หอมกลิ่นหวาน...และขมของชีวิต
Group Blog
 
 
มีนาคม 2553
 
 123456
78910111213
14151617181920
21222324252627
28293031 
 
7 มีนาคม 2553
 
All Blogs
 
บทที่ 1



‘ไฟซาล นี่แฮปปี้เองนะ’
มณีมัญชุญ์กรอกเสียงร่าเริงลงในโทรศัพท์ ‘แฮปปี้’ เป็นชื่อเล่นที่แผลงมาจากชื่อจริงของหล่อน มณีมัญชุญ์แปลว่า แก้วมณีแห่งความยินดี

ชื่อจริงออกเสียงยากสำหรับชาวต่างชาติ ชื่อเล่นยิ่งแล้วใหญ่เพราะหล่อนชื่อเล่นว่ามัญ ออกเสียงภาษาอังกฤษจะคล้ายคำว่ามัด(mud)ที่แปลว่าโคลน
ด้วยเหตุนี้คำแปลของชื่อจึงแผลงมาเป็น ‘แฮปปี้’ ให้เพื่อนต่างชาติเรียกได้ง่ายๆ

‘วันนี้ได้ตั๋วหนังฟรีมาล่ะจากอาจารย์ที่ไปช่วยทำวิจัย ไปดูหนังกันไหม ขากลับเดี๋ยวเราเลี้ยงไก่ทอด*ฮาลาล”
หล่อนกับไฟซาลมีรสนิยมคล้ายคลึงกัน ชอบดูหนังเก่าและฟังดนตรี ไม่ได้สุดเหวี่ยงอย่างวัยรุ่นในยุคนี้ แต่เป็นประเภทแจ๊ซหรือไม่ก็จำพวกเพลงบูลล์

‘โรงหนังที่ได้ตั๋วมา เราไปดูโปรแกรมหนังมาแล้ว มาเรื่องคาซาบลังก้าที่ไฟซาลชอบ กับเรื่องเดอะซาวน์ออฟมิวสิคเรื่องโปรดของเราด้วย’
มณีมัญชุญ์เล่าไปเรื่อยๆ ปลายสายเงียบไปสักพักก่อนที่จะมีเสียงทุ้มต่ำเอ่ยออกมา

‘ไฟซาลไม่อยู่ ผมจะจดโน้ตบอกเขาให้’
หลังจากนั้นโทรศัพท์ก็เป็นเสียงดังตรู๊ด... แสดงว่าสายปลายทางวางลงแล้ว หล่อนนิ่วหน้า เสียงใครกัน ทุ้มต่ำ ...ลึก...กังวาน รู้สึกถึงการคุกคามในน้ำเสียง ภาษาอังกฤษที่พูดมานั้นชัดและสุภาพ ไม่ทอดนิ่งและเจืออารมณ์ขันอย่างไฟซาลเลย

‘เสียงดุจริงๆ’
หญิงสาวค่อนแคะเจ้าของเสียงในใจ นั่นคือครั้งแรกที่หล่อนได้พบชีคบารัคทางเสียง โดยไม่รู้เลยว่าวันหนึ่งจะได้อยู่ใกล้เจ้าของเสียงนี้ ใกล้ชนิดที่เรียกว่าได้นอนร่วมเตียง สบตาเขาเป็นคนแรกเมื่อยามตื่น

“อรุณสวัสดิ์มณีมัญชุญ์ เมื่อคืนเจ้าหลับสบายดีไหม”
เสียงนั้นรื่นเริงจนน่าหมั่นไส้ หล่อนมองเขา ดวงตาคู่สวยวาววับบ่งบอกว่าไม่สบอารมณ์เป็นอย่างยิ่ง ไม่ใช่จากการโดนปลุกแต่เช้าตรู่ แต่เป็นอย่างอื่น...

“ฉันหลับสบายมากค่ะท่านชีค เพราะการต้อนรับของท่าน”
ร่างบางกัดฟันกรอดไม่ห่วงมารยาท ...นาทีนี้นึกอยากจะฆ่าคนเสียเหลือเกิน

“เพราะเจ้าดื้อดึงน่ะสิข้าถึงต้องทำอย่างนี้”
เขาปรายตามายังข้อมือหล่อนซึ่งมีกำไลตรวนติดโซ่ทองอันใหญ่ ล่ามไว้กับขาเตียง

“ป่าเถื่อนที่สุด ท่านทำกับฉันอย่างนี้ได้อย่างไรชีคบารัค กักขัง หน่วงเหนี่ยว ล่ามโซ่ฉันไว้ราวกับนักโทษ ท่านกำลังทำผิดกฎหมาย ผิดมนุษยธรรม ผิด...”

