|
| 1 | 2 | 3 | 4 |
5 | 6 | 7 | 8 | 9 | 10 | 11 |
12 | 13 | 14 | 15 | 16 | 17 | 18 |
19 | 20 | 21 | 22 | 23 | 24 | 25 |
26 | 27 | 28 | 29 | 30 | |
|
|
|
|
|
|
|
บอลโลกครั้งที่ 14 ที่อิตาลี 1990
Logo ฟุตบอลโลก ปี 1990
Mascot
"อินทรีเหล็ก" คว้าแชมป์โลกสมัยที่ 3
Lothar Matthaeus (L) และ Pierre Littbarski วิงถือถ้วยฟุตบอลโลกรอบสนาม หลังชนะอาร์เจนติน่า 1-0
ศึกฟุตบอลโลก อิตาเลีย 1990 เป็นการกลับมาป้องกันตำแหน่งแชมป์โลกของเหล่าขุนพล" ฟ้า-ขาว" อาร์เจนตินา ภายใต้กุนซือคนเก่า คาร์ลอส บิลาร์โด้ และ "เสือเตี้ย" ดีเอโก้ มาราโดน่า แต่พวกเขากลับช็อกโลกลูกหนังตั้งแต่เกมนัดเปิดสนาม เมื่อเจอทีเด็ดของทีม "หมอผี" แคเมอรูนและเป็นฝ่ายแพ้ 0-1 จากลูกโขกของ ฟรังซัวส์ โอมัม บียิค ในนาทีที่ 65
ยืนฟังเพลงชาติก่อนแข่งนัดชิงชนะเลศ
จากนั้นไฮไลต์ของกลุ่มบี ก็คือการโชว์ลีลาของยอดทีมจากกาฬทวีป เมื่อพวกเขาเดินหน้าเฉือน "ผีดิบ" โรมาเนีย อีก 2-1 และแม้จะโดน รัสเซีย ต้อนยับ 0-4 ในนัดสุดท้าย แต่ก็ยังเข้ารอบด้วยการเป็นทีมอันดับ 1 ของกลุ่มอย่างสง่าผ่าเผย ปล่อยให้ 2 ตัวเต็งอย่าง โรมาเนีย และ อาร์เจนตินา แย่งกันเข้ารอบ และเป็นพลพรรค "ผีดิบ" ที่ตามมาเป็นอันดับ 2 ส่วนแชมป์เก่า "ฟ้า-ขาว" มาในฐานะ อันดับ 3 ที่ดีที่สุด 1ใน 4 ทีม
Andreas Brehme ของเยอรมันยิงจุดโทษชนะอาร์เจนติน่า 1-0 นัดชิงชนะเลิศ
ด้านสถานการณ์ของ "เจ้าภาพ" อิตาลี ในกลุ่มเอ ก็เป็นไปตามความคาดหมาย เมื่อขุนพล "อัซซูรี่" เดินหน้าเก็บชัย 3 นัดรวด พร้อมกับการแจ้งเกิดของ ซัลวาตอเร่ "โตโต้" สคิลลาชี่ เริ่มตั้งแต่เฉือน ออสเตรีย 1-0, เอาชนะ สหรัฐอเมริกา 1-0 และปิดท้ายด้วยการต้อน เชโกสโลวะเกีย 2-0 เข้ารอบเป็นอันดับ 1 โดยไม่เสียสักประตูเดียว ส่วนอันดับ 2 เป็นของ เชโกสโลวะเกีย ที่เก็บชัย 2 นัดแรกอย่างไม่มีปัญหา ด้วยการถล่ม อเมริกา 5-1, ชนะ ออสเตรีย 1-0 ก่อนจะแพ้ อิตาลี ในนัดสุดท้าย
Diego Maradona ถูกกองหลังเยอรมันเตะล้มลง
ส่วนกลุ่มซี ซึ่งมีตัวเต็งอย่าง "แชมป์โลก 3 สมัย" บราซิล เป็นตัวชูโรง กลับมีเรื่องพลิกล็อกเกิดขึ้น เมื่อ คอสตาริกา ซึ่งผ่านเข้ามาเล่นฟุตบอลโลก เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ สร้างปรากฏการณ์แหกด่านผ่านเข้ารอบ 2 อย่างเหลือเชื่อ เมื่อเริ่มต้นด้วยการชนะ สกอตแลนด์ 1-0 และแม้จะแพ้ต่อ บราซิล 0-1 พวกเขาก็ยังเข้ารอบด้วยการเป็นอันดับ 2 เมื่อสอย สวีเดน 2-1 ส่งขุนพล "ไวกิ้ง" ร่วงตกรอบแรกพร้อมสถิติแพ้รวด 3 นัด !!! ส่วน บราซิล ชนะ 3 นัดรวด เข้ารอบ 2 ด้วยการเป็นอันดับ 1 ตามฟอร์ม
