Group Blog
 
<<
กรกฏาคม 2553
 123
45678910
11121314151617
18192021222324
25262728293031
 
18 กรกฏาคม 2553
 
All Blogs
 
ซำเหมาแมนเที่ยวแหลกแบกเป้บ่น - เวียดนาม

บทที่ 2 ชาวโฮได้ฮา ชาวฮาได้โฮ

มนุษย์เงินเดือนแห่งเมืองหลวงอย่างผม วันๆ หนึ่งก็จะวนเวียนอยู่ในคุกแอร์ (ออฟฟิศ) ปฏิบัติตัวตามกฎเรือนจำอย่างเคร่งครัด ... เช้าเข้าสาย บ่ายแอบหลับ เย็นกลับก่อน นอนสามทุ่ม ครบสามสิบวันทีก็รับเงินเดือน ครบปีทีก็รับโบนัส ชีวิต
ซีเครียดแบบนี้ต้องลาผู้คุมไปพักร้อนเที่ยวโน่นเที่ยวนี่เปลี่ยนบรรยากาศเสียหน่อย แต่จะไปเที่ยวไหนดี ยุโรปนั้นอย่างพึงหวัง “เงินยูโร” สูงปรี๊ดยิ่งกว่าอุณหภูมิเดือนเมษายน ไอ้เราก็ไม่มี “เงินอาโซ” (แต่ลุงหรือน้าไม่โซด้วยนะ “เงินอาโซ” น่าจะเกิดจากการรวมตัวของพวกเราชาวเอเชีย ... หวังไว้อย่างนั้นนะ) ไปลดดุลกับเขาเสียด้วย ไปได้สามวันคงต้องรีบเผ่นกลับ อย่ากระนั้นเลย ไปเที่ยวประเทศในแถบเอเชียนี่แหละ ถูกเงินดี จะกินจะพักที่ไหนหัวใจก็ไม่เต้นตึ๊กตั๊ก (กลัวเงินไม่พอจ่าย)

ว่าแต่จะไปประเทศไหนดี ประเทศที่ค่าใช้จ่ายไม่สูงนัก มีสถานที่ท่องเที่ยวหลากหลาย มีทั้งโบราณสถาน แหล่งท่องเที่ยวตามธรรมชาติ และมีชีวิตความเป็นอยู่ที่มีไม่เปลี่ยนแปลงมากนัก และที่สำคัญคือเป็นประเทศที่เหมาะกับนักเดินทาง กล่าวคือมีจุดเที่ยวชมที่ต้องอาศัยการเดินทางแบบสมบุกสมบัน ) มีการลุ้นที่นั่งที่นอนบ้าง เช่น การนั่งรถหลากหลายประเภท ตั้งแต่รถทัวร์ รถไฟ รถสามล้อ รถถีบ รถขา (เดิน) ไปจนถึงรถเข็น (กรณีเกิดอุบัติเหตุ) และการเลือกราคาที่พักตามความนิยมของจุดท่องเที่ยว เมืองไหนคนนิยมเที่ยว ที่พักราคาถูกก็ซำเหมาหน่อย ประเภท TDHB … Toilet Door Hit Bed (แคบจนประตูห้องน้ำกระแทกเตียง)

ด้วยเหตุนี้ ทัวร์ควายดมจึงบังเกิดขึ้น (เรียก “ทัวร์ควายดม” เพราะผู้เที่ยวต้องแข็งแรง ยากจนและไม่กระตือรือร้นเกี่ยวกับสาระที่ได้จากการท่องเที่ยวเท่าไรนัก เพราะเวลาสองอาทิตย์กับการเดินทางเกือบทั้งประเทศนั้น คงไม่มีเวลาได้พิจารณาอะไรมาก พอไปถึงก็ดมๆ ๆ แล้วก็ย้ายเมือง แล้วก็ ดมๆ ๆ ๆ) พวกเราประชุมแล้วประชุมอีก (ประชุมงานที่บริษัทยังไม่เอาเป็นเอาตายขนาดนี้) ... เพราะสี่คนก็สี่อารมณ์สี่ความคิด ได้คำตอบคือไปเที่ยวประเทศเวียดนาม เหตุผลที่เลือกประเทศนี้คือ ... ยาวดี มีสถานที่ให้เดินทางแวะเที่ยวไปตลอดตามความยาวของประเทศ ถูกเงินด้วย เริ่มจากบินไปลงที่โฮจิมินห์แล้วก้มหน้าก้มตาไถนา เอ้ย ท่องเที่ยวไปถึงฮานอยแล้วขึ้นเครื่องบินกลับกรุงเทพ จากนั้นค่อยแปลงร่างกลับเป็นมนุษย์เงินเดือนแล้วอยู่ในคุกแอร์ทำงานกันต่อ เอาละ เรามาเริ่ม SBT … Smelling Buffalo Tour กันที่กรุงโฮจิมินห์


