เล่าเรื่อง...เรื่องเล่า^^
 
สิงหาคม 2554
 
 123456
78910111213
14151617181920
21222324252627
28293031 
 
15 สิงหาคม 2554
 
 

บทที่ 7 ประจำการที่สถานพยาบาลกุสินาราคลินิก

....เช้าวันแรกที่กุสินาราฉันตื่นเร็วเป็นพิเศษเพราะมีอาการท้องเสียแต่ไม่ปวดท้องมากนัก ยังสงสัยว่าจะเป็นจากอาหารกล่อง 2 มื้อหรืออาหารที่โอมพาแวะกินรึเปล่าพอดีมียาฆ่าเชื้ออยู่ในกระเป๋าน้อยประจำตัว จึงเอามากินไว้ก่อนเพื่อไม่ให้มีอาการมากไปกว่านี้ แหม...คนไข้รายแรกที่รักษาที่กุสินาราก็คือ ตัวเรานี่เอง จากนั้นจัดของออกจากระเป๋าเดินสำรวจห้องพักและบริเวณรอบๆ สังเกตว่าห้องพักที่นี่จัดรูปแบบและการตกแต่งเหมือนห้องพักในโรงแรมระดับ 4 ถึง 5 ดาวเลยค่ะ ห้องน้ำกว้างขวางและมีน้ำอุ่นให้อาบ การตกแต่งตัวอาคารและสวนหย่อมรอบๆอาคารเป็นแบบบรรยากาศของโรงแรมรีสอร์ทสวยงามสะอาดมากจนคิดไม่ถึงว่าจะมีที่พักดีๆซึ่งไม่ใช่ห้องพักในโรงแรมอยู่ที่นี่ด้วย...




อาคารห้องพัก(สวยสะอาดตามาก) อยู่ติดกับสถานพยาบาล

.... อากาศยามเช้าที่กุสินาราก็เย็นสบายไม่หนาวมาก เสร็จจากกิจธุระส่วนตัวประมาณเจ็ดโมงเช้าเราข้ามถนนหน้าคลินิกไปยังฝั่งวัดเพื่อไปกินข้าวเช้าที่ “อู่ข้าว” ซึ่งเป็นอาคารที่สร้างและตกแต่งด้วยไม้มีไม้ประดับอยู่รอบๆและซุ้มน้ำตกอยู่บริเวณทางเข้าด้านหน้าดูร่มรื่นมาก อาหารจัดวางเป็นแบบบุปเฟ่ต์ มีถาดหลุมและช้อนวางไว้พร้อมให้ตักข้าวและกับข้าวข้างๆมีถังน้ำขนาดใหญ่และแก้วไว้ให้รินน้ำดื่ม อาหารน่ากินมากมีแกงส้มผักรวมมิตร ไข่เจียว ผัดกะหล่ำปลี น้ำพริกผักต้มและองุ่นหวานๆไม่ได้กินอาหารไทยแท้ๆมาหนึ่งอาทิตย์เต็มๆคิดถึงค่ะ โอมเดินมาพบเราที่อู่ข้าวเพื่อพาไปกราบนมัสการท่านพระครูปลัดสมพงศ์ ซึ่งนัดเวลาไว้แปดโมงเช้า ช่วงที่รอ โอมพาเราไปกราบสักการะพระธาตุเจดีย์และเดินชมบริเวณภายในวัด วัดไทยกุสินาราเฉลิมราชย์ตั้งอยู่ตำบลกาเซียเขตจังหวัดกุศินาคาร์ รัฐอุตตรประเทศอำนวยการสร้างโดยพระธรรมทูตสายอินเดียร่วมกับพุทธบริษัทชาวไทยก่อสร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ 2537 เพื่อน้อมเป็นพุทธบูชาและเฉลิมพระเกียรติการครองสิริราชสมบัติครบ 50 ปีและเฉลิมพระชนมพรรษาครบ 6 รอบของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมีศาสนสถาน เช่นพระอุโบสถ พระมหาเจดีย์ ศาลาพลับพลารับเสด็จ หอสวดมนต์ หอฉัน ธรรมศาลาที่พักผู้แสวงบุญ กุฏิสงฆ์ สร้างอย่างสวยงามอยู่ภายในบริเวณวัด จากนั้นเราไปไหว้นมัสการและสวดมนต์บูชาพระธาตุที่พระธาตุเจดีย์ ซึ่งเป็นสถานที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตและเส้นพระเกศาที่พระราชทานจากสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวให้มาบรรจุไว้ที่นี่ ฉันรู้สึกเหมือนได้เข้าใกล้พระพุทธองค์มากขึ้นอีกครั้งหนึ่ง จึงตั้งจิตอธิษฐานว่าจะปฏิบัติภารกิจช่วยเหลือคนเจ็บป่วยอย่างเต็มที่และเต็มความสามารถเพื่อถวายเป็นพุทธบูชา..



