Group Blog
 
 
เมษายน 2550
1234567
891011121314
15161718192021
22232425262728
2930 
 
2 เมษายน 2550
 
All Blogs
 
South Africa - Zimbabwe - Zambia : Part One


ไปมาตั้งแต่ปีที่แล้วเขียนไว้แต่ยังไม่ได้มีโอกาสพิมพ์ให้เป็นเรื่องเป็นราว พอมี blog เป็นของตัวเอง เลยได้โอกาสเอาที่จดๆไว้มาใส่ใน blog ซะที

ทริปนี้ประกอบไปด้วยสองหนุ่ม (หนึ่งโสด +หนึ่งไม่โสด) กับหนึ่งสาว (ข้าเจ้าเอง ..) ตอนวางแผนเที่ยวคุณพี่เค้าจัดการ เราไม่สนเลยขออย่างเดียวว่าต้องมี safari trip ให้เท่านั้นพอ นอกนั้นตามแล้วแต่ท่านผู้นำจะพาไป ทริปเราจะเริ่มต้นที่Cape Town ใน South Africa แล้วไป Zimbabwe – Zambia แล้วค่อยกลับมา Johannesburg

พวกเราไปถึง Cape Town ประมาณ 8 โมงเช้าของวันที่ 2/5/06 ที่ South Africa นี้คนไทยถ้ามาเที่ยวจะได้ Visa on arrival 30 วันค่ะ

วันแรกที่ Cape Town

พอเดินออกมานอกอาคารสนามบินก็รู้สึกว่า ซวยล่ะตูเตรียมแต่เสื้อไป Safari ไม่ได้เอาเสื้อกันหนาวหนาๆมาเลย เพราะไม่นึกว่า Cape Town มันจะหนาวอย่างนี้ (ช่วงที่ไปประมาณ 10 องศา) ก็อย่างที่บอกว่า ทริปนี้ไม่ได้เลือก ก็เลยไม่ค่อยสนใจจะหาข้อมูลเท่าไหร่ เค้าให้มาเที่ยวก็มาอย่างเดียวเลยรู้อย่างเเดียวว่าจะได้มาท่องป่า ซาฟารี โชคยังดีที่ไม่ต้องยืนข้างนอกนาน เพราะรถตู้ของ hostel ที่เราจองกันไว้ก็มารับ ที่พักนี้ได้มาจาก website ของ lonely planet ตรง recommended accommodation เค้าว่าดีสะอาด ปลอดภัยก็เอาเลย ระหว่างทางก็ถามคนขับรถว่าวันนี้ขึ้น Table Mountain ได้หรือเปล่า เค้าก็โทรศัพท์ไปเช็คให้แล้วหันมาบอกว่าขึ้นได้ (ถ้าวันไหนอากาศไม่ดี cable car จะปิด ดังนั้นก่อนไปถึงก็ควรโทรเช็คก่อนจะได้ไม่เสียเวลา) ที่พักน่ารักมากเป็นลักษณะบ้านสองชั้นขนาดใหญ่ มีทั้ง double bed สำหรับมาเป็นคู่ ส่วนหนุ่มโสดเค้าจองแบบ Dorm ซึ่งประหยัดกว่าแล้วก็จะได้เพื่อนใหม่ๆด้วย



ที่พักที่เราเลือกอยู่ไม่ไกลจาก Waterfront Victoria Wharf (จะได้ไปหาซื้อของกินได้ง่ายๆ)



