เล่าเรื่อง...เรื่องเล่า^^
 
สิงหาคม 2554
 
 123456
78910111213
14151617181920
21222324252627
28293031 
 
18 สิงหาคม 2554
 
 

บทที่ 10 พระสงฆ์ป่วยหนักที่กุสินารา

วันนี้พวกเราสี่คนตื่นกันแต่เช้าพอหกโมงก็ส่งคุณเล็กและญาติขึ้นรถเดินทางไปสนามบินพาราณสี ส่วนคุณป้าที่มีอาการท้องเสียยังไม่หายดีนัก ยังมีถ่ายเหลวอยู่ แต่ให้น้ำเกลือและยามาหนึ่งคืน ดูร่างกายสดชื่นขึ้น ไข้ไม่มี สัญญาณชีพปกติดี คุณป้ายืนยันว่าตัวเองไหวและบอกว่าพร้อมที่จะออกเดินทางแล้ว แต่ทีมแพทย์เป็นห่วงกลัวว่าคุณป้าจะมีอาการถ่ายเหลวกลับมาใหม่และอ่อนเพลียจากการขาดน้ำ สอบถามลูกสาวที่ดูแลจึงทราบว่าในคณะมีผู้แสวงบุญเป็นพยาบาลอยู่ 2 คนดิฉันจึงขอให้ช่วยดูแลคุณป้าระหว่างเดินทางเพราะผู้ป่วยรายนี้อายุ 74 ปีแล้วมีโรคความดันและไขมันสูงประจำตัวคงต้องติดตามดูอาการอีกระยะหนึ่ง หากอาการกำเริบหรือเป็นมากต้องพาไปยังโรงพยาบาลที่อยู่ใกล้ที่สุด พวกเราส่งคุณป้าและลูกสาวขึ้นรถเสร็จก็ไปกินข้าวเช้าและทำกิจธุระต่อระหว่างนี้ ท่านมหานิพนธ์โทรแจ้งว่าพาพระสงฆ์มาตรวจที่คลินิกด้วยอาการหอบเหนื่อยพวกเรารีบขึ้นมาที่ชั้น 2 พบพระภิกษุนั่งหอบอยู่บนเก้าอี้หน้าห้องตรวจพระท่านอายุ 65 ปี เป็นโรคถุงลมโป่งพอง ต้องกินยาขยายหลอดลมและพ่นยาเวลาหอ เคยนอนรพ. ปีละ2-3 ครั้งเวลาที่อากาศเปลี่ยนแล้วมีอาการกำเริบ มาที่อินเดียเพราะเพื่อนพระสงฆ์ ชวนมาธุดงค์ คณะมีพระ 4 รูป เพิ่งเดินทางมาจากลุมพินี และอยู่ที่กุสินาราเป็นวันที่สองแล้วโดยพักอยู่ที่วัดจีนวันนี้เตรียมจะเดินทางไปพุทธคยาต่อแต่พระท่านมีอาการหอบมากขึ้นจึงติดต่อมาที่วัดไทยกุสินาราเฉลิมราชย์ ท่านมหานิพนธ์จึงพามาตรวจที่สถานพยาบาลซักถามทราบว่าท่านมีอาการไอและมีน้ำมูก มา 3-4 วันแล้วประกอบกับต้องเจอฝุ่นมากระหว่างการธุดงค์ทำให้มีอาการไอมากขึ้นจนมีอาการหอบเหนื่อยและไข้ขึ้นในที่สุด เราตรวจร่างกายและวัดปรอทพบว่ามีไข้สูงเกือบ 40 องศา ฟังเสียงปอดผิดปกติ มีอาการไอและหอบเหนื่อยมาก ประเมินดูแล้วอาการหนักต้องให้นอนเตียงเพื่อให้ยาฆ่าเชื้อและยาขยายหลอดลมรวมทั้งให้น้ำเกลือทันที เพราะมีอาการของหลอดลมและปอดอักเสบ ดิฉันปรึกษากับท่านมหานิพนธ์ขอให้พระท่านงดการเดินทางไปพุทธคยาในวันนี้เพื่อนอนรักษาตัว ถ้าให้เดินทางไกลไปตามถนนที่เต็มไปด้วยฝุ่นและสภาพอากาศแบบนี้จะเสี่ยงต่อภาวะระบบหายใจล้มเหลวได้ แต่พระท่านเป็นห่วงเรื่องเดินทางมากับคณะซึ่งต้องเป็นไปตามกำหนดการที่วางไว้ พระหัวหน้าคณะจึงเข้ามาปรึกษากับท่านนิพนธ์และทีมแพทย์ว่าจะให้ท่านนอนรักษาตัวต่อไป ส่วนพระอีก 3 รูปจะเดินทางไปที่พุทธคยาตามหมายกำหนดการเดิม เมื่ออาการทุเลาลงแล้วพระหัวหน้าคณะจะเดินทางกลับมารับที่สถานพยาบาลต่อไป เรารักษาโดยให้ยาฉีดและพ่นยาจากขวดยาพ่นแบบพกพาเป็นระยะๆ สังเกตอาการสักพักพบว่ายังมีไข้สูง และยังมีอาการหอบเหนื่อย จึงฉีดยาลดไข้แต่ไข้ไม่ลดลง ต่อมาเริ่มมีถ่ายเหลว เจาะน้ำตาลในเลือดพบว่ามีระดับสูงแสดงว่าท่านมีโรคเบาหวานแฝงอยู่ด้วย น่าเป็นห่วงเพิ่มมาอีกเรื่องหนึ่ง ประเมินแล้วเราคิดว่าต้องส่งตัวไปรักษาที่รพ.ในตัวเมือง เพราะที่สถานพยาบาลไม่มีอุปกรณ์ในการให้ออกซิเจนและช่วยหายใจ ไม่มีอินซูลิน ยาฉีดขยายหลอดลมและยาฉีดฆ่าเชื้อที่ครอบคลุมเชื้ออันตราย ถ้านอนรักษาต่อคงไม่ปลอดภัย ดิฉันอดคิดไม่ได้ว่าถ้าที่นี่มีอุปกรณ์ในการพ่นยาและให้ออกซิเจน มีตู้เย็นสำหรับเก็บยาฉีดอย่างเช่นอินซูลินคงจะเป็นประโยชน์มาก เราปรึกษาท่านอาจารย์คมสรณ์และท่านมหานิพนธ์เรื่องขอส่งตัวผู้ป่วยไปรักษาต่อที่โรงพยาบาลสาวิตรีเมืองโครักขปุระและปรึกษาคุณหมอซิงค์ร่วมด้วย ( แพทย์ไทยที่มาปฏิบัติงานอยู่ที่นี่จะทำงานภายใต้ใบประกอบโรคศิลปะของแพทย์อินเดีย ) ซึ่งแนะนำให้เขียนใบส่งตัวการรักษาผู้ป่วย และคุณหมอซิงค์ได้ประสานไปที่โรงพยาบาลให้ก่อนประมาณสี่โมงเย็นท่านมหานิพนธ์ช่วยเตรียมความพร้อมของพระท่านและส่งตัวไปรักษาที่รพ.สาวิตรีที่อยู่ไกลจากวัดไป 50 กม.พวกเราแบ่งเป็น 2 ทีม ทีมหนึ่งประจำการที่สถานพยาบาลคอยรองรับผู้เจ็บป่วยที่มาตรวจอีกทีมพยาบาล 2 คนไปดูแลพระท่านระหว่างส่งตัวไปโรงพยาบาลโดยท่านมหานิพนธ์ได้นั่งไปกับรถพยาบาลเพื่อตามไปดูแลพระท่านที่โรงพยาบาลด้วย ประมาณห้าทุ่มทีมพยาบาลที่ไปส่งกลับมาถึงสถานพยาบาลพวกเรานัดหมายเวลาในการเดินทางไปดูอาการพระท่านที่โรงพยาบาลสาวิตรีก่อนที่จะเดินทางไปวัดไทยลุมพินีต่อในวันพรุ่งนี้เช้าก่อนที่จะแยกย้ายกันไปนอน