“ถ้าข้าไม่ทำอย่างนี้เจ้าจะยอมอยู่อย่างสงบหรือเปล่านะฮึ มณีมัญชุญ์”
ชีคหนุ่มทะลุกลางปล้องด้วยน้ำเสียงเหนื่อยหน่าย เขาเรียกชื่อจริงหล่อนได้ชัดเจนผิดจากชาวต่างชาติคนอื่นๆ

“ข้าพูดอะไรเจ้าก็ไม่เคยฟัง แถมยังทำร้ายร่างกายข้าอีก”
หลักฐานปรากฏอยู่บนใบหน้าคมสันของเขา เมื่อคืนนี้มณีมัญชุญ์ทั้งพยายามหนี ทั้งอาละวาดเพื่อจะให้ได้ออกไปจากที่นี่ รอยเล็บของหล่อนที่ข่วนเขาเป็นรอยแดงยาวกลางใบหน้าและแก้ม

“สภาพข้าเป็นอย่างนี้ วันนี้ข้าเลยต้องขนงานมาทำที่บ้าน เสียเวลาเท่าไหร่น่ะฮึเจ้ารู้ไหมมณีมัญชุญ์”
เจ้าของชื่อเม้มปาก ใบหน้าบึ้งตึง ไม่รู้สึกผิดเลยที่ทำร้ายชีคหนุ่ม นี่ยังน้อยไปด้วยซ้ำ ผู้ชายเอาแต่ใจ บ้าอำนาจ คิดแต่เพียงว่าหล่อนจะมาจับไฟซาลญาติของเขา

มณีมัชชุญ์มาที่นี่เพราะคำขอร้องของไฟซาล ให้มาร่วมงานแต่งซึ่งจะมีขึ้นในอีกหนึ่งเดือนข้างหน้า หล่อนที่ยังว่างงานอยู่จึงถือโอกาสมาพักผ่อน

โดยไม่คิดเลยว่าชีคบารัคญาติผู้พี่ของเขาจะทำอะไรเพี้ยนๆ เช่นการลักพาตัวหล่อนมาจากสนามบินทันทีที่เหยียบเข้าประเทศนี้ แถมยังขังหล่อนไว้ที่บ้านของเสียอีก

คนที่บอกอะไรแล้วไม่เคยฟังนั้น น่าจะเป็นเขามากกว่า มณีมัชชุญ์บอกจนปากจะฉีกอยู่แล้วว่าไฟซาลกับหล่อนไม่ได้คบกันฉันท์ชู้สาว แม้ว่าครั้งหนึ่งไฟซาลจะเคยขอหล่อนแต่งงานก็ตาม...



“ติ๊ง...ติ๊ง”
ที่หน้าจอคอมพิวเตอร์มีจอสี่เหลี่ยมเล็กๆ เด้งขึ้นมาพร้อมกับไฟสีแดงสว่างวาบ มณีมัญชุญ์ละสายตาจากนิยายออนไลน์ รีบกดปุ่มรับสายจากจอสี่เหลี่ยมเล็กๆ นั้นทันที

“เอสไอซีคอลเซ็นเตอร์สวัสดีค่ะ มณีมัญชุญ์รับสายยินดีบริการค่ะ”
โปรแกรมอัตโนมัติซึ่งแสดงข้อมูลหมายเลขลูกค้าที่โทร.มา ขึ้นข้อมูลหน้าจอคอมพิวเตอร์ว่าเป็นบริษัทลัคกี้อีเลเฟ่นท์
คุณเอกพล... ใจของหญิงสาวพองฟูด้วยความยินดี ก่อนที่จะแฟ่บลงทันควันเมื่อนึกขึ้นได้ว่าตอนนี้หนุ่มเสียงหล่อคงจะอยู่ดูไบแล้ว

“เอ็กซ์เทนชั่นนัมเบอร์ของบริษัทผมใช้ไม่ได้”
เสียงคนโทร.มาดุเหลือเกิน พูดภาษาอังกฤษรัวเร็วสำเนียงชัด แต่ภาษาไทยกลับเสียงขึ้นจมูกแปลกๆ บริษัทของหล่อนดูแลด้านระบบการสื่อสารภายในองค์กร เอ็กซ์เทนชั่นนัมเบอร์(Extension number)ที่ลูกค้าพูดถึงคือโทรศัพท์คู่สายภายในสำนักงาน

