Group Blog
 
<<
กรกฏาคม 2553
 123
45678910
11121314151617
18192021222324
25262728293031
 
15 กรกฏาคม 2553
 
All Blogs
 
นางสาวสนิมสร้อย

บังเกิดเกล้าทัวร์



บทที่ ๕

สืบเนื่องจากการพาน้องบังไปเที่ยวทิเบตมา ชื่อเสีย เอ๊ย ชื่อเสียงของผมก็เริ่มขจร ทำนองว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญในการพาคนแปลกๆ ท่องเที่ยว สามารถดูแลได้เป็นอย่างดีจนเกิดความพอใจทั้งสองฝ่าย ผู้จ้างเองก็มีความสุขจากการท่องเที่ยว ผู้รับจ้างเองก็ได้เงินไปเยอะ คุ้มเหนื่อยกับการพา “ลูกเศรษฐีหลุดโลก” ไปเที่ยว โดยที่ไม่ต้องเอาอกเอาใจอะไรมากมาย ต่างจากการนำทัวร์ให้ “ลูกเศรษฐีหลุดลุ่ย” ที่ซื้อของหรูจนดุลการค้าของประเทศเราเสียหายยับเยิน กี่ปีๆ ก็แพ้เขาหลุดลุ่ย
รับเงินจากพ่อน้องบังได้ไม่นาน ตอนแรกตั้งใจจะเก็บไว้เลี้ยงกระเพาะให้นานที่สุด แต่กลับต้องพ่ายแพ้ให้แก่ห้างใหญ่บนถนนเพชรบุรี เอาเงินที่ได้มาไปขนซื้ออุปกรณ์คอมพิวเตอร์ใหม่ยกชุด (ว่าเขาอิเหนาเป็นเองหรือเปล่าละเนี่ย) เปลี่ยนเครื่องเก่าที่ใช้มาหลายปี “ต่อเน็ต” แต่ละที ช้าแสนช้ายิ่งกว่าในโฆษณา ของเขาแค่ปล่อยเบาก็กลับมาต่อติด แต่ของผมนี่สิครับ ทั้งปล่อยเบาปล่อยหนักไปอย่างละหนึ่งรอบ รวมทั้งอาบน้ำอาบท่าซักกางเกงในไปหกตัว กลับมาก็ยังต่อไม่เสร็จ ยกไป “อัพเกรด” ก็มีแต่คนส่ายหน้า บอกว่าเครื่องมันยิ่งกว่าตกรุ่น คือตกใจ
“โหยพี่ แบบนี้เขาไม่เรียกว่าตกรุ่น มันต้องตกใจแล้วพี่ เห็นแล้ว ... โตะจายโหมะเลย ใช้อยู่ได้ไงเนี่ย ผมไม่อัพเกรดให้เสียของหรอก ซื้อใหม่เหอะพี่ อ้อ แล้วผมขอเตือนพี่ด้วยความหวังดีนะ ตอนขากลับพี่ระวังตัวหน่อย เดี๋ยวโดนโจรมันจี้เอา ของโบราณแบบนี้เอาไปปล่อยได้ราคาดี ฮ่าๆๆๆ”
ฟังแล้วผมได้แต่กำหมัดและคิดแค้น ไม่อาจทำอะไรได้มากกว่านั้น เพราะพนักงานที่ร้านนั้นมีเป็นฝูง ขืนควบคุมอารมณ์ไม่อยู่ ฝ่ายนั้นอาจได้เลือด ... ได้เลือดของผมไปเปื้อนเสื้อไง ฮ่าๆๆๆ (ขอฮาบ้าง)
นอกเหนือจากร้าน “ปากสุนัขฮาร์ดแวร์” แล้ว ผมยังเจอร้าน “SALTY SOLUTIONS” อีกด้วย เจ้าของร้าน “เกลือบรรเทา” (คนละเรื่องกับสินเธาว์นะคร้าบ) แค่ส่ายหน้ายังไม่พอ ยื่นเงินให้อีกร้อยบาท จ้างให้หลบไปพ้นหน้าร้าน บอกว่าเสียพื้นที่รับลูกค้ารายอื่น
“ไปเลย ไปข้างหน้าเลย เอ้านี่ เอาไปร้อยบาทแล้วไปไกลๆ เลย อย่ามายืนเกะกะหน้าร้าน เสียโอกาสทำมาหากิน”
ฟังแล้วผมได้แต่กำหมัดและคิดแค้น ไม่อาจทำอะไรได้มากกว่านั้น (อีกแล้ว) แม้จะโดนเหยียบย่ำศักดิ์ศรีด้วยเงินเพียงร้อยบาท แต่ผมก็ ... รับมา เพราะเงินร้อยบาท จะว่าไปก็ใช่น้อย ซื้อข้าวแกงแพงโคตรที่ชั้น (ไม่จม) ได้หนึ่งจาน ที่เหลือยังซื้อน้ำยาเช็ดคีย์บอร์ดได้อีกหนึ่งขวดเล็ก
กินข้าวแกงจนท้องอิ่มแล้วสติจึงกลับคืนมา เริ่มรู้อะไรควรไม่ควร บอกตัวเองให้ตัดใจจากคอมพิวเตอร์เครื่องเก่า ผู้ช่วยแสนรักที่ช่วยกันทำมาหากินมาหลายปี แล้วซื้อของใหม่แทน เทคโนโลยีก็แบบนี้แหละ หลับไปหนึ่งคืน ตื่นขึ้นมาก็แทบตามไม่ทันแล้ว ขืนมัวแต่ใช้เครื่องเก่าอยู่ก็ทำมาหากินสู้เขาไม่ได้ จะหาข้อมูลอะไรก็ไม่ทันเขา
ด้วยเหตุนี้ เงินที่ได้จากการพาน้องบังเที่ยว จึงหมดไปกับคอมพิวเตอร์และเครื่องพิมพ์ชุดใหม่ล่าสุด ทำงานได้เร็วสุดๆ แค่เดินไปนั่งหน้าจอเครื่องก็เปิดเองโดยอัตโนมัติ ไม่ต้องกดปุ่มใดๆ ก็พาเข้าระบบที่เจ้าของเพียงแต่คิดไว้ได้อย่างแม่นยำ อยากเข้าเว็บไซต์ไหนก็เพียงหลับตานึก เดี๋ยวเครื่องก็ต่อให้เอง (ใครเชื่อก็บ้าแล้ว)

