--but life goes on, and this old world will keep on turning--
อุ่นไอ..ในคืนหนาว(2)


14 ธันวาคม 2545 19.45น.


เม็ดฝนที่โปรยปรายอยู่ภายนอกยังไม่ยอมขาดเม็ดลงง่ายๆ ทำให้อากาศที่หนาวอยู่แล้วหนาวยิ่งขึ้นไปอีก ลมแรงพัดกรูเกรียวจนได้ยินเสียงกิ่งไม้โบกสะบัด อากาศซึมเซา มัวซัวอย่างนี้มาตั้งแต่เช้า จนค่ำแล้วก็ยังไม่เปลี่ยนแปลง

สิชลมองผ่านหน้าต่างกระจกออกไป สายฝนยังพร่างพรม ฟ้ามืด เป็นสีเทาโดยไม่มีแสงดาวพราวพร่างอย่างที่เคย สายลมแรงจัดพัดพาเอาใบไม้สีแดงจากต้นไม้ใหญ่ริมทางปลิวเกลื่อนไปทั้งถนน

เหงาอีกแล้ว...ทำไมฤดูหนาวปีนี้บรรยากาศถึงชวนให้เหงาขนาดนี้นะ ทั้งที่ทุกปีช่วงต้นเดือนธันวาคมจะเป็นช่วงที่อากาศดี ท้องฟ้าแจ่มใส หลังจากผ่านช่วงอากาศแปรปรวนของปลายฤดูใบไม้ร่วงมาแล้ว แต่ปีนี้อากาศออกจะวิปริตอยู่สักหน่อย เพราะดูเหมือนเม็ดฝนจะไม่ยอมจากไปเสียที

ดูเหมือนเมื่อวานที่โตเกียวหิมะจะตกอีกแล้ว ทั้งที่ทุกปีแทบจะไม่ตก หรือถึงตกก็ไม่มากจนทับถมกันอยู่หลายวันเช่นนี้ แถมยังมาเร็วกว่าปกติเสียด้วย เพราะปกติกว่าหิมะจะมา ก็ล่วงเข้าช่วงปีใหม่ไปแล้วหลายวัน บางปีจะตกช่วงวันวาเลนไทน์ ขณะที่บางปีอาจจะเลยไปตกเอาช่วงปลายเดือนมีนาคมโน่น


นึกถึงปีแรกที่เธอมาเหยียบแผ่นดินญี่ปุ่น ฤดูหนาวแรกเต็มไปด้วยความตื่นเต้น สนุกสนานกับชีวิตแปลกใหม่ของที่นี่ ยังจำได้ดี เมื่อได้เห็นหิมะเป็นครั้งแรกในเช้าวันหนึ่งของเดือนมกราคม ซึ่งเป็นวันเปิดเรียนเทอมใหม่ของโรงเรียนภาษา

วันนั้นเธอตื่นขึ้นมาเพราะโทรศัพท์ที่กรีดก้องขึ้นแต่เช้ามืด คนโทร.มาก็ไม่ใช่ใคร ณุศรนั่นเอง ที่โทร.มาปลุกให้ออกไปดูหิมะด้วยกัน เพราะวันนั้นโรงเรียนประกาศเลื่อนเวลาเรียนออกไปสายกว่าปกติ เนื่องจากหิมะที่ทับถมจนรถไฟหลายสายไม่สามารถวิ่งได้

สุดท้ายวันนั้นก็เป็นวันที่ทุกคนแทบจะเรียนไม่รู้เรื่อง เพราะตื่นเต้นกับหิมะกันจนแทบไม่มีสมาธิทำอะไร ปุยขาวๆ ฟูฟ่องนั้นยังคงปลิวว่อนอยู่ในท้องฟ้า ดูเบาบาง ล่องลอยราวกับเป็นปุยนุ่มๆ ของสำลี

คืนวันนั้นทุกคนนั่งกันอยู่บนดาดฟ้าของหอพัก เล่นปาหิมะกันอยู่จนเหนื่อย แล้วจึงนั่งลงมองท้องฟ้าที่เป็นสีส้มอมเทามัวๆ นั้นด้วยกัน ไม่รู้ว่าจะมีใครเหมือนเธอไหม ที่เห็นท้องฟ้าในคืนที่มีหิมะเป็นสีส้มจางๆ ไปเสียทุกที

