Group Blog
 
 
เมษายน 2550
1234567
891011121314
15161718192021
22232425262728
2930 
 
19 เมษายน 2550
 
All Blogs
 
South Africa - Zimbabwe - Zambia : Part Three (Final)


วันที่แปดของทริป (9/5/05) – ตะลุยป่าซาฟารี

อากาศตอนเช้าใน Jo’burg ช่วงพฤษภาคมยังหนาวอยู่เลยประมาณ 7-8 องศาได้ เมื่อคืนตอนเจอเจ้าของบ้านเราได้ขอจองห้องเพิ่มไว้ ว่าตอนขากลับจาก Kruger พวกเราจะกลับมาค้างที่ Diamond Digger Backpacker houseนี่อีก เพราะติดใจหลายๆอย่าง ( สมราคา, สะอาด , สะดวก , ปลอดภัย, เจ้าของนิสัยดี) เอาห้องนั่งเล่นมาให้ดูก่อน



พวกเราสามคนพร้อมออกเดินทางด้วยพาหนะคู่ใจ ตั้งแต่เจ็ดโมงเช้า




เราออกจาก Jo’burg ด้วย Freeway เพื่อที่จะได้ขับผ่านเส้น Panorama view ซึ่งเป็นเส้นทางที่สวยจริงๆ เป็นทุ่งหญ้า สลับแนวเขาที่ดูแล้วคล้ายๆ canyon แต่เป็นสีเขียว ดูแล้วเพลินตาดี






มีแหล่งท่องเที่ยวอยู่สองแห่งในเส้นทาง Panoramic นี้ ที่แรกมีชื่อเรียกว่า “God’s window” ซึ่งมีจุดเด่นอยู่ที่แท่งหินปูน (pinnacle) ซึ่งเกิดขึ้นมาเองตามธรรมชาติ



(ก่อนมา South Africa ไม่เคยมีภาพพวกนี้อยู่ในหัวเลย นึกว่ามีแต่ทุ่งหญ้าซาฟารี )

แหล่งท่องเที่ยวแหล่งที่สองที่อยู่บนเส้นทาง Panoramic ก็คือ Blyde River Canyon ซึ่งอยู่ในเขต Mpumalanga วิวที่นี่สวยแปลกตามาก











พวกเราต้องทำเวลานิดนึงเพราะบ่ายสองโมงแล้วยังไปไม่ถึงทางเข้าเขตอุทยานแห่งชาติ Kruger National Park เลย สำหรับ 3 วันใน Kruger นี้เราเริ่มต้นเข้ามาจากทางประตู Phalaborwa Gate คืนแรกพักที่ Letaba camp แล้วลงทางใต้ คืนที่สองค้างที่ Satara แล้ววันที่สามขับต่อลงไปเพื่อไปออกที่ Crocodile bridge gate



เมื่อมาถึงที่ประตูทางเข้าอุทยานเราต้องแสดงหลักฐานการจองที่พักในแค้มป็ให้เจ้าหน้าที่ดู ม่ายงั้นก็ต้องจ่ายค่าผ่านทางสำหรับนักท่องเที่ยวแบบไปเช้าเย็นกลับ แต่ถ้าเรามีใบจองที่พัก ก็ไม่ต้องจ่ายที่ประตู เพราะยังไงเวลาที่จ่ายค่าบ้านพัก เค้าจะคิดค่าธรรมเนียมการใช้อุทยานในอัตราต่อวันอยู่แล้ว



หน้าหนาวประตูจะเปิดช้า และปิดไว เพราะช่วงเวลากลางวันสั้น เวลาเปิดปิดประตูจะแจ้งไว้ที่ทุกทางเข้า



เรามีแวลาอยู่ 2 ชั่วโมงกว่าประตูแค้มป์ที่เราจองไว้จะปิด (ตอนเข้าเขตอุทยานก็บ่ายสามโมงครึ่ง แล้วแค้าแจ้งไว้แล้วว่าประตู letaba camp ซึ่งเราจะไปค้างคืนนี้ปิด ห้าโมงครึ่ง
พอเข้าประตูอุทยานมาเราต้องทำตามกฎก็คือห้ามขับเกิน 40 km / Hr. เพราะรถกับสัตว์ใช้ถนนเดียวกัน บางทีขับๆอยู่ก็จะมีสัตว์โผล่ออกมา เดินข้ามถนนตัดหน้ารถเลย เพราะฉะนั้นรถต้องขับให้ช้า พร้อมหยุดทุกเมื่อ พอเข้าเขตอุทยานมา เราซึ่งนั่งเฉยๆอยู่ข้างหลังก็มองซ้ายมองขวา ส่องสัตว์ คนขับหมดสิทธิ์ มองได้แต่ข้างหน้า เนวิเกเตอร์ก็มีอู้งานมาส่องสัตว์มั่งเหมือนกัน ตัวแรกที่ออกมาต้อนรับเราคือ Impala (ซึ่งวันต่อๆมาเห็นจนเบื่อเลย)



