[TravelHolic #11] " Let's go South " หลงเสน่ห์ทะเลพังงา ตอน 2 เที่ยวสนุกแบบสบายๆไม่ไปถือว่าผิด!!

สวัสดีครับ ช่วงนี้เจอกันบ่อยหน่อยอย่าเพิ่งเบื่อกันนะฮะ

วันนี้ผมจะพาไปเที่ยวจังหวัดพังงากันอีกรอบเป็นตอนที่สองครับ เป็นการไปเที่ยวพังงาในรูปแบบแฟมฯทริปโดยมีคนจาก ททท.พังงาเป็นคนพาเที่ยว ครั้งนี้เป็นครั้งที่สองที่ผมมีโอกาสกลับไปเที่ยวพังงาในรอบ 2 เดือนแต่เป็นการไปเที่ยวกันเองสองคนกับคุณภรรยาฮะ

ทริปนี้จะเป็นทริปที่ค่อนข้างต่างจากทริปแรก เพราะผมต้องเช่ารถขับเอง วางแผนการเดินทางเอง อยากให้คนที่ได้ชมรีวิวแล้วสนใจมาเที่ยวพังงาได้ตามมาเที่ยวกันแบบสบายๆได้เลย ไม่พูดมากแล้วฮะไปชมกันดีกว่าว่าระยะเวลา 4 วัน 3 คืนที่ผมได้ไปเยือนพังงาผมไปเที่ยวอะไรกันมาบ้าง



ทริปนี้ผมเดินทางโดยสารการบินแอร์เอเชียครับ เป็นทริปที่เกิดขึ้นเมื่อต้นเดือนที่แล้วนี้เอง ค่อนข้างแปลกใจที่คนเชคอินน้อยผิดปกติ แต่จริงๆผมก็ทำเชคอินผ่านเวปของแอร์เอเชียมาก่อนทุกครั้งอยู่แล้ว ตัดปัญหาเรื่องคิวช้า



การเดินทางไปจังหวัดพังงาทางอากาศมีให้เลือก 2 ทางเลือกครับ นั่นคือไปลงที่สนามบินนานาชาติภูเก็ต หรือไม่อย่างนั้นก็ไปลงที่สนามบินกระบี่ ซึ่งผมว่าลงภูเก็ตค่อยข้างที่จะสะดวกกว่าพอสมควร







เห็นหลายๆรีวิวบอกว่าข้าวไก่ต้มเค็มสูตรคุณเล็กคาราบาวอร่อย ตอนเช็คอินเลยสั่งล่วงหน้าเอาไว้ลองทานดู หน้าตาอาจจะไม่เหมือนในรูปแต่ทานแล้วก็รสชาติดีทีเดียวครับ ไก่เนื้อแน่นรสไม่เค็มมากติดเปรี้ยวนิดๆเผ็ดหน่อยๆกำลังดีเลย



ส่วนของหวานมาสั่งทานบนเครื่องฮะ เป็นข้าวเหนียวมะม่วง อร่อยสมคำร่ำลืออีกแล้ว สรุปขาไปเที่ยวนี้อิ่มบนเครื่องเลย ฮ่าๆ



เนื่องจากไม่ได้นั่งริมหน้าต่างเพราะฉะนั้นทริปนี้ก็เลยไม่มีรูประหว่างการเดินทางให้ชมตามปกตินะจ๊ะ

เมื่อมาถึงสนามบินภูเก็ตก็ไปรับรถเช่ากันก่อน เคยรีวิวเอาไว้ครั้งนึงแล้วว่ารถเช่าของ Thai Rent A Car มีสำนักงานที่เราต้องไปติดต่ออยู่ภายในอาคารผู้โดยสารชั้น 1 รับกระเป๋าเสร็จเดินออกมาทางซ้ายก็เจอเลยครับ



ช่วงนี้เห็นมีป้ายบอกโปรโมชั่นอยู่ด้วยราคาใช้ได้เลยทีเดียวสำหรับรถเล็กสนใจก็ลองโทรไปสอบถามหรือหาข้อมูลในอินเตอร์เน็ตกันดูนะครับ