แต่แถบตะวันตกมี่หิมะคงไม่ค่อยตกละมั้ง เท่าที่เคยได้ยินมา คนคิดเริ่มรู้สึกว่าตัวเองทำผิดอย่างมหันต์ที่เลือกมาเรียนต่อที่นี่ เพื่อนๆ ส่วนใหญ่ก็ยังอยู่ที่โตเกียว แถมเธอก็จะไม่มีโอกาสได้เจอหิมะอีกต่อไป ทั้งที่เธอหลงเสน่ห์ของปุยน้ำแข็งสีขาวสะอาดนั้นนักหนา


สิชลเปิดคอมพิวเตอร์ เพื่อที่จะนั่งมองมันอยู่อย่างนั้นอีกนาน ทำอะไรดีล่ะวันนี้ พอมีงาน ก็ทั้งยุ่งทั้งเหนื่อยจนไม่อยากทำอะไรทั้งสิ้น แต่พอไม่มีว่างขึ้นมา ก็เหงาเสียจนเธออยากมีการบ้านขึ้นมาเสียเฉยๆ เฮ้อ ที่เขาว่ามนุษย์เราไม่เคยพอใจในสิ่งที่เป็นอยู่ก็น่าจะจริง

คลิกดู msn messenger แทบจะไม่มีใครออนไลน์เลย อะไรกันเนี่ย วันที่เธอยุ่งๆ อยากทำงานเงียบๆ ละก็ชวนคุยกันนัก ทีวันที่เหงาๆ อย่างนี้ไปไหนกันหมดนะ

สุดท้ายก็ตัดสินใจคลิกเรียกใครคนหนึ่งในกลุ่มเพื่อนกพ. ที่ไม่ได้คุยกันมาหลายวันเนื่องจากเธอเองก็ยังเขินๆ ที่จะติดต่อไป และดูเหมือนเขาเองก็ยังเขินๆ เกินกว่าที่จะติดต่อมา หลังจากที่คุยกันอย่าง 'เมาๆ' ในอารมณ์เมื่อวันก่อน

"เป็นไงมั่ง" เธอส่งรอยยิ้มไปก่อน พักหนึ่งกว่าอีกฝ่ายจะตอบมา

"ผ้านี่เค้ารีดกันยังไง" คนตอบๆ มาคนละเรื่อง มันรีดผ้าไม่เป็นหรือไงเนี่ย

"ไม่เคยรีดหรือไง อยู่มาได้ไงน่ะ" เธอออกจะงง เพราะเครื่องแบบนักเรียนมัธยมปลายแบบในการ์ตูนญี่ปุ่น คือมีเสื้อเชิ้ตข้างในแล้วมีเสื้อคล้ายสูททับ มองยังไงก็ต้องรีด

"ตอนโคโค*ไม่เคยรีดเสื้อหรือไง" เธอถามกลับไปอีก สงสัยว่าตอนอยู่รร.ม.ปลาย เขาไม่รีดเสื้อหรือไงกันนะ

"ไม่เคย จะรีดทำไมล่ะ" คนถามกลับส่งหน้างงๆ มาให้

"แล้วเธอใส่เสื้อยังไงยะ น่าเกลียด ใส่ทั้งยับๆ น่ะเหรอ" เธอเองก็ไม่เคยสังเกตว่าฝ่ายนั้นใส่เสื้อเรียบหรือไม่เรียบเสียด้วย

"ก็ใส่เชิ้ต ใส่เสวตเตอร์ทับ ใครจะมาเห็นล่ะว่ามันยับ" ซกมกจริงๆ เพื่อนฉัน

"แล้วหน้าร้อนทำไง" หน้าร้อนที่นี่ร้อนเสียยิ่งกว่าเมืองไทย อย่าว่าแต่เสวตเตอร์ตัวนอกเลย แค่เชิ้ตขาวตัวเดียวก็เหงื่อตก แถมโรงเรียนของเธอ ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นโรงเรียนมัธยมของรัฐอันดับต้นๆ ของญี่ปุ่น กลับไม่มีเครื่องทำความเย็น ไม่มีแม้แต่พัดลมเพดานด้วยซ้ำ