พอเก็บของเสร็จเราก็ลงมาที่ reception ให้เค้าช่วยติดต่อรถเช่วให้ การเช่วรถขับเองจะทำให้เราไปไหนมาไหนคล่องตัวกว่า และปลอดภัยกว่า คือว่าที่ South Africa นี้ไม่ค่อยเหมาะที่จะเดินเที่ยว โดยเฉพาะถ้าเป็นผู้หญิงไปกันเองคนสองคนยิ่งไม่แนะนำใหญ่ แต่ที่ Cape Town นี่ถือว่ายังไม่อันตรายมาก อย่างดีก็แค่พวกมาเดินตื้อขอสตางค์ แต่ที่นั่นเค้ามีอาสาสมัครรักษาความปลอดภัย ในแหล่งที่นักท่องเที่ยวไปกันเยอะๆ จะคอยเดินตรวจความเรียบร้อย แต่ก่อนไปพอรู้มาบ้างจาก website เราเลยไปหาซื้อสเปรย์พริกไทยมาพกติดตัวไว้เลย แล้วก็ซื้อนกหวีดแจกคนละอัน
พอเราได้รถเช่วแล้วก็มุ่งไปยัง Table Mountain ไปถึงก็ต้องซื้อตั๋วสำหรั้บขึ้น cable car ซึ่งเค้าจะขายแบบไปกลับ ราคาก็คนละ R 115 (ถ้าเป็นบาทก็คูณ 6 แต่ตอนนี้คงประมาณ 5 บาทกว่าๆ)




บนนั้นจะเป็นยอดเขาตัดที่ทำเป็นทางเดินไว้ให้ว่าเราจะเดินรอบใหญ่ รอบเล็กแล้วแต่กำลังขา บนนั้นมีสัตว์ประจำถิ่นคือตัว Dassie มันหน้าตาคล้ายๆกระรอกปนหนู แต่ตัวใหญ่พอๆกับแมว



หลังจากกลับลงมาจาก Table mountain เราไปแวะถ่ายรูปกันที่ Sea point (ที่นี่จะมีรถตำรวจจอดอยู่จนถึงหกโมงเย็น พอเห็นตำรวจกลับ คนแถวนั้นเริ่มจูงลูกกลับบ้าน เราก็รู้ตัวว่าต้องไปบ้างแล้ว เพราะพอตำรวจกลับ)

เย็นนี้เราไปกินอาหารเย็นกันใน Waterfront Victoria Mall จะได้ซื้อของในsupper market สำหรับเป็นอาหารเช้าวันรุ่งขึ้น ปกติตาม hostel จะมีครัวกลาง มีตู้เย็นไว้ให้เราจัดการทำอาหารเองได้


วันที่สอง ยังคงอยู่ใน Cape Town

หลังจากจัดการอาหารเช้ากันเรียบร้อยแล้ว เราก็มุ่งหน้าไปท่าเรือเพื่อนั่งเรือไป Seal Island (ครั้งนี้เป็นการนั่งเรือที่ทรมานมากตั้งแต่เคยนั่งเรือมาเพราะว่าเราไม่ได้เตรียมเสื้อกันหนาวหนาๆไป ถุงมือก็ไม่มี พอเรือแล่นยิ่งหนาวเข้าไปใหญ่) นั่งเรือไปประมาณครึ่งชั่วโมงก็จะไปถึงโขดหินกลางทะเลซึ่งเป็นที่อาศัยของแมวน้ำฝูงใหญ่ ส่วนใหญ่จะนอนเกลือกกลิ้งอยู่บนหินมีบ้างที่ลงไปว่ายหาปลากินทุกคนก็ถ่ายรูปกันใหญ่ มีอยู่ตัวสงสัยรู้งานเลยโพสท่ารอไว้เลย



หลังจากกลับมาที่ท่าเรือเราก็ขับรถต่อมุ่งลงไปทางใต้เพื่อไป Cape Point เป็นแหลมใต้สุดของทวีป เราผ่านเส้นทางที่สวยมากเส้นหนึ่งก็คือ Chapman’s peak ซึ่งอยู่ทางฝั่ง Hout Bay เจอตรงไหนสวยก็หยุดรถลงไปถ่ายรูปกัน



เมื่อขับมาถึงปากทางของ Cape of Good Hope natural reserve ก็ต้องหยุดจ่ายเงินค่าผ่านทางก่อน เพราะ Cape Point ที่เราจะไปกันอยู่ใน natural reserved area




