชม เธออาจจะคิดว่ามันมีผลกระทบกับตัวเธอก็จริง ในเมื่อเธอกำลังจะหมั้น แต่เมื่อภาพที่ออกมาคือการนั่งกินอาหารกันธรรมดา โดยมิได้มีกิริยา"หวานหยด" อย่างที่บรรยายไว้ และเธอคิดว่าคนอ่านอีกหลายล้านคนทั่วประเทศก็คงคิดเช่นเดียวกับเธอ คือไม่คิดว่าจะเป็นการเสียชื่อเสียงจนต้องฟ้องร้องกัน หรือสบถหยาบๆ คายๆ อย่างที่ธเนศทำอยู่ในตอนนี้

หากแล้ววินาทีนั้น เธอก็ประจักษ์ ธเนศควรจะรู้สึกเฉกเดียวกัน หรือพูดให้ถูก เขาควรจะดีใจด้วยซ้ำ ถ้าหากว่าเธอเป็นคนที่เขา "รักและชื่นชม" อย่างที่เธอรู้สึกกับเขา

แต่นี่เขาหัวเสีย เห็นได้ชัดกว่าโกรธ เมื่อถูกรุกล้ำความเป็นส่วนตัว อย่างที่เขาบอกว่าให้อภัยไม่ได้ เธอควรจะเข้าใจซินะ ว่าเขาเป็นดาราดัง ย่อมไม่อยากเสียแฟนละครเพราะเรื่องแบบนี้ แต่ก็นั่นแหละ รตาไม่คิดว่าตัวเองจะมีความสุข หากจะต้องเป็น"แฟน"ของเขา แต่ต้องหลบๆ ซ่อนๆ ให้ใครรู้ไม่ได้

นาทีนั้นเองที่เธอบอกตัวเองอย่างกระจ่างใจ "ดาว" มีไว้สำหรับมองและชื่นชมอยู่ไกลๆ มิใช่เอื้อมมือไขว่คว้า และยิ่งไม่ใช่สำหรับครอบครอง

วัต วัตจ๋า รับโทรศัพท์เสียที ตาแค่อยากจะบอกกับวัต บอกว่าตาไม่ได้รัก"ดาว"ดวงนั้น ตารักวัต รักแสงเทียนอบอุ่นในดวงตาวัต มิใช่แสงดาวสุกใสในดวงตาใครอีกคน

คนคิดวกวนหลับไปเพราะพิษไข้ ก่อนจะงัวเงียตื่นขึ้นอีกครั้ง เมื่อโทรศัพท์มือถือที่เธอวางไว้ข้างหมอนส่งเสียงดัง สะท้อนก้องอยู่ในความเงียบของค่ำคืน รตากดรับโดยไม่ได้มองด้วยซ้ำว่าเป็นใคร ก่อนจะปล่อยโทรศัพท์หลุดจากมือในนาทีต่อมา

รตาคิดว่าเธอตะโกนก้อง หากเสียงที่รอดผ่านลำคอราวกับกระซิบ แผ่วระโหย
"วัต.. วัตกินยาตาย.. วัตน่ะหรอกินยาตาย ไม่จริง.."

-----------------------------------------------------------------


วัต.. โอ.. วัต.. ตาขอโทษ รตาพร่ำบอกตัวเอง เมื่อขับรถอย่างเลื่อนลอยไปตามถนนสายหลักที่เงียบเหงา เนื่องจากเป็นเวลาล่วงเข้าสองนาฬิกาของวันใหม่ไปแล้ว ดวงตาพร่าพราย เพราะหยดน้ำอุ่นๆ ที่ยังรินไหลไม่หยุด ศีรษะปวดร้าวราวกับจะแตกออกเป็นเสี่ยง หากเธอก็ฝืนทรงตัวให้ขับรถอยู่ได้ บอกตัวเองซ้ำๆ ว่าเธอต้องไปให้ทัน มันจะต้องไม่สายเกินไป

เสียงบีบแตรดังลั่นจากรถที่เธอตัดหน้า ปลุกให้เธอตื่นจากภวังค์ความคิด ก่อนจะเหยียบเบรกเต็มแรง เพิ่งรู้ตัวว่าฝ่าไฟแดง โชคดีที่รถในถนนมีไม่มากนัก คนขับเปิดกระจกออกมาตะโกนโหวกเหวกอีกสองสามคำอย่างฉุนเฉียว รตาได้แต่พึมพำขอโทษ ก่อนจะเตรียมออกรถเมื่อสัญญาณไฟเปลี่ยนเป็นสีเขียว

หากเมื่อเหลือบไปเห็นตุ๊กตาหน้ารถ ที่คงกระเด็นตกลงมาอยู่บนเบาะเมื่อเธอเบรก รตาก็ปล่อยโฮออกมา ก่อนจะเบนรถเข้าจอดชิดริมทางเท้า ซบหน้าลงร้องไห้กับพวงมาลัยรถอย่างควบคุมตัวเองไม่ได้อีกต่อไป

เธอเปิดไฟในรถ ค่อยๆ หยิบตุ๊กตาตัวเล็กนั้นขึ้นวางไว้บนฝ่ามือ เจ้าตุ๊กตาสนูปีสองตัว อยู่ในชุดแต่งงานกระจุ๋มกระจิ๋มน่าเอ็นดู ตัวเจ้าสาวใส่กระโปรงสีชมพูพองฟู ส่วนเจ้าบ่าวสวมทักซิโด ติดหูกระต่ายท่าทางโก้เก๋ ภาวัตซื้อให้เธอในวันที่เขาขอเธอหมั้น บอกอย่างจริงจังว่าในวันแต่งงาน เขาจะแต่งหล่อไม่ให้แพ้เจ้าตัวนี้

วัตจ๋า ตาขอโทษ รตาใช้มือปาดหยดน้ำออกจากปลายตา เพื่อจะได้เห็นเจ้าตัวเล็กสองตัวที่เธอวางไว้ในฝ่ามืออีกข้างได้ชัดขึ้น นึกถึงดวงหน้าเข้ม นัยน์ตาเป็นประกายลึกซึ้งของคนให้