รุ่งขึ้นพวกเราตื่นมาทำวัตรเช้ากันก่อนออกเดินทางไปลุมพินีวันนี้ท่านราชรัตนรังษีเป็นผู้นำสวดมนต์เสร็จแล้วเราเข้าไปกราบนมัสการท่านสอบถามถึงเรื่องต่างๆและเล่าถึงพุทธสถานที่ประเทศพม่าให้กับพวกเราฟังก่อนที่เราจะขอถ่ายรูปร่วมกับท่านที่บริเวณสวนดอกไม้แล้วรีบไปกินข้าวเช้าที่อู่ข้าวก่อนออกเดินทาง แต่เด็กวัดที่จะไปกับเราสื่อสารกับคนขับรถไม่ตรงกันทำให้กว่าเราจะออกเดินทางจากสถานพยาบาลก็เป็นเวลาเก้าโมงกว่าแล้ว ถึงโรงพยาบาลสาวิตรีเกือบเที่ยงพบท่านมหานิพนธ์ยืนอยู่ที่หน้าห้องไอซียู เห็นท่านถือก้านสะเดาสำหรับใช้แปรงฟันอันละ1 รูปีอยู่ในมือ ( คนอินเดียนิยมใช้ก้านสะเดาขนาดยาวประมาณ 15 ซม.ขัดทำความสะอาดฟัน ซึ่งมีขายอยู่ทั่วๆไป ) เพราะเมื่อคืนท่านต้องนอนค้างที่โรงพยาบาลและคงไม่ได้นำสัมภาระใดๆไปด้วยเพื่อคอยดูแลช่วยเหลือพระท่านที่โรงพยาบาล เห็นอย่างนี้แล้วดิฉันซึมไปพักหนึ่งไม่กล้าถามท่านมหานิพนธ์ต่อว่าท่านนอนพักตรงจุดไหน ฉันอาหารเช้าและเพลอย่างไร เพราะรู้ว่าท่านต้องลำบากแน่ๆภารกิจที่วัดก็เยอะแล้วยังต้องมาเหนื่อยกับคนป่วยอีก ความจริงท่านไม่ต้องอยู่เฝ้าพระท่านโรงพยาบาลก็ได้เพราะท่านนอนรักษาที่ห้องไอซียูอยู่แล้ว แต่ท่านก็อยู่ คงเพราะด้วยความห่วงพระทั้งเรื่องการสื่อสาร การมานอนป่วยในโรงพยาบาลไกลบ้านและไม่มีญาติหรือคนรู้จักอยู่ด้วยถือเป็นความเมตตากรุณาต่อเพื่อนมนุษย์อย่างเหลือเกินกราบสาธุ สาธุ สาธุค่ะ ดิฉันเข้าไปดูอาการพระท่านที่ห้องไอซียูพบว่าอาการดีขึ้น หอบน้อยลงมาก ลุกขึ้นนั่งและพูดคุยได้ดี แพทย์ให้การวินิจฉัยว่าเป็นปอดอักเสบและโรคเบาหวานดูจากใบบันทึกอาการ สัญญาณชีพและผลการเจาะเลือด ถือว่าอาการควบคุมได้ดี ขณะนั้นหมอประจำโรงพยาบาลยังไม่เข้ามาตรวจ ดิฉันจึงปรึกษากับท่านมหานิพนธ์ว่าอาการของพระดีขึ้นในระดับหนึ่งแต่ยังไม่พ้นระยะอันตรายคงต้องรอให้หายจากอาการหอบและน้ำตาลในเลือดมีระดับลดลงก่อนจึงจะสามารถรับกลับไปดูแลต่อที่สถานพยาบาลได้ ดิฉันจึงเขียนข้อความถึงหมอเจ้าของไข้ ว่าจะขอรับผู้ป่วยกลับในวันพรุ่งนี้ ก่อนออกเดินทางไปวัดไทยลุมพินีเราลงไปซื้อยาที่แพทย์เขียนสั่งไว้เอามาให้พยาบาลประจำไอซียูใช้กับผู้ป่วย ลูกศิษย์วัดที่มากลับพวกเราได้อยู่ช่วยท่านมหานิพนธ์ที่โรงพยาบาลอีกคน ค่อยยังชั่วหน่อย ท่านจะได้มีเวลาพักเหนื่อยบ้าง ประมาณบ่ายสองโมงพวกเราออกจากรพ.