น้ำตาของเสือเตี้ยหลังแพ้เยอรมัน 0-1
ตามมาดูเหตุการณ์ในกลุ่มดีกันบ้าง เยอรมัน "รองแชมป์เก่า" กลับมาด้วยฟอร์มที่สุดร้อนแรง โลธ่าร์ มัทเธอุส พาลูกทีมเริ่มต้นด้วยการถล่ม ยูโกสลาเวีย กระจุย 4-1 ก่อนจะบอมบ์ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ หนักขึ้นไปอีก 5-1 และปิดท้ายด้วยการเสมอกับทีมมาแรงอย่าง โคลัมเบีย 1-1 เป็นอันดับ 1 แบบหายห่วงด้วยผลงานซัด 10 เสีย 3 ประตู โดยมี ยูโกสลาเวีย ที่เก็บชัย 2 นัดหลัง ตามมาเป็นอันดับ 2 ส่วน โคลัมเบีย โชคดี เมื่อผลงาน ชนะ 1 เสมอ 1 และ แพ้ 1 นัด ยังดีพอที่จะทำให้เป็นทีมอันดับ 3 ที่ดีที่สุดเช่นกัน ทิ้งให้ฟุตบอลโลกสมัยแรกของ ยูเออี จบลงด้วยการแพ้ 3 นัด โดนไป 11 ประตู
Claudio Caniggia โหม่งลูกผ่านมือ Walter Zenga ผู้รักษาประตูอิตาลี
ทีม "กระทิงดุ" สเปน กลับมาพร้อมความปรารถนาที่จะพิสูจน์ตัวเองอีกครั้ง และแม้จะเริ่มต้นไม่สวยเมื่อทำได้เพียงเสมอกับ อุรุกวัย 0-0 แต่ฟอร์มของ มิเชล กอนซาเลส ก็พาทีมฉลุยเข้ารอบด้วยการเป็นอันดับ 1 ของกลุ่มอี อย่างไม่มีปัญหา เมื่อซัดแฮตทริกในเกมต้อน เกาหลีใต้ 3-1 ก่อนยิงอีก 1 ประตูในเกมเฉือน เบลเยียม 2-1 ส่วนอันดับ 2 เป็นของ "ปีศาจแดงแห่งยุโรป" ขณะที่ อุรุกวัย ได้ประตูชัยในช่วงทดเวลาเจ็บของ ดาเนี่ยล ฟอนเซก้า ในเกมชนะ เกาหลีใต้ 1-0 ส่งให้ทีมผ่านเข้ารอบ 2 ด้วยการเป็นทีมอันดับ 3 ที่ดีที่สุดอีก 1 ทีม
Frantois Omam Biyick ของ Cameroon ขึ้นโหม่งกับ Des Walker ของอังกฤษ โดยมีRoger Milla ยืนมอง และ Trevor Steven
ปิดท้ายรอบแรกด้วยเกมในกลุ่มเอฟ ซึ่งมี อังกฤษ, ฮอลแลนด์ และ ไอร์แลนด์ อยู่ร่วมสายเดียวกัน ก่อนเกมจะหนืดด้วยกันทั้ง 3 ทีม โดยขุนพล "สิงโตคำราม" เข้ารอบด้วยการเป็นอันดับ 1 ด้วยผลงานเสมอกับ ฮอลแลนด์ และ ไอร์แลนด์ ก่อนเก็บชัยนัดสุดท้ายจาก อียิปต์ 1-0 ด้วยประตูโทนของ เอียน ไรท์ ขณะที่ ไอร์แลนด์ และ ฮอลแลนด์ ตามมาเป็นอันดับ 2 และ 3 แม้ท้ายที่สุดจะทำได้เพียงเสมอทั้ง 3 นัดก็ตาม !!!
