" I tried my hardest just to forget everything -- Because of you ... "
Group Blog
 
<<
มกราคม 2552
 
 123
45678910
11121314151617
18192021222324
25262728293031
 
12 มกราคม 2552
 
All Blogs
 
คนไทยคนแรก...ผู้ช่วย CEO ใหญ่ IBM

คัดลอกจากประชาชาติธุรกิจ...
เปิดหัวใจแกร่ง "ศุภจี" คนไทยคนแรก ผู้ช่วย CEO ใหญ่ IBM

16 มกราคม 2552 ถือเป็นจุดเปลี่ยนในชีวิตการทำงานครั้งสำคัญของ "ศุภจี สุธรรมพันธุ์" รองประธานกลุ่มธุรกิจทั่วไป ไอบีเอ็มอาเซียน ที่ได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งผู้ช่วยประธานเจ้าหน้าที่บริหารของยักษ์สีฟ้าไอบีเอ็ม "Sam Palmisano" ที่ไอบีเอ็มสำนักงานใหญ่

โดยที่มีชื่อตำแหน่งอย่างเป็นทางการว่า "Client Advocacy Executive, Supporting IBM Chairman, President and CEO Sam Palmisano"

"ศุภจี" ไม่เพียงเป็นคนไทยคนแรกที่ได้รับมอบหมายภารกิจสำคัญดังกล่าว แต่ยังถือว่าเป็นคนอาเซียนคนแรกที่ได้ก้าวไปถึงตำแหน่งดังกล่าว นับว่าเป็นผู้บริหารหญิงที่มีความสามารถและประสบความสำเร็จในชีวิตการทำงานมาอย่างต่อเนื่อง

นับตั้งแต่เป็นผู้หญิงคนแรกที่ดำรงตำแหน่ง "กรรมการผู้จัดการ" บริษัท ไอบีเอ็ม ประเทศไทย จำกัด ด้วยอายุเพียง 38 ปี และยังเป็นคนไทยคนแรกที่ได้รับตำแหน่งรองประธานของไอบีเอ็มอาเซียน

........คำสัมภาษณ์พิเศษ "ศุภจี" ก่อนจะไปประจำอยู่ที่สำนักงานใหญ่กรุงนิวยอร์ก ซึ่งกำหนดเดินทางเมื่อ 9 มกราคม ที่ผ่านมา

***ความรู้สึกหลังได้รับตำแหน่ง
แวบแรกดีใจ เพราะเป็นโอกาสดีที่จะให้เราเห็นภาพรวมใหญ่ และแวบสอง คือ จะทำได้หรือไม่ ซึ่งตอนแรกก็ถามว่าตำแหน่งผู้ช่วยมีกี่คน พอทราบว่ามีแค่คนเดียวก็กังวลพอสมควร


**กังวลเรื่องอะไร

กลัวทำให้เขาไม่ได้ เพราะคนที่เราต้องไปทำงานด้วยเป็นซีอีโอของบริษัท มีภารกิจสำคัญที่ต้องตัดสินใจเยอะ เราเป็นคนจัดลำดับงาน ถ้าจัดให้เขาไม่ดีอาจจะกระทบกับทั้งองค์กร


**จัดการกับความรู้สึกอย่างไร
ต้องศึกษางานใหม่ ดูว่าต้องทำอย่างไรบ้าง ทำการบ้านเยอะมาก อย่างไรก็ตาม การที่กลัวหรือกังวลนั้นถือว่าเป็นสิ่งที่ดี เพราะทำให้ก่อนรับงานต้องศึกษาอย่างละเอียด ทั้งส่วนของคน องค์กร การบริหาร และการรับโอนงานจากผู้ช่วยคนเก่าของแซม ซึ่งเราต้องเข้าถึงฐานข้อมูลได้หมดทุกอัน เพราะต้องทำงานประสานกับทุก ๆ ฝ่าย เตรียมพร้อมข้อมูลในการจัดประชุมผู้บริหาร ดูข้อมูลลูกค้า และสิ่งสำคัญ คือต้องทราบวัตถุประสงค์การนัดหมายของซีอีโอ ว่าทำไมต้องไปพบ และควรไปหรือเปล่า เพราะไม่จำเป็นต้องไปหมดทุกงาน


~0~ กับงานใหม่ ตำแหน่งใหม่ที่ท้าทาย อะไรล่ะคือสิ่งที่ต้องทำเป็นลำดับแรก?
คำตอบข้างต้นน่าจะเป็นแบบอย่างที่ดี...
ทำการบ้านกับงานใหม่สิ...ต้องรู้ทุกอย่างที่จะต้องทำ และต้องรู้อย่างละเอียดด้วย
พูดง่ายน่ะ...แต่ตอนทำไม่น่าจะง่าย!!