ปรกติการโทร.ออกจะต้องผ่านตู้สาขาขององค์การโทรศัพท์ ซึ่งค่าใช้จ่ายจะสูงและโทร.ออกพร้อมกันหลายๆสายไม่ได้ บริษัทหล่อนจึงรับเชื่อมสัญญาณให้แทนองค์การโทรศัพท์ โดยใช้โมเด็มแทนตู้สาขาสัญญาณปรกติ แล้วส่งผ่านไปตามเสาสัญญาณโทรศัพท์มือถือ

“โทร.ออกแล้วได้ยินเสียงเป็นยังไงคะ มีกี่เอ็กซ์เทนชั่นนัมเบอร์คะที่เกิดปัญหา”
หล่อนถามอย่างใจเย็นคลิกดูหน้าจอคอมพิวเตอร์ ข้อมูลในระบบแสดงให้เห็นว่าสัญญาณของบริษัทนี้เป็นปรกติดี

“ซิกแนล ขาดๆ หายๆ ผมเช็คโมเด็มแล้วเป็นปรกติ”
คราวนี้เขาพ่นภาษาอังกฤษออกมาอีกหลายคำ มณีมัญชุญ์ร้องอ๋ออยู่ในใจ คนโทร.มานี่ คงจะเป็นวิศวกรจากซิลิคอนวัลเล่ย์ที่คุณเอกพลเคยเปรยไว้เป็นแน่ พูดไทยคำอังกฤษคำแบบคนที่อยู่ต่างประเทศมานาน

“งั้นที่โมเด็มมีไฟสัญญาณหรือเปล่าคะ ลองรีเซ็ทโมเด็มแล้วหรือยัง”
หล่อนอธิบายวิธีการตรวจสอบอุปกรณ์ขั้นพื้นฐานกับลูกค้า ปลายสายเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะถอนหายใจยาว

“นี่คุณ! ผมเทสส์ทุกอย่างมาหมดแล้ว ปัญหามันเกิดตั้งสองวันมาแล้วนะ อุปกรณ์ไม่มีปัญหา ซิกแนลคุณนั่นแหละเป็นอะไรหรือเปล่า”
ลูกค้าเริ่มวีน เสียงวิศวกรจากซิลิคอนวัลเล่ย์ยิ่งทุ้มต่ำน่ากลัวเข้าไปใหญ่

“แต่ท่างเราตรวจสอบสัญญาณแล้วนะคะว่าไม่มีปัญหา ยังไงคุณ...”
“แล้วทำไม **ทราฟฟิคมันถึงไม่ ***แชร์โหลดมาที่เอ็กซ์เทนชั่นนัมเบอร์บริษัทผมล่ะ”
เขาสอดแล้วโวยวายอย่างฉุนเฉียว

“ค่ะ เดี๋ยวทางเรา...”
“ไม่มีคำว่าเดี๋ยวนะคุณ ผมต้องการคำตอบแล้วก็วิธีแก้ไขเดี๋ยวนี้ สองวันมาแล้วนะที่เกิดปัญหา จะรอให้เป็นอีกกี่วันจึงจะแก้ได้ บริษัทคุณไม่เช็คความผิดปรกติของ ****รูทชุมสายโทรศัพท์หรือยังไง”

คนปลายสายอารมณ์‘ขึ้น’เสียแล้ว โดยมากลูกค้าที่โวยวายขนาดนี้จะเป็นลูกค้าผู้ใช้งาน(User) ไม่ใช่ฝ่ายเจ้าหน้าที่ระบบ(Administrator) เรื่องระบบนั้นถ้าคนทำงานด้านเดียวกันจะเข้าใจกันดี

แม้ทุกอย่างจะควบคุมด้วยระบบคอมพิวเตอร์อันทันสมัย แต่บางครั้งก็อาจมีเหตุไม่คาดฝันทำให้ระบบหลุดการควบคุมบ้าง การจะแก้เรื่องพวกนี้ต้องใช้เวลาตรวจสอบสักเล็กน้อย เพราะขืนทำอะไรสุ่มสี่สุ่มห้าอาจจะพาลไปรวนระบบอื่นด้วย

“เดี๋ยวจะส่งเรื่องให้เจ้าหน้าทีผู้เกี่ยวข้องตรวจสอบข้อมูล...”
“แล้วที่ผมโทร.มาหาคุณนี่ คุณไม่ได้เกี่ยวข้องหรอกเหรอ”
เหมือนเดิม ลูกค้าแทรกกลางปล้องก่อนที่หล่อนจะพูดจบ แถมที่พูดเมื่อกี้ไม่รู้ว่าเขาสังสัยจริงๆ หรือว่าประชดกันแน่