ไทเกอร์คัพ ชาวโฮได้ฮา ชาวฮาได้โฮ ... ผมและเพื่อนๆ เดินทางไปถึงโฮจิมินห์ในช่วงที่มีการแข่งขันฟุตบอล “ไทเกอร์คัพ” บังเอิญว่าวันนั้นเวียดนามได้ชัยชนะ (เสียดายจริงๆ ที่ไม่ได้ “เล่น” ก่อนไป ไม่งั้นก็ได้เงินค่าตั๋วเครื่องบินแล้ว) มีโอกาสเข้าชิงในลำดับต้นๆ ปรากฏว่าชาวโฮ (จิมินห์) ที่ดูเหมือนจะหายใจเข้าออกเป็นฟุตบอล ยกขบวนมอเตอร์ไซค์ถือธงชาติคาดหน้าผากสีแดงแปร๊ดมีดาวสีเหลืองอยู่ตรงกลาง ออกมา (ฮือ) ฮากันสนั่นเมือง กองทัพมอเตอร์ไซค์วิ่งไปตามถนนใหญ่ไม่แพ้ราชดำเนินของเราราวกับมีปฏิวัติเดินขบวน แต่รอยยิ้มและเสียงเฮทำให้นักท่องเที่ยวใจชื้นว่าเป็นเรื่องดี

ตอนแรกที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ ออกอาการเงอะงะขาสั่น ... เรือหายแล้ว เขาเดินขบวนกันหรือเปล่าละนั่น กลับไปมุดหัวอยู่ในกระดองที่เกสต์เฮาส์ดีกว่า เดี๋ยวโดนลูกหลงแล้วตายไปบริษัทจะแย่เอา ขาดเราไปคนหนึ่งรับรองต้องปิดกิจการแน่ แต่เพื่อนคนหนึ่งที่มีสติและสมองมากกว่าใครในกลุ่ม จึงไปถามที่มาที่ไปจากชาวเวียดนามท่านหนึ่งที่มีใบหน้ายิ้มแย้มเชิญชวน ... ให้เป็นมิตร พวกเราจึงได้พบแสงสว่าง ว่าสาเหตุคือ ชนะบอล (ขนาดนั้นเชียวหรือนี่) สี่กระต่าย (ตื่นทัพมอเตอร์ไซค์) จากไทยแลนด์จึงเดินเที่ยวต่ออย่างสบายใจ แต่หลังจากนั้นไม่กี่วัน เมื่อเราเดินทางถึงฮานอย แล้วทราบผลการแข่งขันรอบใกล้ๆ จะสุดท้าย ว่าทีมฟุตบอลเวียดนามพ่ายแพ้แก่ไทยถึงสี่ประตูต่อศูนย์ เหมือนๆ เราจะได้ยินเสียงชาวฮา (นอย) ได้ (ร้อง) โฮ ให้กับการพ่ายแพ้ในครั้งนี้


เมืองลุงโฮ สว่างไสวในค่ำคืน ชื่นมื่นคู่รักกายกรรม ... โฮจิมินห์ เมืองแรกในการเดินทางเที่ยวเวียดนาม ทุกอย่างผิดไปจากที่คาดไว้ เมืองเงียบๆ คนเหงาๆ ที่จินตนาการไว้ หายไปกับคลื่นมอเตอร์ไซค์บนท้องถนน แล่นผ่านอาคารแบบ “โคโลเนียล สไตล์” ที่ตกแต่งแสงไฟราวกับเดินอยู่ในเท็กซัส (เคยเห็นในโทรทัศน์) แต่ที่ท้าทายยิ่งกว่าการพนันในเท็กซัส (และพนันบอลในเมืองไหนก็ไม่รู้)คือการข้ามถนน เพราะเป็นการข้ามผ่านคลื่นมอเตอร์ไซค์ที่แน่นเอี๊ยดบนถนนขนาดถนนราชดำเนิน ซึ่งจะว่าง่ายก็ง่าย จะว่ายากก็ยาก ความยากก็มีเพียงตัดความกลัวมอเตอร์ไซค์นับร้อยๆ คันที่กรูกันเข้ามาราวกระแสคลื่นให้ได้ แล้วเพียงแต่ก้าวท้าวลงไปที่ถนน ความง่ายก็จะเกิดขึ้น เพราะในวินาทีนั้น คุณกับบรรดานักซิ่งทั้งหลายจะประสานกันเป็นหนึ่งเดียว คุณเดินช้าเขาจะขับผ่านหน้า คุณเดินเร็วเขาจะขับผ่านหลัง ใช้หลักการนี้ขยับไปทีละนิดๆ จนถึงฝั่งตรงข้ามอย่างปลอดภัย (และอย่างเหลือเชื่อว่า ... รอดมาได้ยังไงเนี่ย)