***คิดว่าทำไมตัวเองถึงได้รับเลือกกับตำแหน่งนี้
เขาไม่ได้บอกอะไร แต่คาดว่าคงดูที่ผลงานทั้งข้างหลังและข้างหน้า ดูว่าที่ผ่านมาเราทำอะไรมาบ้าง และข้างหน้าเรายังทำงานไปได้อีกมากน้อยแค่ไหน เพื่อที่จะสามารถนำไปพัฒนาให้เป็นประโยชน์แก่องค์กรมากขึ้น เพราะถ้าเอาคนที่ไปทำแล้วเป็นตำแหน่งสุดท้ายของชีวิตคงไม่เอา อย่างไรก็ตาม ในการทำงานทุกตำแหน่งขึ้นกับว่าเราทำได้ดีแค่ไหน ถ้าทำได้ไม่ดีก็จะเหลือแต่ข้างหลัง


~0~ จริงสิน่ะ...ถ้าไม่มีผลงานที่สะสมมาโดยตลอด ที่เรียกว่าผลงานข้างหลัง อะไรจะบอกได้ล่ะว่ามีฝีมือ?
ยิ่งมีมากเท่าใด ยิ่งรับประกันได้ว่ามีฝีมือมากจริง ๆ ไม่ใช่ของปลอมที่มีแต่ราคาคุย..
ส่วนผลงานข้างหน้า...ที่บอกว่า "เอาไปทำแล้ว เป็นตำแหน่งสุดท้ายของชีวิต..." อย่างนี้เห็นอยู่บ่อย ๆ
ชนิดที่เรียกว่าแต่งตั้งเพราะอาวุโสสูงสุด...มีมาก และมีบ่อยจริง ๆ
และมุมมองของคนที่ถูกแต่งตั้ง เขาก็คิดจริง ๆ ล่ะว่า...อยากจะได้ตำแหน่งนี้เพื่อเป็นรางวัลสูงสุดของชีวิตก่อนจะเกษียณ!!
เขาคิดด้านเขา....
แต่องค์กรล่ะ?
องค์กรควรคิดอย่างไร.....ก็น่าจะเป็นอย่างที่ว่า "...ข้างหน้าเรายังทำงานไปได้อีกมากน้อยแค่ไหน เพื่อที่จะสามารถนำไปพัฒนาให้เป็นประโยชน์แก่องค์กรมากขึ้น"....
เพราะ...นี่คืองาน ที่ต้องทำ...ไม่ใช่ให้ตำแหน่งเป็นรางวัล แล้วงานจะเป็นอย่างไรก็ชั่ง!!



***มีการสัมภาษณ์ก่อนหรือเปล่า
ไม่มีการสัมภาษณ์ แต่เมื่อครั้งประชุมไอบีเอ็มที่สิงคโปร์ ซึ่งเป็นครั้งแรกที่แซมเดินทางมาสิงคโปร์ หลังจากที่ได้รับตำแหน่งซีอีโอ บนโต๊ะกินข้าวก็ได้นั่งติดกับแซม ก็ได้คุยกันเรื่องสัพเพเหระ เรื่องลูก เรืองเมืองไทย เรื่องงานน้อยมาก ไม่ใช่สัมภาษณ์อะไร แต่ก็อาจะเป็นการสัมภาษณ์กลาย ๆ วันนั้นก็ประทับใจ เพราะเขาเป็นคนที่เข้าถึงง่าย ไม่ได้มีพิธีการอะไรมากมายและรักครอบครัว



~0~ การคัดเลือกผู้บริหารระดับสูงของบริษัทใหญ่ ๆ บางครั้งใช้วิธีที่เรียกว่า Informal เพราะดูจะได้อะไรมากกว่า
ดังนั้น...กับโอกาสที่ไม่เป็นทางการหลายต่อหลายครั้ง ไม่ควรปล่อยให้หลุดลอยไป
ต้องทำให้ดีที่สุด...ตั้งใจทำทุกเรื่อง แสดงออกถึงความเป็นตัวตนของตัวเองให้มากสุด
เพราะนั่นอาจเป็นภาพลักษณ์ที่ผู้บริหารระดับสูงเก็บบันทึกไว้เพื่อคัดเลือกในการแต่งตั้งในลำดับต่อไป!