ภายในห้องพัก(พักห้องละ 2 คน)


... เสร็จแล้วพวกเราถ่ายรูปบริเวณรอบๆ อากาศสดใสมาก หมอกเริ่มจางลง ดอกไม้สีสวยหลากชนิดออกดอกสะพรั่งละลานตามีทั้งดอกป๊อปปี้สีแดง ดอกกุหลาบ ดอกรักเร่ ดอกดาวกระจาย สวยงามมาก มองไปข้างๆพระธาตุเจดีย์เห็นมีการปฏิสังขรณ์พระอุโบสถ ซึ่งทราบข้อมูลว่าได้ถูกไฟไหม้ตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2552 จากไฟฟ้าลัดวงจรจนเสียหายมากขณะนี้ยังอยู่ระหว่างการซ่อมแซมมีคนไทยหลายคนมาทำงานอยู่ที่นี่ พอเห็นพวกเราและรู้ว่าจะมาตรวจที่สถานพยาบาล ก็บอกว่าจะไปตรวจเพราะมีอาการเจ็บป่วยกันหลายคน จากนั้นเรามาที่อาคารเชื่อมเดินดูหนังสือและซื้อเก็บไว้อ่านหลายเล่ม ฉันเขียนโปสการ์ดรูปพระพุทธปรินิพพานส่งกลับเมืองไทย ที่นี่ไม่รับเงินแต่จะให้เราใส่ตู้บริจาคตามราคาที่ติดไว้


...หลังจากนั้นพวกเราเข้าพบกับท่านพระครูปลัดสมพงศ์ ท่านแนะนำสถานที่และให้ข้อมูลสถานพยาบาลกุสินาราก่อนพาเราเดินไปดูสถานพยาบาลซึ่งตั้งอยู่ติดถนนฝั่งตรงข้ามกับวัด สถานพยาบาลกุสินาราคลินิกเกิดจากการที่พระธรรมทูตสายอินเดียร่วมกับสถานเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงนิวเดลีและองค์กรมูลนิธิการกุศลต่างๆได้ริเริ่มก่อตั้งขึ้นในปี 2539 เพื่อให้บริการสุขภาพแก่พุทธบริษัทชาวไทยและชาวพุทธทั่วโลกรวมถึงชาวอินเดียท้องถิ่นและเพื่อสร้างความสัมพันธ์ระหว่างประเทศกับอินเดียให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้นแต่ก่อนเป็นคลินิกขนาดเล็กตั้งอยู่ภายในตัววัดไทยกุสินาราเฉลิมราชย์ ต่อมาได้ขยายออกมาก่อสร้างสถานพยาบาลกุสินาราคลินิกยังฝั่งตรงกันข้ามกับวัดและได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯทรงวางแผ่นศิลาฤกษ์เพื่อสร้างสถานพยาบาลเมื่อวันที่ 30 มีนาคม 2548