ขอบอกว่าหากคุณสามารถข้ามถนนในเวียดนามได้สิบครั้งขึ้นไป เรารับรองว่าคุณสามารถข้ามถนนทุกประเทศในโลกนี้ได้อย่างปลอดภัย นอกจากนี้ หากคุณพาหวานใจที่คุณหมายปองไปข้ามถนนในโฮจิมินห์แล้วละก็ รับรองว่าจีบติดแน่ๆ เพราะจะมีการจับมือถือแขนค่อยๆ ประคองจูงกันผ่านคลื่นมอเตอร์ไซค์ไปทีละนิดๆ ได้มีโอกาสแลกลมหายใจผสมกลิ่นควันรถ โรแมนติกแค่ไหนคิดดูเองก็แล้วกัน ซึ่งการจับมือถือแขนนั้น รู้ๆ กันอยู่ว่าเป็นบันไดขั้นแรกในการจับอย่างอื่น เอ๊ย ในการจับคู่ของหนุ่มสาวทั่วโลก

พอข้ามถนนมาถึงฝั่งสวนสาธารณะในกรุงโฮจิมินห์ สายตานักสืบ (เรียกให้ดูดีหน่อย แต่ถ้าจะเรียกให้ตรงก็คือ “สายตาสอดเสือก”) ของพวกเราก็มองเห็นหนุ่มสาวตระกองกอดแลกลิ้นกัน เป็นธรรมดาของสวนสาธารณะทุกแห่งในโลก พลอดรักที่ไหนเล่าจะโรแมนติกเท่ากับพลอดรักในที่นี้ อากาศปลอดโปร่งโล่งสบาย เงียบสงบได้ยินเพียงเสียงหายใจรดแก้มกันและกัน ดีที่สุดคือสามารถ “เลี้ยงโรแมนติก” (คล้ายๆ เลี้ยงลูกบอล) ได้นานเท่านาน เพราะทำอะไรมากกว่านั้นไม่ได้ ... พายเรือชมทิวทัศน์กับคนรักไปเรื่อยๆ ไม่ต้องรีบไปให้ถึงฝั่งถึงจุดจบแห่งโรมานซ์ ... แต่ที่ไม่ธรรมดา สายตานักสืบของพวกเราเห็นคู่รักตระกองกอดกันบนรถมอเตอร์ไซค์ ต้องยอมรับให้คู่รักนักกายกรรมจริงๆ เพราะจะพลิกแพลงท่าโรมานซ์อะไรมากก็ไม่ได้ รถคันโตบนขาตั้งเพียงเหล็กสองแง่ง แบกรับมนุษย์ชายหญิงกุ๊กกิ๊กดุ๊กดิ๊กกันอยู่ รถไม่ล้มลงมาถือว่าทรงตัวได้เยี่ยม ... แต่จะอยู่ได้นานแค่ไหนก๊าน

กู๋จี อุโมงค์แห่งชัยชนะ อย่าเฟอะฟะไปมุดดิน ... ก่อนเดินทางออกจากโฮจิมินห์ สถานที่เที่ยวสำคัญทางประวัติศาสตร์ที่เรามีโอกาสได้เยี่ยมชมคืออุโมงค์กู๋จี ขอมดำดินคงอธิบายถึงอุโมงค์แห่งนี้ได้เป็นอย่างดี ... ช่วงสงคราม ทหารเวียดนามขุดอุโมงค์ยกทัพลงใต้ดินเพื่อหลบซ่อนและซุ่มโจมตีฝ่ายตรงข้าม โดยทางเข้าเป็นเพียงแผ่นไม้บางราบกับพื้นดิน เพียงโรยใบไม้ก่อนปิดก็พรางตาจนไม่อาจรู้ได้ ว่าภายในนั้นสลับซับซ้อนด้วยช่องทางเล็กเพียงคนนั่งเดินได้ที่ยาวกว่า 200 กิโลเมตร นำไปสู่ห้องบัญชาการ บังเกอร์ ห้องอาหาร ห้องพยาบาล ห้องนอน ที่กระจายอยู่ถึงสามชั้นในใต้ดิน มีแม้กระทั่งช่องระบายอากาศที่ซ่อนปลายระบายอากาศอยู่ในกองดินคล้ายจอมปลวก สัมผัสผนังแข็งแล้วนึกถึงอุปกรณ์ที่มีเพียงพลั่วอันเล็กกับตะกร้าใบน้อย จึงได้ตระหนักว่า กู๋จีคือเคล็ดลับในการชนะสงครามที่พวกเขาแลกมาด้วยความทรหดอดทนเป็นอย่างยิ่ง สมแล้วที่อุโมงค์แห่งนี้ถือเป็นสัญลักษณ์ของผู้กล้าแห่งการปฏิวัติเวียดนาม