ประกายตานั้นสร้างความอบอุ่น มั่นใจให้เธอเสมอมา สองปีที่แล้ว เมื่อบริษัทโฆษณาที่เธอทำงานอยู่ปิดตัวลง รตาเคว้งคว้างอยู่นาน กว่าจะลงตัวที่การหาหนังสือมาแปลส่งสำนักพิมพ์ ระยะนั้นเธอทดท้อ หมดกำลังใจไปเสียทุกอย่าง ภาวัตอดทนกับเธอมากมาย เขาใช้ความพยายามทั้งหมดที่มี เพื่อพาเธอออกไปตระเวนหางาน ไม่ปล่อยให้จมอยู่กับห้องแคบๆ และความรู้สึกตัดพ้อโชคชะตา ต่อว่าสวรรค์ สวรรค์ที่เพิ่งจะพรากดวงวิญญาณของผู้เป็นมารดาเธอจากไปได้ไม่ถึงปีแท้ๆ ก็ตามกลั่นแกล้งโดยการเอางานอันเป็นที่รักไปจากเธออีก เรื่องราวที่กระทบจิตใจนั้นหนักหนาเกินกว่าเธอจะยืนหยัดอยู่ได้

ภาวัตแวะมาหาเธอทุกเย็น บางวันเขาก็หยุดงานแล้วมานั่งคุมเธอเอาดื้อๆ เมื่อรู้ทันว่าเธอคงจะเอาแต่นั่งเหม่อ ไม่กินไม่นอน ไม่ยินดียินร้ายกับทุกสิ่งรอบตัว มึนตึงและอาละวาดใส่เขา เมื่อเขาบังคับให้เธอแต่งตัวออกไปเจอผู้คนเสียบ้าง นานนักหนา กว่ารตาจะกลับมาเป็นรตาคนเดิม ที่เลิกต่อว่าโชคชะตา ใช้ชีวิตอย่างสุขสงบได้เช่นวันวาน

เขาทนกับเธออยู่นานเท่าไหร่นะ สามเดือนหรือมากกว่านั้น..

แสงไฟอันอบอุ่น ที่ส่องนำทางให้เธออย่างอดทนมาตลอดนั้นกำลังจะดับลงละหรือ วัต โอ ! ไม่นะ

ณ นาทีนั้นรตากระซิบกับตัวเองว่าเธอไม่ต้องการดาวดวงไหน แสงจากดวงดาวไม่เคยทำให้ใครอบอุ่น ในคืนที่หนาวเหน็บบนถนนที่อ้างว้างของคนเดินทาง เทียนสักเล่มย่อมมีค่ามากกว่าดาวสักดวง ดาวที่ส่องกระพริบอยู่แสนไกล ไกลจนเกินกว่าความอบอุ่นใดๆ จะถูกส่งผ่านมาได้

ดวงดาวอาจจะช่วยนำทาง ให้รู้ว่าควรจะเดินไปในทิศใด หากจริงแท้.. เทียนเล่มน้อยในมือเธอต่างหาก ที่ให้ความอบอุ่นแก่เธอเสมอมา เทียนเล่มที่ไม่เคยดับ ไม่ว่าเธอจะเจอกับพายุร้าย หรือสายฝนที่กระหน่ำหนักเพียงใด หากวันนี้ เทียนเล่มนั้นกำลังจะดับลงละหรือ.. เธอเองหรือเปล่าหนอที่เป่ามันดับลงกับมือ

เพราะเธอใช่ไหม..

หลังไหล่ของเธอสะท้านขึ้นเพราะความหนาว หนาวทั้งภายนอกและภายในอย่างที่รตาไม่เคยรู้สึก ความปวดศีรษะทวีขึ้น ดูเหมือนเธอจะเป็นไข้ขึ้นมาจริงๆ เสียแล้วกระมัง รตากัดฟันสตาร์ทเครื่องยนต์ ก่อนจะออกรถโดยพยายามให้มีสติที่สุด น้ำตาแห้งไปแล้ว เพราะเธอจะต้องมองทางให้ชัด เหมือนคำที่ภาวัตเคยย้ำ เมื่อเธอพลาดล้ม แล้วเอาแต่ร้องไห้ โดยไม่คิดจะต่อสู้

"เช็ดน้ำตาให้แห้งเสียก่อนตา ให้ดวงตาเราแจ่มใส มองเห็นทางเดินได้อย่างชัดเจนที่สุดก่อน แล้วเราจะไม่ล้ม"

วัต ตาเดินมาถึงทุกวันนี้ได้ก็เพราะวัต วัตจะทิ้งตาไปไม่ได้ ตาไม่ยอม !

--------------------------------------


กลิ่นอะไรหอม.. หอมเหมือนดอกไม้ ดอกไม้ที่ไหนกัน เธอขับรถอยู่ไม่ใช่หรือ ทำไมมันมืด แล้วที่เจ็บๆ ที่แขนนี่อะไร ใครเอาอะไรแหลมๆ มาแทงแขนเธอ รตาสะบัดแขนอย่างหงุดหงิด หากก็ได้ยินเสียงดุแว่วๆ

"อยู่นิ่งๆ สิคะ เห็นไหมแทงพลาดอีกแล้ว พรุนไปทั้งแขนแล้ว" คำสุดท้ายบ่นกับตัวเอง ก่อนจะพลิกท้องแขนเธอ แล้วแทงอะไรแหลมๆ ลงมาอีก

รตาเหลืออด มันจะอะไรกันนักกันหนานะ เจ้าตัวพยายามลืมตา หากดูเหมือนหนังตาจะหนักอึ้ง และสุดท้ายเมื่อแข็งใจลืมตาขึ้นจนสำเร็จ ก็ต้องกระพริบอย่างตกใจ หรี่ตาที่ไม่สู้แสงลงไปก่อนจะลืมขึ้นใหม่อย่างยากลำบาก

แสงสว่าง ห้องสีขาว กลิ่นดอกไม้ ที่นี่ที่ไหนกัน

นึกออกแล้ว.. โรงพยาบาล ! ในทันทีที่นึกออก จิตก็กระหวัด ภาวัต !

