Group Blog
 
 
มีนาคม 2553
 123456
78910111213
14151617181920
21222324252627
28293031 
 
29 มีนาคม 2553
 
All Blogs
 
เที่ยวถึงพริกจิกถึงขิง

นวนิยายเชิงท่องเที่ยว “เที่ยวถึงพริก จิกถึงขิง”
เรื่อง/ภาพ โดย เดชา เวชชพิพัฒน์

บทที่ 1

ในชีวิตคนชอบเที่ยวอย่างผมเจอคำถามซ้ำซากคำถามหนึ่ง ทั้งเพื่อนสนิทมิตรแท้ มิตรทนมิตรรับประทาน มิตรปรับทุกข์ ตลอดจนรักเก่ารักใหม่ รักลืม และรักลุ้น อีกทั้งญาติโกโหติกา ต่างถามเหมือนๆกันว่า
“ชอบเที่ยวแบบนี้ ทำไมไม่เปิดบริษัทนำเที่ยว”
จากนั้นตามด้วยการโน้มน้าวและสนับสนุนความคิดเห็นเชิงยัดเยียดของตน
ที่ “ช่างคิด” กล่าว “โอเคนะ ได้ทำในสิ่งที่ตนชอบ ได้ไปเที่ยวต่างประเทศบ่อยๆ แถมยังมีรายได้อีกด้วย กำไรชีวิตแบบสุดๆ”
ที่ “มักมาก” กล่าว “อาชีพแบบนี้ได้รู้จักคนเยอะดี เจอคนไหนถูกตาต้องใจยกตำแหน่งกิ๊กหมาย เลขต่างๆให้เสีย”
(ปัจจุบันเจ้าของความคิดเห็นนี้ต้องไปพบจิตแพทย์อาทิตย์ละครั้ง เพื่อบำบัดโรคภูมิต้านทานกามบกพร่อง)
ที่ “รู้มาก” กล่าว “เปิดบริษัททัวร์ได้แล้วเพื่อน อั๊วจะได้ขอไปเที่ยวฟรี”
ที่ “งกแป๊ะ” กล่าว “รวยเร็วดีนะเธอ พาลูกทัวร์ไปซื้อของก็ได้ค่าคอมฯ นอกจากนี้เธอยังขายประกัน ขายอาหารเสริม ขายน้ำลูกยอ ขายแอมเวร ขายโน่นขายนี่ให้ลูกทัวร์ได้อีก ถ้าคารมดีๆยังสามารถป้อลูกทัวร์มาเป็น “ดาว์นไลน์” ช่วยขายของ เป็นผืนนาให้เธอขึ้นไปปลูกข้าวบนหลังพวกเขา ทำนาบนหลังคนน่ะ รู้จักไหม”
แต่ทันทีที่ผมตอบคำถามเหล่านี้ว่า
“ชอบเที่ยว แต่ไม่ชอบเอาใจคน เลิกถามแบบนี้ได้ไหม รำคาญ”
บรรดาผู้หวังดีแบบไม่ดูตาม้าตาเรือต่างพากันแยกย้ายกระจายห่างออกไปอย่างรวดเร็ว