Lothar Matthaeus ของ Germany และ Ruud Gullit ของ Holland
เกมในรอบ 2 เริ่มด้วยการช็อกวงการลูกหนังอีกครั้งของเหล่าขุนพลแคเมอรูน ที่ต่อเวลาพิเศษเอาชนะ โคลัมเบีย อย่างยอดเยี่ยม 2-1 พร้อมกับการแจ้งเกิดของกองหน้าเสือเฒ่าที่ชื่อ โรเจอร์ มิลล่า ที่เหมาคนเดียว 2 ประตูในนัดนี้ ในวันเดียวกัน เชโกสโลวะเกีย จัดการยำใหญ่ทีม "กล้วยหอม" คอสตาริกา แบบหาทางกลับบ้านไม่ถูก 4-1 โดย 3 ประตูมาจาก โทมัส สคูห์ราวี่ หัวหอกจอมโขก ปิดฉากฝันของตัวแทนจากคอนคาเคฟลงเพียงเท่านี้
Rudi Voeller ของ Germany พูดคุยกับ Hans van Breukelen ผู้รักษาประตูของNetherlands
จากนั้นเป็นศึก "บิ๊กแมตช์" ที่หลายคนอาจจะคิดว่ามันเร็วเกินไปที่ทั้ง 2 ทีมต้องมาพบกัน เมื่อ อาร์เจนตินา เปิดศึกสายเลือดกับ บราซิล ที่ เดลเล่ อัลปิ ก่อนจะจบลงด้วยความพ่ายแพ้อย่างขมขื่นของแข้ง "แซมบ้า" ที่เดินเกมบุกตลอดเกม แต่กลับโดนทีเด็ดของ เคลาดิโอ คานิกเกีย ในช่วง 10 นาทีสุดท้าย ตกรอบอย่างเจ็บปวด ขณะเดียวกันทีม "อินทรีเหล็ก" เยอรมัน ยังเดินหน้าด้วยฟอร์มแรงไม่มีหมด เจอร์เก้น คลิ้นส์มันน์ และ อันเดรียส์ เบรห์เม่ ซัดคนละประตูให้ทีมเฉือนชนะ ฮอลแลนด์ ของ 3 ทหารเสือ มาร์โก แวน บาสเท่น, รุด กุลลิท และ แฟร้งค์ ไรจ์การ์ด 2-1 ฉลุยผ่านเข้ารอบ 8 ทีมสุดท้ายได้สำเร็จ
David Platt ของอังกฤษโหม่งลูกเข้าประตูของทีมCameroon
ที่ เจนัว เป็นศึกเครียดของ "ยักษ์เขียว" ไอร์แลนด์ กับ "ผีดิบ" โรมาเนีย ที่ต้องตัดสินด้วยการดวลจุดโทษ หลังเจาะตาข่ายกันไม่ได้ตลอดเกม 120 นาที ก่อนจะจบลงด้วยชัยชนะอันยิ่งใหญ่ของนักเตะไอริช ที่มาภายใต้การนำทัพของ แจ๊คกี้ ชาร์ลตัน ส่วนเกมที่ โอลิมปิโก้ "เจ้าภาพ" เปิดสนามเชือดนิ่ม "จอมโหด" อุรุกวัย สบายๆ 2-0 โดย สคิลลาชี่ ซัดได้อีก 1 ประตู เดินหน้าล่ารางวัลดาวซัลโวฟุตบอลโลกต่อไป