อุโมงค์กู๋จีนั้น ตอนอ่านหนังสือนำเที่ยวแล้วก็อยากไป พอไปถึงแล้วก็อยากลง (สมน้ำหน้า อยู่ดีๆ อยากเป็นขอม) แต่พอได้ลงไปแล้ว ... ใครเป็นโรคกลัวที่แคบที่มืดก็ขอเตือนไว้ตรงนี้ก็แล้วกัน ว่าอย่าได้ลงไปเชียว ... ไปเที่ยว ไม่ได้ไปทำวิจัยรายงาน ไม่ได้ไปแสวงหาปรัชญาให้แก่ชีวิต แล้วก็ไม่ได้ไปตัวเปล่า สมองมี วิจารณญาณ (คอนดอมเซนส์ เอ๊ย คอมมอนเซนส์) ก็มี อย่าเก็บไว้ที่บ้าน (หรือที่ทำงาน ... แล้วแต่คน) อะไรที่เห็นว่าจะมีผลเสียต่อจิตใจหรือร่างกายก็อย่าทำ ไม่รู้ไม่เห็นบ้างก็ได้ ขนาดผู้เขียนไม่เป็นโรคนี้ ... (จริงแล้วชอบนะที่มืดๆ น่ะ แต่ว่าต้องไม่แคบ แล้วต้องมีเพลงเพราะๆ มีแอร์เย็นๆ มีเหล้าบางๆ มี ...)

กลับมาสองเดือนแล้วยังขยาดไม่หาย ความรู้สึกมันยังตามมาหลอกมาหลอน ถูกฝังทั้งเป็นคงคล้ายๆ กัน เพ่งมองไปมีแต่ความมืด สองข้างที่เป็นผนังแข็งดูเหมือนจะแคบลงๆ ทุกที อากาศก็ไม่มีจะหายใจ แรงกดอะไรบางอย่างทำให้อยากคายอาหารออกมา (แต่ความเสียดายทำให้กล้ำกลืนไว้ได้) พอมีใครบางคนหยุดพักที ขบวนก็ต้องหยุดพักด้วย จินตนาการ (แบบโรคจิตชอบความเจ็บปวด) ว่าหากมีใครป่วยขึ้นมาตรงนั้นและตอนนั้น รับรองว่าไม่ได้ออกมาง่ายๆ แน่ เดินหน้าก็ไม่ได้ ถอยหลังก็ไม่ง่าย ยิ่งงอเข่าเดินไปก็ยิ่งวังเวง รู้สึกเหมือนมีทหารกูชิเดินตาม อึ๋ยย ... ขนลุก


ดาลัต ลมใสใจสราญ ชมบ้านไกลฟ้า กระจ่างตาเมืองใกล้ดาว ... เรากลับจากเที่ยวอุโมงค์กูช๋จีด้วยสีหน้าอึ้งกิมกี่ “อึ้ง” คือตะลึงกับความพยายามและความมุ่งมั่นไม่ย่อท้อของชาวกู๋จี “กิมกี่” นั้นเป็นความรู้สึกยากบรรยาย คล้ายๆ มีคนทำขนมมาให้กิน กินไปแล้วรสชาติมันกิมกี่ จะคายก็ไม่ได้เพราะคนทำนั่งอยู่ตรงหน้า จะเคี้ยวต่อก็เกรงใจลิ้น จะกลืนลงไปก็กลัวต้องตัดขาดญาติมิตรกับกระเพาะ ลำไส้ใหญ่น้อย และทวารหนัก ทั้งหมดนี้เป็นเพราะดันมุดลงไปในอุโมงค์นั่นเอง แต่ถ้าไม่ทำเช่นนั้น ก็จะไม่มีทั้งความอึ้งและความกิมกี่

อย่างไรก็ตาม เวลาที่มีน้อยนิดเมื่อเทียบกับจำนวนสถานที่เที่ยว ทำให้เราไม่วอแวกับเรื่องที่แล้ว รีบประชุมหาที่เที่ยวกันต่อไป ซึ่งก็คือดาลัต เมืองที่หนังสือนำเที่ยวบรรยายไว้แทบน้ำลายหก ... ดาลัตเป็นเมืองท่องเที่ยวในเวียดนามที่สร้างความประทับใจให้แก่พวกเรามากกว่าคำบรรยายในหนังสือนำเที่ยว แม้จุดสำคัญของการเที่ยวครั้งนี้จะอยู่ที่ชุมชนโบราณในฮอยอันและสุสานกษัตริย์ในเว้ แต่ใครจะนึกว่า เราจะมีโอกาสได้สัมผัสบ้านเมืองที่มีบรรยากาศแบบยุโรป ... ในเวียดนามนี่แหละ

ยิ่งห่างจากโฮจิมินห์ จำนวนมอเตอร์ไซค์ก็ยิ่งลดลง จำนวนจักรยานกลับมากขึ้นแทน บ้านตึกสูงหายไป บ้านไกลฟ้า (บ้านทรงเตี้ย) เข้ามาแทนที่ เสน่ห์ของเมืองดาลัตค่อยๆ วิ่งเข้ามาจับที่ขั้วหัวใจของพวกเราทีละน้อย โดยเฉพาะอย่างยิ่งบ้านขนาดเล็กแบบร่างมนุษย์ (Human Scale) ที่มีรูปทรงเรียบง่ายแต่สีสันสะใจ ... ผนังสีเขียวหน้าต่างประตูสีเหลือง ผนังสีเหลืองหน้าต่างประตูสีฟ้า ผนังสีชมพู (ก็ยังมีนะครับท่าน) หน้าต่างประตูสีฟ้า พวกเราชมดูบ้านสีลูกกวาดเหล่านี้หลังแล้วหลังเล่าอย่างไม่รู้เบื่อ จนกระทั่งเห็นโบสถ์สีชมพูตระหง่านอยู่หน้ารถ ไกลออกไปเป็นหมู่บ้านสีลูกกวาดแทรกตัวอยู่ในโอบล้อมของป่าสนเมืองหนาว เห็นภาพตรงหน้าแล้วไม่แน่ใจว่ารถบัสคันนี้ หลงทางพาพวกเรามาเมืองหนึ่งในยุโรปหรืออย่างไร