ดังนั้น เมื่อความจนมาเยือน ผมก็ต้องดิ้นรนอีกต่อไป แล้วโชคดีก็วิ่งมาชนผม ขณะที่กำลังจะอดตายอยู่รอมร่อ ลูกค้ารายใหม่ก็ติดต่อมา

พ่อของน้องหนิมโทรมาหาผมตอนบ่ายวันหนึ่ง ตอนนั้นผมกำลังต้มบะหมี่ซองเพื่อกินกับข้าวเปล่า (สูตรเด็ดสำหรับคนตกงาน กินแล้วอยู่ท้องไปหลายชั่วโมง) บอกว่าพ่อของน้องบังที่เป็นเพื่อนสนิทกันแนะนำมา สนใจอยากให้ผมพาลูกสาวไปเที่ยวประเทศจีน อยากให้ลูกสาวชื่อสนิมสร้อยได้เปิดหูเปิดตา และได้รู้จักความลำบากเสียบ้าง จะได้ไม่ทำตัวสมชื่อมากจนเกินไป
“โอ๊ย ถ้างั้นไม่ต้องพาไปเที่ยวหรอกครับ มาดูหน้าดูตาผมก็ได้ ผมนี่แหละความลำบากของจริง จริงเสียยิ่งกว่าจริงอีกครับ”
พ่อน้องสนิมสร้อยคงจะเป็นคนเส้นลึก ไม่ยอมขำกับมุกของผม
“พรุ่งนี้คุณว่างไหม เข้ามาพบผมที่บริษัทหน่อย จะได้พูดคุยกัน”
ลูกค้าใหม่พูดจาแบบคนรวยเหมือนพ่อน้องบังไม่มีผิด ใช้อำนาจสั่งราวกับผมเป็นลูกน้องหรือลูกจ้างเขา ด้วยความโมโห ความหยิ่งในศักดิ์ศรี และความทรนงตน ... ผมจึงตอบไปว่า
“คร้าบผม ยินดีคร้าบ ท่านจะให้ผมไปเรียนพบตอนกี่โมงดีคร้าบ”