Omam Biyik ของ Cameroon โหม่งประตูชัยให้ชนะArgentina 1-0 นัดเปิดสนาม
อย่างไรก็ตาม ขุนพลแข้งกระทิงก็ยังพิสูจน์ตัวเองไม่ได้อีกครั้ง เมื่อจอดป้ายแค่รอบ 2 หลังผ่านเกมสุดระทึก ก่อนโดนยอดทีมเทคนิคจากยุโรปตะวันออกอย่าง ยูโกสลาเวีย สอยดิ้น 2-1 ดราแกน สตอยโควิช สร้างชื่อให้ตัวเอง เมื่อซัดให้แข้งสลาฟขึ้นนำไปก่อนในนาทีที่ 77 แต่ ฆูลิโอ ซาลินาส ก็ตามตีเสมอให้ สเปน ได้ในนาทีที่ 83 ก่อน สตอยโควิช จะดับฝันชาวกระทิงด้วยประตูชัย 2-1 ในช่วงทดเวลาเจ็บ 2 นาที !!!
Pedrag Spasic (right) ของ Yugoslavia ดึงเสื้อ Emilio Butragueno (left) ของ Spain
แต่ความคลาสสิกทั้งหมดกลับมาตกอยู่ในเกมนัดสุดท้าย ซึ่งเป็นการดวลแข้งระหว่าง อังกฤษ กับ เบลเยียม เกมดำเนินอย่างสูสีและเต็มไปด้วยความตึงเครียด ทำให้สกอร์ยัง 0-0 เมื่อเกม 90 นาทีจบลง จากนั้นเกมก็ทำท่าว่าจะต้องตัดสินกันด้วยการดวลจุดโทษ แต่ด้วยประตูมหัศจรรย์ ในนาทีที่ 119 ของ เดวิด แพล็ท ที่ลงมาแทน สตีฟ แม็คมาน ก็ส่งให้แข้งจากเมืองผู้ดีผ่านเข้ารอบ 8 ทีมสุดท้ายได้สำเร็จจนได้
Paul Gascoigne ร้องไห้หลังอังกฤษแพ้เยอรมัน 1-2
ผ่านมาถึงรอบ 8 ทีมสุดท้าย "แชมป์เก่า" อาร์เจนตินา ที่ร่อแร่มาตั้งแต่รอบแรก ยังเดินหน้าผ่านเข้ารอบตัดเชือกต่อไป แม้ฟอร์มจะยังกระท่อนกระแท่นก็ตาม หลังโชว์ความแม่นยำของฝีเกือก ดวลจุดโทษเขี่ย ยูโกสลาเวีย ร่วงตกรอบ 3-2 ในเกมที่จบลงด้วยการเสมอกัน 0-0 ตลอด 120 นาที ขณะที่ในคู่ของ อิตาลี กับ ไอร์แลนด์ ต้องขอบคุณประตูชัยในนาทีที่ 37 ของ สคิลลาชี่ เจ้าเก่า ที่ส่งให้ "เจ้าภาพ" และอดีตแชมป์โลก 3 สมัย ผ่านเข้ารอบรองชนะเลิศได้สำเร็จเช่นกัน