เราเดินชมเมืองดาลัตอย่างอภิรมย์ อากาศเย็นไล้ผิวกาย ลมใสสะใจปอด ทิวทัศน์กระตุ้นตา นี่นะหรือเมืองๆ หนึ่งในทวีปเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ นี่นะหรือชาวเวียดนาม ที่เคยเห็นภาพว่าใส่เสื้อผ้าสีขรึมสวมหมวกแบบชาวจีน แต่ที่นี่ ทุกคนต่างพร้อมใจกันอวดเสื้อกันหนาวสุดเท่ห์ วัยรุ่นหน่อยก็ใส่ชุดกระชากตากระชากใจ หลากสีสันหลายรูปแบบ ผู้ใหญ่หน่อยก็ใส่เรียบๆ แต่ที่ไม่ยอมแพ้กันคือหมวกแก๊ป สารพัดสีหวานแหว ทั้งเขียว ส้ม เหลือง แดง ชมพู ยิ่งไปกว่านั้น ว่าคนในโฮจิมินห์เป็นมิตรกับนักท่องเที่ยวแล้ว คนในดาลัตกลับยิ่งกว่า เราได้รับรอยยิ้มและการทักทายอยู่แทบตลอดทาง คงเป็นเพราะอากาศและอาชีพที่ทำให้พวกเขาอารมณ์ดีเช่นนี้ เพราะชาวดาลัตส่วนใหญ่มีอาชีพเกี่ยวกับการปลูกผัก ทำไวน์ และปลูกดอกไม้ ดอกไม้ฝรั่งที่เห็นในเมืองไทยดอกนิดเดียวนั้น ของที่นี่ใหญ่กว่าเกือบสิบเท่า โดยเฉพาะ “ดอกไฮเดรนเยีย” ที่ขึ้นชื่อลือชา ผู้มีใบหน้าบานทั้งหลายจึงควรมาถ่ายรูปกับดอกไม้ที่นี่เป็นอย่างยิ่ง จะได้ไม่ถูกกระแนะกระแหน ว่าทำดอกสีเนื้อๆ ถึงได้บานใหญ่กว่าดอกอื่นๆ

ยามค่ำคืน มุมมองจากที่พักซึ่งคงเคยเป็นคฤหาสน์ของผู้มีอันจะกิน แสงไฟจากบ้านหลากสีในดาลัดนั้นช่างอยู่ใกล้กับดวงดาวที่กระจายเต็มฟ้า ถนนสายเล็กๆ เต็มด้วยผู้คนเดินทางไปทำพิธีในโบสถ์ หลังจากนั้นจึงทยอยกลับสู่บ้านขนาดเล็กๆ ของตน บ้านทรงเตี้ยที่เพื่อนร่วมทางอุตส่าห์เรียกอย่างถนอมน้ำใจว่าบ้านไกลฟ้า แต่ทว่า หมู่บ้านของชาวดาลัตบนที่สูงนั้น กลับอยู่ใกล้ดาวจนแทบแยกไม่ออก แสงไฟที่กระจายเป็นหย่อมๆในราตรีนั้น คือแสงจากบ้านเรือนหรือแสงจากหมู่ดาว


ฮอยอัน ตะไคร่ชื้นเขียวขจี หลายร้อยปีเมืองโบราณ ... ก่อนถึงจุดกึ่งกลางประเทศที่ฮอยอัน เราเดินทางถึง “ญาจาง” ด้วยรถทัวร์สายริดสีดวงทวารแตกที่วิ่งผ่านถนนสายโลกพระจันทร์ ทั้งหินและบ่อทำเอาพวกเราโคลงไปโคลงมา กระเด้งขึ้นกระเด้งลงตลอดทาง รถจอดทุกคราว ต้องวิ่งลงมายืนพักและลูบคลำตรวจตราก้นกบกันทุกครั้งไป ถือเป็นถนนสายวัดความเป็น Traveler (นักเดินทาง) ได้เป็นอย่างดี เพราะหากใครคนใดคนหนึ่งบ่นออกมา ก็จะถูกเชือดเฉือนว่าเป็น Tourist (นักท่องเที่ยว) สนิมสร้อย (ขอยืนยันว่าที่มาเที่ยวด้วยกันนี่เป็นเพื่อนๆ กันทั้งน้าน) จนกระทั่งถึง “ญาจาง” ได้พักผ่อนก้นกบพร้อมชมคลื่นลูกโตที่สุดเท่าที่เคยเห็นมานั่นแล้ว จึงได้เดินทางต่อสู่เมืองเก่าอันงดงาม