..... สถานพยาบาลกุสินาราที่เราเห็นเป็นตึกคอนกรีตสีขาว 2 ชั้นด้านบนตัวตึกมีป้ายสีขาวขนาดใหญ่เขียนว่าศูนย์การแพทย์เพื่อการกุศล สถานพยาบาลกุสินาราคลินิก (KUSINAGAR CLINIC MEDICAL CENTER ) ที่ผนังภายในตัวตึกชั้นล่างมีภาษาอังกฤษเขียนไว้ว่า “ KUSINAGAR CLINIC FOR BODY AND MIND ” สถานที่แห่งนี้ไม่เพียงแค่เยียวยาร่างกายแต่บังเยียวยาจิตใจ จิตวิญญาณด้วย เห็นแล้วฉันรู้สึกถึงความขลังของสถานพยาบาลแห่งนี้ขึ้นมาเลยเหมาะสมที่จะเป็นสถานที่สำหรับกายและใจอย่างแท้จริง คนเราเวลาเจ็บป่วยไม่เพียงแค่ร่างกายที่ทุกข์ จิตใจก็ทุกข์ด้วยคนที่ดูแลและ ผู้ให้การรักษาต้องไม่เพียงแค่รักษา “โรค ” เท่านั้นแต่ต้องมีความเข้าใจ เห็นใจ และเยียวยาจิตใจไปด้วยพร้อมๆกันถึงจะเป็นการรักษาคนป่วยที่สมบรูณ์แบบองค์รวมอย่างแท้จริง...


.... ชั้นล่างจะเป็นชั้นที่ตรวจผู้ป่วยชาวอินเดียและต่างชาติ มีห้องตรวจ 5 ห้อง ห้องแลปตรวจเลือด ห้องเอ็กซเรย์ มีหมออินเดียหมุนเวียนกันมาตรวจ 2 คนนอกจากนั้นยังมีเภสัชกร พยาบาล และเจ้าหน้าที่มาปฏิบัติงานเป็นประจำทุกวัน เนื่องจากวันนี้เป็นวันอาทิตย์จึงไม่มีคนไข้ชาวอินเดียมาตรวจ ท่านพระครูปลัดพาเราขึ้นไปที่ชั้นสองซึ่งพวกเราต้องทำงานกันที่นี่ ชั้นสองของตึกจะมีห้องปฐมพยาบาล ห้องพักแพทย์อาสาสมัครปฏิบัติงาน ห้องพักฟื้นชั่วคราวสำหรับพระเถระผู้ใหญ่ ห้องประชุมสัมมนา โดยห้องปฐมพยาบาลจะมีส่วนที่เป็นโต๊ะแพทย์ตรวจ ส่วนที่เป็นตู้สำหรับเก็บยาและวัสดุอุปกรณ์ทางการแพทย์และส่วนที่เป็นเตียงพักฟื้นผู้ป่วยจำนวน 4 เตียงด้านหน้าห้องปฐมพยาบาลจะมีโต๊ะสำหรับซักประวัติทำบัตรผู้ป่วยและตรวจวัดสัญญาณชีพและมีเก้าอี้สำหรับนั่งรอตรวจหน้าประตูทางเข้าห้อง

....ท่านพระครูปลัดสมพงศ์เล่าว่าสถานพยาบาลกุสินารามีคนไข้มาใช้บริการเยอะมากทั้งชาวไทยและอินเดียบางวันมีคนไข้มาตรวจเกือบสองร้อยคน จึงมีค่าใช้จ่ายสูงมากในแต่ละเดือนเพราะต้องจ้างหมอ เภสัช พยาบาลให้มาอยู่ประจำการโดยค่าใช้จ่ายส่วนใหญ่มาจากการบริจาคของพุทธบริษัทชาวไทย องค์กรการกุศลต่างๆที่บริจาคเงินและยาให้กับมูลนิธิวัดไทยกุสินาราเฉลิมราชย์ ทำให้สามารถดำเนินการมาได้จนถึงปัจจุบัน ฟังที่ท่านเล่าแล้วก็รับรู้ได้ถึงพลังแห่งศรัทธาของพุทธศาสนิกชนที่มีต่อการปฏิบัติศาสนกิจของทางวัดว่ามีมากเพียงใดเป็นการทำบุญกุศลที่ยิ่งใหญ่มากจริงๆ