“เดี๋ยวขออนุญาต ส่งเรื่องตรวจสอบ...”
มณีมัญชุญ์บอกลูกค้าด้วยเสียงที่หวานปานจะหยด แต่ในใจนั้นเริ่มกรุ่น รู้สึกอยากตัดสายอีตาวิศวกรซิลิคอนวัลเล่ย์พูดจาไม่รู้เรื่องคนนี้เสียที

“คุณไปตามคนอื่นมาพูดกับผมหน่อยสิ ผมต้องการคุยกับคนที่รู้เรื่อง ไม่ใช่มาขออนุญาตส่งเรื่องตรวจสอบอย่างเดียว”

“ขอโทษนะคะคือทางเรา...”
หล่อนรีบขอโทษลูกค้าเพื่อยุติปัญหา ขืนเรื่องไปถึงเจ้ปองทุกคนก็จะมองว่ามณีมัชชุญ์เอาลูกค้าไม่อยู่

“ผมต้องการคุยกับคนอื่นที่รู้เรื่องนี้นะครับคุณมณีมัญชุญ์ การพลาดโทรศัพท์สายหนึ่งหมายถึงการขาดทุนเป็นสิบๆ ล้าน คุณจะรับผิดชอบเหรอครับ”
หญิงสาวกัดริมฝีปากกำมือแน่น นับหนึ่งถึงสิบ

คนโทร.มาช่างเป็นผู้ชายที่ร้ายกาจเหลือทน เอาแต่ใจ ปากร้าย ช่างประชด ไม่ให้เกียรติคนอื่นเลย หล่อนทำงานบริการเขาก็จริง แต่ไม่ใช่ขี้ข้าให้เขาโขกสับข่มขู่เช่นนี้

“ค่ะ ได้ค่ะ รอสักครู่นะคะ ไม่ทราบว่าดิฉันเรียนสายคุณอะไรอยู่คะ”
คุยกันมาตั้งนานแล้วยังไม่ได้ถามชื่อลูกค้า ผิดวิสัยคอลล์เซ็นเตอร์ที่ดี แต่ไม่เป็นไรเพราะเขาก็แย่พอกัน มาถึงก็โวยวายเอา...โวยวายเอา

“ผมชื่อปริยวัตร”
วิศวกรเจ้าปัญหาจากซิลิคอนวัลเล่ย์บอกเสียงห้วน

ประโยชน์ใช้เวลาคุยกับลูกค้าที่ชื่อปริยวัตรนานร่วมชั่วโมง มณีมัญชุญ์เห็นหัวหน้าทั้งคุยสาย มือก็พิมพ์อีเมล์โต้ตอบกับทางวิศวะกรระบบเป็นระวิง
เพื่อตรวจสอบให้อย่างเร่งด่วน

กว่าจะจบเคสได้ เจ้านายชายหัวใจสาวก็ถอนหายใจดังเฮือก

“มะขามเอ๊ย! คนของลัคกี้อีเลเฟ่นท์เทคงวดนี้ทำไมถึงได้แรงอย่างนี้”
เจ้ปองทำเสียงเล็กเสียงน้อยมาบ่นกับหล่อนที่ยิ้มยิงฟันอยู่
“เห็นไหมล่ะเจ้ หนูบอกแล้ว จะส่งเรื่องตรวจสอบให้ก็ไม่ฟัง ทำงานด้านระบบเหมือนกันน่าจะเข้าใจกันหน่อย”

“ย่ะ ยิ่งพวกทำงานเกี่ยวกับระบบเหมือนกันนั่นแหละตัวดี รู้ไส้รู้พุงกันหมด แล้วก็ชอบโทร.มาวีน เฮ้อ! เลิกๆ ไม่คิดมากเดี๋ยวตีนกาขึ้น”
เจ้ปองว่าพลางกรีดนิ้วขึ้นคลึงหางตาเบาๆ

หัวหน้าหล่อนใบหน้าขาวผ่องหุ่นอ้อนแอ้น เวลาอยู่ต่อหน้าผู้ใหญ่นั้นจะมาดดีสุขุม ไม่ออกอาการใจหญิงให้เห็น แต่หากอยู่กันในหมู่ลูกน้องละก็ ...เจ้ปองจะไม่ปิดบังกริยาเลย

“แล้วนี่ยัยชมลูกพี่แกไปไหนเสียล่ะมะขาม”
เก้าอี้ข้างๆ มณีมัญชุญ์ว่างเปล่า คอมพิวเตอร์ก็ปิดอยู่

“เจ้จำไม่ได้เหรอว่าวันนี้จะมีคนมาดูงาน พี่ป้อมเขาเลยให้เจ้ชมไปบรรยายเรื่องงานของเรา เพราะมีผู้บริหารที่เป็นฝรั่งมาด้วย”
หัวหน้าโคลงศีรษะเข้าใจ พี่ป้อมที่พูดถึงคือผู้จัดการแผนก