เมืองโบราณในฮอยอันนั้น เบียดแน่นด้วยบ้านโบราณทรงเรียบง่ายเรียงรายบนถนนหลายสาย ขนาบด้วยลำน้ำใสเต็มเปี่ยมล้นตลิ่ง ที่มี “เรือตาดุ” หรือ “เรือตาตี่” (รูปตาที่วาดอยู่หัวเรือทุกลำนั้นทั้งดุและตี่) ลอยลำอยู่หนาตา เดินไปเดินมาแล้วรู้สึกราวกับเป็นพระเอกหนังอยู่ในกองถ่ายภาพยนตร์ย้อนยุค ตามหาซือเจ๊เพื่อร่วมมือกันล้างแค้นแทนอาจารย์ที่ถูกเจ้าสำนักอื่นโกงแชร์ แต่นี่คือของจริง เมืองโบราณนับพันปียังคงหายใจอยู่ ผิวกำแพงและผนังบ้านไม่ตายด้าน ตะไคร่น้ำจับหนาเขียวขจีน่าลูบไล้ ทุกหลังคาเรือนอบอวลทุกลมหายใจ การค้าขายและความเป็นอยู่ยังคงดำเนินอย่างต่อเนื่อง ที่แม้จะทันสมัยขึ้น เอาใจผู้มาเยือนมากขึ้น แต่ ณ ที่นี้ ณ จุดกึ่งกลางประเทศเวียดนาม ฮอยอันยังคงเป็นเช่นเดิมเท่าที่ผ่านมาหลายร้อยปี

พวกเราเหมาเรือชมชีวิตชาวฮอยอันทั้งในย่านคนรวยและคนจน ผู้มีอันจะกินจะอยู่ในตึกเก่าที่เป็นบ้านโบราณ ผู้ไม่ค่อยมีอันจะกินจะอยู่ในเรือตาตี่ลำน้อย (เรือขนาดเล็กจนพวกเราอาย ไอ้ที่เคยบ่นกับตัวเองว่าบ้านคับแคบอยากย้ายไปอยู่ที่ใหม่นั้น เงียบจ๋อยไปเลย) เรือลำน้อยนั้นใช้พื้นที่คุ้มค่าเกินตัว หัวเรือทำราวไว้ตากผ้า กางเกงในหลากสีปลิวไสวล้อแดดลม เห็นแล้วจินตนาการได้ไกล กลางเรือมีหลังคาเอาไว้นอนหลับและหลับนอน (ถ้าเห็นเรือผีสิงโคลงไปโคลงมาละก็ใช่เลย เป็นอย่างอื่นไปไม่ได้ เพราะสายน้ำที่ฮอยอันนั้นมีความนิ่งถึงนิ่งมาก) ท้ายเรือเป็นห้องครัว มีเตาถ่านใบน้อย หม้อก้นดำปี๋สองสามใบ กระทะตะหลิวอะไรก็ว่าไป จะอึจะฉี่กันตรงไหนไม่ได้ถาม เพราะรู้ไปก็ไม่ได้ทำให้ชีวิตเจริญงอกงามขึ้นแต่อย่างใด

เวียดนามร้านแต่งตระเตรียมประชัน ครบเครื่องครันเหล้าอาหารล้วนลองลิ้ม
ทั้งล่อปากลวงใจได้เอมอิ่ม นั่งกรุ้มกริ่มชิมโน่นนี่มีมากมาย
ก่อนเดินทางออกจากฮอยอัน เราแวะเที่ยวเมืองเก่า “หมีเซิน” ที่มีบรรยากาศคล้ายๆ ปราสาทขอมในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของบ้านเรา ซึ่งเป็นการเที่ยวแบบเช้าไปเย็นกลับ เมื่อถึงตอนค่ำพวกเราจึงร่ำลาเมืองที่น่ารักแห่งนี้ ด้วยการเดินชมร้านอาหารที่ตกแต่งกันอย่างสุดฝีมือ ราวกับมีงานแสดงร้านอาหารร้านเหล้า มีหมดทุกรูปแบบทุกแนวคิด ทั้งแบบพื้นเมือง ร่วมสมัย ทันสมัย ย้อนสมัย ล้วนๆ แต่น่าพิสมัย ใครถ่ายรูปเก่งๆ น่าจะมาถ่ายเก็บที่ละร้าน แล้วขออนุญาตทำเป็นหนังสือ รวมเล่มร้านอาหารกระแทกตา หรือถ้ามีเงินมีเวลา อยู่สักหนึ่งเดือนกินดื่มให้ครบทุกร้าน รับรองเป็นโรคพิษสุราเรื้อรัง หรือไม่ก็ไขมันจุกอกตาย