สถานพยาบาลกุสินาราคลินิก




ชั้นสองที่ประจำการของทีมแพทย์ไทยมองจากหน้าห้องตรวจ






ตู้ใส่ยา




สภาพภายในของสถานพยาบาล




คนไข้อินเดียกำลังรอตรวจที่ชั้นล่าง


...หลังจากที่ท่านพระครูกลับไปแล้วพวกเราก็เริ่มทำงานกันเลยโดยการจัดพื้นที่ เช็คยารายการยา เวชภัณฑ์และเครื่องมืออุปกรณ์ทางการแพทย์ทั้งหมดที่มี ซึ่งรายการยากินมีจำนวนมากกว่า 95 รายการครอบคลุมเกือบทุกโรค ยาฉีด 20 รายการ(พร้อมน้ำเกลือและอุปกรณ์ในการฉีด) มียาน้ำสำหรับเด็กด้วยหลายชนิด และยาสมุนไพรที่ได้จากการบริจาคอีกจำนวนมาก เช่น ยาดม ยาหม่อง ยาขม ยากษัยเส้นต่างๆ( ยาเหมาะกับวัยของผู้แสวงบุญจริงๆ ) อุปกรณ์ทางการแพทย์มีเก็บไว้ในห้องหลายอย่าง เช่นรถเข็นผู้ป่วย เสาน้ำเกลือ เครื่องเจาะน้ำตาล ชุดเครื่องมือสำหรับเย็บแผล ใบมีดผ่าตัด หม้อต้มเครื่องมือ เครื่องวัดความดัน และปรอทวัดไข้แบบดิจิตอล ไม้เท้าผู้ป่วย ชุดเข็มสำหรับฝังเข็ม กระเป๋าหนังใบใหญ่สำหรับการออกหน่วย แต่ไม่มีตู้เย็นไว้สำหรับเก็บยาฉีดเช่นอินซูลิน

... ดูรายการของทั้งหมดแล้วเหมือนเป็นโรงพยาบาลขนาดเล็กเลยทีเดียว พวกเราจัดสถานที่ เตรียมเวชระเบียนและอุปกรณ์ต่างๆที่ต้องใช้ในการตรวจและจ่ายยาไว้ให้พร้อม เราได้อ่านสมุดส่งต่อข้อมูลต่างๆจากทีมแพทย์ที่ผ่านมาซึ่งเป็นประโยชน์มาก ระหว่างที่เราจัดเตรียมสถานที่อยู่ก็มีแม่บ้านของสถานพยาบาลอุ้มลูกวัย 2 ขวบที่เธอเอามาดูแลระหว่างที่ทำงานด้วยเข้ามาแนะนำตัวว่าชื่อลันนายาพร้อมกับนำน้ำดื่มมาให้กับพวกเราก่อนที่จะปัดกวาดเช็ดถูพื้นภายในห้อง

... พอจัดสถานที่เสร็จสักพักเริ่มมีคนไข้เข้ามาตรวจส่วนใหญ่เป็นคนไทยที่มาทำงานกับวัดและพระภิกษุ 2 รูป มีเด็กหญิงลูกคนงานไทยอายุขวบครึ่งมาตรวจด้วยอาการไอจากหวัดด้วยแต่อาการไม่รุนแรงมากเราจึงให้ยาน้ำกลับไปกิน ผู้ที่มาตรวจวันนี้ส่วนมากจะป่วยเป็นหวัดติดเชื้อ โรคภูมิแพ้ ปวดข้อและกล้ามเนื้อ อาจเป็นเพราะจากการที่อากาศเปลี่ยนแปลงในช่วงปลายฤดูหนาวเข้าสู่ฤดูร้อนจึงทำให้มี ไอ จามและน้ำมูกไหลกันเยอะหน่อย พอได้เวลาห้าโมงครึ่งเราก็ลงไปกินมื้อกลางวันที่อู่ข้าวก่อนกลับมาทำงานต่อที่คลินิก ช่วงบ่ายมีคนไข้มาตรวจอีกเกือบ 10 คน เป็นกลุ่มโรคหวัดเหมือนเดิม