***ถือเป็นงานที่ท้าทายที่สุดหรือไม่
ตอนนี้ก็ใช่ เพราะทุกครั้งที่ได้รับงานใหม่มีความรู้สึกว่ามีความท้าทายขึ้นทุกที พอเปลี่ยนงาน ต้องมีความรับผิดชอบขึ้น เพราะเป็นพื้นที่ที่เราไม่รู้จัก ก่อนหน้าที่จะมาเป็นกรรมการผู้จัดการ แล้วต้องมาดูแลภูมิภาคก็ท้าทายที่สุดในเวลานั้น ก็ไม่รู้ว่าต่อไปจะมีอะไรท้าทายมากกว่านี้อีกไหม



~0~ ความรู้สึกท้าทาย เป็นแรงผลักดันที่จะมุ่งมั่นไปข้างหน้าอย่างสนุก!




***เป้าหมายในชีวิตการทำงาน

เป้าหมาย คือ ทำงานให้มีประโยชน์สูงสุด เป้าหมายในใจก็มี 3 ส่วน คือ เป้าการเติบโตในแง่ของธุรกิจต้องเติบโตชิงส่วนแบ่งการตลาดมาจากคู่แข่งให้ได้เป็นเป้าหมายในด้านกำไร เงินทอง 2.การสร้างทีมให้มีความสามารถ หมายถึงการให้คนมีทักษะมีการสร้างองค์กรให้แข็งแรงและเติบโตให้ได้ เมื่อมีคนย้ายออกไป คนที่มาทำงานแทนจะต้องไม่มีปัญหา ต้องเตรียมเอาไว้ สุดท้ายคือการทำงานที่มอบให้กับสังคมและองค์กรภายนอก รวมถึงการบรรยายตามมหาวิทยาลัยต่าง ๆ เพื่อจะได้เอาความรู้ไปช่วย



~0~ จริงสิน่ะ...ไม่ว่างานอะไรก็ตาม เป้าหมายสูงสุดก็คือ ..ทำงานให้มีประโยชน์สูงสุด!!
บ่อยครั้งในการสอบสัมภาษณ์เลื่อนขั้น มักจะมีคำถามเหล่านี้อยู่บ่อย ๆ
คำตอบที่ดีเท่านั้นจึงจะทำคะแนนให้น่าสนใจต่อกรรมการได้
ส่วนแรก...ถ้าไม่มีเป้าหมายทำกำไร ทำรายได้ ให้องค์กรเจริญเติบโต ก็ไม่รู้จะแต่งตั้งไปทำไม?
ส่วนที่สอง...มุ่งแต่ผลงาน โดยละทิ้งทีมงาน ใช้งานคนจนหยดสุดท้าย องค์กรจะแข็งแรงได้อย่างไร?
สุดท้าย...ถ้าตนเองได้ ก็ควรเผื่อแผ่คนอื่น ๆ บ้าง ชนิดที่กินคนเดียวไม่เจือจานใครเลย คงหาคนคบได้อยู่หรอก!
ทั้งสามข้อ จึงเป็นคำตอบตัวอย่างที่น่าจดจำยิ่ง!!




***เป้าหมายส่วนตัว
อยากทำประโยชน์ให้สังคม เพราะความรู้เก็บไว้คนเดียวไม่มีประโยชน์ ต้องถ่ายทอดการทำงานเป็นการสอน คิดว่าถ้าไม่ทำงานแล้ว อยากจะสอนหนังสือ จะสอนให้ผู้บริหารมีคุณธรรม มองภาพรวม ไม่ใช่มองแต่จุดประสงค์ทางธุรกิจอย่างเดียว อยากทำตรงนี้มากขึ้น ทุกวันนี้ก็ทำอยู่แล้ว ปัจจุบันก็สอนอยู่เฉพาะที่จุฬาฯ ธรรมศาสตร์เท่านั้น


~0~ ปัจจุบันผู้บริหารบางคนที่เห็น....มองจุดประสงค์ทางธุรกิจอย่างเดียว จริง ๆ !!!