เว้ ฝนพรำจนเหว่ว้า กาแฟเครื่องวัดใจ ลำน้ำใสสุสานกษัตริย์ ... พวกเรากินกาแฟแบบชาวเวียดนามมาตั้งแต่ที่ฮอยอันแล้ว แต่มาประทับใจและกินกันอย่างจริงจังก็ที่เว้นี่แหละ คงเป็นเพราะการเดินทางผ่านมาแล้วครึ่งหนึ่ง ทำให้เราปรับตัวและกินเหมือนชาวเวียดนามกันได้มากขึ้น โดยเฉพาะการกินกาแฟแบบเวียดนาม ... ตักกาแฟบดสดที่ส่งออกไปทั่วโลกลงในหม้อใบเล็ก ปิดฝากรองชั้นบน เทน้ำร้อน น้ำกาแฟจะค่อยๆ หยดลงแก้ว กว่าจะเต็มแก้วใหญ่ก็ใช้เวลาหลายนาที วัดใจกันตรงนี้ กาแฟหอมกรุ่นอยู่ตรงหน้า ใครใจร้อนยกฝากรองขึ้นเพื่อเร่งความเร็วของหยดกาแฟ ผลที่ได้ ผงกาแฟไหลปนลงสู่แก้ว ได้กินกาแฟสากลิ้น และอาจถูกเจ้าของร้านดุเพราะทำผิดวิธี ผิดวัฒนธรรม (หรือเปล่า)

กินกาแฟแล้วจึงเดินฝ่าสายฝนพรำๆ ไปเที่ยวชม “พระราชวังต้องห้าม” ที่กว้างขวางใหญ่โตจนไม่อาจเที่ยวชมได้โดยไม่พักทานอาหารเที่ยง ประตูทางเข้าใหญ่งดงาม แต่ภายในกลับเหลือเพียงซากมากกว่าครึ่ง ฟ้าพรำฝนช่วยสร้างบรรยากาศหมองหม่น โชคดียังมีวิหารบางส่วนที่รอดพ้นจากการทำลาย ได้เห็นกระถางธูปเหล็กใบสูงเกินหัวฝรั่งเรียงรายอยู่ด้านหน้า บานประตูสีแดงสดวิ่งไปตามความใหญ่โตของวิหาร กระเบื้องหลังคาเรียงแน่นกว่าสายฝนที่โปรยปราย กำแพงใหญ่โอบปีกทั้งซ้ายขวา ภายในเป็นอีกโลกหนึ่งที่มีแต่สีแดงของเสาไม้และแท่นบูชา ภายนอกเรียงรายด้วยไม้ดัดนับร้อยกระถาง สะท้อนฝีมือชาวเวียดนาม เชี่ยวชาญทั้งศิลปะจากเล็กไปใหญ่ และจากใหญ่ลงสู่เล็ก


วันต่อมาพวกเราเหมาเรือล่องลำน้ำหอม เพื่อเที่ยวสุสานของกษัตริย์ “ตือดึ๊ก” “ไคดิงห์” และ “มิงห์หม่าง” ที่สร้างความประทับตาประทับใจให้เราแตกต่างกันไป สุสาน “ตือดึ๊ก” เน้นความร่มรื่นเขียวขจี สิ่งก่อสร้างงดงามยิ่งใหญ่ทั้งขนาดและความสูง ลำคูใสคดเคี้ยวรอบสุสาน ทำให้รู้สึกราวกับเดินอยู่ในอุทยานแห่งสวรรค์

สุสาน “ไคดิงห์” นั้นตระการตา อารักษ์ขาด้วยรูปปั้นทหารและขุนนาง ภายในนั้นวิจิตรบรรจง ตกแต่งแบบ “เซรามิก โมเสก” ที่ละเอียดอ่อนงดงามราวกับภาพวาด พู่ไหมเซรามิกเหนือรูปปั้นกษัตริย์นั้น ช่างเหมือนจริงราวกับจะปลิวไหวได้ยามต้องลม มังกรเซรามิกนับร้อยตัวที่พันอยู่รอบเสา ดูมีชีวิตราวกับพร้อมจะกระโจนใส่ทุกผู้บุกรุก

และสุดท้าย สุสาน “มิงห์หม่าง” ที่ร่มรื่นและกว้างใหญ่ พื้นที่เขียวขจีของสุสานนั้นสุดลูกหูลูกตา ภายในสุสานนำทางด้วยวิหารทรงสูงถึงสี่จุดก่อนถึงที่ฝังพระศพทรงกลมขนาดใหญ่ ที่ต้องใช้เวลาเดินเกือบสิบนาทีกว่าจะครบรอบ ฝนตกปรอยๆ เราเดินขึ้นเดินลงชมความงามของสุสานแบบ Bird Eye View โดยปราศจากนักท่องเที่ยวคณะอื่นๆ ได้ซึมซับบรรยากาศสุสานจักรพรรดิ์ที่สงบและอลังการเป็นแห่งสุดท้ายอย่างเต็มที่