Diego Maradona ใส่ชุดบราซิล หลังชนะบราซิล 1-0 ส่วน "อินทรีเหล็ก" เยอรมัน ของ ฟร้านซ์ เบ๊คเค่นเบาเออร์ ที่คราวนี้หมายมั่นปั้นมือว่าจะต้องคว้าแชมป์โลกสมัยที่ 3 ให้ได้ เริ่มมีดวงมาช่วย เมื่อได้ลูกจุดโทษในครึ่งแรกของ "ซูเปอร์แมน" มัทเธอุส พาทีมเฉือนทีมฟอร์มร้อนอย่าง ยูโกสลาเวีย แบบหืดขึ้นคอ 1-0 อย่างไรก็ตาม เกมของขุนพลแข้ง "สิงโตคำราม" ยังคงเป็นไฮไลต์ของทัวร์นาเมนต์ได้อย่างสม่ำเสมอ แม้ว่าคราวนี้คู่แข่งจะเป็นทีมชื่อชั้นอ่อนกว่าอย่าง แคเมอรูน ก็ตาม เกมทำท่าว่าจะเป็นไปตามคาดเมื่อ เดวิด แพล็ท ซัดให้ อังกฤษ นำไปก่อนในนาทีที่ 25 แต่ทีม "หมอผี" มาแรงแซงโค้งซัด 2 ประตูรวดในช่วงเวลาเพียงแค่ 3 นาที คือนาทีที่ 62 และ 65 พลิกกลับเป็นฝ่ายขึ้นนำหน้าตาเฉย ก่อนที่ แกรี่ ลินิเกอร์ จะสวมบทฮีโร่ซัดจุดโทษให้ทีมตีเสมอได้สำเร็จในนาทีที่ 82 ส่งผลให้เกม 90 นาทีจบลงด้วยการเสมอกัน 2-2 ต้องดวลกันต่อในช่วงต่อเวลาพิเศษ และเป็น ลินิเกอร์ คนเดิมที่ซัดจุดโทษให้ อังกฤษ เฉือนหืด 3-2 ผ่านเข้าตัดเชือกท่ามกลางการลุ้นระทึกสุดขีด
Rene Higuita ผูรักษาประตู Colombian
รอบตัดเชือกถือเป็น 4 ทีมยักษ์ใหญ่ล้วนๆ ที่ผ่านเข้ามาได้ โดย "แชมป์เก่า" อาร์เจนตินา จะหักด่านกับ "เจ้าภาพ" อิตาลี ขณะที่อีกคู่เป็นศึกคู่รักคู่แค้นระหว่าง "อินทรีเหล็ก" เยอรมัน กับ "สิงโตคำราม" อังกฤษ ก่อนเกมจะจบลงด้วยการดวลจุดโทษทั้ง 2 คู่ และเป็น อิตาลี กับ อังกฤษ ที่เป็นฝ่ายผิดหวัง นั่นหมายความว่าเกมนัดชิงชนะเลิศ อิตาเลีย 1990 จะเป็นคู่ชิงคู่เดิมที่อัดกันมาอย่างดุเดือดเมื่อปี 1986 ... อาร์เจนตินา กับ เยอรมัน
Taffarel, R. Rocha, M. Galvão, R. Gomes, Jorginho and Branco; Muller, Alemão, Careca, Dunga and Valdo.