สาวิตรีเพื่อเดินทางไปวัดไทยลุมพินีต่อโดยแวะกินมื้อกลางวันที่ร้านอาหารข้างทางก่อนแวะที่พุทธวิหาร 960 จัดยาที่ห้องปฐมพยาบาลและซุ้มยาซึ่งอยู่ใกล้กับซุ้ม ชา กาแฟ ก่อนเดินทางไปที่ด่านชายแดนอินเดีย-เนปาล หลังจากตรวจหนังสือเดินทางเสร็จ มิสราพาพวกเราเปลี่ยนรถที่มีคนขับเป็นชาวเนปาลซึ่งรู้จักกับทางวัดไทยลุมพินีเป็นอย่างดี ถึงแม้ถนนจะยังอยู่ในระหว่างซ่อมแซมแต่สารถีคนใหม่ก็ขับซิ่งจนฝุ่นตลบไปทั้งรถ เล่นเอาพวกเราหัวโยกหัวคอนกันอีกรอบ ไม่นานก็เห็นป้ายวัดไทยลุมพินีอยู่ข้างถนนด้านขวาแต่ประตูทางเข้าวัดปิดใส่กุญแจไว้เราจึงนั่งรถไปเข้าทางลุมพินีวันอุทยสถานแทน มาถึงวัดไทยลุมพินีเกือบห้าโมงครึ่ง พระมหาสุพจน์หัวหน้ากองงานเลขานุการวัดไทยลุมพินีให้คนมอบกุญแจห้องของอาคารที่พักผู้แสวงบุญให้พวกเรานำสัมภาระไปเก็บที่ห้อง ห้องพักสะอาดมากพวกเรานอนห้องละ 2 คนจากนั้นท่านบอกให้พวกเรานั่งรถไปนมัสการสถานที่ประสูติที่ลุมพินีวันอุทยานสถานหรือสวนลุมพินีวันซึ่งจะปิดในเวลาหกโมงเย็น เมื่อเรามาถึงเขตลุมพินีวันเห็นคนเริ่มทะยอยเดินออกเพราะจวนเจียนใกล้เวลาปิดแล้ว คนขับรถพาเราไปพบพระภิกษุที่พระมหาสุพจน์บอกไว้ พระอาจารย์นำเราสวดมนต์สักการะบูชาบริเวณเสาหินพระเจ้าอโศก ท่านเล่าพุทธประวัติตอนประสูติให้พวกเราฟังและบอกว่าการมาสักการะและกล่าวคำสวดมนต์ ณ สถานที่ทรงประสูติ ถือว่าเป็นการแจ้งเกิดชีวิตใหม่ของผู้ที่มาสักการะ ดิฉันจึงถือเอาวันที่ 22 มีนาคม 2554 เวลา 18. 15 น. เป็นวันเกิดของตัวเองอีกวันหนึ่ง เสร็จแล้วเดินดูสระโบกขรณีครู่หนึ่งแต่ไม่มีเวลาเข้าไปที่วิหารมายาเทวี เราต้องรีบออกจากอุทยานสถานเพราะเลยเวลาปิดและอากาศก็เริ่มมืดแล้วเรากลับมากินอาหารเย็นที่โรงทานของวัดและช่วยแม่ชีทำไข่เจียว ผัดกะหล่ำปลี อุ่นต้มยำ และแกงจืด ก่อนนำเอามากินกันอย่างอเร็ดอร่อย จากนั้นก็ไปบริเวณมุมปฐมพยาบาลซึ่งอยู่ชั้นหนึ่งของอาคารที่พักผู้แสวงบุญเพื่อจัดยาให้เป็นหมวดหมู่และนำยาจากสถานพยาบาลกุสินาราเข้ามาเพิ่มเติม ที่วัดไทยลุมพินียังไม่มีห้องปฐมพยาบาลแยกเป็นห้องสัดส่วน ยาต่างๆที่มีอยู่และอุปกรณ์ทำแผลจะแยกใส่กล่องพลาสติกเป็นกล่องๆวางไว้บนโต๊ะสี่เหลี่ยมผืนผ้า มีป้ายชื่อยากำกับเพื่อสะดวกต่อการใช้ มีชุดยาสามัญประจำบ้านสำเร็จรูปกล่องเล็กจำนวนมาก มีรายนามผู้บริจาคพิมพ์อยู่ที่กล่อง ดูแล้วเกือบทั้งหมดเป็นยากิน ยาน้ำและยาทา ไม่มียาฉีด ยาหยอด ส่วนใหญ่จะเป็นกลุ่มยาลดไข้แก้หวัด ภูมิแพ้ ยาโรคทางเดินอาหาร ยาเกือบทั้งหมดนำมาจากสถานพยาบาลกุสินารา