แต่วันแรกในทุ่งซาฟารีเห็นแค่สองตัวแรกนี่ก็ตื่นเต้นกันแล้ว ขับไปอีกสักพักก็เจอ ม้าลาย



และแล้วเพื่อนตัวโตก็ปรากฏกายมาให้เห็น



ตอนที่เหลือเวลาอีกครึ่งชั่วโมงก่อนประตูแค้มป์จะปิด คุณTang ก็ต้องขอแหกกฎมั่งด้วยการเหยียบให้เร็วขึ้นนิดนึง เราไปถึงแค้มป์ ก่อนประตูจะปิดสิบนาที เวลาที่ปิดประตูเค้าปิดลงกลอนเลยนะ เป็นประตูไม้ใหญ่ๆ ที่ต้องปิดประตูแค้มป์ก็คือไม่ให้สัตว์เข้ามาในเขตแค้มป์ และไม่ให้นักท่องเที่ยวออกไปรบกวนเวลามันออกมาหากิน (ถ้าอยากออก ต้องซื้อทัวร์ของทางอุทยาน แล้วก็นั่งเป็นรถบรรทุกใหญ่ของอุทยานออกไปพร้อมกับเจ้าหน้าที่ของเค้า

เมื่อเราถึง Letaba camp เราก็ทำการ check-in โดย show ใบจองที่พักที่เราได้ทำการจองผ่าน //www.sanparks.org มาไว้ก่อนหน้าที่จะเดินทางมาถึง แล้วก็จ่ายเงิน (จะชำระด้วยบัตรเครดิตก็ได้) รับกุญแจ พร้อมแผนที่ในแค้มป์ แล้วก็ขับรถไปจอดหน้ากระท่อมที่พักได้ ภายในเขตแค้มป์ก็จะมีร้านอาหาร ซุปเปอร์มาเก็ต ขายทั้งอาหารสด อาหารกระป๋อง รวมทั้งของที่ระลึก เราจะทำอาหารกินเองก็ได้ ก็เช่าอุปกรณ์พวก หม้อ กระทะ จาน ชาม ทุกอย่างพร้อมจัดไว้เป็นกล่อง สำหรับให้เช่า วันละ SAR 10 (ประมาณ 60 บาทไทย) แล้วเค้าจะมีบริเวณปรุงอาหาร (communal kitchen)ไว้ให้หลายจุด ตรงที่ปรุงอาหารก็จะมีหม้อต้มน้ำร้อน ซึ่งจะมีน้ำร้อนเดือดๆให้บริการตลอด 24 ชม. มีเตาไฟฟ้า และมีอ่างล้างจาน

บ้านพักก็มีให้เลือกหลายแบบ หลายราคา ของพวกเราหน้าตาเป็นแบบนี้








คืนแรกขี้เกียจทำกินเองก็เลยไปกินที่ร้านอาหารของ แค้มป์ เค้าคิดหัวและ SAR100 เป็น dinner set กินเสร็จก็ไปจองทัวร์ตอนช้าสำหรับวันรุ่งขึ้น