ซัลวาตอเร่ สคิลลาชี่ ซัดประตูที่ 5 ให้ อิตาลี ขึ้นนำ อาร์เจนตินา ในนาทีที่ 17 ก่อนจะเป็น คานิกเกีย ที่รับบทฮีโร่ให้ทีม "ฟ้า-ขาว" อีกครั้ง ด้วยการสังหารประตูตีเสมอในนาทีที่ 67 ทำให้เกมต้องมาตัดสินด้วยลูกจุดโทษ และเป็น "แชมป์เก่า" ที่เขี่ยเจ้าภาพด้วยสกอร์ 5-4 หลังชนะจุดโทษ 4-3 เช่นเดียวกับความพ่ายแพ้ของ อังกฤษ เมื่อ ลินิเกอร์ อุตส่าห์ตีเสมอให้ทีมได้ในนาทีที่ 80 แต่ไม่วายดวลเป้าพ่ายอย่างเจ็บช้ำเช่นเดียวกับเจ้าภาพ แถมลูกทีมของ บ๊อบบี้ ร็อบสัน ยังต้องช้ำซ้ำสอง เมื่อแพ้ในการชิงที่ 3 แก่ อิตาลี 1-2 โดยที่ "โตโต้" สคิลลาชี่ ซัดได้อีก 1 ประตู ปิดฉากฟุตบอลโลกของ ตัวเอง ด้วยผลงาน 6 ประตู คว้ารองเท้าทองคำไปครองอย่างยิ่งใหญ่
Braze Branco ของบราซิล นัดพบกับ Scotland
รอบชิงชนะเลิศเป็นการกลับมาพบกันอีกครั้งของ อาร์เจนตินา กับ เยอรมัน แต่เกมที่คาดว่าจะสนุก เนื่องจากมีเบื้องหลังจากศึกฟุตบอลโลก ครั้งที่ผ่านมา กลับกลายเป็นเกมที่เล่นแบบเน้นแท็กติก ต่างฝ่ายต่างกลัวแพ้ เกมดำเนินไปด้วยความตึงเครียด ก่อนจะเป็น อาร์เจนตินา ที่พลาดท่า เสียลูกจุดโทษในนาที่ 85 และ อันเดรียส์ เบรห์เม่ ยอดแบ๊กซ้ายในยุคนั้น รับหน้าที่สังหารผ่านมือ กอยโคเชีย เข้าไปอย่างยอดเยี่ยม พาทีม "อินทรีเหล็ก" คว้าแชมป์โลกสมัยที่ 3 ท่ามกลางน้ำตาของผู้ยิ่งใหญ่อย่าง ดีเอโก้ มาราโดน่า แต่เป็นความสำเร็จของ "ไกเซอร์ลูกหนัง" เบ๊คเค่นเบาเออร์ เมื่อเขากลายเป็นคนที่ 2 ที่สามารถซิวแชมป์โลกมาครองได้ทั้งสมัยเป็นผู้เล่นและโค้ช
ผลงานของบราซิลในฟุตบอลโลก ครั้งที่ 14 ที่ อิตาลี ในปี 1990 แข่ง 4 นัด ชนะ 3 แพ้ 1 เสมอ
Claudio Caniggia ของ Argentina และ RicardoGomez ของ Brazil
นัดแรก Brazil 2 Sweden 1 June 10, 1990 สนาม : Stadio Delle Alpi, Turin คนดู : 62628 คน กรรมการ : Tullio Lanese (Italy) ผุ้ทำประตูให้บราซิล : Careca 40', 63' สวีเดน : Brolin 79'
Thomas Brolin ของสวีเดนดีใจหลังทำประตูบราซิลได้ในนาทีที่ 79
นัดที่ 2 Brazil 1 Costa Rica 0 June 16, 1990 สนาม : Stadio Delle Alpi, Turin คนดู : 58007 คน กรรมการ : Neji Jouini (Tunisia) ผุ้ทำประตูให้บราซิล : Müller 33'
ผู้รักษาประตูCosta Rica พยายามจะคว้าลูกจาก Careca
นัดที่ 3 Brazil 1 Scotland 0 June 20, 1990 สนาม : Stadio Delle Alpi, Turin คนดู : 62502 คน กรรมการ : Helmut Kohl (Austria) ผุ้ทำประตูให้บราซิล : Müller 82'