พ่อน้องสนิมสร้อยเป็นเจ้าของกิจการน้ำปลาตราดัง นิยมบริโภคกันทั่วประเทศ เหยาะกันหนึ่งที เขาก็ได้กำไรแล้วหนึ่งสตางค์ ประชากรไทยหกสิบล้าน คิดง่ายๆ ว่าคนครึ่งหนึ่งของประเทศ เหยาะน้ำปลาของพ่อน้องหนิมกันคนละเหยาะต่อวัน (จริงๆ แล้วน่าจะมากกว่านี้ ขึ้นอยู่กับความชอบเค็มของแต่ละคน บางคนกินน้ำปลาแทนน้ำเปล่าก็ยังมี) แค่นี้พ่อน้องหนิมก็ได้กำไรสามสิบล้านสตางค์แล้ว
เมื่อไปถึงโรงงานน้ำปลาของพ่อน้องสนิมสร้อย ก็ต้องฝ่าด่านรักษาความปลอดภัยที่เข้มงวดเป็นอย่างยิ่ง ทั้งแลกบัตรประชาชน ผ่านด่านลงทะเบียนอย่างละเอียดว่ามาจากไหน มาพบใคร พบเพื่ออะไร พบแค่ไหน (พบแค่ตัว หัวไม่เกี่ยวมั้ง) ด่านตรวจร่างกายว่าพกอาวุธมาหรือเปล่า และด่านร้องเพลงชาติให้ลุงยามฟังอีก ร้องจบผมอดถามไม่ได้ว่ามีเหตุผลอะไร ลุงยามแกตอบว่า
“ท่านเจ้าของแกกลัวคนต่างด้าวมาขโมยสูตรทำน้ำปลานะครับ ผลิตภัณฑ์ภูมิปัญญาไทยแบบนี้ เราต้องระมัดระวังอย่างเข้มงวด ไม่ให้ตกไปอยู่ในมือคนต่างด้าว”
ผมนึกชื่นชมพ่อเขาขึ้นมาทันที นานๆ จะได้เจอคนไทยที่รักและหวงแหนภูมิปัญญาของชาติแบบนี้ แต่ก่อนจะเดินเข้าไปในโรงงาน ผมอดที่จะเตือนลุงยามไม่ได้ เพราะสังเกตุเห็นตั้งแต่แรกแล้วว่าลุงแกใส่เสื้อขึ้นขี้เกลือ
“ลุง อย่าหาว่าผมจู้จี้หยุมหยิมเลยนะ ผมอยากเตือนลุงด้วยความหวังดี ลุงทำงานตรงนี้ต้องเจอะเจอผู้คนมากมาย ผมว่าลุงน่าจะซักเสื้อให้สะอาดๆ หน่อย ปล่อยให้ขี้เกลือขึ้นแบบนี้มันไม่ค่อยเจริญหูเจริญตานะลุง”
ลุงยามทำตาโตรีบยกมือลูบเสื้อไปมา “ไม่ใช่นะครับ นี่ไม่ใช่ขี้เกลือ แต่เป็นผ้าลายขี้เกลือที่ท่านเจ้าโรงงานของแกสั่งทำเป็นพิเศษ เพื่อให้พวกเราได้ระลึกคุณเกลือ เพราะถ้าไม่มีเกลือเราคงผลิตน้ำปลาไม่ได้ เดี๋ยวคุณเข้าไปในโรงงานก็จะเห็นเองแหละครับ ว่าพนักงานทุกคนใส่ผ้าลายขี้เกลือ ลายพร้อยกันทั้งโรงงานเลยคุณ”