วันที่เก้า – Kruger National Park

จองทัวร์ของทางอุทยานไว้เลยต้องตื่นแต่ตีสี่ครึ่ง อากาศหนาวสุดๆ รถบัสเปิดโล่ง คันสูงก็รอพวกเราอยู่ ทั้งคันมีแค่พวกเราสามคน บนรถเค้ามีผ้าห่มไว้ให้ เพราะเวลารถวิ่งยิ่งหนาวเข้าไปใหญ่ ไกด์ขับพาออกไปนอกประตูแค้มป์แล้วก็ให้พวกเราถือสปอร์ตไลท์ ไว้ส่องสัตว์กัน แต่เค้าจะสอนว่าอย่าไปส่องใส่ตาสัตว์เพราะจะทำให้มันตาบอดได้ และจะทำให้สัตว์นักล่ามองเห็นมันได้ถนัด เค้าจะให้ส่องผ่านๆ ดูว่ามีตาสะท้อนมามั้ย ส่องเจอแต่ตาสีเขียว ซึ่งก็เป็นพวก Impala ช้างก็มี คุณไกด์บอกว่ามันแล้วแต่ดวง บางวันก็ไม่เจออะไรเลย บางวันออกจาก แค้มป์แป๊บเดียวก็เจอแล้ว พอฟ้าสางก็มาจอดแวะพักอยู่ตรงใกล้ๆ แม้น้ำ letaba river แล้วคุณไกด็ก็คว้าปืน พาพวกเราลงจากรถมายืนสูดอากาศบริสุทธ์ แล้วก็ก้มลงคว้าแมลงหน้าตาประหลาดมาให้เราดู มันเรียกว่า Amour Cricket (ถ้าไม่ได้มากับเจ้าหน้าที่ ห้ามลงจากรถเด็ดขาด! จะลงจากรถได้เฉพาะในบริเวณที่มีป้ายบอกว่าเป็นจุดชมวิว แต่เค้าก็จะเขียนเตือนไว้อีกว่าลงจากรถ on your own risk)



พอกลับถึงแค้มป์ ก็เก็บกระเป๋าเพื่อย้ายที่เพราะคืนนี้เราจะมุ่งลงทางใต้ของ Kruger national park ไปค้างที่ Satara camp

สัตว์ที่เจอระหว่างทางก็มีช้าง ม้าลาย นกเงือก ไก่ป่า impala/ spring bok ยีราฟ










เราแวะกินข้าวเที่ยงกันที่ Olifant camp ชื่อ Olifant แปลว่า Elephant



เพราะฉะนั้นที่นี่จะมีช้างแยะ พอกินข้าวเที่ยงในภัตตาคารของแค้มป์ ก็ไปยืนส่องสัตว์ ที่ลงมากินน้ำ



เราเห็นช้างฝูงนึง




และที่ขาดไม่ได้ ในแม่น้ำต้องมี Hippo!





หลังจากกินอิ่มและส่องสัตว์จนสมควรแก่เวลาเราก็เดินทางต่อเพื่อไปให้ถึง Satara camp ก่อน camp gate จะปิด (การวางแผนการเดินทางจากแค้มป์นึง ไปอีกแค้มป์นึงสำคัญมากต้องวางแผนกะเวลาให้ดีๆ เพราะถนนใน อุทยานเค้าไม่ให้ขับเร็ว แล้วต้องเผื่อเวลาว่าเจอสัตว์น่าสนใจ แล้วหยุดรถส่องดู หรือถ่ายรูป )

พอเข้าเขต Satara จะเจอยีราฟบ่อย แต่ละบริเวณสภาพป่าจะแตกต่างกันทำให้สัตว์ที่เราจะพบก็ต่างกันไปด้วย



zebra crossing



baobab tree ต้นไม้ประจำถิ่น



ระหว่างที่กำลังส่องซ้าย ส่องขวาว่ามีตัวอะไรให้ดูบ้าง ทันใดนั้นก็มีเสือดาวโผล่ขึ้นมาจากพงหญ้าข้างทาง Tang รีบเหยียบเบรค ทั้งสามคนในรถนั่งตะลึงอื้งเงียบ ไม่ดุกดิกเล้ย เพราะไม่นึกว่าจะเจอ one of the big five ได้ง่ายหยั่งงี้ (big five = lion, leopard, elephant, rhino, buffalo) พอได้สตินึกได้ว่าต้องถ่ายรูป กว่าจะคว้ากล้องมันก็เริ่มเดินหายเข้าพงหญ้าอีกฝั่งถนนไปแล้ว ถ่ายได้แต่ส่วนหลังไวๆ เวลาดูรูปต้องสังเกตให้ดีๆ สีจะเหลืองเข้มกว่าหญ้า แล้วก็จะมีจุดสีดำบนตัว