"หน้าร้อนใครเขารีดเสื้อกัน เชย" เป็นงั้นไป

"ผู้หญิงเขารีดทุกคนย่ะ มีแต่ผู้ชายมั้งที่ไม่รีด" ก็เธอต้องมานั่งหลังขดหลังแข็งรีดเองอยู่ตั้งสามปี ตลอดเวลาที่เรียนม.ปลาย

"ช่างเหอะ วันนี้ต้องรีดละ พรุ่งนี้มีงานเลี้ยงของคลับ" คนตอบท่าทางไม่ใส่ใจ

"คลับอะไร เทนนิสหรือแดนซ์" เธอถามกลับ เพราะอีกฝ่ายนั้นเป็นนักกิจกรรมตัวยง อยู่ทั้งชมรมเทนนิส และชมรมเต้นรำ ทั้งที่เรียนอย่างเดียวก็หนักพออยู่แล้ว

"แดนซ์ กำลังเลือกอยู่ว่าจะใส่เสื้อสีอะไรดี"

"มีอะไรมั่งอะ"

"ม่วง ทอง ชมพู" โห มันไปหามาจากไหนกันเนี่ยแต่ละสี เฮ้อ

"ทุเรศทั้งนั้นเลย" เธอให้ความเห็นตรงๆ

"สีอ่อนโว้ย" ท่าทางคนตอบมีโมโห ก่อนจะพูดเองเออเอง

"ทองดีกว่า"

"ทองแบบไหนอะ แบบพระเหรอ" เธอก็ยังจินตนาการไม่ออกอยู่นั่นเอง

"สีทองจางๆ น่ะ สีเบจมากกว่ามั้ง วาวนิดหน่อยเอง"

"แล้วไป พูดซะตกใจ" แต่ก็ยังไม่หายสยอง ต้องถามต่อให้แน่ใจ

"แหม แล้วเสื้อเธอแต่ละสี ม่วง ชมพู แน่ใจนะว่าไม่ได้ไปยืมไอ้อ๋ามา" คนที่เธอกล่าวถึงเป็นรุ่นน้องที่รู้กันทั่วว่าเป็นชายแต่ใจหญิง เพราะเสื้อผ้าแต่ละชุดนั้นวิลิศมาหรา อลังการอย่างที่ผู้หญิงแท้ๆ ยังไม่กล้าใส่ มีเฟอร์ฟูฟ่องอย่างนี้ เป็นลายงู ลายเสือดาวอย่างนี้

"จะบ้าเหรอ" อีกฝ่ายส่งหน้าโกรธมาให้ ก่อนจะตอบต่อว่า

"สีม่วงพี่ซื้อมาให้ตอนที่มาเที่ยวน่ะ ส่วนสีชมพูซื้อเอง"

"บ้านเธอนี่รสนิยมหวานจริงๆ นะ"

"เดี๋ยวจะฟ้องพี่" อีกฝ่ายตอบกลับ ก่อนจะบอกมาอีกว่า

"เดี๋ยวมานะ จะไปยืมเตารีดต้อม"

"นี่เธอไม่มีแม้แต่เตารีดเหรอยะ ต๊าย" ต้องเยาะเย้ยไว้ก่อน

"ก็บอกว่าไม่เคยรีด จะมีเตารีดไว้ทำไมวะ เอ๊อ" คนตอบคงหงุดหงิด เพราะส่งรูปหน้าโกรธมาให้สามหน้าติดๆ กัน ก่อนจะเงียบหายไปจริงๆ


สิชลยิ้มให้จอคอมพิวเตอร์อย่างขันๆ ใครเคยเห็นผู้ชายน่ารักบ้าง ผู้ชายที่ทำท่าแง่งอนเหมือนเด็กๆ ขี้อ้อน ขี้อิจฉา จนบางทีก็น่ารำคาญไปหน่อย แต่เธอก็ยังว่ามันน่ารักอยู่นั่นเอง เพราะไอ้ความงอแงของเขานี่แหละที่ทำให้เธอหัวเราะได้อยู่ทุกที