ผู้แสวงบุญที่เจ็บป่วยเล็กน้อยสามารถรับยาได้ทุกเวลาแต่ถ้ามีอาการหนักคงต้องส่งตัวไปรักษาที่โรงพยาบาล ช่วงที่จัดยามีพระสงฆ์มาทำแผลและให้จัดชุดยาสามัญสำหรับการเดินทาง 2 รูป เสร็จแล้วเราเข้าไปพบท่านมหาสุพจน์เพื่อขอบริจาคเงินร่วมสบทบทุนในการบูรณปฏิสังขรณ์สถานที่ประสูติ ณ ลุมพินีวันซึงประเทศไทยได้รับอนุญาตจากคณะกรรมการมรดกโลกให้เป็น ผู้บูรณปฏิสังขรณ์เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถในวโรกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 84 ปีและ 60 ปีราชาภิเษกท่านมหาสุพจน์ได้มอบพระปางประสูติ (Little Buddha)กับพวกเราทุกคนด้วย จากนั้นดิฉันโทรสอบถามท่านมหานิพนธ์เกี่ยวกับอาการของพระท่านที่ไอซียู ท่านบอกว่าหมอเจ้าของไข้จะให้พระออกจากรพ.สาวิตรีไปรักษาต่อที่สถานพยาบาลกุสินาราได้ในวันพรุ่งนี้พวกเราจึงนัดหมายกับท่านมหานิพนธ์ว่าจะไปรับพระออกจากรพ.ในวันพรุ่งนี้เวลาห้าโมงเช้า

เช้าแรกที่เนปาลพวกเราตื่นกันตั้งแต่ตีห้าเพื่อที่จะเดินทางไปให้ทันถึงรพ.สาวิตรีในเวลาห้าโมงเช้า พระมหาสุพจน์เมตตาพาพวกเราไปกราบลาสถานที่ประสูติอีกครั้งดูเหมือนพวกเราจะมากันกลุ่มแรกเพราะยังเช้ามาก คราวนี้มีเวลาเข้าไปชมมายาเทวีวิหาร และมีโอกาสสวดมนต์ที่บริเวณแผ่นศิลารอยพระพุทธบาทและแผ่นศิลาแกะสลักรูปการประสูติของสิทธัตถะราชกุมารที่พระนางสิริมหามายายืนเหนี่ยวกิ่งสาละ ดิฉันรู้สึกปิติตื้นตันใจมากคงเหมือนกับชาวพุทธคนอื่นๆที่ได้มีโอกาสมากราบนมัสการยังสถานที่ทรงประสูตินี้ไม่รู้จะบรรยายเป็นคำพูดอย่างไรดี ระหว่างเดินออกจากอุทยานสถานพวกเราแวะซื้อของที่ระลึกตามร้านที่ตั้งเรียงรายอยู่ตรงทางเข้าจำนวนมากใช้เวลาที่สวนลุมพินีวันประมาณหนึ่งชั่วโมงพวกเราก็เดินทางตรงไปยังด่านเพื่อข้ามแดนไปยังอุตตรประเทศ ท่านมหาสุพจน์นั่งรถไปกับพวกเราเพื่อไปทำธุระบริเวณด่านด้วย ถึงด่านมิสรานำรถคันเดิมมารอรับพวกเราอยู่แล้ว พวกเรากราบนมัสการลาพระมหาสุพจน์ก่อนขึ้นรถและแวะรับข้าวห่อและเข้าห้องน้ำที่พุทธวิหาร 960 และเข้าไปกราบลาท่านพระครูสังฆรักษ์ปรีชาและขอบคุณพี่ผู้หญิงที่เตรียมอาหารไว้ให้เราก่อนออกเดินทางไปยังรพ.