****ไปอยู่ในตำแหน่งนี้คิดว่ามีประโยชน์ต่อประเทศอย่างไร
การที่เราได้เห็นการบริหารงานของบริษัทไอทีระดับโลก และยิ่งช่วงนี้โลกเจอวิกฤตหลาย ๆ ด้าน การที่ไอบีเอ็มจะดำเนินไปในทิศไหนมันกระทบกับแนวโน้มอุตสาหกรรมไอทีของโลก เพราะไอบีเอ็มเป็นคนเซตเทรนด์ของโลกไอที รวมถึงจะได้เห็นเทรนด์ของคู่แข่งแบรนด์อื่น ๆ ด้วย
การที่เราได้นั่งอยู่ตรงนั้น จะทำให้เห็นว่าทำไมเขาตัดสินใจอย่างนั้น และจะเกิดผลกระทบอะไรบ้าง เมื่อกลับมาเมืองไทยก็จะได้รู้วิธีและรู้ว่าจะทำอย่างไรให้ไอทีบ้าเนราไปในทิศทางอย่างนั้นได้
มากกว่านั้น จะได้เห็นการตัดสินใจในช่วงยากลำบากที่กำลังเผชิญกับวิกฤตจะเลือกลงทุนอย่างไร ตรงไหนตัดออก ตรงไหนเข้า น่าจะเป็นประสบการณ์ที่ดี
ประโยชน์อีกอย่าง คือทำให้เขารู้จักเมืองไทย รู้ว่าอยู่ตรงไหน คนไทยมีศักยภาพทำงานตรงนั้นได้ แล้วอยู่ตรงนั้น สามารถสร้างภาพอีกภาพหนึ่งของคนไทย





***สิ่งที่ได้จากไอบีเอ็ม

ไอบีเอ็มเน้นเรื่องพัฒนาคนเยอะมาก เรื่องทรัพย์สิน สิทธิบัตรใหม่ ๆ เกิดขึ้นใหม่ตลอดเวลา เพราะเราต้องหาเรื่องใหม่ ๆ อยู่ตลอด แต่สิ่งที่ทำให้เราแตกต่างจากคู่แข่ง คือคนต้องมีทักษะและเป็นสิ่งที่ลูกค้าต้องการ เวลาส่วนใหญ่เราให้กับเรื่องการบริหารเรื่องคน โดยเฉพาะทักษะสำคัญมาก ถ้าคนโอเค โครงสร้างโอเค งานไม่ต้องทำอะไรมาก แต่ถ้าคนและโครงสร้างไม่โอเค ทำงานแค่ไหนไม่เกิดผล


~0~ ก็จริงน่ะ...ถ้าคนโอเค โครงสร้างโอเค ดูเหมือนง่ายน่ะ!!
แต่จริง ๆ เรื่องคน ก็คือเรื่องใหญ่ เป็นปัจจัยสำคัญของการสร้างงาน สร้างผลงาน ...ถ้าทีมงานแข็งแรงเสียอย่าง อะไร ๆ ก็ง่ายไปหมด
แล้วจะมีทีมงานที่แข็งแรงได้อย่างไร...ถ้าไม่สร้างเอง??
รอให้คนอื่นสร้าง หรือเก็บตกจากที่คนอื่นสร้างไว้ให้??
สำหรับโครงสร้าง....น่าจะหมายถึงกระบวนการ วิธีการ และทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นกรอบของงาน..
ถ้า...คิดไว้แล้ว วางplan ไว้แล้วว่าโครงงาน โครงสร้างจะเป็นอย่างไร
และทุกคนในกระบวนการยอมรับ...และเดินไปในทิศทางเดียวกัน
ถึงเวลา...ก็คงเหมือนเครื่องจักร ที่เปิดสวิทซ์แล้ว...เครื่องก็จะเดินเองตามวัฏจักรหมุนรอบของมัน...
ไม่จำเป็นต้องไปคอยควบคุม ดูแลอะไรให้มากอีก
ว่าแต่ว่า....โครงสร้างที่ว่านั้นจะสร้างอย่างไรให้ดี ให้แน่น และ fit กับงานและคนที่มีอยู่ จนสามารถสร้างผลงานให้รุ่งโรจน์ชัชวาลได้??