แต่ ... คุณเคยได้ยินไหมครับ ที่เขาว่ากันว่า ยิ่งเกลียดยิ่งเจอ

มีช่วงหนึ่งผมดวงตกสุดๆ ดวงชะตาผมหล่นปุ๊ลงไปในท่อระบายน้ำของกทม. แล้วไหลไปไหนต่อไหนไม่อาจรู้ได้ รู้แต่ว่าบรรดาลูกค้าที่เคยจ้างให้จัดงานแถลงข่าวบ้าง เขียนบทความบ้าง หายหน้าหายตาไปกับราคาน้ำมันที่ขึ้นพรวดๆ
สงสัยใช้นโยบาย “เราได้ทำ” เอ๊ย “เราทำได้” แบบบริษัททั่วไป ... สถานการณ์แบบนั้น อะไรทำเองได้ต้องทำ ประหยัดนิดประหยัดหน่อยล้วนมีค่ามีความหมายต่อองค์กร
จำได้ว่าตอนนั้นเงินขาดมือ ถึงขนาดต้องประกาศขายจักรยานเสือภูเขาสุดรัก ขายขาดทุนแบบครึ่งต่อครึ่ง ได้เงินมายาไส้ไม่นานก็หมด ... ปัจจัยหล่อเลี้ยงชีพแพงสุดๆ ไม่ว่าเหล้า เบียร์ กับแกล้ม และค่าเหนื่อยคนชงเหล้า ล้วนขึ้นราคาแบบไม่เกรงใจพวกเราชาว “จน ... เครียด ... เมา ... โดนตื้บ”
แต่ผมไม่โชคร้ายเหมือนหมาจนตรอก มีลูกค้ารายใหม่ติดต่อมา แจ้งว่าต้องการไปเที่ยวอินเดียแบบติดดินนานนับเดือน จ่ายค่าจ้างงาม ถึงขนาดผมได้ยินแล้วหูผึ่ง รีบรับนัดคุยรายละเอียดที่ร้าน อาหารฝรั่งหรูหรา อยู่ในโรงแรมระดับห้าดาวริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา ชื่อร้านจำยากมากครับ ทำนองว่า “เรอกาละมังดี กิ๊วๆ” หรืออะไรทำนองนี้
ได้ยินชื่อร้านก็แทบอิ่มแล้ว ... เรอใส่กาละมังเนี่ยนะ
ผมไปถึงร้านอาหารก่อนเวลานัดสิบห้านาที เห็นสภาพร้านที่ตกแต่งแบบฉากลิเกฝรั่งแล้วคิดว่างั้นๆ แต่พอเห็นรายการอาหารที่พนักงานนำมาวางตรงหน้าแล้วตกใจแทบหงายหลัง
อิ๋บอ๋ายแล้ว ทำไมราคาอาหารแพงขนาดนี้ ตายละวา พกเงินมาไม่พอค่าข้าวผัดหนึ่งจานด้วยซ้ำ
ด้วยความกังวล หากเจ้ามือไม่มาตามนัดผมคงต้องล้างจานใช้ค่าข้าวผัดนานเป็นสัปดาห์แน่ จึงสั่งแต่พอประมาณเป็นภาษาอังกฤษ
“เพียววอเตอร์วิธไอซ์พลีส”
ผมอุตส่าห์ขอน้ำแข็งเปล่าหนึ่งแก้วเป็นภาษาอังกฤษ เพื่อให้พนักงานเข้าใจผิดว่าเป็นชาวต่าง ชาติ ชาวฮ่องกงหรือสิงคโปร์ก็ยังดี เพราะคนไทยสั่งน้ำแข็งเปล่ากับชาวต่างชาติสั่งน้ำแข็งเปล่านั้น ภาพลักษณ์ผิดกันลิบลับ แต่พนักงานกลับตอบยิ้มๆ
“เราบริการน้ำเย็นให้อยู่แล้วครับ”
“เพล้ง” เสียงใบหน้าบางใสราวผลึกแก้วเนื้อดีของผมแตกกระจาย ผมรีบก้มลงเก็บ ทันใดนั้น ผมรู้สึกว่าเกิดแผ่นดินไหวที่ “เรอกาละมังดี” พื้นห้องสั่นสะเทือนอย่างน้อยแปดมาตราริกเตอร์ ได้ยินเสียงดังตึงๆจึงเอียงหน้ามอง เห็นขาอวบใหญ่ใส่รองเท้าส้นสูงสีแดงเลือดนกเดินตรงเข้ามา
ผมค่อยๆดึงตัวกลับขึ้นนั่งหลังตรง เห็นสุภาพสตรีรูปร่างหน้าตาแบบธิดาช้าง เดินนำสุภาพบุรุษรูปร่างหน้าตาพิมพ์เดียวกันตรงเข้ามาหาผม ผมรู้ทันที ผู้หญิงผู้ชายวัยสามสิบปลายๆสองคนนี้แหละ ลูกค้าใหม่ของผม
ทั้งคู่อยู่ในชุดสีสันสดใส ฝ่ายหญิง ทั้งๆที่อ้วนอยู่แล้วกลับเน้นความอ้วนของตนด้วยการใส่เสื้อลายขวาง สีฟ้าสลับเหลือง ใส่กระโปรงลายดอกสีชมพู ฝ่ายชาย ใส่เสื้อแขนยาวสีเขียวอ่อน ตัดเย็บด้วยผ้าแพรเนื้อนิ่มแวววาว ดูหวานแหววเมื่อใส่คู่กับกางเกงสีครีม
“ฉันผอบทิพย์ คนนี้ผสบโชค น้องชายฝาแฝดของฉัน ฉันอนุญาตให้เธอเรียกพวกเราสั้นๆว่าคุณทิพย์กับคุณโชค” ธิดาช้างกล่าวแนะนำเทพบุตรช้างผู้ยืนข้างกาย ผมส่งยิ้มรับทั้งคู่ด้วยใจหวาดผวา ท่าทางสองคนนี้เจ้ายศเจ้าอย่างไม่เบา
ผมนึกด้วยความหมั่นไส้ ... ฉันอนุญาตให้เธอเรียกพวกเราสั้นๆว่าคุณทิพย์กับคุณโชค ... เจ้ายศเจ้าอย่างเหลือเกินนะแม่คุณ นี่ถ้าเผลอเรียกว่า อำแดงทิพย์ กับ นายโชค กระผมโดนลากคอไปประหารชีวิตหรือเปล่าครับท่าน