อ่านแล้วอย่าเพิ่งงงนะคะชื่อมันคล้ายๆกันแต่มันเป็นคนละจุดกัน Cape Point เป็นประมาณจุดชมวิว ที่เราสามารถเดินไปเห็นประภาคารที่อยู่ใต้สุดของแหลม (Beacons of Good Hope)



ส่วน Cape of Good Hope ก็คือ
แหลมกู๊ดโฮปที่เราเคยเรียนกันสมัยประถม ว่า Vasco da gama เป็นคนแรกที่เดินทางอ้อมแหลมกู๊ดโฮปสำเร็จ ก่อนหน้านั้นไม่มีนักเดินเรือสามารถพาเรือจากยุโรปเพื่อไปยังอินเดียได้เเพราะว่าเมื่อมาถึงแหลมกู้ดโฮปเรือมักจะอัปปางเสียก่อน แหลมนี้จึงได้ชื่อว่า Cape of Good Hope หรือมีชื่อเรียกอื่นๆว่า Storm Point หรือ Cape of Storm ที่เป็นเช่นนี้เพราะแหลมนี้เป็นจุดบรรจบกันของสองมหาสมุทรก็คือมหาสมุทรแอตแลนติก กับมหาสมุทรอินเดีย พอกระแสน้ำเย็นจากแอตแลนติก มาเจอกับกระแสน้ำอุ่นจากมหาสมุทรอินเดีย คลื่นลมแถวนั้นเลยแปรปรวนและรุนแรง



กลับออกจาก Cape of Good Hope natural reserve ก่อนไปกินข้าวเย็นกันเราไปแวะที่ Simon’s town ดูแหล่งอาศัยของ African penguin เป็นหาดที่เค้ากันไว้ให้เป็นที่อยู่อาศัยของนกเพนกวิน (ไม่ใช่สวนสัตว์นะคะมันอยู่กันที่นี่มานานแล้ว) ป้องกันไม่ให้คนเข้าไปรบกวน พอเดินเข้าไปทางสะพานไม้มองไปตามใต้พุ่มไม้ พวกแม่นกกำลังฟักไข่อยู่ พอมองไปตรงพื้นทรายเต็มไปด้วยแม่ลูกอ่อน ลูกนกเพนกวินจะมีขนปุยเต็มตัวเลย มีบางตัวที่ไปว่ายน้ำเล่น ตอนมันเดินกลับขึ้นมาจากน้ำน่ารักมากเลย




วันที่สาม ก็ยังอยู่ใน Cape Town

เราเริ่มวันแต่เช้าตรู่เช่นเคย เพื่อที่จะได้ไปได้หลายๆที่ วันนี้เราไปกันที่ Robben Island ท่าเรือที่จะไป Robben Island ก็อยู่แถวๆ Waterfront วันนี้เราเตรียมพร้อมในการนั่งเรือ มีเสื้อที่พอกันหนาวได้กี่ตัวก็ใส่มันลงไปให้หมด จะได้ไม่ทรมาน เราซื้อตั๋วเที่ยวแรก ช่วงที่รอเวลาขึ้นเรือ พวกเราก็ไปเดินดู พิพิธภัณฑ์ Apartheid



บอกตามตรงกว่าก่อนหน้านี้ไม่เคยรู้จักคำนี้มาก่อนเลย พอดูเรื่องราวในพิพิธภัณฑ์ทำให้เราได้รับรู้ถึงความไม่ยุติธรรมสมัยก่อนว่าคนแอฟริกัน ซึ่งเป็นคนเจ้าของประเทศ ถูกกระทำโดยผู้ที่เข้ามายึดครอง Apartheid ก็คือการแบ่งคนตามสีผิว แยกคนดำออกจากคนขาว จำกัดสิทธิในการดำเนินชีวิตของคนดำแทบทุกอย่าง คนดำจะไม่สามารถใช้โรงพยาบาล รถเมล์ โรงเรียน ร้านอาหาร แม้กระทั่งห้องน้ำของคนขาวได้