พอขับมาอีกพักนึงก็เห็นมีรถจอดเอาหัวทิ่มเข้าข้างทางหลายคัน บางคันเป็นพวกช่างภาพมืออาชีพ เราก็เปิดกระจกถามลุงฝรั่งว่าดูอะไรกันเพราะมองไม่เห็น ลุงก็ชี้บอกว่าให้มองไปที่พุ่มไกลๆโน่นนนนน มีสิงโตนอนหมอบอยู่ ด้วยความอยากดูจัดก็ให้คุณพี่ Tang จอดทิ่มเข้าข้างทางมั่ง แล้วเราก็เปิดกระจกลงยื่นตัวออกมาเพื่อยืนส่องกล้อง แต่มองไม่เห็นมีอะไรเลย เห็นแต่หญ้า กับพุ่มไม้ ลุงแกก็พยายามบอกนะว่าพุ่มที่สอง เราส่องแล้วส่องอีกก็ไม่เห็น Lim ลองส่องผ่านเลนส์มั่งก็ไม่เห็น พวกเราเลยถอดใจ เลิกเป็น ไทย-จีนมุง (เราเฉยๆเพราะเจอสิงโตอย่างใกล้ชิดมาแล้ว แต่สองหนุ่มยังไม่ได้เห็น เลย อดซะ

หลังจากนั้นตอนใกล้ๆจะถึงแค้มป์ก็มีสัตว์อื่นๆ ที่ไม่เหมือนที่ letaba ก็ได้แก่

hyena




kudu




waterbuck




มาถึง Satara camp เกือบๆห้าโมงเย็น ตอนเช็คอินก็ถามเค้าว่าคืนนี้มี night safari tour มั้ยเค้าบอกว่ามี แล้วก็ยังมีที่ว่าง ถ้าจองก็ให้มารอรถตอนทุ่มนึง พวกเราก็ตกลงจอง (เช้ามืดก็ส่องสัตว์ กลางคืนก็ส่องอีก หวังว่าคืนนี้คงมีอะไรให้ดูบ้างหน่ะ)

เราเอารถไปจอดใกล้ๆบ้านพัก (ที่นี่จอดข้างหน้าบ้านไม่ได้)


เข้าซุปเปอร์ ซื้อเส้นสปาเก็ตตี้ กับมะเขือเทศกระป๋อง แล้วก็ไส้กรอก เอาไว้ทำสปาเก็ตตี้กินก่อนไปส่องสัตว์ ก็เหมือนกันทุกๆแค้มป์ใน Kruger เราสามารถเช่าอุปกรณ์หุงต้ม พร้อมถ้วย จาน ช้อน ซ้อมได้) แล้วก็ไปทำอาหารที่ครัวกลาง (communal kitchen)ที่เค้าจัดไว้ให้ในแต่ละโซน ทำเสร็จก็ยกมากินที่หน้ากระท่อมแล้วก็เอากลับไปล้างที่ครัว

พอทุ่มนึงพวกเราพร้อมอุปกรณ์กันความหนาวก็พร้อมไป ส่องสัตว์อีกรอบแอบหวังว่าจะมีสิงโตมาให้ดูพอรถบรรทุกออกจากแค้มป์ (คืนนี้ที่นั่งเกือบเต็มคันเลย) ไกด์ก็สอนวิธีส่องไฟสปอร์ตไลท์อีก ว่าอย่าไปส่องใส่ตาสัตว์ เราไม่ได้ถือไฟ เรานั่งข้างหน้าเลย จะได้เห็นก่อนคนอื่น คืนนั้นเห็นกระต่ายป่า , wild cat, hyena (เป็นฝูง) รัง hyena ที่พอดีอยู่ข้างทาง มีลูกอยู่ด้วย แล้วก็ช้าง หลังจากนั้นก็ตีตั๋วหลับเลยเพราะไม่เจออะไรอีกเลย ............เซ็ง ไกด์ บอกว่าสงสัยอากาศหนาวสัตว์เลยไม่ยอมออกมา กลับมาถึงแค้มป์ประมาณสี่ทุ่มก็รีบอาบน้ำนอนเลย เพราะง่วงสุดๆ ( มีน้ำอุ่นให้อาบ สบายสุดๆ แล้วก็ในห้องนอนมีแอร์ที่ปรับให้เป็น heater ได้ คืนนั้นเลยหลับสบาย)