หลังพูดคุยอยู่นานเกือบสองชั่วโมงจึงได้ข้อสรุปว่า คุณทิพย์กับคุณโชคอยู่ดีมีสุขจนไม่รู้ทำอะไร อยากสัมผัสชีวิตติดดินของชาวอินเดีย มีเวลาเดินทางท่องเที่ยวนานเป็นเดือน สถานที่เที่ยวเน้นว่าต้องไปสังเวชนียสถานเป็นลำดับแรก ตามด้วยราชสถาน และหิมาจัลประเทศ

“อะไรนะครับ สังเวชๆ ผมฟังไม่ถนัด” ผมถามทันที่ที่ฟังจบ ลูกค้าใหม่ทั้งสองคนได้ยินแล้วมองหน้ากันทำตาโต อำแดงทิพย์ หรือ “หม้อหุงข้าวขนาดห้าร้อยกรรมกรบริโภค” ยกมือทาบอก ถามเสียงสูง
“คุณอย่าบอกนะว่าคุณไม่รู้จักสังเวชนียสถาน”
ผมส่ายหน้า ตามด้วยยักไหล่ ตั้งใจกวนบาทาอย่างสุดๆ
“ถ้าผมรู้คงไม่ถามให้เมื่อย”
“เฮ้อ” นายโชคหรือ “ถังก๊าซเอ็นจีวีสำหรับกระสวยอวกาศ” ถอนใจเสียงดังก่อนกล่าวกับพี่สาว “โชคว่าเราไปเที่ยวกับบริษัททัวร์ดีกว่า นะพี่นะ”
หม้อหุงข้าวเม้มปากก่อนหันไปตบหลังมือนายถังก๊าซเบาๆ “ใจเย็นๆค่ะน้องโชค ถึงอย่างไรพี่ก็ไม่ไปเที่ยวกับทัวร์ รับไม่ได้ค่ะ ต้องไปเจอคนร้อยพ่อพันแม่ อีกอย่าง เที่ยวก็ไม่ได้เที่ยว พาไปซื้อของประจำ”
จากนั้นจึงสูดหายใจเต็มปอดแล้วกล่าวกับผมด้วยท่าทางราวกับต้องระงับอารมณ์อย่างเต็มที่ ... ท่ามากจริงๆ
“คุณบอกว่าคุณไปเที่ยวอินเดียมาแล้วสามครั้ง แต่คุณไม่รู้จักสังเวชนียสถาน”
ผมแกล้งโง่ด้วยการลอยหน้าลอยตาตอบ “ผมไปเที่ยวครับ ไม่ได้ไปศึกษาหาความรู้”
เธอส่ายหน้าช้าๆ “ถ้าเช่นนั้นฉันจะให้ความรู้คุณแก่คุณ เป็นวิทยาทาน”
ด้วยความอยากทดสอบความรู้ของคุณทิพย์ผมจึงยักไหล่ “ก็ได้ ของฟรีใครก็ชอบ”
หม้อหุงข้าวเม้มปากก่อนกล่าว “สังเวชนียสถานหมายถึงสถานที่ระลึกถึงพระพุทธเจ้า ประกอบ ด้วยสถานที่ประสูติ ตรัสรู้ แสดงปฐมเทศนา และ ปรินิพพาน”
ฟังแล้วผมแกล้งเกาหัวแกรกๆ
หม้อหุงข้าวเดินได้เห็นเช่นนั้นความขมึงทึงบนใบหน้าจึงคลายลง “สถานที่ประสูติคือลุมพินีวัน ตามพุทธประวัติ สถานที่นี้อยู่บนฝั่งแม่น้ำโรหิณี ระหว่างกรุงกบิลพัสดุ์กับกรุงเทวะทหะ ปัจจุบันอยู่เขตมณฑลอูธ”
ได้ยินแค่นั้น สุนัขในปากผมทำหน้าที่ทันที “อูฐที่ว่านี่มีกี่หนอกครับ กินน้ำเยอะไหมครับ วันละกี่ถังครับ อีกอย่าง คลับคล้ายคลับคลาว่าอินเดียไม่ได้แบ่งการปกครองเป็นมณฑลนี่ครับ”
“อูธ ใช้ธอธงสะกดย่ะ เป็นชื่อมณฑลในเนปาล”
“อ้าว หมายความว่าให้ผมพาไปเที่ยวสองประเทศคือเนปาลกับอินเดีย ถ้างั้นต้องคิดเงินเพิ่มสองเท่า”
หม้อหุงข้าวเดือดปุด พ่นไอร้อนออกมาทันที “นี่นายหน้าเลือด ไม่ต้องฉวยโอกาสหรอกย่ะ ลุมพินีวันน่ะ ฉันกับน้องชายเคยไปมาแล้ว แต่ไม่ประทับใจเท่าไรเพราะไปกับบริษัททัวร์ ถึงได้มาหาเธอไง”