ความสำคัญของเกาะนี้คือ เคยเป็นเกาะสำหรับคุมขังนักโทษ สมัยที่ยังอยู่ภายใต้การปกครองของอังกฤษ และที่เกาะนี้ Nelson Mandela (อดีตประธานาธิบดีคนแรกของ South Africa หลังจากที่ประเทศพ้นจากการเป็นเมืองขึ้น) เคยถูกคุมขังในฐานะนักโทษการเมืองเพราะเค้าเป็น ผู้นำในการต่อสู้เพื่อต่อต้าน Apartheid ปัจจุบันเกาะนี้ได้รับการปรับปรุงเพื่อเป็นสถานที่ท่องเที่ยว อดีตนักโทษการเมืองหลายคน ก็ยังอยู่ที่นั่น เพื่อเป็นมัคคุเทศก์ เล่าให้นักท่องเที่ยวฟังถึงเรื่องราวที่เคยเกิดขึ้นในอดีต เมื่อเรีอเทียบฝั่งสิ่งแรกที่เห็นคือ รูปสีขาวดำ ขนาดใหญ่อยู่บนผนัง ไกด์อธิบายว่าเป็นรูปกลุ่มนักโทษการเมืองชุดแรกที่มาถึง Robben Island



เรานั่งรถบัสจากท่าเรือไปยังตัวอาคาร ที่อดีตเคยเป็นเรือนจำ ที่นั่นไกด์อีกคนรออยู่ เค้าเป็นนักโทษชุดเดียวกับ Nelson Mandela เราได้ไปเห็นห้องขังที่เค้าเคยอยู่ ลานทำงานของนักโทษ



ก่อนถึงเวลาคืนรถห้าโมงเย็นยังพอมีเวลาขับรถไปถ่ายรูปใน Cape Town ได้รูปบ้านสีลูกกวาดมาฝากกัน



คืนสุดท้ายที่ Cape Town เราไปกินอาหารเย็นกันที่ Waterfront (อีกแล้ว) แต่วันนี้ตั้งใจกันไปถ่ายรูปยามค่ำคืนของ Waterfront (กะเลียนแบบในโปสการ์ดเลย) มันก็สวยไปอีกแบบ (เห็น Table Mountain อยู่ข้างหลังไกลๆมั๊ยค่ะเมฆคลุมเต็มยอดเขาเลย)



เนื่องจากคืนรถเช่าไปแล้ว คืนนี้เราต้องเดินกลับที่พักกัน ดีที่มีผู้ชายอยู่สองคนเลยค่อยยังชั่วหน่อย มีแค่พวกจะมาขอเงิน แต่ว่ามี อาสาสมัครของเมืองมาช่วยไล่ให้ พวกเราก็รีบจ้ำเดินอย่างรวดเร็ว เพราะทางเดินไม่ค่อยมีคนเดินเลยจิงๆ





Create Date : 02 เมษายน 2550
Last Update : 8 พฤษภาคม 2550 2:14:22 น. 9 comments
Counter : 1190 Pageviews.

 
ชอบที่ cape town ดูลึกลับ น่ากลัว แล้วก็น่าอยุ่ไปพร้อม ๆ กันดีอ่ะค่ะ อยากมีโอกาสได้ไปเที่ยวแบบนี้บ้าง


โดย: umi_chan (umi_chan_2 ) วันที่: 3 เมษายน 2550 เวลา:11:56:08 น.  

 
ตามมาอ่านแล้วค่ะ
ขอเก็บรายละเอียดก่อน อยากไปเที่ยวแบบนี้มั่งจัง
ไม่ทราบว่าค่าใช้จ่ายสูงมากไหมคะ


โดย: ชิงดวง วันที่: 19 เมษายน 2550 เวลา:1:04:02 น.  