ผมเดินเข้าไปในโรงงานแล้วก็เห็นจริงตามคำพูดของลุง พนักงานทุกคนใส่ผ้าลายขี้เกลือเหมือนกันหมด กระทั่งชุดรับแรกกับกระดาษปิดผนังในห้องที่ผมนั่งรออยู่ ก็เป็นลายขี้เกลือ เหมือนจริงจนผมอดลูบไม่ได้ ว่าจะมีขี้เกลือติดมือออกมาหรือเปล่า ทั้งหมดนี้ ทำให้ผมอดซาบซึ้งพระคุณเกลือด้วยไม่ได้ มองดูโรงงานน้ำปลาขนาดใหญ่ ที่มีพนักงานมากมายด้วยความปลื้มปิติ จนแทบกลั้นน้ำตาไม่อยู่ ปลาบปลื้มใจที่อุตสาหกรรมไทยเจริญก้าวหน้าใหญ่โตได้ถึงขนาดนี้
นั่งรอได้ไม่นาน สาวใช้วัยเด็กหน้าเซื่องซึมแบบคนอดหลับอดนอน ก็น้ำชาจีนแช่เย็นมาบริการ ผมกล่าวขอบคุณแล้วรีบยกดื่มด้วยความกระหาย
“พรวด” ผมพ่นน้ำชาจีนออกมาทันทีที่โดนลิ้น เพราะทั้งกลิ่นทั้งรสชาติมันคือน้ำปลาดีๆนี่เอง
“น้อง เอาอะไรมาให้พี่ดื่มเนี่ย” จำได้ว่าผมโวยวายลั่นห้อง
เด็กหญิงทำตาโตมองผมแล้วถามช้าๆ “จืดไปๆ”
ผมงี้แทบตกจากเก้าอี้
“จืดบ้าอะไรเล่า นี่มันน้ำปลานี่ น้องมาแกล้งพี่ทำไม พี่ไปทำอะไรให้ แหวะ เหม็นจะอ้วก”
“ไม่ได้แกล้งๆ” เด็กหญิงกล่าวช้าๆ “มาโรงงาน กินน้ำปลา มาโรงงาน กินน้ำปลา”
เด็กหญิงที่ตอนแรกคิดว่าปกติ ฟังพูดจาแล้วจึงดูออกว่าติ๊งต๊อง กวาดตามองทั่วบริเวณ ก็เห็นพนักงานใส่ชุดลายขี้เกลือทำงานกันตามปกติ แต่ยังไม่ทันที่ผมจะซักถามพูดคุยอะไร พ่อของน้องสนิมสร้อยก็ปรากฏตัวขึ้นมาอย่างเงียบๆ
“ลูกหนิม ไหว้พี่เขาหรือยัง พี่คนนี้แหละที่จะพาหนูไปเที่ยวจีน แกล้งแขกของพ่ออีกแล้วนะเรา พ่อบอกกี่ครั้งแล้วว่าน้ำปลาไม่ใช่น้ำดื่ม เฮ้อ จริงๆ เลยลูกคนนี้”
หนูหนิมยกมือไหว้ผมตามคำสั่งของพ่ออย่างว่าง่าย พร้อมกับที่บิดาของหญิงสาวกล่าวแนะนำ
“คุณซำเหมาแมน นี่ลูกสาวผม ชื่อเล่นว่าหนิม ชื่อจริงคือสนิมสร้อย มา เข้ามาคุยในห้องทำงานผมดีกว่า จะยกน้ำปลาไปดื่มต่อก็ได้นะ”
ผมค้อนลูกค้ารายใหม่หนึ่งวงใหญ่ นี่ถ้าไม่ติดว่าเป็นลูกค้าแล้วละก็ ผมกระโดดเตะท่านเจ้าของน้ำปลาตราดังไปแล้วหนึ่งที