.... ช่วงนี้ลันนายาเข้ามาบอกที่เก็บกุญแจห้องต่างๆและให้เราปิดประตูหน้าต่างก่อนออกจากคลินิกเพราะลันนายาเลิกงานสี่โมงครึ่งกลับบ้านก่อนพวกเรา เราอยู่ที่คลินิกจนถึงห้าโมงเย็นก่อนกับมาที่พักและออกไปกินมื้อเย็นที่อู่ข้าวในเวลาหกโมงเย็นก่อนกลับห้องพักมาจัดการกับสัมภาระที่คั่งค้างมาตั้งแต่ตอนอยู่ที่พุทธคยาต่อ ประมาณสองทุ่มท่านมหานิพนธ์โทรแจ้งให้เราช่วยจัดยาสามัญ 2 ชุด ซึ่งจะให้รถที่จะเดินทางไปลุมพินีวันนำเอาชุดยาไปไว้ที่พุทธวิหาร 960 และ วัดไทยลุมพินีเพื่อที่ผู้ที่มาแสวงบุญเจ็บป่วยจะได้ใช้ยาได้ พวกเราจึงจัดยาที่จำเป็น เช่น ยาแก้หวัดลดไข้ ยารักษาอาการท้องเสีย ผงเกลือแร่ ยาแก้เวียนศรีษะคลื่นไส้อาเจียน ยาแก้อักเสบ เป็นต้น แยกเป็น 2 กล่องใหญ่พร้อมจดรายชื่อและรายการยาแนบไว้ด้วยเพื่อความสะดวกในการใช้

....หลังจากนั้นพวกเรากลับมาลงข้อมูลตามโปรแกรมที่กระทรวงให้มาที่ห้องพักต่อ คืนนี้ฉันคุยโทรศัพท์กับทางบ้านซึ่งได้บอกข่าวเรื่องเกิดแผ่นดินไหวและสึนามิที่เมืองเซนไดประเทศญี่ปุ่นเมื่อวันที่ 11 มีนาคมบ้านเรือนเสียหายและมีผู้เสียชีวิตจำนวนมาก นอกจากนี้ยังมีการรั่วไหลของกัมมันตรังสีจากเตาปฏิกรณ์นิวเคลียร์มากขึ้นเรื่อยๆและได้แผ่ขยายไปยังชั้นบรรยากาศอาจมาถึงอินเดียตอนเหนือที่เราพักอยู่ตอนนี้ด้วย ฉันเพิ่งทราบข่าวนี้เพราะตั้งแต่มาอินเดีย เราไม่ได้ดูทีวีหรือเล่นอินเตอร์เน็ตกันเลยมีแค่โทรศัพท์เอาไว้ใช้สื่อสารเท่านั้น( แปลกมากตั้งแต่มาอินเดียถึงไม่ได้ดูหนังฟังเพลงและเล่นอินเตอร์เน็ตเหมือนเคย แต่ข้าเจ้าก็ไม่ได้ถวิลหาแต่อย่างใดกลับรู้สึกสงบ สมองปลอดโปร่งขึ้นเยอะเลย )

.... ฉันจึงขอให้น้องช่วยหาข้อมูลข่าวสารเพิ่มเติมให้ ซึ่งพบว่าสารกัมมันตรังสีอาจจะมาถึงอินเดียได้ก็จริงแต่ก็อยู่ในสภาวะที่เบาบางมากไม่มีอันตรายใดๆถ้าได้รับเข้าไปร่างกายสามารถขับออกได้เองดิฉันจึงไม่ได้กังวลนัก ข่าวสึนามิพัดถล่มญี่ปุ่นทำให้ฉันรู้สึกเศร้าใจต่อความสุญเสียที่เกิดขึ้นแต่ก็ไม่ได้ตื่นตระหนกตกใจอะไรมากนักคงเพราะทำใจได้ว่าสรรพสิ่งทั้งหลายในโลกใบนี้ย่อมมีการเปลี่ยนแปลง มีเสื่อมสูญ มีเกิด มีดับเป็นธรรมดา ก่อนนอนฉันได้สวดมนต์แผ่เมตตาให้กับสิ่งมีชีวิตทั้งหลายที่เป็นเพื่อนร่วมเกิด แก่ เจ็บตายขอให้มีแต่ความสุขและปราศจากความทุกข์กาย ทุกข์ใจตลอดไป...