เซ็นต์เอกสารเสร็จก็ออกไปเช็คสภาพรับรถกันฮะ




หลังจากรับรถเรียบร้อยเราก็เดินทางกันต่อไปยังตัวจังหวัดพังงาเป็นจุดหมายแรกฮะ

ระยะทางจากสนามบินภูเก็ตไปจังหวัดพังงาน่าจะไม่เกิน 70 กิโลเมตรครับ พังงาเป็นจังหวัดที่อยู่เหนือภูเก็ตฮะ ขับรถข้ามสะพานสารสินมาก็เข้าเขตจังหวัดพังงาแล้ว ขับรถชิลๆมาตามทางหลวงหมายเลข 4 (เพชรเกษม) เกือบๆชั่วโมงก็ถึงฮะ เมื่อมาถึงตัวจังหวัดพังงาก็จะได้พบกับวิวแบบนี้



จุดแรกที่จะแวะกันเป็นร้านขายหมูสะเต๊ะเจ้าดังของจังหวัดพังาที่เปิดขายกันมาหลายสิบปีแล้วครับ ร้านนี้ชื่อว่า "หมูสะเต๊ะเมืองพังงาคุณทิพย์"



ร้านนี้หาไม่ยากครับอยู่บนถนนเส้นหลักเลยฮะ ให้สังเกตโรงเรียนสตรีจังหวัดพังงาทางด้านซ้ายเอาไว้ เมื่อถึงโรงเรียนแล้วขับรถเลยไปอีกซัก 2-3ร้อยเมตรก็ถึงครับ

จริงๆแล้วที่ร้านไม่ได้ขายแค่หมูสะเต๊ะอย่างเดียวนะครับ นอกจากหมูแล้วยังมีไก่ กุ้ง และที่เด็ดคือไส้กับตับหมูด้วย



สั่งปุ๊บก็ปิ้งกันใหม่ๆปั๊บเลย เสียดายมากที่ไปถึงแล้วไส้กะตับหมดเลยสั่งที่เหลือคือ หมู ไก่ กุ้งมาทาน



สนนราคาหมู ไก่ และเครื่องในราคาไม้ละ 6 บาท ส่วนกุ้งไม้ละ 12 บาทจ้า มีขายทั้งแบบเป็นชุด หรือจะสั่งอะไรเท่าไหร่ก็ได้เลยฮะ อย่าลืมสั่งขนมปังปิ้งมาทานเป็นเครื่องเคียงกับน้ำอาจาดด้วยนะฮะ รวมๆผมว่าอร่อยทีเดียวนะทานเปล่าๆไม่ต้องจิ้มผมว่าก็อร่อยแล้ว ถ้าจิ้มน้ำจิ้มแล้วทานอาจาดตามยิ่งอร่อยเข้าไปใหญ่



ทานอิ่มกันแล้วก็ไปเที่ยวกันต่อเลยยยย

เราย้อนเส้นทางกลับมาทางถนนเพชรเกษมกันฮะ ย้อนมาจนถึงสามแยกวังหม้อแกง ให้เลี้ยวซ้ายตามเส้นทางหมายเลข 415 (พังงา-ทับปุด) ขับรถตรงมาอีกไม่เกิน 5 นาทีจะเจอกับสถานที่ท่องเที่ยวอีกแห่งของจังหวัดพังงา ที่นี่ชื่อ " แดรี่ฮัท ฟาร์ม " ครับ



ที่นี่เปิดเป็นฟาร์มเพื่อการท่องเที่ยวแห่งแรกและแห่งเดียวในภาคใต้ครับ ด้านในจะมีร้านอาหารและฟาร์มแกะและอัลปาก้าเอาไว้ให้เข้าชม ค่าเข้าชมราคา 80 บาท





ตั๋วเข้าชมเอามาแลกหญ้าให้อาหารแกะในฟาร์มนี้ได้ครับ นอกจากนี้ยังมีพวกเครื่องเล่นที่เสียค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมอีกนิดหน่อยครับ



พื้นที่กว้างขวางฮะอยู่ติดกับภูเขาเลย แต่แดดค่อนข้างร้อนไปหน่อยถ้ามาช่วงเย็นๆน่าจะโอเคกว่านี้ ที่นี่เปิดให้บริการตั้งแต่ 10 โมงเช้าจนถึง 1 ทุ่มตรงทุกวันนะครับ