ทันทีที่เดินเข้าไปนั่งต่อหน้าพ่อน้องหนิม ท่านเจ้าของโรงงานผลิตน้ำปลาก็ยื่นกระดาษให้หนึ่งชุด ผมหยิบมาอ่านแล้วจึงพยักหน้า นึกว่าท่านช่างมีความเป็นงานเป็นการสมกับเป็นนักบริหาร ร่างสัญญาพาลูกสาวเที่ยวไว้ละเอียดยิบ โดยมีเอกสารแนบเป็นข้อปฏิบัติต่างๆ เกี่ยวกับบุตรสาว ที่ผมต้องทำตามอย่างเคร่งครัด หากละเว้นข้อใดข้อหนึ่ง จะดำเนินงานตามกฎหมายทันทีที่กลับถึงเมืองไทย เรียกเงินค่าจ้างคืนทั้งหมด และต้องทำงานชดใช้ ขายน้ำปลาให้ได้หนึ่งพันลังภายในหนึ่งเดือน โดยปราศจากค่าจ้างใดๆ ทั้งสิ้น
อ่านสัญญาแล้วผมยื่นเอกสารคืนเอกสารทันที
“ไม่ไหวหรอกครับท่าน สัญญาเอาเปรียบกันแบบนี้ ผมคงทำงานให้ไม่ได้หรอกครับ”
พ่อน้องหนิมเลิกคิ้ว “คุณจะไม่ดูหน่อยเหรอ ว่าผมจ้างคุณเท่าไร”
“คนอย่างผมนะ เงินซื้อไม่ได้นะครับ” กล่าวพลางเหลือบตามองตัวเลขค่าจ้าง ทันที่ที่เห็นตัวเลข ผมรีบกลับคำพูดโดยเร็ว
“ครือผมหมายถึงเงินตระกูลอื่นอย่างเงินกีบ เงินจ๊าด เงินด่อง น่ะครับ แต่ถ้าเป็นเงินบาทก็โอเคนะครับ รับได้ครับ แหะๆ ผมลงชื่อเลยนะครับ”
กล่าวแล้วผมหยิบปากกาเจ้าของโรงน้ำปลามาลงชื่อในเอกสาร ก่อนจะ (แกล้งเผลอ) เก็บใส่กระเป๋ากางเกงตัวเอง
“ไหนคุณซำเหมาแมนช่วยอ่านข้อปฏิบัติต่างๆ ให้ผมฟังหน่อยสิครับ” เจ้าของปากกากล่าวแล้วยื่นมือมาตรงหน้าผม
“อ้อ แล้วขอปากกา มองบัง ของผมคืนด้วย”
ผมยิ้มแห้งๆ แล้วล้วงหยิบปากกาตราหรูชื่อประหลาด (มองอะไรไม่มอง ดันไปมองอาบัง) ราคาหนึ่งด้ามกินใช้ได้หลายเดือนคืนให้เจ้าของไป ก่อนจะอ่านระเบียบปฏิบัติกับลูกสาวเจ้าของโรงน้ำปลาดังๆ ราวกับเด็กถูกบังคับให้ท่องหนังสือ
“ข้อแรก ห้ามล่วงเกินเด็กหญิงหนิมทั้งทางกายกรรม วจีกรรม และมโนกรรม”
อ่านข้อแรกแล้วผมหันมองไปที่ลูกสาวท่านเจ้าของโรงน้ำปลา หนูหนิมแกนั่งถือขวดน้ำปลาดมอยู่ที่ชุดรับแขกด้วยท่าทางชื่นอกชื่นใจราวกับเด็กติดกาว
ผมพิจารณารูปร่างหน้าตาเด็กหญิงหนิมแล้วอดขำไม่ได้ พ่อของหนูหนิมมองโลกแง่ร้ายเกินไปแล้ว ด้วยแกเป็นเด็กหญิงที่อยู่ในวัยกำลังโต รูปร่างอ้วนท้วนสมบูรณ์ เรียกได้กว่ากลมไปหมดทั้งตัว อีกทั้งยังมีหน้าตาใสซื่อราวกับตุ๊กตา การล่วงเกินใดๆ จะเกิดขึ้นได้ก็เฉพาะกับคนโรคจิตที่ชอบเด็กเท่านั้น
คนโรคจิตอีกประเภทหนึ่งอย่างผมจึงแสนจะสบายใจกับข้อนี้ พยักหน้าให้ท่านเจ้าของโรงงานด้วยดี
“ข้อสอง ต้องไม่ทำการใดๆ อันขัดต่อความต้องการต้องของเด็กหญิงหนิม”