... เช้าวันรุ่งขึ้น หลังกินข้าวที่อู่ข้าวท่านมหานิพนธ์นำพวกเราเข้ากราบนมัสการท่านเจ้าคุณราชรัตนรังษี ( วีรยุทธ์ วีรยุตโต ) หลังจากอ่านหนังสือที่ท่านเขียนมาหลายเล่มแล้ว การได้พบท่านครั้งนี้ฉันและทุกคนรู้สึกตื่นเต้นมาก ท่านพูดให้โอวาทและเล่าเรื่องให้เราฟังหลายอย่าง ฟังแล้วฉันเก็บมาคิดตามหลายเรื่องโดยเฉพาะ คำว่า “ธรรมวิศวะ” ที่ท่านบอกว่าคนเราสามารถทำงานได้หลายบทบทบาทหลายสถานะ อาจเป็นช่างก่อสร้าง หรือเป็นครู เป็นหมอ เป็นแม่ครัวและเป็นนักบัญชีก็ได้ตามแต่สถานการณ์ที่เราต้องพบเจอซึ่งทั้งหมดเป็นหน้าที่ของกายภายนอกที่ต้องอยู่ในสังคม ส่วนสถานะจริงให้เป็นเหมือนกับลมที่ไร้ตัวตน ว่างเปล่าแต่มีพลังทำให้คนเป็นหรือตายได้.....


.....กราบขอบพระคุณท่านอีกครั้งสำหรับคำพูดที่ให้แง่คิดและมีค่ากับพวกเรา จากนั้นเราไปคลินิกเพื่อตรวจคนไข้ต่อ ตอนเช้ามีผู้แสวงบุญและคนไทยในวัดมาตรวจด้วยอาการหวัดคออักเสบและปวดหลัง สายหน่อยมีชายอินเดียที่ทำงานอยู่ชั้นล่างชงการัมจายร้อนๆมาให้พวกเราดื่มและบอกว่าจะชงมาให้ดื่มทุกวันเรากล่าวขอบคุณ ชารสชาติดีค่ะ กลิ่นไม่ฉุนมากเหมือนกับที่เคยกิน ช่วงบ่ายฉันถือโอกาสช่วงที่ไม่มีคนไข้มาตรวจไปนั่งอ่านหนังสือพระไตรปิฏกฉบับภาษไทยซึ่งไม่เคยอ่านมาก่อนที่ห้องประชุมข้างๆหนังสือวางเรียงเก็บไว้บนโต๊ะมีจำนวน 45 เล่มแบ่ง 3 หมวด คือ พระวินัยปิฎก พระสุตตันตปิฏก พระอภิธรรมปิฏก ดิฉันเลือกอ่านพระอภิธรรมปิฏกเพราะดูแล้วเนื้อหาน่าจะเข้าใจง่ายที่สุดอ่านแล้วก็เป็นแบบนั้นจริงๆแต่อ่านไปได้ไม่มากนัก ฉันก็เริ่มง่วง....55 สงสัยความมุ่งมั่นยังแข็งแรงไม่พอ เดี๋ยวค่อยกลับมาอ่านต่อดีกว่า

..... เวลาผ่านไปเร็วมากพอห้าโมงเย็นพวกเราปรึกษากันว่าวันนี้จะไปกราบสักการะพระพุทธปรินิพพานกันเพราะตั้งแต่วันแรกที่มานั่งรถผ่านถนนหน้าสถูปยังไม่มีโอกาสได้เข้าไปสักการะเลย เราจึงตั้งใจเดินไปที่พระสถูปเพราะรู้ว่าอยู่ไกลจากวัดเพียง 1 กม.ถนนก็สภาพดีรถและคนน้อยน่าจะเดินแบบสบายๆกันได้ เดินไปได้นิดเดียวก็เจอรถเข็นขายกำไลอินเดียสวยๆผ่านมา เราแวะซื้อเลือกแบบกันอย่างสนุกสนานช่วงที่กำลังเลือกกำไลอยู่มีชายชาวอินเดีย 2 คนมาพูดขอเงินได้กลิ่นเหล้าโชยมาด้วยไม่ขอเงินเปล่ายังยืนล้อมหน้าล้อมหลังจนพวกเรารู้สึกว่าอาจไม่ปลอดภัย เพราะทีมเรามีแต่ผู้หญิงทั้งนั้นและก็มากันแค่สี่คนเองซื้อของเสร็จพวกเราจึงรีบโบกสามล้อที่ผ่านไปมาเพื่อนั่งไปที่วิหารแทนการเดินค่าจ้างสามล้อคันละ 20 รูปีนั่งคันละ 2 คน