ฮานอย รอยอาลัยอังเคิลโฮ ชมโชว์หุ่นกระบอก ซอกแซกซอยค้าขาย ... การเดินทางท่องเที่ยวในเวียดนามของพวกเราไปจบลงที่ฮานอย เมืองที่มีจุดเด่น 3 ประการ ประการแรกคืออนุสาวรีย์ของลุงโฮ (Uncle Ho) ที่นำร่างไร้วิญญาณของผู้นำในดวงใจชาวเวียดนามมาให้ผู้คนสักการะ ร่างลุงโฮถูกรักษาดูแลไว้อย่างดีราวกับคนนอนหลับ การชมร่างลุงโฮทำได้เพียงเดินรอบๆ มีระยะห่างจากร่างลุงโฮ 3-5 เมตร ที่สำคัญคือห้ามหยุดพิจารณาอย่างเด็ดขาด และทุกย่างก้าวของผู้เข้าชม จะอยู่ในสายตาและวินัยอันเข้มงวดของทหารเวียดนาม ประการที่สองคือการเดินชมและซื้อของในซอกซอยต่างๆ ที่จะแบ่งขายหนึ่งซอยหนึ่งผลิตภัณฑ์ (คู่แข่งตัวฉกาจกับหนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ของเรา) ได้แก่ซอยเสื้อผ้า ซอยกระเป๋า ซอยเครื่องครัว ซอยเครื่องไฟฟ้า ซอยขนมขบเคี้ยว (ซอยนี้เดินนานหน่อย เพราะเดินไปเคี้ยวไป) ฯลฯ พวกเราเรียกซอยเหล่านี้ว่า ซอยลูกอีช่างขาย (จะเรียกซอยลูกคุณช่างขายก็ได้ อาจจะสะดวกปากแต่แล้งอารมณ์)

ประการที่สามอยู่ในคืนสุดท้ายที่เวียดนาม พวกเราไปชมการแสดงชื่อดังที่พวกเราตั้งชื่อให้ตรงความจริงว่า “หุ่นกระบอกน้ำท่วม” เพราะหุ่นกระบอกชุดนี้เกิดขึ้นจากแรงบันดาลใจของศิลปินที่ประสบกับน้ำท่วมบ่อยม๊าก พี่แกเลยจัดทำหุ่นกระบอกน้ำประชดดินฟ้าอากาศเอาซะเลย (สมัยนั้นคงยังไม่มีผู้ว่าราชการจังหวัดให้ประชด) การร้องรำทำเพลงแสดงโดยหุ่นกระบอกทุกชุด เป็นเรื่องเกี่ยวกับผลกระทบจากน้ำท่วมทั้งสิ้น แต่ไม่มีการแสดงล้วงท่อ อุ๊บ สุนัขออกจากปาก โทษทีนะคร้าบ ...ได้ชมแล้วกลับประทับใจคณะดนตรีที่เล่นสดร้องสดประกอบการแสดงมากกว่า พลังเสียงสูงส่งชนิดลำโพงชั้นดีเรียกแม่ เรียก “โอเปร่าเวียดนาม” ก็ว่าได้ ... นอกจากนี้แล้วก็คือความห่วงใยที่มีให้แก่คนเชิดหุ่นที่ต้องยืนแช่น้ำเชิดหุ่นวันละหลายชั่วโมง ระดับน้ำก็สูงเกือบเอว เท้าเปื่อยยังไม่เท่าไร อย่างอื่นเปื่อยมันจะแย่เอานา

วันรุ่งขึ้นเรามีเวลาครึ่งวันก่อนเดินทางกลับบ้าน จึงรีบแหกตาตื่นแต่เช้ามาเดินชมกรุงฮานอยอีกสักรอบ การจราจรวุ่นวายไม่แพ้บ้านเรา เพียงแต่ร้อยละเก้าสิบเก้าเป็นมอเตอร์ไซค์ ผู้คนแต่งตัวทันสมัยไม่แพ้เรา โดยเฉพาะผู้หญิง อากาศหนาวทำให้ต้องใส่เสื้อคลุมแบบฝรั่ง ผู้ชายก็แต่งตัวเรียบ ร้อยไม่แพ้หนุ่มกรุงเทพฯ แต่เชยกว่านิดหน่อยคือทรงผม ที่ใส่น้ำมันเยิ้มแล้วหวีเรียบแบบหนุ่มรุ่นเก่า ไม่ว่าจะแสกกลางหรือแสกข้าง ล้วนดูย้อนยุคสุดเชย ยิ่งทรงรองหวี “หัวหนัง” ที่พวกเราชอบไว้กันยิ่งหายาก เจอแบบนี้ทำได้เดินทางกลับเมืองไทยด้วยความรู้สึกดีหน่อย หลงตัวเองว่าหล่อกว่าหนุ่มเวียดนาม ... สักนิดก็ยังดีน่ะ

จบตอน

Download เรื่องราวแบกเป้เที่ยวในอีก 6 ประเทศ
พร้อมภาพถ่ายกฃร้อยกว่าภาพได้ที่
//www.truebookstore.com/product/view/1237




Create Date : 18 กรกฎาคม 2553
Last Update : 18 กรกฎาคม 2553 17:30:48 น. 0 comments
Counter : 934 Pageviews.

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

dejaboo44
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Friends' blogs
[Add dejaboo44's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.