ชมจันทร์พูดภาษาอังกฤษได้น้ำไหลไฟดับ ส่วนประโยชน์ซึ่งเป็นหัวหน้างานตัวจริงก็พอพูดได้อยู่บ้าง แต่เวลามีงานอะไรที่เป็นหน้าเป็นตาของแผนกก็ต้องพึ่งฝีปากเจ้ชม

รุ่นพี่กลับมาอีกครั้งในสองชั่วโมงต่อมา วันนี้เจ้ชมของหล่อนอยู่ในเสื้อโปโลแขนสั้นสีเขียว ที่อกเสื้อด้านซ้ายประทับตราบริษัทสีแดง มือข้างหนึ่งหิ้วถุงกระดาษของห้างสรรพสินค้าดัง

“แหม...น่าจะใส่กระโปรงสั้นสีแดงนะชม จะได้เป็นไฟเขียวไฟแดงเลย”
เจ้ปองแซวพลางหัวเราะคิกคักเมื่อลูกน้องคนสำคัญเดินเข้ามาในห้อง ชมจันทร์ได้แต่ยิ้มแยกเขี้ยว เดินนวยนาดบนรองเท้าส้นสูงสี่นิ้วมานั่งข้างมณีมัญชุญ์
เวลาเจ้ชมนั่งกระโปรงยีนส์สั้นๆ นั้นจะร่นขึ้นมานิดๆ เห็นขาอ่อนหน่อยๆ

รุ่นพี่หล่อนมักแต่งตัวเอาแน่เอานอนไม่ได้ บางวันก็เปรี้ยวเข็ดฟัน บางวันก็เซอร์ชนิดลากรองเท้าแตะกับเสื้อยืดมาทำงาน

เจ้ชมกับหล่อนเป็นคู่หูที่รูปร่างต่างกัน มณีมัญชุญ์ตัวเล็ก ผิวขาวแบบคนจีน ผมดำยาว หน้าตาจิ้มลิ้มปากนิดจมูกหน่อย แต่สิ่งที่เป็นจุดเด่นคือดวงตาที่กลมโตร่าเริงแจ่มใส เจ้ชมผิวสีแทนรูปร่างสูงร้อยเจ็ดสิบกว่าๆ หน้าตาคมจมูกโด่งเพราะเจ้ชมเคยเล่าให้ฟังว่าที่บ้านมีเชื้อเขมร หน้าตาเลยเหมือนนางอัปสรานครวัด

“เอ้า! เอางานมาให้”
สาวผิวสีแทนยื่นถุงกระดาษให้ ในนั้นมีกระดาษอยู่หลายปึก
“คราวนี้เป็นอะไรเหรอเจ้”
มณีมัญชุญ์หยิบงานมาพลิกๆ ดู

“เหมือนเดิม แปลเอกสารให้พวกเมียฝรั่ง จากไทยเป็นอังกฤษ จากอังกฤษเป็นไทย”
รุ่นพี่บอกพลางยกกระถางต้นพลูด่างจิ๋วซึ่งอยู่ข้างคอมพิวเตอร์มาใกล้ ใช้น้ำดื่มจากขวดล้างนิ้วโป้งนิ้วกลางและนิ้วชี้ เป็นการใช้น้ำแบบได้ประโยชน์สองต่อ

“เดี๋ยวคืนนี้กลับหอก็มาทำห้องฉันนะมะขาม”
คนนั่งข้างกำลังถอดคอนแท็คเลนส์ออกจากจากตาอยู่ สักพักเจ้ชมก็กลับมาสวมแว่นต่อ วันไหนที่แต่งตัวสวยๆ เจ้ชมจะมีเครื่องเคราประกอบครบทั้งเสื้อผ้าหน้าผม ขาดก็เสียแต่ไม่ยอมใส่คอนเทคเลนส์ นานๆ ทีหรือเป็นโอกาสที่ต้องออกงานสำคัญจริงๆ จึงจะยอมใส่

เพราะเจ้าตัวให้เหตุผลว่าเห็นไม่ค่อยชัด เจ้ชมสายตาสั้นเป็นพัน ขณะที่คอนเทคเลนส์มีระดับสายตาสั้นสูงสุดถึงแค่เจ็ดร้อยห้าสิบ

“งานนี้เร่งหน่อยนะมะขาม แต่ถ้าเสร็จแล้วก็ได้เงินเลย เดือนนี้จะได้สบาย”
เจ้ชมหันมาบอกใบหน้านิ่งเฉยเหมือนเคย รุ่นพี่ของหล่อนไม่ค่อยยิ้ม เวลาทำหน้าเฉยๆ จะดูดุมากทั้งๆ ที่จริงๆ แล้ว เจ้ชมเป็นคนใจดีกว่าที่คิด ...ใจดีจนหล่อนคิดไม่ถึง