สาวิตรี ระหว่างเดินทางพวกเรากินข้าวเช้ารวมกับมื้อเที่ยงล่วงหน้ากันในรถมีไข่ต้ม หมูหยอง น้ำพริกเผาพอเข้าเขตเมืองโครักขปุระมิสราขอจอดรถกินอาหารที่ร้านข้างทางก่อนจะเข้าไปในโรงพยาบาล ดูนาฬิกาเวลาก็เกือบห้าโมงครึ่งแล้ว ไปถึงเจอท่านมหานิพนธ์กับลูกศิษย์วัดรออยู่ที่หน้าห้องไอซียูพวกเรารีบนำอาหารกล่องถวายเพลท่านมหานิพนธ์และนำเข้าไปถวายพระท่านที่นอนอยู่ในไอซียูด้วยแต่ท่านฉันอาหารอ่อนและขนมปังที่รพ.เตรียมให้ไปเรียบร้อยแล้ว รู้สึกกลัวบาปจริงๆที่มาถึงล่าช้ากว่าที่นัดหมายเลยเวลาอาหารเพลพระไปนานเลย วันนี้ไม่พบกับหมอเจ้าของไข้ พยาบาลได้ให้พวกเรานำใบรายการยาและใบค่ารักษาพยาบาลไปรับยาของพระท่านที่เหลือเพื่อนำไปรักษาต่อและจ่ายค่ารักษาที่ชั้นหนึ่งซึ่งมีคนแออัดพอสมควรไม่มีการนั่งรอทุกๆคนยืนรุมกันอยู่หน้าเค้าน์เตอร์รอรับยาและจ่ายเงิน ไม่มีคิวใดๆใครยื่นใบรายการก่อนได้ก่อน ค่าใช้จ่ายในการรักษาพระที่ป่วยทางวัดไทยกุสินาราเฉลิมราชย์ โดยท่านมหานิพนธ์เป็นผู้จ่ายให้อนุโมทนา สาธุ สาธุ สาธุอีกครั้งค่ะ รับยาเสร็จพวกเรารับพระท่านเดินทางกลับทันที มาถึงสถานพยาบาลกุสินาราประมาณสี่โมงเย็น เราพาท่านไปพักฟื้นต่อยังห้องพักของอาคารรับรองให้น้ำเกลือและยาต่อเนื่องตามที่หมอจากรพ.สาวิตรีเขียนใบส่งต่อการรักษาไว้ ดิฉันปรึกษาท่านมหานิพนธ์และพระมหาคมสรณ์เรื่องการส่งตัวผู้ป่วยกลับประเทศไทยเพื่อเข้ารับการรักษาตัวต่อที่รพ.สงฆ์ เพราะผู้ป่วยยังไม่พ้นระยะวิกฤติ อาจมีอาการทรุดลงและที่สถานพยาบาลไม่มีเครื่องช่วยหายใจและออกซิเจนซึ่งจำเป็นสำหรับผู้ป่วยที่มีภาวะปอดผิดปกติทั้งสองท่านเห็นด้วย พวกเราจึงประสานงานกับฝ่ายต่างๆกันอย่างคล่องแคล่วเพราะมีประสบการณ์จากรายของคุณแขกและคุณเล็กมาแล้ว แต่ยังห่วงว่าจะไม่มีตั๋วเครื่องบิน เพราะการบินไทยจะปิดเที่ยวบินในวันที่ 26 มีนาคมซึ่งวันนี้ก็ใกล้หมดช่วงฤดูแสวงบุญแล้ว ดิฉันโทรไปคุยกับเจ้าหน้าที่การบินไทยท่านเดิม ซึ่งแจ้งว่ามีที่นั่งเหลือแต่ทางการบินไทยกังวลเรื่องอาการของผู้ป่วยขณะเดินทางกลัวว่าจะหอบเหนื่อยขึ้นมาระหว่างที่บินอยู่ ขอให้ทางแพทย์รับรองว่าคนไข้จะไม่มีอาการที่เป็นอันตรายขณะเดินทาง จากการประเมินอาการแล้วผู้ป่วยถึงจะยังไม่พ้นภาวะวิกฤติแต่ยายังสามารถควบคุมอาการได้ถ้าเดินทางในระยะเวลา 3 ชม.จึงมีความปลอดภัยพอสมควร ดิฉันพูดคุยกับเจ้าหน้าที่การบินไทยจนเข้าใจและเขียนใบรับรองแพทย์ส่งต่อการรักษารวมทั้งเขียนรับรองอาการของคนไข้ที่ต้องเดินทาง นอกจากนั้นเรายังติดต่อไปที่ลูกสาวพระท่านที่เมืองไทยให้ติดต่อรพ.