วันที่สิบ – วันสุดท้ายใน Kruger National Park

วันนี้ก็รีบตื่นแต่เช้าอาบน้ำ กินอาหารเช้า (มาม่าใส่ไข่) เก็บของเสร็จมารอออกจาก camp ตอนประตูเปิด แต่ไม่ลืมที่จะเติมน้ำมันก่อน (ใน rest camp ใหญ่ๆจะมีปั้มน้ำมันให้บริการ) วันนี้เป็นวันสุดท้ายใน kruger national park เราขับออกจาก satara มุ่งลงทางใต้ผ่าน lower sabie เพื่อไปออกที่ด่าน crocodile bridge gate

ระหว่างที่ขับออกมาจากแค้มป์สักพัก เราก็เลือกที่จะไปวิ่งใน secondary road ด้วยความหวังว่าวันสุดท้ายแล้วอยากเห็น big five ให้ครบ (ยังขาด แรด สิงโต แล้วก็ควาย)
และแล้วก็ไม่ผิดหวัง หลังจากขับไปไม่นานก็เจอควายป่า (buffalo) ยืนกินหญ้าอยู่สองตัว พวกเราตื่นเต้นถ่ายรูปกันใหญ่เลย แล้วพอเลี้ยวมาอีกนิ๊ดเดียวก็ตะลึง เมื่อพบว่ามันไม่ได้มีแค่สองตัว มันมีเพื่อนกินหญ้าอยู่ในทุ่งอีกเป็นร้อย ในรูปที่เห็นก้อนดำๆอยู่บนทุ่งหญ้ามันคือควายค่ะ



หลังจากนั้นความตื่นเต้นก็กลายเป็นความกลัวเมื่อพบว่าส่วนหนึ่งของฝูงกำลังเดินอยู่บนถนน ทั้งข้างหน้าและข้างหลัง กลัวมันตะลุยมาพังรถมากๆ (แต่ก็รอดมาได้ด้วยดี เพราะเราจอดดูมันข้ามถนนอย่างสงบเสงี่ยม ปิดแฟลชกล้องถ่ายรูป ไม่บีบแตรไล่ และไม่เปิดกระจก ) ระหว่างที่รอให้มันข้ามถนนหมด ก็เหลือบไปเห็นนกเอี้ยงเลี้ยงควายเฒ่า สังเกตุนกให้ดีๆ






พอพ้นฝูงควายมาได้เราก็กลับออกไปวิ่งบนเส้นถนนหลัก ก็มองเห็นตัวอะไรก็ไม่แน่ใจ ใหญ่พอๆกับลูกช้างกำลังหันก้นมาให้เรา พอเราขับไปใกล้จะถึง มันก็เริ่มเดินเข้าป่าไป พอเห็นใกล้ๆหน่อยค่อยรู้ว่ามันคือ white rhino เราถ่ายมาได้แต่ข้างบั้นท้ายมัน เห็นมั้ย สีแดงฝุ่น



หลังจากนั้นอีกนานเลยก็ไม่ได้เจออะไรอีก จนเกือบจะถึงทางออกก็เจอฝูง Warthog ถ่ายมาได้ค่อนข้างชัดอยู่รูปนึง หน้าตามันคล้ายๆหมูป่า แต่เขี้ยวมันทะลุเพดานปากโผล่ออกมาให้เห็น



ตอนวันแรกที่เข้าเขต kruger สัตว์ตัวแรกที่เจอก็คือ Impala พอจะถึงทางออกก็เจอ Impala แต่คราวนี้มันกำลังต่อสู้อย่างดุเดือด เพื่อแย่งเป็นจ่าฝูง (ที่รู้เพราะไกด์ตอน morning drive safari บอกไว้ว่า Impala ฝูงนึงจะมีตัวเมียอยู่ประมาณ 12-14 ตัว แต่จะมีตัวผู้อยู่ตัวเดียว ซึ่งมันคือตัวผู้ที่ต่อสู้แล้วชนะมา ถ้าหากเราเห็นฝูงเล็กๆที่มีแต่ตัวผู้ พวกนั้นเป็นพวก looser ก็ต้องมาตั้งชมรมอยู่กันเอง ตอนที่สองตัวนี้สู้กันเสียงเขากระทบกันเสียงดังมาก ขนาดปิดกระจกยังได้ยินเสียงชัดเจนเลย