***มีหลักบริหารงานกับครอบครัวอย่างไร
คนส่วนใหญ่จะใช้หลัก "Work life balance" เพื่อสร้างสมดุลชีวิตกับการทำงาน งาน 8 โมง - 5 โมงเย็น หลังจากนั้นเป็นเวลาครอบครัว แต่เราบัญญัติศัพท์ใหม่ Work life integration การผสมผสานกันระหว่างชีวิตกับการทำงาน อยู่ในที่ทำงานก็ทำเรื่องส่วนตัวได้ เช่น เมือลูกมีปัญหาสามารถโทรคุย ส่งแฟกซ์ ส่งอีเมล์มาถามการบ้านได้ เวลาอยู่ที่บ้านก็ทำงานได้ ตอนนี้เป็นโมบายออฟฟิศ ทำงานที่ไหนก็ทำได้ ไปโรงเรียนก็ตัดสินใจเรื่องงานได้ ต้องทำอย่างนี้ชีวิตถึงจะไปได้ เพราะชีวิตการทำงานของเราเป็นแบบอินเตอร์เนชั่นแนลโซน ไม่สามารถทำงาน 8 โมง - 5 โมงเย็นได้ จึงต้องผสมผสานและต้องไม่เครียด
และหลักสำคัญคือ ไม่เคยคิดว่าสิ่งที่ทำคือการทำงาน แต่เป็นส่วนหนึ่งในการใช้ชีวิต


มุมหนึ่งคือการผสมผสาน...ระหว่างชีวิตส่วนตัวกับการทำงาน
แต่อีกมุมหนึ่ง ชีวิตส่วนตัวอาจถูกแบ่งไปกับการทำงานมากว่า...
สำหรับคนที่ยัง enjoy กับงาน...นั่นคือเรื่องสนุก และมีอะไรให้ต้องทำอีกมาก...
นั่นคือความก้าวหน้า ความท้าทายอย่างไม่มีวันหยุดนิ่ง...
สำหรับคนที่อยากจะ "พอ"...อาจมองเป็นอะไรที่มากเกินไป
แต่...สำหรับคนที่ยังรักความก้าวหน้า
อะไรก็ตาม..ที่มานะได้มากกว่าคนอื่น น่าจะได้เปรียบกว่าน่ะ!!



Create Date : 12 มกราคม 2552
Last Update : 13 มกราคม 2552 22:05:44 น. 2 comments
Counter : 884 Pageviews.

 
ขอบคุณที่เอามาให้อ่านกันนะคะ


โดย: deepriver IP: 118.173.74.84 วันที่: 17 มกราคม 2552 เวลา:22:25:02 น.  

 
แวะมาอ่านคับ


โดย: Huntingdon วันที่: 30 มกราคม 2552 เวลา:6:51:45 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

icechick
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




เพลง “ Because Of You ”

นักร้อง “ Kelly Clarkson ”



เนื้อเพลง


I will not make the same mistakes that you did

will not let myself cause my heart so much misery

I will not break the way you did You fell so hard

I learned the hard way, to never let it get that far

Because of you

I never stray too far from the sidewalk

Because of you

I learned to play on the safe side So I don't get hurt

Because of you

I find it hard to trust

Not only me, but everyone around me

Because of you

I am afraid

I lose my way

And it's not too long before you point it out

I cannot cry

Because I know that's weakness in your eyes

I'm forced to fake a smile, a laugh

Every day of my life

My heart can't possibly break

To take your heart away

Because of you

I never stray too far from the sidewalk

Because of you

I learned to play on the safe side So I don't get hurt

Because of you

I find it hard to trust

Not only me, but everyone around me

Because of you

I am afraid

I watched you die

I heard you cry

Every night in your sleep

I was so young

You should have known better than to lean on me

You never thought of anyone else

You just saw your pain

And now I cry

In the middle of the night

Over the same damn thing

Because of you

I never stray too far from the sidewalk

Because of you

I learned to play on the safe side So I don't get hurt

Because of you

I find it hard to trust

Not only me, but everyone around me

Because of you

I am afraid

-------

ขอขอบคุณ:: http://www.esnips.com, Blog ป้ามด

________________

________________

________________

________________


LifE MessageS '' Zz ~~*

----

>> 1st Day : ทุกชีวิตย่อมมีปัญหา ปัญหามีมาให้แก้ ไม่ใช่มีมาให้กลัดกลุ้ม...