คนที่อีกฝ่ายบอกว่าจะไปยืมเตารีด เป็นเพื่อนในรุ่นเดียวกันที่เรียนเก่งไม่แพ้เขา โดยเป็นที่หนึ่งของรุ่นไปคนละสายวิชา ต้อมเรียนเศรษฐศาสตร์ ขณะที่เวย์เรียนวิศวะ ความเก่งไม่แพ้กันนี่แหละที่ทำให้ได้เข้าเรียนในมหาวิทยาลัยอันดับหนึ่งของญี่ปุ่น ที่แม้แต่คนญี่ปุ่นเองยังเข้าไม่ได้ง่ายๆ

คอยดูนะ เดี๋ยวกลับมานายเวย์คงมีเรื่องต้อมมานินทา ตามแบบของคนเก่งที่ไม่กินเส้นกัน ก็อิจฉาเค้าน่ะแหละ รู้หรอก เพราะอีกฝ่ายทั้งหล่อกว่า เท่กว่า มีคนมาตามกรี๊ดมากกว่า นายเวย์ก็เลยอิจฉาอยู่กลายๆ แต่ก็ไม่จริงจังอะไร คงเป็นการแสดงออกที่โอเวอร์ตามแบบเขามากกว่า

"กลับมาแล้ว" หน้ายิ้มมาก่อนเลย ก่อนจะพิมพ์มาอีก

"ต้อมเปลือย" นั่นไง ว่าแล้วมันต้องนินทา สิชลหัวเราะก๊ากกับคำที่อีกฝ่ายใช้

"หา เธอไปแอบดูมาละซิ"

"บ้าเด่ะ ตอนไปถึงมันนุ่งผ้าเช็ดตัวอยู่ สงสัยจะอาบน้ำ"

"เออจริง" นินทาด้วยก็ได้ฟะ คนคิดพิมพ์ต่อ

"เมื่อก่อนเวลาไปหามันที่บ้านก็เจอนุ่งผ้าเช็ดตัวบ่อยๆ"

"โรคจิต ชอบโชว์" นั่นไง ได้ทีเอาใหญ่เลยนะ

"ก็เค้ามีอะไรให้โชว์นี่นะ"

"ไม่มี เรายังมีมากกว่าอีก"

"มีอะไร" พูดออกมาได้ สิชลนึกขันๆ ก่อนจะรู้ว่าเข้าทางอีกฝ่ายจังเบอร์

"ถ้าอยากรู้เดี๋ยวไว้ดูเวลาเราไปละกันนะ" ตามมาด้วยหน้ายิ้มขยิบตา ตาบ้า เข้าโซนติดเรทแล้วไง

"ไม่ต้องย่ะ ไม่อยากดู" คนคิดพิมพ์อย่างฉุนๆ โดยไม่รู้ว่าตัวเองหน้าแดงขึ้นมาทันตาเห็น

"จริงอ้ะ"

"เออ"

"ผู้หญิงอะไร พูดไม่เพราะ" ตามมาด้วยหน้าโกรธ สิชลกลั้นยิ้ม

"ไปโหลดหนังดีกว่า" เธอต้องเปลี่ยนเรื่อง ก่อนที่จะเกิด..เมา..ในอารมณ์กันขึ้นมาอีก

"โหลดอะไร"

"แฮร์รี่"

"ภาคใหม่เหรอ"

"อืม"

"จาก KaZaA เหรอ"

"อืม"