ถึงข้อนี้แล้วผมเงยหน้าขึ้นมองนายจ้างทันที อดไม่ได้ที่จะปล่อยสุนัขออกจากปากไปหนึ่งตัว
“แล้วถ้าคุณหนูแกบอกให้ผมไปตายละครับ ใครจะพาแกกลับบ้าน”
“คุณอ่านข้อความในบรรทัดถัดไปสิ” ผู้จ้างบอกเสียงเรียบๆ แบบคนระงับอารมณ์เป็น
“อ้อ แหมใจร้อนไปนิด ขอโทษนะครับ” กล่าวขอโทษแล้วผมก็อ่านข้อความในวงเล็บที่อยู่บรรทัดถัดไป “ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับวิจารณญาณของผู้รับจ้าง ว่าสมควรหรือไม่อย่างไร หากมีการละเมิดขึ้นมา การตีความเรื่องวิจารณญาณของผู้รับจ้างนั้น จะถือเอาความเห็นของผู้จ้างเป็นสำคัญ”
อ่านแล้วผมเผลอตบโต๊ะดังปัง เห็นท่านเจ้าของโรงงานสะดุ้งสุดตัวแล้วจะลุกยืนจึงรีบบอก
“โต๊ะนี้ใช้ไม้เนื้อดีนะครับ ท่านคงซื้อมาแพงนะครับ ตบทีไม่มีเสียงก้องเลย ไม้สักทองใช้ไหมครับเนี่ย ว่างๆ น่าจะชวนเจ้าหน้าที่กรมป่าไม้มาเยี่ยมชมโรงงานนะครับ”
เจ้าของโต๊ะมองผมด้วยสายตาคมกริบ “เป็นไงคุณซำเหมา ผมหวังว่าคุณคงปฏิบัติตามกฎสามข้อนี้ได้อย่างเคร่งครัดนะ”
ผมเม้มปาก “ได้สิครับ ว่าแต่เงินค่าจ้างอยู่ไหนล่ะครับ”
เจ้าของโรงน้ำปลายื่นเช็คให้ผม ผมดูรายละเอียดแล้วโวยวายออกมาทันที
“อะไรครับท่าน สั่งจ่ายสิ้นเดือนหน้า”
“หลังจากพาลูกสาวผมไปเที่ยวมาแล้วคุณจึงขึ้นเงินได้ เพื่อให้แน่ใจว่าคุณปฏิบัติตามกฎสามข้ออย่างเคร่งครัด”
ผมเงียบไปอึดใจ นึกถึงเงินค่าจ้างแล้วจึงกัดฟันเก็บเช็คเข้ากระเป๋า อดไม่ได้ (จริงๆ) ที่ปล่อยหมาออกจากปากไปอีกตัว
“ผมชอบวอลเปเปอร์ลายขี้เกลือจริงเลยครับ” กล่าวแล้วผมแกล้งมองไปรอบๆ ด้วยท่าทางชื่นชม
“ท่านคงจะใช้มาหลายสิบปีแล้วใช่ไหมครับ สีพื้นซีดไปเยอะ แต่แหม ลายขี้เกลือยังชัดแจ๋วเลยนะครับ เกล็ดเกลือขาวผ่องสะท้อนแสงไฟระยิบระยับเชียว มีเคล็ดลับอะไรครับเนี่ย บอกหน่อยได้ไหมครับ”
พ่อน้องหนิมไม่ยอมกัดกับหมาในปากผม แต่กลับยื่นซองเอกสารให้ผมแทน ผมหยิบมาเปิดดูแล้วจึงยิ้มออก ข้างในมีเงินยูเอสจำนวนหนึ่ง และหนังสือเดินทางของน้องหนิม
“คุณทำบัญชีค่าใช้จ่ายในแต่ละวันพร้อมแนบใบเสร็จหรือหลักฐานมาด้วยนะ”
ได้ยินดังนั้น หมาในปากผมทำงานอย่างรวดเร็ว ... สมกับที่ฝึกปรือมาอย่างดี “ที่จีนมีร้านค้าแบบไม่มีใบเสร็จเยอะนะครับท่าน เกิดน้องหนิมเขาอยากซื้อของนิดๆ หน่อยๆ ขึ้นมา เช่น น้ำปลาอัดลมกลิ่นวานิลลา ผมเกรงว่าพ่อค้าแม่ค้าเมืองนี้เขาจะไม่มีใบเสร็จให้นะสิครับท่าน”
