ตั้งแต่ผมลืมตามาดูโลก สิ่งที่ผมได้เริ่มเรียนรู้นั้นคือ ใครต่อใครก็ไม่รู้เข้ามาหยิกแก้มบ้าง หอมบ้าง อุ้มไปโน่นนี่นั่นบ้าง ซึ่งก็คงจะเป็นอารมณ์ของผู้คนในตอนนั้นที่เอ็นดูเรา แต่เราก็ไมได้รู้สึกอะไรกับเค้าหรอกถ้าจำได้แล้วรู้เรื่องตอนนั้นคงรำคาญ น่าดู..สิ่งแวดล้อมผมเต็มไปด้วยเด็กผู้ชาย สมัยนั้นฮิตลูกชายเกิดกัน บ้านผมนี่แหละ ลูกสาวคนเดียว ขาวจั๊ว แบบว่าพ่อดำ -*- ดีนะได้แม่555พ่อไม่เคยสอนให้ ร้องไห้ ไม่เคยสอนให้เล่นอะไรแบบผู้หญิงเลย ไม่ชอบให้ใส่กระโปรง ทีนี้รู้แล้วใช่ไม๊ว่าเป็นแบบนี้เพราะอะไร ... มันชัดเจนแต่เด็กเลย เด็กทั่วไปจะคุ้นเคยกับการไปโรงเรียน โดยมีพ่อหรือแม่ หรือทั้งพ่อแม่ไปส่งลูกทุกๆเช้า และรับกลับทุกๆเย็น แต่ผมไม่มี ...เดินไปโรงเรียนเอง ตั้งแต่พูดคุยรู้เรื่อง แล้วก็อย่าลืมนะ เดินกลับมาบ้านเองด้วย-*-
...ปกติผมก็เป็นเด็กที่ไม่ค่อยคุยกับใคร สันโดษแต่เด็กๆแล้ว ถ้าตอนนี้ก็ต้องเรียก ติสท์แต่เด็ก ไม่ชอบเล่นกับเพื่อนผู้หญิง เพราะน่ารำคาญ วันๆเอาแต่เล่นหมากเก็บ กระโดดยาง แล้วให้ผมไปเป็นคนจับ น่าเบื่อที่สุด นั่งจับกลุ่มร้องเพลง กรรไกรไข่ผ้าไหม อะไรสักอย่างอ่ะอย่างที่พี่โน๊ตแกแซว พอมาดู นี่กูไปอยู่ไหนมาเนี้ยทำไมไม่เคยได้ยินเพลงพวกนี้ -*-เอาเถอะ ... ทุกๆวันผมคิดเสมอว่าแม่ผมอยู่ไหน อยากมีแบบเพื่อนคนอื่นบ้าง บางทีก็นะเด็กๆจะล้อเลียนพ่อแม่กันผมจะร้องไห้เวลาที่เพื่อนๆ พาแม่มาไหว้ หรือไม่ก็เห็นพ่อแม่เพื่อนโอ๋ลูกเวลาร้องไห้ ผมหนีไปร้องในห้องน้ำบ่อยๆ ช่วงเด็กๆผมมีแต่ย่า ที่อยู่ข้างๆผมผมเพิ่งเข้าใจนะว่า การที่พ่อแม่แยกทางกันมันคืออะไร แล้วคนที่เข้ามาในชีวิตคู่ของพ่อคือใคร กว่าจะเข้าใจและรับรู้จุดนี้ก็ เข้ามหาลัยและ-*- เด็กๆ ผมเกรเรใช่ได้ ดื้อเงียบ ไม่เอาใคร ชอบมีเรื่องชกต่อย ใครๆก็บอกว่าผมเป็นเด็กมีปัญหา แต่เสือกมีพรสวรรค์ อันนี้ผมเถียงนะ เพราะถ้าไม่ได้คำดูถูกของพวกคนเหล่านั้น ก็คงไม่มีผมวันนี้เช่นกันเด็กๆผมคิดงอแง ก็ทำไมได้ ปรึกษาใครหรอตัดทิ้งได้เลย
จนวันหนึ่งที่ย่าจากผมไป วันนั้นคือวันที่ผมไม่มีใคร พ่อผมต้องไปชายแดนเพราะเค้าเป็นตำรวจ อยู่กับแม่เลี้ยงเหรอฝันไปเหอะ เพื่อนๆคิดดู 10 ปี ผมคุยกับแม่เลี้ยงผมนับครั้งได้ บ้านเดียวกันแต่ไม่เคยแม้แต่จะนั่งกินข้าวด้วยกัน ผมต้องอยู่ได้ แน๊ แอบหยิ่ง 55เอาเป็นว่าเด็กๆใครก็อยากได้รับความอบอุ่นกันทั้งนั้นยิ่งมีคนมาเอาใจยิ่งชอบ ผมคิดต่างตรงนี้เพราะผมน่ะโชคดีมากที่แม่ไมได้เอาผมไปทิ้งข้างทาง ยังดีที่เค้าเอาผมไปไว้ในห้องเก็บของ แล้วถ้าย่าไม่มาเจอผมคงนอนตายในนั้น ก็ต้องขอบคุณแม่เหมือนกัน เข้าใจอาจจะเพราะปัญหาที่เกิดขึ้น แต่ก็ขอให้เป็นกรณีศึกษาที่ทำกับเด็กแบบนี้เหมือนกัน
....ทุกครั้งที่ผมเห็นคนที่ด้อยกว่ามันเป็นกำลังใจให้ผมเดินต่อนะ เราโชคดีแค่ไหนที่เกิดมาครบ 32 ฐานะปานกลาง พอเพียง แล้วยังหาเลี้ยงชีพเองได้ ซึ่งเด็กบางคนไม่มีแขน ไม่มีขาพิการ พ่อแม่ทิ้งขว้าง เค้าจะอยู่ยังไงในเมื่อก็ยังช่วยตัวเองไมได้ นั่นแหละเหตุผลที่ผมเขียนบันทึกวันนี้ถ้าผมมีโอกาสผมจะทำบุญทำให้เค้า จริงๆมีคนเป็นล้านๆคนที่เราเข้าไม่ถึง แต่ก็จะพยายามทำให้ดีที่สุด เพราะถ้าเค้าได้รับสิ่งที่ดีเค้าจะได้คิดต่อในอนาคตว่าเค้าต้องเป็นคนดี ทำอะไรดีๆให้ชีวิตเค้า ไม่อยากให้เค้าเจอสิ่งที่แย่ๆ เพื่อนๆรู้ไม๊เวลาเค้าเจอคนไปทำบุญให้เค้าจะเข้ามากอด มาวุ่นวายกับเราเหมือนเราเป็นพี่เป็นน้องเป็นญาติเค้าคนหนึ่ง มันแบบทำให้ผมก็แอบน้ำตาซึมเหมือนกัน เพราะฉะนั้นความที่เป็นเด็กน่ะ มับริสุทธิ์ มันละเอียดอ่อน ต่อให้เค้าพิการจิตใจเค้าก็ต้องการความรักความอบอุ่นเช่นกัน ถ้ามีโอกาสก็หาเวลาทำให้เค้าบ้าง
เราโชคดีแค่ไหนที่ได้เกิดมา
โดยที่ไม่มีอะไรบอกได้เลยว่าเราพิการ
นอกจาก
"เราทำตัวเราเองให้พิการ"
Chinz Phattarapakorn