“ไม่รู้ว่าคิดผิดหรือเปล่า” นายถังก๊าซกล่าวด้วยท่าทางและน้ำเสียงประชดประชัน
“ตอบตอนนี้ไม่ได้หรอกครับ ของแบบนี้ต้องลองถึงจะรู้” ผมจงใจยั่ว อยากเห็นถังก๊าซระเบิด แต่พี่สาวรู้ทันรีบตัดบท
“สถานที่ต่อไปคือพุทธคยา เป็นสถานที่ตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า อยู่ใกล้แม่น้ำเนรัญชรา ปัจจุบันคือเมืองคยา รัฐพิหาร”
“อ๋อ ผมเคยไปที่นี่ครับ มีเจดีย์รูปเหลี่ยม ไม่บอกไม่รู้นะเนี่ยว่าเป็นสถานที่ตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า มิน่าล่ะ มีต้นโพธิ์ต้นใหญ่ด้วย”
ฝาแฝดถอนใจเฮือกใหญ่พร้อมกัน หม้อหุงข้าวส่ายหน้าแบบปลงตก “ฉันหวังว่าตอนพาเราสองคนไปเที่ยว เธอคงเอาสมองติดตัวไปด้วยนะ เอาละ ฉันเล่าต่อดีกว่า สถานที่นี้สำคัญมากนะ ก่อนตรัสรู้ เจ้าชายสิทธัตถะประทับอยู่ ณ ริมฝั่งตะวันออกของแม่น้ำเนรัญชรา นางสุชาดานำข้าวมธุปายาสมาถวาย เมื่อเสวยข้าวมธุปายาสแล้ว พระพุทธองค์ทรงลอยถาดข้าวนั้นแล้วเสด็จข้ามไปฝั่งตะวันตก ประทับที่ใต้ต้นโพธิ์ ทรงบำเพ็ญเพียรเพื่อความหลุดพ้น จนบรรลุพระอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า”
“แหม คุณทิพย์รู้เรื่องพระพุทธเจ้าราวกับเคยบวชชีมาก่อน เอ ไม่ทราบคุณทิพย์เคยเป็นแม่ชีมาก่อนหรือเปล่าครับ ถ้าเคย ผมอยากทราบว่าต้องใช้ผ้าขาวกี่หลา จึงคลุมหมดทั่วกายคุณทิพย์”
ทันทีที่ผมกล่าวจบ นายถังก๊าซลุกยืน เท้าเอว เผยอปากแบบแม่ค้าหาบเร่แผงลอยเตรียมด่าเจ้าหน้าที่เทศกิจ แต่หม้อหุงข้าวดึงแขนน้องชายให้นั่งลง “อย่าค่ะน้องโชค อย่าเอาพิมเสนไปแลกกับขี้เกลือ”
ขี้เกลืออย่างผมได้ยินแล้วกลืนน้ำลายดังเอื๊อก ยังไม่ทันโต้ตอบ หม้อหุงข้าวชิงกล่าว “เรื่องพุทธประวัตินี่ ไม่ต้องถึงกับบวชเรียนหรอก แค่นับถือศานาพุทธก็น่ารู้ไว้ประดับกะโหลก ไม่ใช่มีแต่ขี้เลื่อย เอาละ ฉันเล่าต่อดีกว่า เมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จดับขันธปรินิพพานไปแล้วสามร้อยปี พระเจ้าอโศกมหาราชได้โปรดให้สร้างพระเจดีย์พุทธคยาเพื่อเป็นอนุสรณ์แห่งการตรัสรู้”
เงินค่าจ้างทำให้ผมระงับอารมณ์ได้อย่างรวดเร็ว ต่อประเด็นอย่างแนบเนียน “อืม ผมว่าผมเคยดูหนังอินเดียเรื่องอโศกมหาราชนะครับ”
ฟังแค่นั้น นายถังก๊าซร้องลั่น กุมมือใต้คาง หมุนตัวไปมา ทำท่าราวกับสาวน้อยพูดถึงคนรัก “ว้าว เคยดูหนังเรื่องโปรดของฉันด้วย แล้วชอบคนที่เล่นเป็นพระเจ้าอโศกมหาราชไหมล่ะ ชารุกข่าน น่ะ หล่อโรตีไหม้เลยเชียวล่ะ”
ผมขมวดคิ้ว “ผมว่าหน้าตาเขาเหมือนคนอินเดียทั่วไปแหละครับ ว่าแต่ว่า ไปเกี่ยวอะไรกับโรตี เขาขายโรตีด้วยหรือครับ”