"วัต" รตาพึมพำ รู้สึกว่าลำคอแห้งผาก จนเสียงที่พ้นลำคอแทบไม่ต่างจากเสียงกระซิบ

"ฟื้นแล้วหรือคะคุณ" เสียงคนในชุดขาวที่ดุเธอแว่วๆ เมื่อครู่นี้ฟังดูอารมณ์ดีขึ้น "นอนนิ่งๆ ก่อนนะคะ จะไปตามคุณหมอให้"

คุณหมออะไร ใครฟื้น เธอจะมาเยี่ยมภาวัตต่างหาก รตาพยายามบอกพยาบาล แต่ไม่มีประโยชน์ เธอออกจากห้องไปแล้ว รตาเหลียวมองแขนตัวเอง ที่รู้สึกเจ็บเพราะอะไรแหลมๆ เมื่อครู่นี้ หากเมื่อเห็นก็ต้องอุทาน

สายน้ำเกลือ ! นี่เธอเป็นอะไรไป?

ครู่หนึ่งนายแพทย์วัยกลางคนก็เปิดประตูเข้ามา ยิ้มให้รตาอย่างอ่อนโยน จากนั้นจึงลงมือตรวจเช็คร่างกายเธอคราวๆ และเมื่อได้ผลที่คงจะเป็นที่น่าพอใจ จึงบอกให้พยาบาลที่ตามเข้ามาหาน้ำให้รตาดื่มตามที่เธอร้องขอ ก่อนจะถามว่า

"รู้สึกดีขึ้นหรือยังครับ คุณหลับไปสองวันเต็มๆ ทีเดียว"

คนโดนบอกว่าหลับงุนงง ความปวดศีรษะดูเหมือนจะทวีขึ้นอีก และคนเป็นแพทย์ก็คงเข้าใจกิริยานิ่วหน้าอย่างหงุดหงิดของคนไข้ เขาจึงหัวเราะเบาๆ ก่อนจะถาม

"จำไม่ได้เลยหรือครับว่าตัวเองเป็นอะไร ที่ขับรถมาถึงโรงพยาบาลได้นี่ต้องถือว่าโชคดีมาก"

"เป็นอะไรคะ ดิฉันจะมาเยี่ยมว่าที่คู่หมั้นนะคะ ไม่ได้ป่วย" คนเถียงฉอดตะเกียกตะกายลุกขึ้น หากก็ไม่สำเร็จ เรี่ยวแรงไม่รู้หายไหนหมด เจ้าตัวพยายามสะบัดศีรษะไล่ความมึนงง จนสุดท้ายก็นิ่วหน้าเพราะความปวดที่วิ่งขึ้นมาเป็นริ้ว

คนเป็นแพทย์ส่ายหน้าอย่างขันๆ

"อย่าเพิ่งลุกเลยครับ เดี๋ยวคุณห้องโน้นก็มาอาละวาดผมอีก"

"คุณห้องไหน แล้วดิฉันเป็นอะไรคะ" รตาชักหมดความอดทน ทั้งคุณหมอคุณพยาบาล ยิ้มอะไรกันนักนะ

"เป็นไข้หวัดใหญ่น่ะซิ" เสียงใครคนหนึ่งดังมาจากประตู

ภาวัตโผล่หน้าเข้ามายิ้ม เป็นรอยยิ้มอบอุ่น เจิดจ้า ที่ทำให้เธอนึกถึงแสงเทียนในคืนอ้างว้างขึ้นมาอีกครั้ง

แสงเทียนนั้นยังไม่ดับลง โอ ! ขอบคุณสวรรค์

"วัต ! เป็นยังไงบ้าง ตาเป็นห่วงแทบแย่" ละล่ำละลักถามออกไปแล้วรตาก็ชักรู้สึกผิดที่ ว่าทำไมเขาจึงยืนยิ้มกริ่มอยู่อย่างนั้น
หน้าตาเนื้อตัวสะอาดสะอ้าน แม้จะยังอยู่ในชุดของโรงพยาบาล หากก็ดูสดใสเป็นปกติ หรือจะพูดให้ถูกคือ สดใสกว่าปกติ

ไม่เห็นมีวี่แววของคนฆ่าตัวตายสักหน่อย..

"แล้วมายืนอยู่นี่ได้ไง ทำไมไม่ตาย" คำถามเริ่มคาดคั้น ราวกับการที่เขาไม่ตายนั้นเป็นความผิดร้ายแรง

ภาวัตสะดุ้ง หากก็ตอบยิ้มๆ นัยน์ตาพราว

"อ้าว งั้นเดี๋ยวตายใหม่ก็ได้ อยากได้ยินคนเพ้ออีก" คราวนี้ทั้งหมอทั้งพยาบาลอมยิ้มไปตามๆ กัน ก่อนจะชวนกันเลี่ยงออกไปเมื่อเห็นคนไข้ปลอดภัยดี

"ใครเพ้ออะไร" คราวนี้รตางงจริงๆ "นี่วัตช่วยเล่าทั้งหมดให้ตาฟังหน่อยได้มั้ย งงไปหมดแล้ว"

ภาวัตหัวเราะ ลากเก้าอี้สำหรับคนเฝ้าไข้มานั่งชิดเตียง มือหนึ่งกดไหล่เธอที่ครึ่งนั่งครึ่งนอนอยู่บนเตียงให้นอนลง อีกมือปัดปอยผมที่ปรกหน้าให้อย่างอ่อนโยน ก่อนจะเปลี่ยนมากุมมือเธอไว้ บอกอย่างเอาใจว่า

"ตาพักผ่อนมากๆ ดีกว่า ไข้ยังไม่ลด ตัวยังร้อนอยู่เลย"

"ตกลงตาเป็นอะไร วัต" เธอถามอย่างอดทน คำว่าตัวร้อนของเขาทำให้เธอชักรู้สึกถึงความร้อนกรุ่นๆ ในตัวขึ้นมาจริงๆ