---

>> 2nd Day : อย่าโกรธฟุ่มเฟือย อย่าโกรธจุกจิก อย่าโกรธไม่เป็นเวลา และอย่าโกรธมาก จะเสียสุขภาพกาย และสุขภาพจิต

---

>> 3rd Day : ควรหัดพูดคำว่า “ไม่เป็นไร” ให้เคยปากมากกว่าการพูดคำว่า “จะเอายังไง”

---

>> 4th Day : นึกไว้เสมอว่าการโกรธ 1 นาที จะทำให้ความทุกข์อยู่กับเธอ 3 ชั่วโมง

---

>> 5th Day : ทะเลาะกับใครๆ พร้อมรอยยิ้ม เรื่องราวจะจบง่ายกว่าที่คิดเยอะ

---

>> 6th Day : ชม เกินจริง = เป็นโทษ || ติ เกินเหตุ = เสียน้ำใจ

---

>> 7th Day : ยิ่งงานหนักเท่าไร ยิ่งเป็นกำไรของชีวิต

---

>> 8th Day : การทำงาน ย่อมต้องมี "อุปสรรค" ทุกคนจึงกลัวอุปสรรค แต่อุปสรรค... กลัว "คนทำจริง"

---

>> 9th Day : ยินดีกับสิ่งที่ได้มา และ ยอมรับกับสิ่งที่เสียไป

---

>> 10th Day : อย่าทำลายความหวังของใคร เพราะเขาอาจเหลืออยู่แค่นั้นก็ได้

---

>> 11st Day : หัดทำสิ่งดีๆให้กับผู้อื่นจนเป็นนิสัย โดยไม่จำเป็นต้องให้เขารับรู้

---

>> 12nd Day : จิตใจของคุณก็เหมือนกับไข่ 1 ฟอง ที่ดูภายนอกแล้วแข็งแกร่ง. . . . . แต่เมื่อคุณลองกระเทาะ เปลือกออกมา ก็จะเห็นว่าคนๆนั้นๆ. . . . . . ไม่ได้แข็งแกร่งไปกว่าคุณเลย

---

>> 13rd Day : เขียนชื่อคนที่เราเกลียดใส่กระดาษแล้วฉีกทิ้งความเกลียดจะเบาบางลงเรื่อยๆ

---

>> 14th Day : พยายามอ่านหนังสือทุกชนิดในมือให้จบเล่มอาจไม่สนุกแต่มีประโยชน์แฝงอยู่

---

>> 15th Day : ในวงสนทนาถ้ายังนึกไม่ออกว่าจะคุยอะไรรอยยิ้มช่วยแก้สถานการณ์ได้

---

>> 16th Day : แค่.. "ซื่อสัตย์" และ "เก่ง" คงไม่พอ (อยู่ไม่ได้) ต้อง.. "ทันเกม" และ "มีปฏิภาณไหวพริบรอบคอบ" ด้วย

---

>> 17th Day : อย่ากลัวที่จะลงโทษคนที่ทำผิด...

---

>> 18th Day : อย่าขีดเส้นวงกลมรอบตัวเอง...

---

>> 19th Day : มันเป็นกรรม.. ที่เราต้องทำใจให้ได้ว่า.. "ไม่มีใครเข้าใจอะไรใครได้ง่ายๆ ..."

---

>> 20th Day : ความจริงย่อมคือความจริง ไม่มีวันตายจาก..

---

>> 21st Day : จะอยู่ช้าอยู่เร็วก็ยังไม่รู้ แต่ที่รู้ตอนนี้ก็ใช้เวลาทำในสิ่งที่อยาก

---

>> 22nd Day : เงินไม่มาก ...แต่บั่นทอนกำลังใจ

---

>> 23rd Day : นโยบายอยู่เหนือเหตุผล...