นายถังก๊าซค้อน “บ้า พระเอกหนังบ้านเธอสิขายโรตี หล่อโรตีไหม้หมายความว่าคนทำโรตีตะลึงในความหล่อของเขาจนทอดโรตีไหม้ย่ะ”
ผมหัวเราะเบาๆ “แหม เล่นมุกภารตะแบบนี้ใครไปตามทัน ว่าแต่ว่า ผมดูไม่ออกเลยครับว่าคุณโชคมีอาชีพขายโรตี”
นายถังก๊าซเงื้อมือขึ้นทำท่าตบผม หม้อหุงข้าวเห็นเช่นนั้นจึงดับไฟหัวลมด้วยการเล่าพุทธประวัติต่อ “สถานที่ต่อไปคือป่าอิสิปตนมฤคทายวัน เมื่อพระพุทธเจ้าตรัสรู้และเสวยวิมุติสุขเจ็ดสัปดาห์แล้วเสด็จ ไปหาปัญจวัคคีย์ แสดงพระองค์เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า แสดงปฐมเทศนาโปรดปัญจวัคคีย์ ณ ที่แห่งนี้ เมื่อวันเพ็ญเดือนแปด”
“วันอาสาฬหบูชา” ผมกล่าวดังลั่นด้วยความภูมิใจ
นายถังก๊าซตบมือดังลั่น “ถูกต้องนะฮ้า เก่งจังเลยตัวเอง เก่งกว่าเด็กปอสี่”
ผมยังไม่ทันอ้าปากตอบกลับ หม้อหุงข้าวกล่าวต่อ “วันนั้นเป็นวันที่พระจันทร์เสวยฤกษ์อาสาฬหะ ในสมัยพระเจ้าชารุกข่าน เอ๊ย พระเจ้าอโศกมหาราช โปรดให้สร้างสถูปและเสาหินที่มียอดเป็นรูปจตุรสิงห์เป็นอนุสรณ์ ปัจจุบันป่าอิสิปตมฤคทายวันเรียกว่าสารนาถ อยู่ในเขตเมืองพาราณสี รัฐพิหาร ส่วนสถานที่ปรินิพพานคือสาลวโนทยาน เมืองกุสินารา ปัจจุบันอยู่ในอำเภอกาเซีย จังหวัดโครักขปูร์ รัฐอุตตรประเทศ มีพระปรินิพพานสถูปองค์หนึ่ง พระวิหารหลังหนึ่ง”
การพูดผิดของหม้อหุงข้าวทำให้ผมอดหมั่นไส้ไม่ได้ พระเอกไทยหล่อๆมีตั้งหลายคนกลับไม่ชอบ ไปชอบพระเอกอินเดีย “คุณทิพย์เป็นโรคคลั่ง ชารุกข่าน เหมือนคุณโชคหรือครับ”
หม้อหุงข้าวทำหน้าดุ “เรื่องส่วนตัวของฉัน เธอไม่มีสิทธิ์ยุ่ง”
“อู๊ย แก่ป่านนี้แล้วยังทำเหนียม บอกเขาไปเลยสิจ๊ะว่าไม่ได้คลั่งหรอก แต่สะสมหนังอินเดียทุกเรื่องที่พระเอกคนนี้แสดง” นายถังก๊าซตอบแทนพี่สาว แถมไม่เปิดโอกาสให้อีกฝ่ายโต้ตอบ ลอยหน้าลอยตากล่าวต่อ หันมากล่าวกับผมด้วยท่าทางราวกับทนายฝ่ายจำเลยเสนอหน้าผู้พิพากษา
“แค่นั้นยังไม่พอ ห้องนอนคุณเธอนะ เต็มไปด้วยแผ่นพับ ใบปลิว ใบปิด ของภาพยนตร์ที่พระเอกคนนี้แสดง ฉันว่าฉันคลั่งพระเอกคนนี้แล้วนะ เทียบกับคุณเธอแล้วฉันชิดซ้ายฮ่ะ เหมือนโรตีกับพิซซาถาดใหญ่นั่นแหละ”
“แหม เข้าใจเปรียบ” ผมอดชมเชยถังก๊าซไม่ได้ “แต่ผมงงว่าใครเป็นโรตีใครเป็นพิซซา ดูท่าทางน่าจะเป็นพิซซาด้วยกันทั้งพี่ทั้งน้องนะครับ พิซซาขอบกระด้ง เอ๊ย ขอบยางรถยนต์ไงครับ” กล่าวแล้วผมจ้องไปที่เอวหนา เส้นรอบวงไม่ต่ำกว่าสี่สิบนิ้วของทั้งคู่
“กรี๊ด” พิซซาฝาแฝดร้องออกมาดังลั่นร้านเรอกาละมังดีกิ๊วๆ