“ผมขอใบเสร็จหรือหลักฐาน เฉพาะค่าใช้จ่ายร้อยหยวนขึ้นไป” นายจ้างคนใหม่ล่าสุดของผมตอบเรียบๆ
“แหม ฟังแล้วหายเครียดเลย เพราะดูท่าทางท่านแล้ว คิดว่ายังไงๆ หนูหนิมก็คงไม่ซื้อของถึงร้อยหยวนเป็นแน่เสียยิ่งกว่าแช่แป้ง แต่เป็นแน่แช่น้ำปลาเชียวนะครับท่าน ทำนองว่าลูกไม้ไม่ไกลต้นไงครับท่าน”
ไม่รู้เป็นอะไร วันนี้หมาในปากของผมจึงวิ่งออกมามากเป็นพิเศษ ... สงสัยได้กลิ่นน้ำปลา
“สำหรับสถานที่ที่จะพาลูกสาวผมไปเที่ยวนั้น ผมขอเป็นมณฑลซินเจียงในจีน และต้องไปที่ทะเลสาบสรวงสวรรค์ในอูรูมูฉีด้วย นอกเหนือจากนี้ ก็ขอให้เป็นสถานที่เที่ยวใกล้เคียง เช่นเมืองถูรู่ฟาน” เจ้าของโรงน้ำปลากล่าวต่อด้วยน้ำเสียงข่มอารมณ์
สถานที่เที่ยวที่พ่อน้องหนิมเสนอมานั้น ตรงกับใจผมเป๊ะ แต่เรื่องอะไรที่ผมจะแสดงให้เขารู้ จึงกัด เอ๊ย กล่าวต่อเรื่องเดิม “ไหนๆ ก็ได้มีโอกาสเจอะเจอท่านแล้ว ผมก็อยากเรียนท่านทราบ ว่าในฐานะลูกค้าคนหนึ่ง ผมว่าน้ำปลาของท่านจืดไปนะครับ หนึ่งเหยาะผมใช้กินกับข้าวเปล่าได้แค่สองกาละมังเอง ท่านน่าจะเพิ่มเกลืออีกสักเท่าตัวจะครับ หนึ่งหยดน่าจะใช้คลุกข้าวกินได้สักสี่กาละมังเป็นอย่างน้อย นะครับท่าน ท่านยังจืดไปนะครับ ทำตัว เอ๊ย ทำน้ำปลาให้เค็มกว่านี้อีกสิครับท่าน นึกเสียว่าทำบุญกับคนยากคนจน”
เจ้าของโรงงานมองผมด้วยมองผมด้วยสายตาอาฆาตมาดร้าย ก่อนจะยกหูโทรศัพท์ขึ้นกล่าว
“คุณมีอะไรอีกไหม ถ้าหมดธุระแล้วก็ขอเชิญคุณกลับไปได้”
“อีกนิดครับท่าน ถ้าท่านจะกรุณามอบน้ำปลาให้ผมสักหนึ่งลัง ผมจะได้นำไปมอบให้แก่รัฐบาลจีน เพื่อให้เขานำไปเลี้ยงดูประชาชนของเขา รับรองเลยครับ ว่าน้ำปลาหนึ่งลังของท่านพอเพียงที่จะให้ชาวจีนทั้งประเทศเหยาะกินกับข้าวต้ม”
“ยาม แขกของผมจะกลับแล้ว คุณช่วยพาเจ้าหน้าที่มารับเขาออกไปหน่อย ไม่งั้นเขาอาจจะหลงทางตกบ่อน้ำปลาตายได้ ปีที่แล้วก็มีหมาจรจัดหลงเข้ามาตกบ่อน้ำปลาตายไปหนึ่งตัว”
ผมหัวเราะปลอบใจตัวเอง “ขู่เหรอครับท่าน ท่านขู่ผมใช่ไหมครับ ผมบอกที่บ้านไว้แล้วครับว่าวันนี้ผมมาที่นี่ ถ้าผมหายสาบสูญไป ท่านก็เป็นคนแรกละครับที่พ่อแม่ผมจะถามหา ท่านอยากลองไหมละครับ เอาชีวิตราคาถูกของผม แลกกับโรงน้ำปลาใหญ่โตมูลค่าหลายร้อยล้านของท่าน ...”
ผมพูดไม่ทันจบ ลุงยามกับลูกน้องสองคนก็มาถึงอย่างรวดเร็ว ก่อนจะหิ้วปีกลากผมออกไปอย่างทุลักทุเล
นั่นละครับ ครั้งแรกที่ผมได้เจอน้องหนิมกับพ่อของแก ก่อนจะเจอกันอีกครั้งในวันเดินทาง