..... มาถึงที่สถูปก็เกือบหกโมงเย็นแล้วและเราก็เพิ่งรู้ว่าสถานที่จะปิดในเวลา 6 โมงเย็นคนในบริเวณสถูปและวิหารน้อยลงและเริ่มทยอยเดินสวนกลับออกมา ยังมีเวลาอีกประมาณ 20 นาที เราเข้าไปในวิหารปรินิพพานสังเกตว่ามีเชือกสีแดงมาล้อมรอบแท่นพระพุทธปรินิพพานเอาไว้ (ทราบทีหลังว่าเพิ่งมีการนำเชือกมาล้อมองค์พระก่อนหน้าเรามาเพียง 7-8 วันเพราะมีเหตุการณ์ที่คนเข้าไปสัมผัสพระรูปเพื่อสักการะแล้วมีการขูดกระแทกแบบไม่เจตนาซึ่งทำให้ทางผู้ดูแลเกรงว่าจะเกิดความเสียหายจึงได้ล้อมเชือกเพื่อไม่ให้ผู้คนเข้าใกล้บริเวณองค์พระมากนัก ) สำหรับพระพุทธรูปปรางปรินิพพานสร้างในสมัยคุปตะราวปี พ.ศ 900 เศษด้วยการแกะสลักจากหินจุณศิลาก้อนเดียวประทับอยู่บนแท่นที่สร้างจากหินทรายแดง องค์พระยาว 23 ฟุต 9 นิ้ว สูง 2 ฟุต 1 นิ้ว ที่ฐานองค์พระมีรูปปั้นของปัจฉิมสาวก พระอรหันต์องค์สุดท้ายที่ทันเห็นพระพุทธองค์ ถัดไปเป็นพระอนุรุทธะผู้เข้าสมาบัติตามดูพระพุทธองค์จนเข้าสู่ปรินิพพาน ถัดมาเป็นรูปพระอานนท์

.....เมื่อมองดูพระพุทธปรินิพพานแล้วเหมือนกับมองพระพุทธองค์ที่กำลังบรรทมหลับอยู่ เราเข้าไปกราบองค์พระพุทธฯตอนนี้ฉันรู้สึกเหมือนกับว่าตัวเองได้กราบนมัสการพระพุทธเจ้าจริงๆ จากนั้นเราร่วมสวดมนต์กับกลุ่มผู้แสวงบุญชาวไทยคณะใหญ่ที่กำลังนั่งสวดมนต์อยู่ในวิหารสังเกตว่าคณะนี้คงเป็นคณะสุดท้ายเพราะใกล้เวลาปิดแล้วการมาสถานที่ปรินิพพานที่กุสินาราวันนี้ อ่านหนังสือเกี่ยวกับกุสินารามาก็เยอะและนี่เป็นครั้งแรกที่ได้มายังสถานที่จริง ในใจรู้สึกปิติตื้นตันอย่างที่สุด ที่ได้มากราบสถานที่ที่พระพุทธองค์เสด็จขันธ์ปรินิพพาน


....เราสี่คนกราบนมัสการลาองค์พระก่อนออกมาเดินดูบริเวณรอบๆสถูปและวิหารและถ่ายรูปกันจนวิหารปิด ช่วงนี้มีเด็กเดินตามขอเงินเรา 2-3 คนแต่เราไม่ได้ให้เงินเพราะกลัวเด็กอีกหลายคนที่มองอยู่ไกลๆจะเข้ามารุมของเงินเพิ่มและยื้อแย่งกันจนวุ่นวายได้ เด็กอยู่ไม่นานก็เดินแยกจากไป อากาศตอนเย็นไม่หนาวกำลังเย็นสบาย ท้องฟ้าแจ่มใส ผู้คนบนถนนไม่มากและไม่ค่อยมีรถใหญ่วิ่ง ส่วนมากเป็นสามล้อและมอเตอร์ไซด์ พวกเราเลยพากันเดินกลับวัดระหว่างทางก็แวะถ่ายรูปร้านขายของชำเล็กๆ ร้านกาแฟ และวัดนานาชาติที่ตั้งอยู่รอบๆถนนเส้นนี้ มีวัดศรีลังกา วัดเกาหลี วัดญี่ปุ่นแต่ละวัดก็มีสถาปัตยกรรมที่เป็นเอกลักษณ์ของชาติตัวเองอยู่ด้วยเราถ่ายรูปเอาไว้เป็นที่ระลึกกันไปหลายรูป