สงฆ์เพื่อขอนำรถพยาบาลมารับผู้ป่วยที่สนามบินสุวรรณภูมิ จากนั้นประสานท่านพระครูปลัดสมพงศ์เรื่องรถที่จะนำส่งผู้ป่วยในวันพรุ่งนี้ พระครูปลัดสมพงศ์กรุณามากบอกว่าจะหารถเช่าเอกชนให้และได้นัดหมายให้พวกเราไปรับเงินค่าตั๋วเครื่องบินที่ทางวัดจะจ่ายให้ที่อาคารเชื่อมตอนหกโมงเช้าก่อนเดินทางด้วย อนุโมทนา สาธุ...ดิฉันนึกอยู่ในใจว่าพระสงฆ์ที่อินเดียมีความเมตตากรุณาต่อคนที่ตกทุกข์ได้ยากอย่างเหลือเกินช่วยเหลือทุกๆเรื่องทั้งสงฆ์ ทั้งฆราวาสท่านดูแลไปหมด คืนนี้ดิฉันเริ่มให้ยาเพิ่มอีกสองรายการเพื่อควบคุมอาการหอบจากโรคถุงลมโป่งพองและปอดอักเสบ พวกเราช่วยกันเฝ้าสังเกตอาการพระท่านเป็นระยะๆ ตลอดคืนจนท่านอาการดีขึ้น พูดคุยได้โดยไม่มีอาการหอบ ดื่มน้ำได้ เราเลยโล่งใจกันในระดับหนึ่ง ตอนนั้นคิดว่ารอประเมินตอนเช้ามืดอีกครั้งว่าพระท่านจะสามารถเดินทางไปที่สนามบินพาราณสีซึ่งอยู่ไกลจากวัดไป 250 กม.ในวันพรุ่งนี้ได้หรือไม่
รุ่งเช้าอาการของพระคงเดิม มีอาการไอและหอบเล็กน้อยแต่พอลุกเดินและฉันอาหารได้ สัญญาณชีพและระดับน้ำตาลปกติ ดิฉันกับพยาบาลหนึ่งคนนั่งรถเช่าที่ทางวัดเตรียมไว้ให้ไปส่งพระท่านที่สนามบินพาราณสี มีอาหารกล่องที่ทางวัดจัดให้ไปกินเป็นมื้อกลางวันด้วย ขณะอยู่ในรถเราให้ยาฉีดเข้าเส้นเป็นระยะๆ ระหว่างที่เดินทางท่านมหานิพนธ์ได้แจ้งว่าพระหัวหน้าคณะกำลังนั่งรถไฟจากกัลกัตตาเพื่อมารับพระท่าน ดิฉันจึงโทรหาท่านจึงรู้ว่าท่านต้องนั่งรถไฟจากพุทธคยาเพื่อไปส่งพระในคณะ 2 รูปขึ้นเครื่องที่กัลกัตตาและก็ตีตั๋วรถไฟกลับมารับพระท่านที่ป่วยอยู่ที่กุสินาราโดยไม่รู้ว่าพระท่านได้เดินทางมาขึ้นเครื่องกลับไทยที่พาราณสีแล้วเพราะมีปัญหาสัญญาณโทรศัพท์ทำให้ติดต่อกันไม่ได้ ดิฉันนึกเห็นใจท่านจริงๆที่ท่านต้องเหนื่อยเดินทางรอนแรมไปมาเป็นระยะทางไกลๆแบบนี้ เราถึงสนามบินพาราณสีในเวลา 13.30 น. มีเจ้าหน้าที่สนามบินนำรถเข็นนั่งมารับ ค่อยยังชั่วหน่อย ถ้าเดินเองท่านหอบกำเริบแน่ๆ เรานั่งสังเกตอาการท่านในสนามบินต่อ ระหว่างนั้นเห็นมีคณะสงฆ์และฆราวาสหลายคณะเตรียมรอเดินทางกลับกันเต็มสนามบิน และเดินเข้ามาสอบถามพวกเราหลายคน มีคณะพระสงฆ์ที่เดินทางมาจากจังหวัดฉะเชิงเทราเข้ามาพูดคุยสอบถามเราสองคนเลยขอให้ช่วยดูแลพระท่านขณะเดินทางและช่วยเรื่องสัมภาระด้วยเพราะสัมภาระท่านหนักมาก