Blog tips เก็บ ๆ เค้ามา #18 ฝังเครื่องเสียงชั้นสูง
ก่อนจะไปถึงเรื่องนั้นต้องมารู้จักคำสั่ง กันก่อนครับ โดยจะมีลักษณะ tag และ attributes (คำขยายคำสั่ง tag น่ะครับ) ดังนี้ classid="clsid:8AD9C840-044E-11D1-B3E9-00805F499D93" width="200" height="200"> object นั้น เป็นคำสั่งที่ใช้ผสม ๆ กับ embed ครับ โดยคำสั่ง object ก็จะระบุว่า ศพที่เราจะฝังนั้นมีคุณสมบัติอย่างไร แล้วก็ซ้ำ ๆ อีกทีด้วยการระบุไปตอน embed ครับclassid นั้นคือ Class identification ซึ่งก็เป็น attribute ที่ระบุ version ของ Java Plug-in หรือ applet ที่เราจะใช้ครับ คำสั่ง นั้นต้องใช้กับ applet หรือเครื่องมือเล็ก ๆ (ซึ่งเขียนขึ้นในภาษา Java) นั่นแหละครับ เราจะรู้ได้ไง ผมก็ไม่รู้หรอก ก็ ตามไปหา ๆ ใน web ของเครื่องเสียงยี่ห้อที่จะใช้ยี่ห้อนั้น ๆ เอาล่ะครับ เราจะใช้ได้ทั้ง html และทั้ง Javascript เพื่อสั่งให้เกิดเครื่องเสียง ซึ่งผลได้เช่นเดียวกันครับ html ก็อาจจะซับซ้อนน้อยกว่า และอาจจะไม่สวย ไม่เจ๋งเท่า Javascrpit แต่ว่า ก็จะกินความยาวคำสั่งน้อยกว่าครับ สำหรับค่านี้ (ที่ให้สีออกเลือดหมูหน่อยน่ะครับ) ขอให้ลอกลงไปเลยทั้งแบบนั้นน่ะครับ ไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนอะไรอีก เพราะว่า เครื่องเสียงยี่ห้อนั้น ๆ เค้าจะเป็นคนกำหนดมาเอง เราแค่เอาค่า id ที่ว่ามาใส่เท่านั้นครับ ให้ดูเฉย ๆ ว่าแต่ละ id มันต่างกันน่ะครับwidth & height ก็ใช้ระบุความกว้าง ความยาวของกรอบที่จะเรียกวิญญาณเครื่องเสียงมาลงประทับทรงน่ะครับ ถ้าหากใส่ใหญ่ มันก็ใหญ่ หน่วยเป็น pixels เช่นเคย ถ้ากะไม่ถูกก็ลองคิดว่าหน้าจอเราขนาด 1024x768 เนี่ย คือ 100% แล้ว ก็กะ ๆ เอา ครึ่งหน้าก็ 500 อะไรแบบนี้น่ะครับPARAM name ก็คือ parameter name น่ะครับ ใช้สำหรับระบุหัวเรื่องว่า เราจะกำหนดอะไร และค่าที่ใช้เพื่อขยายอีกที ก็คือ value โดยทั่วไป ก็จะระบุได้หลายอย่างครับ src หรือ source บ้างก็ใส่ว่า url ได้เหมือนกัน ก็คือที่มาหรือ url ที่เราใส่ file ไว้นั่นล่ะครับ เราก็จะระบุเป็นชื่อของ file ที่เราเก็บไว้น่ะครับcode เป็นการระบุถึง javascript หรือ applet ที่เราจะใช้ อันนี้จะกำหนดมาจากโรงงานของเครื่องเล่นเสียงยี่ห้อนั้น ๆ ไป ไม่ต้องแก้ใน code นะครับautoplay คือให้เล่นทันทีได้เป็นอัตโนมัติ ค่า attribute ก็คือ true แปลว่าให้เล่นเลย ส่วน false ก็หมายถึงต้องรอให้กดปุ่มเริ่มเล่นก่อนจะเล่นครับcontroller คือจะให้มีปุ่มควบคุมเสียงหรือไม่ นั่นล่ะครับ ตัวเลือกก็คือ true ถ้าจะต้องการ และ false ถ้าไม่ต้องการcaptioningId ก็ ใส่ระบุชื่อของ multimedia ลงไป เช่น ชื่อเพลงน่ะครับPlayCount เป็นการระบุว่าจะให้เล่นสักกี่ครั้ง คล้าย ๆ คำสั่ง loop น่ะครับ เราก็ใช้ตัวเลขใส่ลงไป ค่าน้อยสุดและค่า default คือ 1 มากสุดนี่น่าจะหลายพันล้านครั้งก็ได้ มันเชื่องครับว่าไง สั่งยังไงก็ทำแบบนั้นล่ะ...5 5 5 volume ก็มีค่าให้เลือกตั้งแต่ 0-100 น่ะครับuiMode ก็คือรูปแบบหน้าตาของ media player นะครับ ก็มี ให้เลือกเป็น invisible จะไม่มีอะไรแสดงเลยแบบเวลาที่เราจะให้มีพื้นหลังเป็นเพลงน่ะครับ (แล้วจะมีทำไมเนี่ย...), none ก็ไม่มีขอบ ไม่มี control panel มีแต่หน้าจอ, mini ก็จะมี control panel เล็ก ๆ, full นี่ก็จะเต็มรูปแบบเหมือนในเครื่องเราล่ะครับ และยังมี costum ด้วยคือตกแต่งเอง แต่ว่าต้องอาศัยคำสั่งเพิ่มเติม ซึ่งควรจะไปติดตามในเวปของผู้ผลิตเครื่องเสียงนั้น ๆ อย่างยิ่งครับ นอกจากนี้ยังมีอีกหลายคำสั่งที่ใช้ แต่ว่า ไม่ค่อยมีผลต่อการปรับเปลี่ยนเท่าไหร่ หรือแปลง่าย ๆ ก็คือ ผมปรับไม่เป็น 5 5 5หลังจากลงคำสั่ง object เราก็จะใส่คำสั่ง embed ตามลงไปครับ โดยคำสั่งที่ใช้จะมีหน้าตาแบบนี้ครับautoplay="true" controller="false"pluginspage="//www.apple.com/quicktime/download/"> ก้ใช้คำสั่งคล้าย ๆ เดิมล่ะครับ เช่น src ก็ใส่ url ตามไป width & height ก็ระบุความยาวความกว้างของหลุม เอ๊ย ของหน้าจอ ส่วน autoplay หรือจะ controller ก็อันเดิม ๆ ที่เพิ่มมาก็คือ pluginspage ล่ะครับ ก็จะเป็นการเรียน applet หรือเครื่องมือที่เป็นของเครื่องเสียงแต่ละยี่ห้อมาใช้ ซึ่งลักษณะของคำสั่งทั่ว ๆ ไป ก็จะเป็นตามชนิดของเครื่องเล่น ดังนี้ครับ (อย่าลืมทำให้เป็นบรรทัดเดียวกันครับ)
[ถามมาก็ตอบไป] [สมุดเยี่ยม]
แปะเพลงยาก แปะรูปดีก่าอะค่ะ อิอิ แต่จริงๆ ก็อยากแปะนะคะ ไว้จะค่อยๆ เรียนรู้อ่ะค่ะ
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
ผู้ติดตามบล็อก : 2 คน [