"เป็นไข้หวัดใหญ่" เขาถอนใจ "แต่ยังเก่งขับรถมาถึงโรงพยาบาลได้เองด้วยนะ ตอนที่ตามาถึงน่ะไข้ขึ้นจนใกล้จะช็อคแล้ว ใครถามอะไรก็ไม่รู้เรื่อง เรียกว่าเบลอไปแล้วนั่นแหละ" คำตอบยืดยาว กระแสเสียงนั้นมีแววล้อเลียนก็จริง แต่เธอก็จับได้ถึงความห่วงใยอย่างยิ่งยวด

ความประหลาดใจในเรื่องอาการของตนเองมีมากจนเธอลืมประโยคที่ว่า "อยากได้ยินคนเพ้ออีก" ของเขาไปได้โดยอัตโนมัติ ทั้งๆ ที่สะกิดใจกับท่าทีกระหยิ่มของคนตรงหน้าอยู่ไม่น้อย

"เป็นได้ยังไง ตาแค่ปวดหัว หนาวๆ.." เถียงออกไปแล้วเจ้าตัวก็เพิ่งนึกได้ เธอเองก็คิดว่าอาการปวดหัวตัวร้อนหลังงานเสร็จคราวนี้หนักหนากว่าปกตินี่นะ แต่คิดว่าคงเป็นเพียงเพราะเธอหักโหมทำงานมากเกินไป

ภาวัตส่ายหน้า น้ำเสียงอ่อนระอา

"ถ้าแค่ปวดหัว หนาวๆ จะนอนเพ้อไม่ได้สติมาสองวันหรือตา รู้ไหมทั้งหมอทั้งพยาบาลแตกตื่นกันใหญ่ อยู่ๆ ก็มีคนเยี่ยมไข้เดินตาลอยเข้ามาถามถึงคนไข้ แต่พยาบาลที่เคาน์เตอร์ยังไม่ทันบอกอะไร คนเยี่ยมไข้ก็ทรุดลงไปกองเสียเฉยๆ เรียกยังไงก็ไม่ฟื้น แถมตัวร้อนจี๋.." น้ำเสียงคนพูดและวิธีเล่านั้นอบอุ่น หากรตาก็ยังอดรู้สึกหนาวเยือกขึ้นมาไม่ได้ นี่อาการเธอหนักหนาถึงขนาดนี้เชียวหรือ

"วัตฟื้นขึ้นมา ถามหาตา หมอก็พามาดูที่ห้องนี้ ตอนนั้นตานอนเพ้อ ไข้ยังไม่ลด รู้ไหมวัตแทบจะเป็นบ้า.." อุ้งมือแข็งแรงที่กุมมือเธอไว้บีบแน่นเข้า รตามองหน้าเขา ก่อนจะถามเบาๆ

"แล้ววัตกินยาอะไรเข้าไป.. มีเรื่องอะไรที่ตาไม่รู้หรือวัต วัต.. ฆ่าตัวตายหรือจ๊ะ" ประโยคสุดท้ายหายไปในลำคอ

ภาวัตถอนใจ ส่ายหน้ายิ้มๆ ก่อนจะอธิบาย

"วัตไม่ได้ฆ่าตัวตาย วัตกินเหล้า แล้วก็กินยานอนหลับ ไม่ทันคิดว่าจะน็อคไป แต่ป๋าเข้าไปเห็นวัตนอนเงียบ ข้างตัวมีขวดเหล้ากับยาหกเกลื่อน ก็เลยคิดว่าวัตกินยาตาย แล้วเด็กที่โทรบอกตา ก็บอกไปตามที่ป๋าคิดนั่นแหละ" คนพูดส่ายหน้าอย่างระอา

"แล้ววัตกินยา กินเหล้าทำไม" เธอรู้ดีว่าเป็นคำถามที่โง่เต็มที ก็มิใช่เพราะเธอหรือเล่า..

แต่คนตอบมิได้ทำร้ายจิตใจเธอด้วยคำตอบที่เธอกลัว หากตั้งต้นเล่าเรื่องราวของปัญหาในบริษัทอย่างคร่าวๆ ก่อนจะลงท้ายว่า

"วัตมันบ้าไงล่ะตา จริงๆ ก็แค่อารมณ์ชั่ววูบ ที่อยากจะหลับยาวๆ สักคืน เพราะนอนไม่หลับมาหลายคืนแล้ว อยากจะลืมอะไรๆ ไปบ้าง.." คนพูดถอนใจยาว

"แต่ตื่นขึ้นมาก็ได้แต่เสียใจ เสียใจที่ทำให้ทุกคนวุ่นวาย ป๋าน่ะนั่งเฝ้าวัตจนวัตฟื้น แล้วเลยน็อคไปแทน ตอนนี้ยังนอนให้น้ำเกลืออยู่เลย แล้วตาเองก็.." น้ำเสียงเขาปรากฏรอยอ่อนล้า เมื่อมองตรงเข้าไปในดวงตาเธอ

"วัตฟื้นขึ้นมาเห็นตานอนเพ้อ ตัวร้อนอย่างกับไฟ รู้ไหมว่าวัตแทบจะฆ่าตัวตายจริงๆ ที่ปล่อยให้ตาเป็นถึงขนาดนี้ โดยไม่ได้ดูดำดูดีอะไรเลย"

เขาอยากจะบอกว่า นาทีนั้นเขาอยากแล่นไปฆ่านายธเนศเสียอีกคน อุตส่าห์ไว้ใจว่าวางรตาไว้ในมือ "ดาว" ที่เธอรัก และรักรตาไม่น้อยไปกว่าเขา หากนายนั่นก็ช่วยอะไรรตาไม่ได้เลย ในยามที่เธอนอนกระสับกระส่ายอยู่ในชุดโรงพยาบาล ดวงหน้าแดงก่ำเพราะพิษไข้ พร่ำเพ้อไม่ได้สติ สองวันเข้าไปแล้ว ยังไม่เห็นนายพระเอกนั่นโผล่หน้ามาเยี่ยมสักที