ตอนมาถึงประตู crocodile bridge gate ก่อนออก เราจะต้องเปิดท้ายรถให้เจ้าหน้าที่ตรวจดูว่าเราไม่ได้ลักลอบเอาอะไรออกไป สิ่งที่พวกเราสงสัยก็คือว่าชื่อ crocodile bridge แล้วมันมีไม๊ จระเข้ หน่ะ เราที่นั่งเฉยๆอยู่ข้างหลังก็พยายามส่องชะเง้อดู แล้วพอใกล้ๆถึงปลายสะพาน ก็เห็นอยู่ตัวนึง คุณพี่ Tang เลยจอดรถมันกลางสะพานเพื่อลงไปดู เพราะฝั่งคนขับมองไม่เห็น ในรูปให้สังเกต ตรงเกาะกลางภาพ มีไอ้เข้นอนผึ่งแดดอยู่หนึ่งตัว




วันนี้เราจะกลับไปค้างที่ Diamond diggers house ใน Jo’burg พอใกล้ๆถึงเมือง เรื่องตื่นเต้นก็เกิดขึ้นเมื่อ คุณพี่ Tang ออกผิด Exit หลุดเข้าไปในบริเวณที่เค้าเรียกว่า New Town บรรยากาศมาคุก็เกิดขึ้นเมื่อสองข้างถนนมีแต่ตึกแถวร้านค้า และมีแต่คนดำเดินเต็มถนน รถบนถนนส่วนใหญ่เป็นรถตู้ที่บรรทุกคนดำเต็มคันรถ หาผิวขาว ผิวเหลืองนี่ไม่มีเลย ระหว่างคลำทางกันอยู่ พวกรถตู้ที่อยู่ข้างๆก็มองพวกเราหยั่งกับเป็นตัวประหลาด แถมพวกคนขับยังบีบแตรใส่ด้วย คุณNavigator – Lim ของพวกเราก็รีบเปิดดูแผนที่ แต่ปรากฏว่าในแผนที่ ตรง New Town ที่เราเลี้ยวเข้ามานั้นมันไม่มี รายละเอียดให้ดูเลย แล้วก็นึกได้เปิดหาเอกสารที่พิมพ์มาจากอินเตอร์เนตว่าบริเวณที่ถือว่าเป็น “no go zone” สำหรับนักท่องเที่ยว พอเห็นว่ามีชื่อเขต new town อยู่เท่านั้นแหละอยากเขกกะบาลคนขับจิงๆ อุตส่าห์พิมพ์มาให้อ่านแล้ว (มีขีดไฮไลต์สีเหลืองไว้ด้วย) ก็ยังหลงเข้ามาจนได้ แต่ก็ไม่อยากกดดันคุณพี่มาก เพราะตอนนั้นเค้าก็ขับอย่างเครียดเลย เพราะไม่รู้ว่าถนนที่กำลังขับอยู่มันจะไปถึงไหน แล้วเมื่อไหร่จะถึง exit กลับไปถนนหลักได้อีก Lim พยายามเพ่งในแผนที่เค้าบอกว่ามันมีเส้นบางๆนับได้ 12 เส้น เค้าเลยเดาว่าเราต้องขับผ่านอีก12 แยกถึงจะถึงทางออกถนนใหญ่ แล้วก็จริงๆด้วย กว่าจะคลำทางกลับไป Diamond diggers house ได้แทบแย่ เราต้องไปเติมน้ำมันให้เต็มถังก่อนคืนรถให้บริษัทรถเช่า

คืนสุดท้ายเค้าจัดห้องใหญ่พิเศษให้ (แต่คิดราคาเดีม) ห้องนี้วิวดีด้วยแหละ



วิวตอนกลางคืน




ดูอีกทีตอนเช้า




แล้วก็สำหรับคนที่มี lonely planet ตอนปีที่แล้วที่ไป เค้าจะไปส่งที่สนามบินให้ฟรี (ปกติเค้าจะไปรับจากสนามบินมาที่พักฟรี แต่จากที่พักไปสนามบินจะคิดตังค์ ) พอดีตอนหาที่พัก ก็เข้าไปดูตรงหน้า recommended accommodation ใน website ของ lonely planet เค้ามีเขียนบอกไว้ว่าที่dimond digger มีบริการพิเศษให้ลูกค้าจาก lonely planet คืนนั้นเพวกเราก็แจ้งทางเจ้าของไปว่าเราจะcheck out กี่โมงแล้วก็จะให้เค้าไปส่งที่สนามบินกี่โมง และไม่ลืมที่จะถามซ้ำว่าถ้ามี lonely planet ส่งฟรีจิงป่าว เค้ายิ้มแล้วบอกว่า Absolutely!!!!! ของฟรีอย่างงี้พวกเราชอบ

วันที่สิบเอ็ด – End of the trip

วันนี้ไม่ได้ทำอะไรแล้วนอนกันเต็มที่ไปถึงสนามบินก็เดินดูของฝาก พวกเสื้อ หมวก แล้วก็ซื้อ impala in can, springbok in can เก็บมาจนถึงตอนนี้ยังไม่กล้าเปิดออกมากินเลย







Create Date : 19 เมษายน 2550
Last Update : 28 พฤษภาคม 2550 2:28:28 น. 8 comments
Counter : 1406 Pageviews.