Mo Johnson ของ Scotland กับ Dunga ของ Brazil
นัดที่ 4 (รอบ16 ทีม) Brazil 0 Argentina 1 June 24, 1990 สนาม : Stadio Delle Alpi, Turin คนดู : 61384 คน กรรมการ : Joel Quiniou (France) ผุ้ทำประตูให้บราซิล : อาร์เจนติน่า : Caniggia 80'
Muller ของ Brazil แย่งบอลกับ Ruggeri ของ Argentina
จำนวนประตู ฟุตบอลโลกครั้งแรกบราซิลยิงไป 5 ประตู เสีย 1 ประตู ฟุตบอลโลกครั้งที่ 2 บราซิลยิงไป 1 ประตู เสีย 3 ประตู ฟุตบอลโลกครั้งที่ 3 บราซิลยิงไป 14 ประตู เสีย 11 ประตู ฟุตบอลโลกครั้งที่ 4 บราซิลยิงไป 22 ประตู เสีย 6 ประตู ฟุตบอลโลกครั้งที่ 5 บราซิลยิงไป 8 ประตู เสีย 5 ประตู ฟุตบอลโลกครั้งที่ 6 บราซิลยิงไป 16 ประตู เสีย 4 ประตู ฟุตบอลโลกครั้งที่ 7 บราซิลยิงไป 14 ประตู เสีย 5 ประตู ฟุตบอลโลกครั้งที่ 8 บราซิลยิงไป 4 ประตู เสีย 6 ประตู ฟุตบอลโลกครั้งที่ 9 บราซิลยิงไป 19 ประตู เสีย 7 ประตู ฟุตบอลโลกครั้งที่ 10 บราซิลยิงไป 6 ประตู เสีย 4 ประตู ฟุตบอลโลกครั้งที่ 11 บราซิลยิงไป 10 ประตู เสีย 2 ประตู ฟุตบอลโลกครั้งที่ 12 บราซิลยิงไป 15 ประตู เสีย 6 ประตู ฟุตบอลโลกครั้งที่ 13 บราซิลยิงไป 13 ประตู เสีย 5 ประตู ฟุตบอลโลกครั้งที่ 14 บราซิลยิงไป 4 ประตู เสีย 2 ประตู
รวมฟุตบอลโลก 14 ครั้ง บราซิลยิงไป 151 ประตู เสีย 67 ประตู
Mo Johnston ของ Scotland กับ Jorghino
จำนวนนัด ฟุตบอลโลกครั้งแรก บราซิลแข่ง 2 นัด ชนะ1 แพ้ 1 เสมอ - ฟุตบอลโลกครั้งที่ 2 บราซิลแข่ง 1 นัด ชนะ - แพ้ 1 เสมอ - ฟุตบอลโลกครั้งที่ 3 บราซิลแข่ง 5 นัด ชนะ3 แพ้ 1 เสมอ 1 ฟุตบอลโลกครั้งที่ 4 บราซิลแข่ง 6 นัด ชนะ 4 แพ้ 1 เสมอ 1 ฟุตบอลโลกครั้งที่ 5 บราซิลแข่ง 3 นัด ชนะ 1 แพ้ 1 เสมอ 1 ฟุตบอลโลกครั้งที่ 6 บราซิลแข่ง 6 นัด ชนะ 5 แพ้ - เสมอ 1 ฟุตบอลโลกครั้งที่ 7 บราซิลแข่ง 6 นัด ชนะ 5 แพ้ - เสมอ 1 ฟุตบอลโลกครั้งที่ 8 บราซิลแข่ง 3 นัด ชนะ 1 แพ้ 2 เสมอ - ฟุตบอลโลกครั้งที่ 9 บราซิลแข่ง 6 นัด ชนะ 6 แพ้ - เสมอ - ฟุตบอลโลกครั้งที่ 10 บราซิลแข่ง 7 นัด ชนะ 3 แพ้ 2 เสมอ 2 ฟุตบอลโลกครั้งที่ 11 บราซิลแข่ง 7 นัด ชนะ 4 แพ้ - เสมอ 3 ฟุตบอลโลกครั้งที่ 12 บราซิลแข่ง 5 นัด ชนะ 4 แพ้ 1 เสมอ - ฟุตบอลโลกครั้งที่ 13 บราซิลแข่ง 5 นัด ชนะ 4 แพ้ 1 เสมอ - ฟุตบอลโลกครั้งที่ 14 บราซิลแข่ง 4 นัด ชนะ 3 แพ้ 1 เสมอ -
รวมฟุตบอลโลก 14 ครั้ง บราซิลแข่ง 65 นัด ชนะ 44 แพ้ 12 เสมอ 10
Glen Stranberg ของ Sweden กับ Careca ของ Brazil