นาทีนั้นเองที่ภาวัตแน่ใจ เขาจะไม่วางรตาลงบนมือใครอีก จะไม่ไว้ใจใคร และจะไม่ "คิด" แทนรตาอีกแล้ว ไม่มีมือใดที่จะปกป้องคุ้มครองเธอได้ดีไปกว่าสองมือของเขาเอง เขาเชื่อเช่นนั้น และคิดว่าคนตรงหน้าก็คงเชื่อเช่นเดียวกัน

"เรื่องตาด้วยใช่ไหม.." รตาถามเสียงหม่น ก้มหน้าลงเพื่อซ่อนหยดน้ำตาที่เอ่อล้นขึ้นมา คนข้างกายเธอเงียบไปนาน นานจนเธอคิดว่าจะไม่ได้คำตอบเสียแล้ว หากในที่สุดเขาก็บอกเบาๆ ด้วยน้ำเสียงปกติ ติดจะเจือรอยหัวเราะเสียด้วยซ้ำ

"ไม่เกี่ยวกับตา ถ้าวัตจะโกรธตาก็เรื่องทำงานหักโหมจนปล่อยให้ตัวเองป่วยหนักขนาดนี้นี่แหละ"

"วัต ตาขอโทษ" รตาพึมพำ บอกไม่ถูกว่าอยากขอโทษเขาเรื่องอะไร เรื่องที่เธอป่วย จนเขาต้องทุรนทุรายไปด้วย หรือเรื่องที่เกิดขึ้นระหว่างเธอกับธเนศ

เธอเชื่อว่าภาวัตคงได้เห็นข่าวนั้นแล้ว แม้ว่าเขาจะไม่กล่าวโทษเธอสักคำ

"วัตสิต้องขอโทษ ที่ทำให้เป็นกลายเรื่องใหญ่จนตาต้องขับรถมาโรงพยาบาลกลางดึกอย่างนี้" เขาบอกอย่างจริงจัง "แต่คิดอีกทีก็ดี เพราะไม่งั้นกว่าจะมีคนไปพบตาเป็นไข้ ตาอาจจะช็อคไปแล้วก็ได้.." โดยเฉพาะเมื่อเขาเองยังต้องนอนโรงพยาบาลเพื่อ "พักผ่อนอีกสักระยะ" ตามคำของคนเป็นแพทย์ และนายธเนศก็คงไม่มีเวลาปลีกตัวมาจากงานของเขา

"ตาขอโทษ เรื่องเนศ" คราวนี้เธอบอกอย่างมั่นคงขึ้น เงยหน้าขึ้นสบตาเขา ปรารถนาให้คนตรงหน้าเห็นแววขอลุแก่โทษในดวงตาเธอ แม้ว่าเขาอาจจะไม่ให้อภัย..

ใช่ เขาอาจจะไม่ให้อภัย รตาไม่แน่ใจ อย่างที่ไม่แน่ใจและไม่เข้าใจเขามาตลอด ว่าเขารู้สึกอย่างไรกันแน่กับเรื่องของเธอและผู้ชายอีกคน หากเขารักเธอ เหตุใดเขาจึงทำเหมือนเปิดทางให้ธเนศ ทั้งที่เธอกับเขากำลังจะหมั้นกันในอีกไม่นาน

"ตาขอโทษที่ทำเหมือนละเลยวัต บางทีตาก็สับสน แยกไม่ออกระหว่างความรักกับความชื่นชม" ประโยคนั้นจริงจัง แววตาคนพูดมีร่องรอยสำนึกผิด หากประโยคต่อมาคือ

"แต่วัตบอกตาได้ไหม ทำไมวัตทำเหมือนไม่แคร์ที่ตามีผู้ชายอีกคน และทำไมวัตไม่บอกตาเรื่องปัญหาบริษัท ปกติเราไม่มีความลับต่อกันไม่ใช่หรือจ๊ะ"

ภาวัตอยากจะถอนใจ เพราะดวงตาคู่สวยที่จ้องมองมาอย่างคาดคั้น ผู้หญิง ! ต่อให้เป็นเรื่องที่เธอก่อขึ้นมาเอง คนผิดก็ยังเป็นผู้ชายวันยังค่ำ

เธอไปมีผู้ชายอีกคน แต่ตอนนี้คนผิดกลายเป็นเขา เพียงเพราะไม่แคร์เรื่องของเธอกับนายคนนั้น ให้มันได้อย่างนี้ซิ.. คนตอบจึงตอบอย่างประชดๆ หากน้ำเสียงไม่จริงจังนัก

"วัตไม่อยากให้ตาไม่สบายใจไปด้วย เห็นตากำลังจะไปได้ดีกับนายนั่นอยู่แล้ว.." เขาลากเสียง คิดว่ารตาคงจะขำ แต่ก็ชักจะไม่แน่ใจขึ้นมาอีกเพราะหยดน้ำวาววับในดวงตาคนฟัง ที่กลั่นตัวเป็นน้ำตารินลงมาจนได้

"ตาขอโทษ วัต ขอโทษจริงๆ ที่ทำให้วัตรู้สึกอย่างนั้น" คราวนี้เจ้าตัวสะอื้น น้ำตาไม่รู้ว่ามาจากไหน เธออาจจะทนเก็บมันไว้นานเต็มที เจ้าความรู้สึกผิดในใจอันนี้ คราวนี้เมื่อได้พูด.. ทั้งคำพูดและน้ำตาจึงพรั่งพรูราวกับทำนบพัง

"ตาอาจจะอ่อนแอ อ่อนไหว หลงไปกับภาพสวยๆ ของ..ดาว.. เหมือนกับใครอีกหลายคนที่มีดาวประจำใจ ดาวที่เรารู้สึกว่ามันอยู่สูงจนเกินเอื้อมมาโดยตลอด แล้วอยู่ดีๆ วันหนึ่งดาวดวงนั้นก็ตกลงมาถึงมือ.. วัตรู้ไหม.." เธอหลับตาลง ราวกับจะรำลึกถึงอะไรบางอย่างในความทรงจำอันแสนไกล