---

>> 24th Day : ทิฐิ..อยู่คนละฝั่งกับเหตุผล

---

>> 25th Day : จุดประสงค์จริง ๆ คือ...ความราบรื่นของการทำงานไม่ใช่หรือ?

---

>> 26th Day : ยศ ย่อมเจริญแก่บุคคลผู้มีความเพียร มีสติ มีการงานสะอาด

---

>> 27th Day : ใคร่ครวญก่อน แล้วจึงทำ!

---

>> 28th Day : ..เป็นผู้สำรวม มีชีวิตอันประกอบด้วย เมตตาธรรม คุณธรรม และ..ไม่ประมาท

---

>> 29th Day : หากคิดว่า ปัญหาที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องปกติ นั่นคือต้นทุนที่เราปล่อยให้มันเกิดขึ้นเรื่อย ๆ

---

>> 30th Day : มีบางคน ยอมตายอย่างพร้อมใจ ก็ไม่ปรารถนาทำเรื่องต่ำช้าให้เป็นที่อัปยศ อดสู นั่นจึงเป็นวีระบุรุษที่ยอมตาย โดยไม่ยอมถูกเหยียดหยาม ย่ำยี

---

>> 31st Day : จงเคารพ บูชา พระเจ้า สิ่งศักดิ์สิทธิ์ แต่จงอย่า อ้อนวอน ขอร้องให้ท่านช่วย!

---

>> 32nd Day : จิตใจ มิใช่สิ่งที่ฝึกฝนได้ด้วย "ตำรา" แต่จะต้องฝึกฝนโดยผ่านการต่อสู้จริง ๆ โดยผ่านการปฏิบัติที่เป็นจริง

---

>> 33rd Day : การลำเอียง เข้าข้างตัวเอง เป็นอุปสรรคของการพัฒนาจิตใจ

---

>> 34th Day : ศัตรู มักอยู่ในพวกเดียวกัน

---

>> 35th Day : จงอย่ากลัว การมีชีวิตอยู่อย่างโดดเดี่ยว

---

>> 36th Day : หัดวางตัวเอง ให้อยู่ในฐานะ "คู่ต่อสู้" และสร้างความหวั่นไหวให้กับจิตใจคู่ต่อสู้

---

>> 37th Day : ก้าวหน้าไปอีกขั้น ยิ่งทำให้ชีวิตลำบากไปกว่าเดิมหรือเปล่า? ...แต่ไม่ว่าทางข้างหน้าจะวิบากแค่ไหน ก็ต้องเดินไปอยู่ดี!!

---

>> 38th Day : ปัญหา...ที่ได้ยินมักจะบอกว่า..."ไม่รู้" ถ้าไม่รู้ แล้วจะจัดการได้อย่างไร? โดยเฉพาะ ภายใต้ทรัพยากรจำกัด และพลิกผันตามสถานการณ์ที่เปลี่ยนไป

---

>> 39th Day : แผน ไม่เคยหยุดนิ่ง กลยุทธ์ต้องเท่าทัน หรือดักหน้าด้วยซ้ำ คำว่า "พอ" เท่ากับ "ไม่มี" มีแต่ว่า "แค่นี้" จะทำให้ดีได้อย่างไร!

---

>> 40th Day : มองปัญหาต่างกัน ผูกไปถึงการมองสาเหตุ และการแก้ไขที่ต่างกัน หลักวินิจฉัยเหมือนกัน หรือต่างกันไม่มาก ผลออกมาก็จะต่างกันไม่มาก แต่ถ้าหลักวินิจฉัยต่างกัน + มีอัตตา ก็จะทำให้เกิดปัญหาและอุปสรรคได้ในองค์กร

---

>> 41st Day : ความก้าวหน้าที่ยิ่งใหญ่ ไม่ใช่การครอบครอง

---

>> 42nd Day : น้ำที่ลึกและใสจึงจะมีปลา ป่าที่รกและทึบจึงจะมีสัตว์ คนที่มีคุณธรรม ความมั่งคั่งถึงจะมาเยือน

---

~~ To Be Continue ...

From Me...

-----------

CrediT For Every Good Msg. :: Everywhere, Fw Mails & Some Person


Seconds

Friends' blogs
[Add icechick's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.