“ไม่เอานะมะขาม ประโยคนี้เปลี่ยนใหม่ดีกว่า”
เจ้ชมนอนคว่ำอยู่บนเตียง ขณะที่มณีมัญชุญ์อยู่กลางห้อง ร่างบางอยู่บนเบาะรองนั่งสีสด คอมพิวเตอร์โน้ตบุควางอยู่บนโต๊ะญี่ปุ่น

เจ้ชมอ่านประโยคภาษาอังกฤษจากกระดาษในมือแล้วแปลเป็นภาษาไทย โดยที่หล่อนคอยพิมพ์ใส่โปรแกรมเวิร์ดในคอมพิวเตอร์ให้

“เปลี่ยนเป็น...”
ว่าแล้วรุ่นพี่ก็ร่ายคำแปลสละสลวยต่อ นี่คืองานพิเศษของหล่อนและเจ้ชม
จริงๆ แล้วงานพิเศษหลังเลิกงานของมณีมัญชุญ์ก็แค่รับจ้างพิมพ์งานต่างๆเท่านั้น หล่อนพิมพ์ดีดได้เร็วมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว เพราะชอบเล่นโปรแกรมแชทต่างๆ สมัยยังเป็นนักศึกษา

...โปรแกรมแชทเหล่านี้แหละที่สร้างเรื่องให้หล่อนต้องมานั่งพิมพ์งานหลังขดหลังแข็งอยู่อย่างนี้

“มะขามกินขนมไหม ยัยเปมี่เอามาฝาก แม่สามีเขาเพิ่งมาจากอเมริกาของฝากเลยเยอะ”

มณีมัญชุญ์หยิบขนมชิ้นเล็กๆ ที่เจ้ชมยื่นให้มาแกะ

ขนมนี้มาจากเปรมสินี เพื่อนสนิทของเจ้ชม ทำงานอยู่เอสไอซีเหมือนกันแต่คนละแผนก เพื่อนคนนี้แต่งงานกับชาวอเมริกันเจ้าของโรงเรียนสอนภาษาอังกฤษ นอกจากนี้โรงเรียนแห่งนั้นยังรับแปลเอกสารอีกด้วย ซึ่งเจ้ชมและหล่อนก็รับงานจากที่นั่นมาแปล คนพิมพ์คือมณีมัญชุญ์คนแปลคือเจ้ชม หล่อนได้หกสิบเปอร์เซ็นต์ขณะที่รุ่นพี่ขอเพียงสี่สิบเปอร์เซ็นต์

เจ้ชมมักบอกว่ามีอะไรก็ช่วยๆ กันไป เรื่องไหนพอหยวนได้ก็หยวน มณีมัญชุจึงซึ้งในน้ำใจรุ่นพี่คนนี้มาก
“มีเยอะเลย มะขามแบ่งไปกินบ้างสิ ฉันกินไม่ไหวหรอก”
แม้น้ำเสียงจะเรียบนิ่ง ไม่ได้ทอดปรานีอย่างอ่อนหวาน แต่หล่อนรู้ว่าเจ้ชมพูดจากใจจริง

กว่าจะแปลงานชุดแรกเสร็จก็เกือบสี่ทุ่ม สองสาวจึงต้มบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปใส่ผักกินกันในห้อง ระหว่างนั้นก็เปิดโทรทัศน์ดูรายการตลกไปด้วย เสียงหัวเราะทำให้มณีมัญชุญ์รู้สึกว่าโลกยังสดใส ดีแล้วที่หล่อนยังมีลมหายใจอยู่...

“หนี้เหลืออยู่เท่าไหร่นะมะขาม”
เจ้ชมถามขณะที่โยนเปลือกเงาะลงในชามบะหมี่ อาหารคาวผ่านไปจึงตบท้ายด้วยผลไม้
“ก็พอสมควรน่ะเจ้”
หล่อนยิ้มปุเลี่ยน มือหยิบเงาะที่ปอกแล้วเข้าปาก

“ของกินที่อยู่ในตู้เย็นน่ะ ถ้าอยากกินอะไรก็หยิบไปกินได้เลยนะ บางอย่างฉันซื้อมาเก็บ ก็กินไม่ทัน”
รุ่นพี่บอกพลางกดรีโมททีวี เลี่ยงไปดูช่องอื่นระหว่างรอรายการตลกที่กำลังโฆษณาอยู่