.....มาถึงวัดก็ได้เวลากินข้าวเย็นที่อู่ข้าวพอดีอาหารจะเป็นผัดผัก แกงจืด ไข่เจียวและน้ำพริกหนุ่มซึ่งทำให้พวกเราเจริญอาหารกันอีกเหมือนเคย เสร็จจากอาหารเย็นเราไปไหว้พระธาตุเจดีย์ เวียนประทักษิณและสวดมนต์ 3 รอบ ก่อนไปที่ศาลาการเปรียญแต่ไม่มีพระอยู่ทำวัตรเย็น สงสัยท่านติดภารกิจกันหมดนั่นเอง พวกเราจึงเดินชมรอบๆพระมหาเจดีย์ซึ่งเปิดไฟสว่างไสวสวยงามมองไปที่ท้องฟ้ายามค่ำคืนพระจันทร์ใกล้เต็มดวงแล้วสีนวลเย็นตาประดับอยู่ท่ามกลางแสงดาวกระพริบแวววับมองดูกว้างใหญ่ไพศาล

..... ฉันมีความรู้สึกตื้นตันใจขึ้นมาอีกเหมือนเคย ผืนดินที่ยืน ท้องฟ้าที่มอง ณ ที่แห่งนี้คือ กุสินารา สถานที่ที่มีประวัติศาสตร์อันสำคัญเป็นสถานที่ที่องค์พระศาสดาผู้ยิ่งใหญ่ทรงละพระสรีระสังขาร พลันความคิดและจิตใจของฉันก็นึกย้อนไปยังเรื่องราวของพุทธประวัติในสมัยพุทธกาลตั้งแต่พระพุทธองค์ทรงปลงสังขารและประกาศว่าอีก 3 เดือนจะปรินิพพานที่วัดมหาวันก่อนเดินทางด้วยเท้าจากเมืองเวสาลีมาที่เมืองกุสินาราขณะถึงเวฬุคามพระพุทธองค์ทรงอาพาธหนักและทรงเจ็บปวดพระวรกายอย่างรุนแรงแต่พระองค์ทรงอดทนและครองสติเอาไว้โดยไม่หวั่นไหว จนมาถึงเมืองปาวาได้เสวยสุกรมัททวะที่นายจุนทะนำมาถวาย หลังจากนั้นพระพุทธองค์ได้ถ่ายเป็นเลือดและทรงอาพาธหนักขึ้น แต่ก็ทรงเสด็จไปเมืองกุสินาราต่อไประหว่างทางพระองค์ต้องหยุดพักเป็นระยะๆจากความอ่อนล้าพระวรกายและทรงกระหายน้ำจนถึงวันเพ็ญเดือน6 พระพุทธองค์จึงเสด็จถึงเมืองกุสินาราและก่อนจะเสด็จดับขันธ์ปรินิพพานได้มีปัจฉิมวาจาว่า “ดูกรภิกษุทั้งหลาย บัดนี้เราขอเตือนพวกเธอว่า สังขารทั้งหลายมีความเสื่อมไปเป็นธรรมดา พวกเธอจงยังความไม่ประมาทให้ถึงพร้อมเถิด”

......นึกถึงเรื่องราวพุทธประวัติตอนนี้แล้วฉันรู้สึกใจหวิวๆบรรยายความรู้สึกออกมาเป็นคำพูดได้ยากจริงๆกุสินาราแห่งนี้เป็นสถานที่สุดท้ายที่พระองค์เสด็จประทับอยู่บนโลกใบนี้ไม่น่าเชื่อเลยในที่สุดเราก็ได้มาอยู่ ณ สถานที่แห่งนี้แล้วดิฉันยืนหลับตาตั้งจิตอธิษฐานว่าจะขอยึดเอาพระธรรมสั่งสอนของพระพุทธองค์เป็นที่พึ่งไปตลอดชีวิต




 

Create Date : 15 สิงหาคม 2554
0 comments
Last Update : 28 กันยายน 2554 15:24:37 น.
Counter : 1351 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

 

asoka200
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




ตามรอยพระพุทธองค์.....
[Add asoka200's blog to your web]

 
pantip.com pantipmarket.com pantown.com
pantip.com pantipmarket.com pantown.com