"ไหนวันก่อนบอกว่าโหลดมาแล้ว" จำแม่นจริงนะ เธอบอกมาตั้งอาทิตย์กว่าแล้ว

"มันผิดอะ มันกลายเป็นหนังโป๊" เธอตอบอย่างเซ็งๆ หากท่าทางอีกฝ่ายจะสนใจ

"เหรอๆๆๆๆๆๆ อย่าลบนะ" คนพิมพ์ๆ ไม้ยมกยาวเหยียด

"จะเก็บไว้ทำไม น่าเกลียดจะตาย" เธอเบ้ปาก ลบไปเรียบร้อยแล้วล่ะย่ะ เสียใจด้วย

"น่าเกลียดแค่ไหน มีเซนเซอร์ป้ะ" แหม ตาลุกเลยนะไอ้เวย์

"น่าเกลียดมาก เห็นถึงไส้ติ่งเลยย่ะ" หมั่นไส้คนตาลุกจริงๆ

"ลงดิสค์ไว้ก่อนนะ จะเอาๆๆๆๆๆๆๆ" ไม้ยมกยาวขึ้นอีก

"จะเอาไปทำไม ไปโหลดเองซิยะ มีเยอะแยะไม่ใช่เหรอ" ถามเพราะรู้จักอีกฝ่ายดี

"อยากเห็นไส้ติ่ง ไม่เคยเห็นง่ะ" เขาตอบมาด้วยหน้าอายๆ สิชลหัวเราะก๊าก

"ไปผ่าออกมาดูไป๊ ลบไปแล้วย่ะ เสียใจด้วย"

"โด่เอ๊ย น่าจะเก็บไว้ก่อน" คนตอบทำหน้าโกรธ ผู้ชายนี่เป็นงี้ทุกคนหรือไงนะ

"ลามก" เธอไม่รู้จะหาคำอะไรมาด่าดี ก่อนจะบอกเขาไปอีก

"ไปโหลดละนะ เดี๋ยวค่อยกลับมาคุย ไปรีดผ้าซะดิ"

หากครู่หนึ่งฝ่ายนั้นก็ถามมาอีก

"ดูทีวีอยู่ปะ"

"เปล่า มีไรเหรอ" เธอไม่สนใจ

"มีริงกุอะ ภาคญี่ปุ่นนะ"

"ดูแล้ว อยากดูภาคฝรั่งมากกว่า" เธอเปิดโทรทัศน์ดูภาพยนตร์ผีเรื่องนั้นผ่านๆ อย่างไม่ใส่ใจ จริงๆ จะว่าไปก็เพราะกลัวจนไม่อยากดูต่างหาก

"อยากดูเหมือนกัน" เขายิ้มกลับมา

"ไม่อยากเท่าไหร่ละ กลัวนอนคนเดียวไม่ได้" เธอต้องรีบดักคอ ก่อนที่อีกฝ่ายจะชวนดู เธอไม่ค่อยถูกกับหนังผีเท่าไหร่เสียด้วย ถ้าไปดูเดี๋ยวเขาก็เยาะเย้ยให้เหมือนเคย ทั้งๆ ที่เขาเองก็กลัวพอๆ กันนั่นแหละ

"ไปดูกันมะ" นั่นไง ว่าแล้วเชียวมันต้องชวน

"ไม่เอา ดูแฮร์รี่ดีกว่า ดูริงกุแล้วไม่อยากนอนคนเดียว"

"ไหนว่าโหลดมา"

"ก็มันเห็นหน้าแฮร์รี่ไม่ชัดนี่หว่า ยังโหลดไม่เสร็จอีกตะหาก จะเป็นหนังโป๊อีกรึป่าวก็ไม่รู้" เธอพิมพ์ยาวเหยียดอย่างเบื่อๆ

อีกฝ่ายเงียบไปนาน จนเธอคิดว่าเขาคงกลับไปรีดผ้าต่อแล้ว หากครู่หนึ่งก็พิมพ์มาอีก

"นอนกันมั้ย"

สิชลมองนาฬิกา สามทุ่มกว่าๆ เป็นไปไม่ได้ที่นกฮูกพันธุ์แท้อย่างอีกฝ่ายจะนอนในเวลาอย่างนี้

"จะนอนแล้วเหรอ" เธอถามงงๆ

"ก็บอกไม่อยากนอนคนเดียว ก็นอนด้วยกันไงล่ะ" ตาบ้า สิชลหัวเราะพรืดอย่างอดไม่อยู่ วันนี้เอาใหญ่เลยนะ

"ฉันกลัวน้ำลายเธอน่ะ" อีกฝ่ายได้ชื่อว่าเป็นคนที่พูดแล้วน้ำลายกระเด็นได้มากอย่างประหลาด เพราะความช่างพูด ช่างฝอย จนบางทีก็ออกท่าทางใส่อารมณ์จนโอเวอร์ไปมาก ท่าทางน่าขันนั้นไม่มีใครเลียนแบบได้เหมือน