เรื่องราวการพาหนุ่มสาวคู่หนึ่งเที่ยวจีน
น้องบัง (เกิดเกล้า) กับน้องหนิม (สนิมสร้อย)
คู่รักแท้ไม่แพ้ความบกพร่องด้านปัญญา
บังเกิดเกล้าทัวร์ รวมเล่มเป็น e-book แล้วครับ
download ได้ที่
//www.truebookstore.com/product/view/1243



Create Date : 15 กรกฎาคม 2553
Last Update : 15 กรกฎาคม 2553 13:00:52 น. 4 comments
Counter : 675 Pageviews.

 
ทักทายยามบ่ายจ้า อิอิ :)


โดย: หาแฟนตัวเป็นเกลียว วันที่: 15 กรกฎาคม 2553 เวลา:14:19:52 น.  

 
สวัสดีครับ


โดย: เดชา เวชชพิพัฒน์ (dejaboo44 ) วันที่: 19 กรกฎาคม 2553 เวลา:8:37:39 น.  

 
เขียนน่ารักดี


โดย: maistyle วันที่: 24 กรกฎาคม 2553 เวลา:19:55:11 น.  

 
ตอนเขียนน่ะน่ารัก
แต่ตอนโดน น้องหนิม กับ น้องบัง แกล้งน่ะสิ
น่า... ฮึ่ม


โดย: เดชา เวชชพิพัฒน์ (dejaboo44 ) วันที่: 25 กรกฎาคม 2553 เวลา:10:07:59 น.  

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

dejaboo44
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Friends' blogs
[Add dejaboo44's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.