"ตอนเรียน ตาทั้งเชยทั้งขี้อาย ไม่สวย ไม่เก่ง ไม่เด่น ไม่มีอะไรน่าสนใจเอาเสียเลย เวลาอยู่ในกลุ่มเพื่อนก็ได้แต่นั่งมองเขาคุยกัน มองคนหล่อๆ สวยๆ ที่เก่งกาจปราดเปรียวหลายๆ คนอย่างอิจฉา ว่าทำยังไงตาถึงจะเป็นอย่างนั้นได้นะ.." คนพูดถอนใจยาว ก่อนจะลืมตาขึ้น ดวงตาคู่สวยที่ยังเปียกชื้นเพ่งมองความว่างเปล่าของเพดานสีขาว น้ำเสียงนั้นยังสม่ำเสมอ เมื่อเอ่ยต่อไปอย่างเลื่อนลอย

"เนศเหมือนเจ้าชาย หล่อ รวย เรียนเก่ง เล่นดนตรี เล่นกีฬา ทำอะไรก็เก่งไปหมดทุกอย่าง นิสัยก็ดี คุยสนุก ใครอยู่ใกล้ก็มีความสุข" คนพูดยิ้มกับความทรงจำรำลึกนั้น "แต่ตาก็ได้แต่มองอยู่ไกลๆ เข้าไม่ถึงตัวเขา เพราะไม่อยากเห็นแววตาสมเพชของคนรอบตัว ที่มองมาราวกับว่าตาเป็นเด็กเชยๆ ที่ไปหลงรักเจ้าชายรูปหล่อ.."

"แต่วัตรู้ไหม ถ้าไม่มีเนศ ทุกวันนี้ตาก็คงจะยังเป็นผู้หญิงเชยๆ ขี้อาย ที่ไม่รู้จักการปรับปรุงตัวเอง ไม่รู้จักแต่งหน้าแต่งตัว ไม่มีความมั่นใจในตัวเองอย่างทุกวันนี้หรอก.." เธอมองตาเขา ก่อนจะเอ่ยยิ้มๆ หากกระแสเสียงคล้ายมีรอยเยาะอย่างไรอยู่

"วัตเจอตาตอนที่ตาปรับปรุงตัวเองแล้ว วัตคงนึกไม่ถึงว่าเมื่อก่อนตาเชยขนาดไหน แต่ตาบอกตัวเองเสมอ ว่าถ้าอยากเข้าถึง 'ดาวดวงนั้น' ตาต้องทำตัวเองให้พ้นจากความไม่สวยไม่งาม ต้องเก่ง ต้องฉลาด ต้องคล่องแคล่ว ต้องมั่นใจในตัวเอง" เธอยิ้มใส่ตาเขา เมื่อพูดต่อ

"แล้วตาก็รู้ว่าตาทำได้ ตาทำสำเร็จ เมื่อดาวดวงนั้นมองตาอย่างชื่นชม ทึ่ง อย่างที่ตาเคยทึ่งเขาเมื่อนานมาแล้ว วัตเข้าใจความรู้สึกของคนที่อยู่ๆ ก็ได้ดาวมาอยู่ในมือไหม ดาวที่เรามองมาแสนนาน ดาวที่เราเคยไร้สิทธิ์แม้แต่จะคิดฝัน อย่าว่าแต่ครอบครองเลย.." ประโยคนั้นกระทบใจเขา ภาวัตขบริมฝีปาก หมอนั่นมีค่ากับรตาถึงเพียงนี้ แล้วเขาเล่า..

มือที่กุมมือเธอเกร็งขึ้น ฟ้องถึงอารมณ์ที่แปรเปลี่ยนของเจ้าของ รตาจึงคลี่ฝ่ามือออก แล้วกุมมือใหญ่นั้นไว้เสียเอง พูดต่อด้วยน้ำเสียงมั่นคง ดวงตาที่แลสบเขาแจ่มใส มิได้มีร่องรอยแห่งความฝันในวันวาน หรือความเศร้าโศกใดๆ อีกต่อไป

"แต่ตาก็เข้าใจ เข้าใจในวันที่ตาเหงาที่สุด ในวินาทีที่ตาได้เห็นหน้าเขา.. ดาวดวงนั้น แต่ตากลับนึกถึงวัตจับใจ ทั้งที่วัตไม่ใช่ดาว ไม่ใช่สิ่งสูงค่าเกินเอื้อมอย่างที่ตา..เคย..รู้สึกว่าเขาเป็น.." เธอเน้นคำว่า "เคย" อย่างหนักแน่น

"แล้ววัตเป็นอะไร" คนข้างกายเธอถามเรียบๆ ด้วยน้ำเสียงที่แปลความหมายไม่ออก ก่อนจะพึมพำ "แต่น่าจะเป็นพระอาทิตย์นะ สว่างกว่ากันเยอะเลย"

"ไม่ใช่พระอาทิตย์" รตาส่ายหน้า "ตาไม่ต้องการพระอาทิตย์ พระอาทิตย์ที่อาจจะให้ความอบอุ่นได้ในเวลากลางวัน หากในเวลากลางคืนละวัต.. พระอาทิตย์ก็เป็นดาว อยู่สูงจนเกินจะเอื้อมถึงอีกเหมือนกัน.. ที่ตาต้องการคือแสงเทียนเล็กๆ ส่องแสงเป็นเพื่อนในค่ำคืนที่หนาวเหน็บ แสงเทียนที่ให้ทั้งความอบอุ่นและช่วยนำทาง ไม่ให้เราหกล้มลงไปบนถนนขรุขระ.."