เราได้ขอให้เจ้าหน้าที่สนามบินช่วยเข็นผู้ป่วยไปที่ตัวเครื่องบินเพราะระยะทางไกลจากตัวอาคารมากเจ้าหน้าที่สนามบินรับปาก จนได้เวลาเช็คหนังสือเดินทางเราจึงให้ยาเข็มสุดท้ายก่อนปลดสายให้น้ำเกลือออก ส่งพระท่านเข้าเกทไปแล้วเราออกมาแต่หาคนขับรถอยู่นานก็ไม่เจอต้องโทรหาท่านนิพนธ์ จึงรู้ว่าคนขับรถไปซื้อของในตลาด รออยู่ในสนามบินเกือบสองชั่วโมงรถจึงมารับ ตอนนั้นเราสองคนคิดว่าคนขับรถเช่าคงขับรถกลับกุสินาราไปแล้วใจหายหมดเลย กลัวว่าจะได้นอนค้างที่สนามบินพาราณสีแทนที่จะได้กลับกุสินาราซะแล้วซิ ก่อนออกจากสนามบินพวกเราซื้อพายกินรองท้องคนละชิ้นเพราะเริ่มจะหิวจัด ขณะนั่งรถกลับดิฉันรู้สึกปวดท้องน่าจะเป็นจากที่กินอาหารไม่ตรงเวลาและจากลำไส้กระเด้งกระดอนจากถนนขรุขระแน่ๆ ( คนขับบอกเราว่ามาทางลัดคนละเส้นทางกับตอนขามาถนนเลยไม่ค่อยดี แต่จะถึงเร็วขึ้นเราแอบนึกในใจว่าขอแบบไม่ลัดและถึงช้าหน่อยดีกว่า ) ทางลัดที่รถเราแล่นผ่านดูไม่ค่อยมีบ้านผู้คน เป็นทุ่งนาและป่ามืดๆเกือบตลอดเส้นทางแต่ดิฉันไม่ได้รู้สึกกลัวแต่อย่างใดในใจรู้สึกดีใจที่ได้เห็นว่าพระภิกษุที่ป่วยหนักปลอดภัยและกำลังเดินทางกลับไปรักษาตัวต่อที่เมืองไทยแล้ว เรานั่งรถกันเงียบๆไปตลอดทาง ดิฉันอดคิดไม่ได้ว่าเส้นทางระหว่างพาราณสีและกุสินาราที่เรากำลังเดินทางด้วยรถยนต์กันอยู่นี้ในสมัยก่อนพุทธกาลพระพุทธองค์ก็เคยประทับเดินด้วยพระบาทเปล่าไปยังสถานที่ต่างๆเช่นกัน ดิฉันจึงน้อมจิตระลึกถึงความเพียรของพระพุทธองค์ ระลึกถึงพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธองค์ และพยายามทำจิตให้อยู่กับปัจจุบันขณะ ทำให้ตลอดเส้นทางถึงจะปวดเสียดในท้องแต่จิตใจกลับรู้สึกเบิกบานมีความสุข รถแล่นฝ่าความมืดจนมาถึงวัดไทยกุสินาราฯประมาณห้าทุ่มกว่า อาบน้ำเสร็จดิฉันสวดมนต์เข้านอนแต่หลับได้ไม่ดีนักเพราะยังมีอาการพะอืดพะอมปั่นป่วนในท้องตลอดทั้งคืน




 

Create Date : 18 สิงหาคม 2554
0 comments
Last Update : 21 สิงหาคม 2554 13:00:24 น.
Counter : 562 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

 

asoka200
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




ตามรอยพระพุทธองค์.....
[Add asoka200's blog to your web]

 
pantip.com pantipmarket.com pantown.com
pantip.com pantipmarket.com pantown.com