“ขอบคุณค่ะเจ้”
มณีมัญชุญ์พนมมือไหว้ เจ้ชมของหล่อนได้แต่ยิ้มมุมปาก สำหรับมณีมัญชุญ์แล้ว เจ้ชมดีเสียยิ่งกว่าพี่สาวแท้ๆเสียอีก ห่วงใย ดูแล หางานมาให้ทำเพื่อให้มีรายได้ปลดหนี้จากอดีตแฟนหนุ่ม

มณีมัญชุญ์เคยมีแฟนที่รักกันมาก เคยอาศัยอยู่ด้วยกัน วาดฝันว่าสักวันหนึ่งจะแต่งงานสร้างครอบครัวเล็กๆ หล่อนพบเขาจากการแชทเมื่อสมัยอยู่มหาวิทยาลัย คบกันจนถึงวัยทำงาน อดีตแฟนของหล่อนเป็นเซลล์ขายเครื่องจักรโรงงาน รายได้ดี แต่ใช้เงินมือเติบ เพราะต้องรักษาภาพลักษณ์ที่โก้หรู ต้องผ่อนรถ ผ่อนโน่น ผ่อนนี่

บางคราที่เงินขาดมือก็มาหยิบยืมหล่อนใช้เป็นประจำ มณีมัญชุญ์ก็ให้เขาไปทุกครั้ง แม้ไม่มีเงิน ก็กดจากบัตรกดเงินสดหรือไม่ก็จากบัตรเครดิตมาให้ นานๆเข้าหนี้ก็ยิ่งพอกพูน พอหล่อนทวงเขาก็บ่ายเบี่ยงและพาไปเลี้ยงอาหารค่ำในที่หรูๆ
‘เดี๋ยวผมจะคืนให้แน่น่า มะขามอย่ากังวลไปเลย’
เขาปลอบหล่อนอย่างนี้ทุกครั้ง ดึงความสนใจจากเรื่องสำคัญได้ทุกที

มณีมัญชุญ์กับเขาทะเลาะกันมากขึ้นเรื่องหนี้สิน จนถึงจุดแตกหักในวันหนึ่ง
‘มะขามคุณเป็นคนให้เงินผมเองนะ ผมแค่พูดไปเฉยๆไม่ได้บังคับอะไรคุณเลย’
ได้ยินอย่างนี้เล่นเอาหล่อนพูดไม่ออก แล้วเขาก็ปึงปังออกไปจากห้อง ก่อนที่หล่อนจะรู้ข่าวจากเพื่อนร่วมงานเขาอีกคนว่า

‘แฟนเธอไปมีคนใหม่’
เจ็บเสียยิ่งกว่าเจ็บ เมื่อมณีมัญชุญ์ไปพบเขาที่ทำงาน หล่อนรู้สึกเหมือนตัวตลก ผู้หญิงคนใหม่ของเขามองหล่อนตั้งแต่หัวจรดเท้า ...ผู้หญิงคนนั้นเป็นลูกค้าสำคัญของบริษัทเขา

‘เราเลิกกันเถอะมะขาม เราเข้ากันไม่ได้ ส่วนเรื่องหนี้สิน ผมจะช่วยจ่ายให้’
นี่คือลมปากจากอดีตคนเคยรัก เพราะหลังจากนั้นเขาก็ไม่ส่งข่าว โทร.ไปก็ไม่รับ ไปหาที่ห้องก็ไม่เจอ เขาทิ้งหล่อนไว้ให้เผชิญหน้ากับหนี้สินมากมาย

‘มณีมัญชุญ์เขาลือกันเธอไปตามระรานแฟนเก่าเหรอ’
หัวหน้างานเรียกหล่อนไปพบ พร้อมคำถามที่ฟังดูยังไงหล่อนก็เป็นคนผิด หล่อนเป็นผู้หญิงที่โดนทิ้งแล้วยังไม่ยอมรับสภาพ

‘ถ้าเธอยังไม่เลิกทำอย่างนี้ละก็ มันจะยิ่งลำบากกับตัวเธอเอง’
หลังจากนั้นหล่อนก็โดนบีบให้ออกจากงานเก่า ผู้หญิงคนใหม่ของอดีตแฟนมีอิทธิพลมาก ผู้หญิงคนนั้นไม่ต้องการให้หล่อนอยู่ใกล้อดีตแฟนอีกต่อไป

‘แกน่ะโง่มะขาม ให้ผู้ชายมันหลอกได้ยังไง’
พี่สาวของมณีมัญชุญ์บริภาษ
‘เงินตั้งเยอะตั้งแยะจะเอาที่ไหนไปคืนเขา’
หล่อนปรึกษาพี่สาวเพราะเศร้าจากการที่โดนทิ้ง เสียใจที่ถูกหลอกจากคนที่รักมาก เสียใจจนบางวันไม่อยากตื่นขึ้นมารับความจริง