"วัตเคยได้ยินแต่เขาใช้แสงดาวนำทาง" คนฟังขัดขึ้นลอยๆ

รตาถอนใจ เมื่อกล่าวต่อไปเรื่อยๆ

"แสงดาวอาจจะช่วยบอกทิศทาง ทำให้เรารู้ว่าเราควรเดินไปในทิศไหน แต่ดาวทุกดวงล้วนอยู่ไกล.. ไกลเกินกว่าจะมนุษย์อย่างเราๆ จะได้รับความอบอุ่นจากแสงสว่างนั้น.. " เธอยิ้มให้เขา เมื่อรู้สึกว่าอารมณ์คนตรงหน้าเป็นปกติแล้ว จึงบอกเรียบๆ ด้วยน้ำเสียงมั่นคง ราวกับจะเน้นย้ำให้เขาเชื่อในทุกคำพูด

"ตาไม่ต้องการดาวดวงไหน วัต.. ตารักแสงเทียนที่นำทางชีวิตตามาแสนนาน แสงเทียนที่ไม่เคยดับ ไม่เคยหรี่ แม้จะผ่านลมฝนและพายุมากมาย.. ตารักแสงเทียนอันอบอุ่นนี้.. วัต ! "

คำสุดท้ายอุทานอย่างตกใจ เมื่ออยู่ๆ คนที่นั่งปั้นหน้าขรึมราวกับตั้งใจฟังอย่างเต็มที่อยู่ข้างเธอก็ก้มลงปิดปากเธอด้วยริมฝีปากของเขาอย่างแผ่วเบา หากก็ทำให้คนนอนนิ่งหน้าร้อนผ่าว

ภาวัตกุมมือเธอไว้ด้วยมือทั้งสองข้าง บอกด้วยรอยยิ้ม ดวงตาพราวระยับ

"ขอบคุณ ตา ที่พูดให้วัตแน่ใจ ว่าที่วัตฟังมานับครั้งไม่ถ้วนตอนที่ตานอนเพ้อน่ะ ตาไม่ได้เพ้อเพราะพิษไข้" เขาก้มลงแตะริมฝีปากลงกับมือเธออีกครั้ง ก่อนจะพูดหน้าเฉย หากประกายตาสดใสนั้นบอกเธอว่า นี่เอง.. เขาจึงบอกว่า "อยากได้ยินคนเพ้ออีก"

"แต่เพ้อเพราะรักวัต รักแสงเทียนที่สู้แสงดาวไม่ได้.. อย่างวัต" และเมื่อเธออ้าปาก เขาก็รีบพูด สีหน้าสีตาบอกว่าเป็นสุขเสียยิ่งนัก

"เอาเถอะ ตาไม่ต้องปลอบใจวัต ว่าวัตสู้เขาได้หรอก เพราะวัตรู้ดีว่าวัตสู้เขาไม่ได้อยู่แล้ว ดังก็ไม่ดังเท่า เก่งก็ไม่เก่งเท่า รวยก็ไม่รวยเท่า คุยก็ไม่สนุกเหมือนหมอนั่นอีกนั่นแหละ หล่อก็สู้หมอนั่นไม่ได้.."

"ใช่" รตาเพิ่งได้ช่อง จึงพยักหน้าสนับสนุนหน้าตาเฉย อีกฝ่ายหันมามองตาเขียว หากก็หัวเราะ

"พอเรื่องหล่อนี่สนับสนุนเลยนะ เอาเถอะ ยอมรับว่าหล่อไม่เท่า ไม่งั้นคงจะมีคนมาขอไปเป็นดาราแล้ว แต่ขนาดนี้ยังมีพยาบาลเอาดอกไม้มาให้ทุกวันเลย ถ้าหล่อกว่านี้เห็นจะยุ่ง.." คำสุดท้ายทอดยาวราวกับจะยั่ว แล้วก็ได้ผล คนนอนนิ่งถามทันที

"ใคร พยาบาลที่ไหน"

คนถูกถามหัวเราะ

"ว้า ล้อเล่นแค่นี้เชื่อด้วยแฮะ ฟังให้จบก่อน.. พยาบาลเขาเอาดอกไม้มาให้ทุกวัน เพราะวัตให้ร้านเขาส่งมาไว้ที่ห้องตานี่ไง เห็นไหม หอมฟุ้ง วัตรู้ว่าตาต้องชอบ คุณพยาบาลเขาก็เลยต้องรับดอกไม้จากคนส่งมาให้วัตทุกวัน เท่านั้นแหละจ้ะ โธ่.. ใครเขาจะกล้ามายุ่งกับวัต ในเมื่อว่าที่คู่หมั้นนอนเพ้อบอกรักวัตอยู่ทุกวัน วันละหลายๆ ครั้ง" คำตอบยืดยาว โอดครวญจนรตาหัวเราะตาม

ภาวัตมอง "ว่าที่คู่หมั้น" ของเขาด้วยสายตาลึกซึ้ง ประกายตาที่สร้างความรู้สึกวะวับในใจให้เธอได้เสมอมา

"วัตขอบคุณ ที่ตาเห็นค่าของวัต แม้ว่าวัตจะไม่ใช่ดาว ไม่ใช่คนหล่อ คนรวย คนดัง คนเก่ง อย่าง "ดาว" ในฝันของใครๆ แต่เป็นแค่ผู้ชายธรรมดาๆ หน้าที่การงานก็ทำท่าจะไม่มีอีกแล้ว.. " คำสุดท้ายเจือรอยขื่น หากเขาก็ยังยิ้มให้เธอด้วยแววตาแบบเดิม

"วัตเคยคิดว่าถ้าตารักใครอีกคน และเขาคนนั้นมีอะไรให้ตาได้มากกว่าวัต วัตก็จะปล่อยตาไป ตาจะได้มีความสุขบนเส้นทางที่ตาเลือก มากกว่าจะมาผูกพันอยู่กับคนอย่างวัต คนที่ตาอาจจะหมดรักไปแล้ว.." รตาขยับจะค้าน หากเขาก็ไม่รอให้เธอได้พูด

"แต่วันนี้วัตรู้แล้ว ว่าถ้าวัตรักอะไรสักอย่างหนึ่ง วัตจะไม่วางมันลงในมือของใครก็ไม่รู้ เพียงเพราะคิดว่าเขาจะรักษาของสิ่งนั้นได้ดีกว่าวัต หรือคิดว่าของสิ่งนั้นพอใจที่จะได้อยู่ในมือเขามากกว่าวัต.." คนพูดทอดเสียง ดวงตาที่มองตรงมามีแววมั่นคง ราวกับจะย้ำทุกคำพูด

"วัตจะไม่ปล่อยให้ของสิ่งนี้ตกไปอยู่ในมือใครอีก เพราะมือที่วัตคิดว่าจะรักษามันได้ดีที่สุด ก็คือมือของวัตเอง ตายินดีที่จะอยู่กับมือคู่นี้ไหม มือที่อาจจะไม่ใช่มืออันสวยงามสูงค่าของดวงดาว มือที่ไม่อาจหยิบยื่นอะไรให้ตาได้ทุกอย่าง แต่ก็พร้อมจะปกป้องและให้ความอบอุ่นแก่ตาเสมอ อย่างที่ตาบอกว่า มันเหมือนแสงเทียนยังไงล่ะ.."