นั่นแหละครับ เหตุการณ์ที่ผมกับลูกค้าเจอกันวันแรก ฟังดูน่าเสียวไส้ใช่ไหมครับ จิกกัดกันแบบนี้แล้วไปเที่ยวกันได้อย่างไร ตั้งหลายสิบวัน ... ในอินเดียอีกต่างหาก มันน่าฆ่ากันตายตั้งแต่วันแรกแล้ว
แต่เสน่ห์ของชีวิตคือเราไม่อาจคาดเดาความเป็นไปได้อย่างถูกต้อง อย่างน้อยไม่เต็มร้อย อย่างมากตรงกันข้าม
ลองติดตามดูแล้วกัน
ขอบอกสั้นๆว่า นอกจากผ่านไปด้วยดี ... คุณทิพย์และคุณโชคได้เที่ยวตามต้องการ ผมเองได้เงินค่าจ้างไปยาไส้ เราสามคนยังสนุกและประทับใจการเที่ยวครั้งนี้ จนถือเป็นรูปแบบใหม่ของความ สัมพันธ์ขณะเดินทางท่องเที่ยว ซึ่งก็คือที่มาของชื่อเรื่อง ฟังคล้ายคำขวัญบะหมี่สำเร็จรูปประเภทแซบๆทั้งหลาย ... เที่ยวถึงพริก จิกถึงขิง



Create Date : 29 มีนาคม 2553
Last Update : 30 มีนาคม 2553 13:58:22 น. 2 comments
Counter : 722 Pageviews.

 


โดย: จีนี่ในกระจกแก้ว วันที่: 29 มีนาคม 2553 เวลา:21:20:19 น.  

 
นวนิยายเชิงท่องเที่ยวเรื่องนี้
ตีพิพม์เป็นตอนๆในนิตยสาร หญิงไทย
เริ่มปักษ์แรกพฤษภาคมครับ


โดย: เดชา เวชชพิพัฒน์ (dejaboo44 ) วันที่: 5 พฤษภาคม 2553 เวลา:7:36:13 น.  

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

dejaboo44
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Friends' blogs
[Add dejaboo44's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.