‘พี่บอกให้กลับมาอยู่ที่บ้านเราก็ไม่เอา สังคมกรุงเทพฯมันอันตรายจะตาย เห็นไหมล่ะแกเลยโดนหลอก’
มณีมัญชุญ์ไม่ต้องการกลับไปใช้ชีวิตอยู่ในกรอบของพ่อแม่

ครอบครัวหล่อนที่ต่างจังหวัดทำกิจการเกี่ยวกับเครื่องสังฆภัณฑ์ พี่น้องทุกคนเรียนและใช้ชีวิตอยู่ภายในจังหวัดนั้นกันทั้งสิ้น มีมณีมัญชุญ์คนเดียวที่เลือกมาเรียนกรุงเทพฯท่ามกลางการคัดค้านของทุกคน

‘ฉันสั่งให้แกกลับมาบ้านเลยนะยัยมะขาม ถ้าไม่อย่างนั้นล่ะก็ฉันจะไม่ช่วยพูดกับพ่อแม่ให้ช่วยแกใช้หนี้’
หล่อนทะเลาะกับพี่สาวยกใหญ่ เพราะต้องการเล่าความอัดอั้นตันใจให้ใครสักคนฟัง ไม่ได้หวังว่าจะให้มาร่วมรับผิดชอบด้วย พี่สาวมักมองหล่อนว่าดื้อดึงอยู่เรื่อย ทั้งๆที่ความจริงแล้วนี่เป็นศักดิ์ศรีเล็กๆที่เหลืออยู่ของหล่อน

ในเมื่อกล้าทำหล่อนก็กล้ารับผิดชอบ หล่อนโง่เองที่เอาเงินไปให้เขา ความรักบังตาจนมองไม่เห็นความเป็นจริง จากนั้นมณีมัญชุญ์ก็ได้งานเป็นคอลเซ็นเตอร์ของเอสไอซี หญิงสาวย้ายมาอยู่หอพักที่ราคาถูกลง และใช้ชีวิตอย่างประหยัดที่สุด แต่กระนั้นเงินก็ยังไม่ค่อยพอใช้

บางครั้งมณีมัญชุญ์ก็อยากจะทำอะไรสักอย่างแก้แค้นอดีตแฟนที่ทำให้หล่อนต้องมาเผชิญกับชีวิตเช่นนี้ แต่คิดอีกทีหล่อนก็ผิดเอง

มณีมัญชุญ์จึงไม่อยากจะประจานความโง่ของตัวเองให้ใครรู้อีกแล้ว เรื่องนี้เป็นบทเรียนสำคัญเรื่องความรักและผู้ชาย

ผู้ชายดีๆ แล้วกลับกลายเป็นคนเลว...ในชีวิตจริงนั้นมี
แต่ผู้ชายเลวๆ ร้ายกาจในตอนแรก แล้วกลายเป็นพระเอกแสนดีในภายหลัง
...คงมีแต่ในนิยายของเจ้ชมเท่านั้นกระมัง

++++++++++++++++

*มาจากความหมายของคำ (ภาษาอาหรับ) “ฮาลาล ฮารอม ตอยยิบ มัสบุฮฺ"ตามคัมภีร์อัล-กุรอาน
ฮาลาล (Halal) แปลว่า อนุมัติ, อนุญาต
ฮารอม (Haram) แปลว่า ห้าม ตรงข้ามกับคำว่า ฮาลาล
ตอยยิบ (Toyyib) แปลว่า ดี มีคุณค่า ปราศจากอันตราย
มัสบุฮฺ (Musbuh) แปลว่า เคลือบแคลงสงสัยว่าฮาลาลหรือฮารอม

**Traffic ในที่หมายถึง ตัวจัดการระบบที่จะแบ่งสายโทรศัพท์ที่เข้ามาไปยังเลขหมายภายในต่างๆ

***share load เป็นลักษณะของคู่สายอัติโนมัติ ที่รันไปตามเลขหมายภายในที่ว่าง

****Route หมายถึงเส้นทางการปล่อยสัญญาณโทรศัพท์




Create Date : 07 มีนาคม 2553
Last Update : 7 มีนาคม 2553 1:19:24 น. 0 comments
Counter : 191 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

จโกระ&ลาชา
Location :
สมุทรปราการ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 7 คน [?]




Something has come and gone,and that it 's all.


free counters
Friends' blogs
[Add จโกระ&ลาชา's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.