TOPSCORERS Salvatore Schillaci (ITA) 6 goals Tomas Skuhravy (CZE) 5 goals Michel (SPA) 4 goals Roger Milla (CMR) 4 goals Gary Lineker (ENG) 4 goals Lothar Matthäus (GER) 4 goals David Platt (ENG) 3 goals Andreas Brehme (GER) 3 goals Rudi Völler (GER) 3 goals Jürgen Klinsmann (GER) 3 goals
Branco ของ Brazil กับ Stuart McKimmie ของ Scotland
VARIOUS STATISTICS Number of games 52 Total Goals scored 115 Average per game 2,21 Own goals none Total attendance 2,517,348 Average attendance 48,411
Jim Leighton ผู้รักษาประตูของ Scotland กับ Claudio Taffarel ผู้รักษาประตู Brazil
Create Date : 04 พฤศจิกายน 2549 |
|
4 comments |
Last Update : 25 มิถุนายน 2551 15:38:56 น. |
Counter : 3441 Pageviews. |
|
|
|
|
| |
โดย: Liverpool Forever IP: 203.150.116.97 6 พฤศจิกายน 2549 16:23:21 น. |
|
|
|
| |
โดย: Liverpool Forever IP: 203.150.116.97 6 พฤศจิกายน 2549 16:28:56 น. |
|
|
|
| |
โดย: Jukgapong IP: 57.59.27.60, 57.59.27.60, 202.122.130.31 23 มิถุนายน 2553 16:43:20 น. |
|
|
|
| |
โดย: David IP: 110.168.251.39 23 มิถุนายน 2555 3:19:42 น. |
|
|
|
|
|
|
|
Location :
เชียงใหม่ Thailand
[ดู Profile ทั้งหมด]
|
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember ผู้ติดตามบล็อก : 11 คน [?]
|
อังกฤษเป็นชาติที่เริ่มเล่นฟุตบอล แต่บราซิลเป็นชาติที่สอนการเล่นฟุตบอล
มีคำพูดธรรมดาๆประจำฟุตบอลโลกอยู่ประโยดหนึ่งว่า"ฟุตบอลโลกที่ไม่มีบราซิล ก็ไม่ใช่ฟุตบอลโลก"
จะจริงเท็จประการใด แฟนบอลทั่วโลกยังไม่เคยทราบ เพราะที่ผ่านมา 20 ครั้ง และครั้งที่ 21 ในปี 2018 บราซิลยังคงได้เข้ามาเล่นรอบสุดท้ายอิกครั้ง ในฐานะเจ้าภาพ
ผมยังนึกไม่ออกว่าหากบราซิลไม่สามารถผ่านเข้ามาเล่นในรอบสุดท้ายของฟุตบอลโลก ฟุตบอลโลกในปีนั้นจะขาดอะไรไปบ้าง....มนต์ขลังลีลาแซมบ้า. สีเขียว-เหลืองที่แต่งแต้มฟุตบอลโลกทุกครั้งเสมอมา หรือกองเชียร์ที่แต่งองค์ทรงเครื่องกันมา น้องๆขบวนพาเหรดงานคานิวัล ผมว่าคงไม่เกิดขึ้นในรุ่นของผมนะครับ
|
|
|
|
|
|
|
เพราะลงตัวไปหมด
เล่นบอลถ้วยใหญ่ๆ ผลงานดีมากๆๆแทบทุกครั้ง
ตั้งแต่บอลโลก 86 ที่เข้าชิง
ยูโร 88 ที่ไปแพ้แชมป์ฮอลแลนด์แบบสนุก
บอลโลก 90 ที่ได้แชมป์และเอาคืนฮอลแลนด์ได้
ส่วนยูโร 92 ก็ผลงานเยี่ยมเช่นกัน และไปคว้าแชมป์ยูโร 96 ที่อังกฤษอีก