แถมถ้าตัวเองนอนน้ำลายไหลเปียกหมอน ก็มีการเอาตัวเองมาแฉได้อย่างหน้าตาเฉย เล่าได้ละเอียดลออจนคนฟังทนไม่ได้ไปเอง แล้วเจ้าตัวก็จะขำอย่างมีความสุข คนอะไรซกมกมหัศจรรย์ จนเธอสาบานกับตัวเองได้เลยว่าไม่เคยเจอคนประหลาดขนาดนี้มาก่อนตลอดยี่สิบปีที่โตมา แต่เขาก็ประหลาดแบบน่ารักๆ อยู่ดี แค่อาจจะเป็นในสายตาเธอคนเดียวเท่านั้นเอง

"ไม่ตายหรอก"

"ซกมก" เธอย่นจมูกใส่คอมพิวเตอร์

"ไม่ต้องกลัว อีกไม่กี่วันก็จะไปนอนที่บ้านดิวแล้วล่ะน่า" อีกฝ่ายยังมีหน้าส่งรอยยิ้มล้อๆ มาให้

"ใครบอกว่าจะให้นอน จะให้ไปนอนบ้านพี่คิมตะหาก"

"พี่คิมที่เป็นเกย์น่ะเหรอ ไม่เอาโว้ย" ตามมาด้วยหน้าโกรธเชียว

"ฉันไม่ให้นอนย่ะ ซกมกอย่างเธอ"

"ไม่ซกมกหรอก วันนี้ก็อาบน้ำแล้ว"

"บอกว่าไม่ให้นอน" เธอก็บอกไม่ถูกว่าทำไมจึงไม่อยากให้เขามานอนค้าง ทั้งๆ ที่เป็นเพื่อนกันมานานปี ไปนอนห้องกันและกันมาไม่รู้ว่ากี่ครั้งต่อกี่ครั้ง โดยที่ก็ไม่มีใครคิดอะไรอยู่แล้ว ด้วยความที่แทบจะเรียกได้ว่า โตมาด้วยกัน เพราะมาเรียนที่นี่ตั้งแต่อายุเพิ่งสิบห้า คบกันมาโดยไม่เคยแยกเพศว่าใครเป็นหญิงใครเป็นชาย ด้วยความที่ยังเด็กกันอยู่นั่นเอง


ในหมู่พวกเธอเองเรียกได้ว่าคงจะเป็นนักเรียนอายุน้อยที่สุดที่ต้องมาไกลบ้านตั้งแต่เพิ่งจบมัธยมต้น จึงจับกลุ่มกันเองอย่างเหนียวแน่น ด้วยความที่โตขึ้นมาที่นี่ บางครั้งความคิดความอ่านจึงอาจต่างออกไปจากคนไทยคนอื่นๆ จนบางทีก็ไม่ค่อยได้ไปรวมกลุ่มกับใคร นอกจากอยู่ในสังคมแคบๆ ของนักเรียนด้วยกัน

สังคมที่ทุกคนยังคงเป็นเด็กอยู่อย่างเมื่อวันวาน แทบจะไม่มีใครรู้สึกว่าตัวเองโตขึ้นตามวันเวลาที่ผ่านไป เมื่อยังคงไปนอนห้องเพื่อนได้อย่างหน้าตาเฉย หากคราวนี้ เธอก็บอกตัวเองไม่ได้ว่าทำไมจึงไม่อยากให้เขามานอนค้าง

อาจเป็นเพราะอะไรบางอย่างมันเปลี่ยนไปแล้ว.. กับวันคืนที่หมุนเวียนไป

"ทำไมไม่ให้นอน จะนอนอะ" คนโดนปฏิเสธคงเริ่มงอแง เพราะส่งหน้าร้องไห้ตามมาแล้วสองหน้า

"ไม่เอา น่าเกลียด"

"ไม่เอา จะนอน น่าเกลียดตรงไหน นอนกันมาตั้งเท่าไหร่" ดูมันพูด

"นี่ พูดดีๆ นะ ใครมาเห็นจะคิดยังไงยะ"

"ก็จะนอนอะ ทำไมไม่ให้เรานอน แล้วก็นี่พิมพ์ตะหาก ไม่ได้พูดซะหน่อย" โอ๊ย ตาบ้านี่น่ารำคาญจริงๆ นะ

"ไม่ให้นอนเว้ย อย่ามาอ้อนซะให้ยาก"