 
สุดยอดเลยค่ะ เป็นอีกที่หนึ่งที่เราอยากไปมาก ๆ
ได้อ่าน ได้ดูภาพ สวยมาก เล่าเรื่องได้มีรสชาติ
สนุกสนานต่นเต้นเหมือนได้ไปด้วยจริง ๆ
สัตว์ป่าเยอะเนาะ น่ารักมาก

ขอบคุณที่นำมาเล่าให้ฟังค่ะ ต่อมอิจฉาทำงานหนักเลยค่ะ


โดย: ชิงดวง วันที่: 19 เมษายน 2550 เวลา:0:59:03 น.  

 
อ่านปัยดูรูปไปเพลินเลยคะ

สวยจัง บรรยากาศน่าเที่ยวมาก

ถ้ามีโอกาศ และ มีคนไปด้วยอยากจะไปสักครั้ง

คงตื่นเต้นน่าดูเลยเวลาเจอ big 5 ^^



โดย: fonejank วันที่: 19 เมษายน 2550 เวลา:9:31:44 น.  

 
ตื่นเต้น น่าสนุกจังเลยค่ะ ได้เห็นสัตว์แปลกๆ

เดี๋ยวตามไปอ่านหน้าเก่าๆก่อนนะคะ


โดย: ตรีนุช3903 วันที่: 19 เมษายน 2550 เวลา:21:14:29 น.  

 
สวยจังเลย น่าไปเที่ยวนะเนี่ย

ดีจังเจอสัตว์เยอะแยะ


โดย: ดาว..กลางวัน วันที่: 19 เมษายน 2550 เวลา:22:38:18 น.  

 
โห...ไปแอฟริกาใต้มา น่าจะมาแวะที่แอฟริกาตะวันตกบ้างน้า น่านะ อีนู๋ชินรออยู่ ว่าแต่....ชอบภาพบั้นท้ายของน้องฮิปโปจังเลย...เหมือนของชิน


โดย: shin chan (alei ) วันที่: 5 พฤษภาคม 2550 เวลา:11:38:23 น.  

 
ชินมาตอบนะคะ ที่เขาไม่ไว้ข้างหน้าเพราะแม่ทำงานไม่ถนัด สอง เอาลูกซบอกอันใหญ่ๆ ของแม่ เด็กอึดอัดหน้าดู สาม หน้าท้องของแม่ที่ยื่นออกมา หนูๆ บ่นกันว่าไม่ถนัด จะเกี่ยวจะเกาะลำบากค่ะ แต่ขอบคุณมากนะคะที่สนใจค่ะ


โดย: shin chan (alei ) วันที่: 10 พฤษภาคม 2550 เวลา:2:54:51 น.  

 
สวยมากค่ะ มีเวปภาษาไทยให้ศึกษามั้ยค่ะ สนใจมากค่ะ


โดย: dream IP: 203.118.105.163 วันที่: 26 กันยายน 2550 เวลา:15:38:14 น.  

 
เพิ่งจะเห็นว่ามีคนมาเม้นท์เพิ่มในบล๊อกนี้

คุณ dream คะ (ไม่รู้จะกลับมาอ่านหรือเปล่า) เรื่องเวปภาษาไทย หมายถึงเกี่ยวกับ3 ประเทศนี้คงมีแต่คิดว่าไม่น่ามีข้อมูลเรื่องท่องเทียวมากนัก (แต่เคยเห็นหนังสือนำเทียวภาษาไทย เกี่ยวกับประเทศอาฟริกาใต้ อีกสองประเทศไม่คิดว่าจะมีคนเขียนถึงนะคะ)


โดย: princess gig วันที่: 22 ตุลาคม 2550 เวลา:21:59:14 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

princess gig
Location :
Doha Qatar

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Friends' blogs
[Add princess gig's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.