 
สำหรับค่าใช้จ่ายที่ใน South Africa พอมีให้เลือกตั้งแต่ต่ำไปสูง เราเลือที่พักคืนละไม่เกินสองพัน (อย่างถูกๆไม่ถึงพันก็จะเป็นแบบ dorm แยกชายหญิง) ค่ากินเราเลือกได้ว่าจะกินถูก หรือแพง หรือจะทำกินเองก็ประหยัดดี พยายามเลือก backpackers house ที่มีห้องครัวให้ใช้ ที่แพงก็เป็นค่าเดินทาง เพราะที่ SA รถสาธารณะไม่ค่อยสะดวก การเช่ารถขับจะสะดวกที่สุด ค่าเช่าตกประมาณวันละ สองพัน (เลือกบริษัทlocal ให้โรงแรมแนะนำให้) เพราะฉะนั้นถ้าไปหลายคนก็ตัวหารเยอะราคาก็ถูกลง แต่ต้องมีผู้ชายไปด้วยนะ ไม่แนะนำให้ไปกันแต่ผู้หญิง ไม่ค่อยปลอดภัยเท่าไหร่ แต่ถ้าจะไป Zimbabwe-Zambia อันนี้บอกได้เลยว่าแพงมากเมื่อเทียบกับประเทศที่ยากจนแบบนั้น ทุกอย่างพูดเป็น USD แล้วก็ที่เราไปถือว่าประหยัดสุดแล้ว พักทีพักแบบ camp site ไม่ใช่ โรงแรม ต้องยอมกินมาม่าบ้าง จะได้มีเงินไปจ่ายสำหรับ activities ได้


โดย: เจ้าของblog (princess gig ) วันที่: 19 เมษายน 2550 เวลา:1:34:59 น.  

 
ถ่ายภาพได้สวยมากเลยค่ะ ย้งไปไม่ถึง cape town เลยค่ะ ไปแค่ Johunesburg กะ Zwasiland เอง


โดย: แมวขี้อ้อน (แมวขี้อ้อน ) วันที่: 29 พฤษภาคม 2550 เวลา:18:07:42 น.  

 
kljljlk;/l;';';l'jlhgthjtj


โดย: yuuyt IP: 210.246.181.3 วันที่: 12 กรกฎาคม 2550 เวลา:12:38:16 น.  

 
อยากไปเที่วย10 วันใช้เงินเดินทางกี่หมื่นจ๊ะ
เปิดบล็อคได้ไงเหรือจ๊ะ สอนหน่อยดิ


โดย: ชวลิต IP: 203.156.93.216 วันที่: 28 มกราคม 2553 เวลา:22:30:30 น.  

 
อยากได้รายละเอียดการเข้าประเทศแซมเบียคะ
ว่าต้องทำไงบ้างและการขอวีซ่าขอได้ที่ไหนคะ


โดย: มัชชา IP: 101.108.33.152 วันที่: 8 เมษายน 2554 เวลา:11:09:08 น.  

 
อยากได้รายละเอียดการเข้าประเทศแซมเบียคะ
ว่าต้องทำไงบ้างและการขอวีซ่าขอได้ที่ไหนคะ
อยางได้มากๆเลยค่ะ
ขอด่วนๆน่ะค่ะ
ใครรู้ช่วยบอกหน่อยคะ
ขอบคุณมากๆคะ


โดย: มัชชา IP: 101.108.33.152 วันที่: 8 เมษายน 2554 เวลา:11:19:50 น.  

 
สวัสดีค่ะ ขอรบกวนสอบถามการกรอกข้อมูลวีซ่าเข้าประเทศนี้ได้มั้ยค้า ว่า หัวข้อ 6.particular of spouse (who must complete a separate application if traveling) ถ้าเราไม่มีคู่สมรสก้ไม่ต้องกรอกอยู่แล้วใช่มั้ยค้า พอดีมีคนบอกมาว่าช่องนี้ต้องกรอกไม่กรอกไม่ได้ เลยงงค่ะ แล้วขอถามอีกขอน้าค้า 13.intended place of entry into Zimbabwe อันนี้คือใส่ชื่อเมืองของสนามบินที่เครื่องไปลงจอดใช่มั้ยค้า ขอบคุณค่ะ


โดย: เบนซ์ IP: 58.11.196.217 วันที่: 19 กุมภาพันธ์ 2557 เวลา:12:39:59 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

princess gig
Location :
Doha Qatar

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Friends' blogs
[Add princess gig's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.