"ใจร้าย" มุขเก่าอีกแล้ว หน้าร้องไห้มาเป็นพืด

"ไม่เอา ไปอาบน้ำละ เวย์ไปรีดผ้าไป" เธอตัดบทอย่างขันแกมรำคาญ ก่อนที่ตัวเองจะใจอ่อน เพราะความ..เมา..ในอารมณ์ขึ้นมาอีก

"ตกลงไม่ให้นอนเหรอ" ร้องไห้มาเชียว

"เออ"

"ใจร้ายที่สุด คอยดูนะ จะไม่ซื้อของไปฝาก" หน้าโกรธมาเลย

"ไม่อยากได้ย่ะ"

อีกฝ่ายส่งหน้าร้องไห้มาอีกยาวเหยียด ก่อนจะเงียบหายไป


สิชลปิดหน้าต่างmsn ลงอย่างขันๆ ก่อนจะหันไปเปิดตู้เสื้อผ้าแบบบิลด์อินเพื่อเตรียมเสื้อผ้าอาบน้ำ

หากก็ต้องชะงักมือเมื่อเห็นที่นอนสำรองที่พับเก็บอยู่ในนั้น เจ้าตัวอมยิ้ม วางเสื้อผ้าที่ถืออยู่ ก่อนจะยกที่นอนทั้งชุดออกมาคลี่ดู

ไม่มีคนมาค้างที่บ้านนานแล้ว ที่นอนชุดนี้คงมีฝุ่นจมเลย สงสัยพรุ่งนี้ต้องเอาออกมาปัดฝุ่น ผึ่งแดดเสียหน่อยแล้ว คนคิดหันไปค้นผ้าห่มอีกผืน ฝุ่นจมอีกเหมือนกัน นี่ก็ต้องซักเสียหน่อย ไม่งั้นนายเวย์คงได้จามทั้งคืน

สิชลวางที่นอนทั้งชุดลง ก่อนจะหันมาคิดลำดับว่าต้องทำอะไรบ้าง ซักผ้าห่ม ผึ่งที่นอน ต้องดูดฝุ่นพรมด้วยซินะ ไม่งั้นโดนบ่นแน่ๆ เดี๋ยวต้องขัดหัวเตาแก๊สด้วย กับต้องซักพรมเช็ดเท้าเสียหน่อย เอ หรือจัดโต๊ะในครัวใหม่ด้วยดีกว่า

คนคิดไม่รู้หรอกว่าตัวเองกำลังยิ้ม แถมกำลังเตรียมการต้อนรับคนที่กำลังจะมาได้เป็นฉากๆ โดยที่เธอเพิ่งจะปฏิเสธหัวเด็ดตีนขาด ไม่ยอมให้เขามานอนอยู่เมื่อครู่นี้เอง..

ผ้าปูที่นอนสีครีมอย่างนี้นายเวย์จะชอบมั้ยนะ...




-----------------------------------------------------------------

หมายเหตุ
*โคโค คือโรงเรียนมัธยมปลาย ย่อมาจากคำเต็มๆ ว่า โคโตกักโค ค่ะ


Create Date : 25 มิถุนายน 2551
Last Update : 26 มิถุนายน 2551 1:35:35 น. 0 comments
Counter : 715 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

โยษิตา
Location :
Kobe Japan

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




เป็นคนไทย แต่ระหกระเหินมาใช้ชีวิตตัวคนเดียวที่ประเทศหมู่เกาะประเทศหนึ่ง กินเวลาสิบกว่าปีแล้ว ยังไม่รู้จะได้กลับเมื่อไหร่ (โถ่)

เป็นคนจับจดมาก อยากทำไปทุกอย่าง แต่ทำไม่ได้ดีซักอย่าง รู้น้อยกว่าเป็ด ควรจะเรียกว่ารู้อย่างลูกเป็ด หรือไข่เป็ด

ที่แน่ๆ ชอบอ่านกระทู้พันทิป มากถึงมากที่สุด



Longer - Dan Fogelberg
Group Blog
 
 
มิถุนายน 2551
 
1234567
891011121314
15161718192021
22232425262728
2930 
 
25 มิถุนายน 2551
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add โยษิตา's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.