คำถามของเขาไม่ต้องการคำตอบ รตาปล่อยให้น้ำอุ่นๆ รินหยดลงจากปลายตาอีกครั้ง หากครั้งนี้.. เธอมีความสุขเหลือเกินที่ได้ร้องไห้..

ไม่มีความเหน็บหนาวหรือหวาดกลัวต่อสิ่งใดอีกแล้ว เมื่อตระหนักว่าแสงเทียน.. ความอบอุ่นทั้งหมดของเธออยู่ในแววตาของคนข้างกาย คนที่จะเดินไปกับเธอเสมอ ไม่ว่าบนเส้นทางใด..

เขาไม่ใช่แสงดาว และเธอก็ไม่ต้องการแสงดาว..

-----------------------------------------------


ร่างสูงที่ถือช่อดอกไม้ช่อใหญ่อยู่ในมือ ชะงักอยู่หน้าประตูห้องคนไข้ เมื่อได้ยินเสียงสนทนากันแว่วๆ ลอดออกมา หากเมื่อนิ่งฟัง ครู่หนึ่งดวงหน้าใส สวย ราวกับผู้หญิงนั้นก็หมองลง

เนิ่นนาน ตราบจนเสียงของคนในห้องเงียบหายไป รตาคงจะหลับ และ"คนเฝ้า" ก็คงนั่งลงเคียงข้าง เฝ้ามองเธออย่างไม่ให้คลาดสายตาไปได้อีก..

ในที่สุดเขาก็ถอนใจ หมุนตัวกลับ ก่อนจะก้าวเดินไปตามทางเดินแคบๆ ของโรงพยาบาลอย่างช้าๆ ใบหน้ามีรอยยิ้มหม่น หากแววตาเหม่อลอย บางคาบบางครารอยยิ้มนั้นก็เจือแววเยาะ อย่างที่เจ้าของรอยยิ้มก็ไม่รู้ว่าตัวเองยิ้มเยาะอะไร อาจจะเป็นโชคชะตากระมัง..

ผ่านเคาน์เตอร์พยาบาล ที่ชี้ชวนกันให้ดูพระเอกหนุ่มรูปหล่อที่เดินถือช่อดอกไม้ออกมาด้วยท่าทาง "แปลกๆ" ธเนศจึงหันไปส่งยิ้มให้ ก็เขาเป็นดารานี่น่ะ ย่อมต้องทำหน้าที่ขวัญใจประชาชนให้ดีที่สุด

ดวงหน้าสวยนั้นจึงกวาดยิ้มอย่างแจ่มใส เกาะเคาน์เตอร์สนทนาเล็กๆ น้อยๆ กับทุกคนอยู่ครู่หนึ่งอย่างผู้มีอัธยาศัยดี

หากเมื่อเดินจากมา เขาก็วางดอกไม้ช่อนั้นทิ้งไว้ที่เคาน์เตอร์นั่นเอง..

"ดอกไม้จาก..ดาวดวงหนึ่ง.. น่ะครับ" เขาบอกทุกคนยิ้มๆ คงไม่มีใครเข้าใจความหมายของเขาหรอก และเขาก็ไม่ได้ต้องการให้ใครเข้าใจ

น่าแปลกที่เมื่อก้าวเดินจากมา ธเนศกลับรู้สึกอ้างว้างอย่างประหลาด เป็นครั้งแรกที่เขาบอกตัวเองว่า.. เขาไม่อยากเป็นดาว.. ไม่อยากเป็นแสงดาวอันสูงสุดเอื้อมของคนทั้งประเทศ เขาอยากเป็นเพียงแสงเทียนอันอบอุ่นของใครสักคนหนึ่งมากกว่า..

อย่างที่รตาเรียกเขาคนนั้นของเธออย่างแสนรักเมื่อครู่นี้..

สักวัน.. เขาอาจจะได้เป็น..



---------------------------------------------------------------------




 

Create Date : 25 มิถุนายน 2551
2 comments
Last Update : 25 มิถุนายน 2551 23:56:33 น.
Counter : 964 Pageviews.

 

หวานจังค่ะ...

อ่านเวลาเหงาๆ แบบนี้แล้วซึ้ง ร้องไห้เลย ^_^

 

โดย: Halimeda Lover 10 กรกฎาคม 2551 17:57:53 น.  

 

คุณ Halimeda Lover ตอนเขียนคนเขียนก็โดนมดกันไปหลายตัวเหมือนกันค่ะ แหะๆ

ขอบคุณที่แวะมาอ่านนะคะ

 

โดย: โยษิตา 13 กรกฎาคม 2551 22:54:47 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


โยษิตา
Location :
Kobe Japan

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




เป็นคนไทย แต่ระหกระเหินมาใช้ชีวิตตัวคนเดียวที่ประเทศหมู่เกาะประเทศหนึ่ง กินเวลาสิบกว่าปีแล้ว ยังไม่รู้จะได้กลับเมื่อไหร่ (โถ่)

เป็นคนจับจดมาก อยากทำไปทุกอย่าง แต่ทำไม่ได้ดีซักอย่าง รู้น้อยกว่าเป็ด ควรจะเรียกว่ารู้อย่างลูกเป็ด หรือไข่เป็ด

ที่แน่ๆ ชอบอ่านกระทู้พันทิป มากถึงมากที่สุด



Longer - Dan Fogelberg
Group Blog
 
 
มิถุนายน 2551
 
1234567
891011121314
15161718192021
22232425262728
2930 
 
25 มิถุนายน 2551
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add โยษิตา's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.