หลังจากเที่ยวที่แรกกันแล้ว จุดหมายต่อไปหลายๆคนรู้จักกันดีครับ เราขับรถย้อนกลับมาทางแยกวังหม้อแกงอีกครั้งแต่คราวนี้เราเลี้ยวซ้ายมาตามถนนเพชรเกษมไปอีกนิดฮะ เมื่อเจอสามแยกให้เลี้ยวไปตามถนนหมายเลข 4144 เพื่อไปยังท่าเรืออ่าวพังงา แน่นอนครับเราจะไปเที่ยว "อ่าวพังงา" กัน

ขับรถจากสามแยกเข้ามาประมาณแค่ 4 กิโลก็จะถึงท่าเรือท่าด่าน ตรงนี้เราสามารถแวะสอบถามราคาจากซุ้มท่าเรือต่างๆที่เปิดให้บริการอยู่ได้ (จริงๆเค้าเห็นเราขับรถเข้าไปเค้าก็เดินออกมาโบกรถกันใหญ่แล้วครับ) เรือนำเที่ยวจะมีหลากหลายแบบครับ แต่แบบธรรมดาที่เรานั่งก็เป็นเรือที่นั่งได้ประมาณ 10 กว่าคนแล้ว ผมไปกัน 2 คนเหมาเรือได้ราคา 1300 บาทครับ ถ้าไปกันไม่ถึง 5 คนไม่ควรเหมาเกิน 1500 บาทนะครับ ราคานี้สามารถต่อรองได้แล้วแต่ความสามารถของคนคุยจ้า

เมื่อตกลงราคา จ่ายเงินเรียบร้อยก็ขึ้นเรือกันเลย ส่วนรถเราก็จอดไว้ที่ท่าเรือนั่นล่ะครับมีคนคอยดูให้ไม่ต้องห่วง



การเที่ยวชมอ่าวพังงาโดยปกติจะใช้เวลาในการนั่งเรือชมความสวยงามประมาณ 2-3 ชั่วโมงครับแล้วแต่ว่าแต่ละที่เราจะใช้เวลาแวะชมนานขนาดไหน โดยจะมีไฮไลท์ให้แวะชมอยู่ประมาณ 4-5 จุด ตามผมไปดีกว่าฮะ

นั่งเรือออกจากท่าเรือมาเรื่อยๆก็จะเริ่มเห็นว่าคลองเริ่มกว้างขึ้นและจะเริ่มออกปากอ่าวกันแล้ว



วิวข้างทางด้านซ้ายจะเป็นป่าชายเลน ส่วนด้านขวาจะเป็นเขาหินปูนใหญ่โตรูปร่างแปลกตาสูงตระหง่านอยู่ริมน้ำ



นั่งเรือเพลินๆไม่นานนักคนขับก็เบาเรือและบอกเราให้ดูไฮไลท์แรกกัน เขาหินรูปร่างแปลกตาจินตนาการได้ตามแต่จะนึกคิด แต่มีคนตั้งชื่อไว้ให้ว่า "เขาหมาจู" 



เมื่อเรือแล่นออกปากอ่าวมาได้นิดเดียวก็จะเจอกับหมู่บ้านกลางน้ำที่มีชื่อเสียงไปทั่วโลก ที่นี่คือ " เกาะปันหยี " ซึ่งเราจะยังไม่แวะเที่ยวกันครับ



จุดหมายที่เราจะไปดูต้องเลยไปอีกนิด



ถึงแล้วครับ " ถ้ำลอด " ถ้ำลอดเป็นความมหัศจรรย์ทางธรรมชาติที่ช่างสรรค์สร้างฮะ 



เขาหินปูที่ทะลุถึงกันทำให้เกิดช่องขนาดใหญ่บนพื้นน้ำ ทำให้เรือเล็กๆสามารถลอดผ่านถ้ำได้





ถ้ามากันเป็นทัวร์เรือใหญ่ๆ ก็จะปล่อยให้ลงเรือแคนูพายลอดถ้ำกันฮะ





พอผ่านถ้ำลอดไปแล้วก็ไปจุดหมายต่อไปฮะ อันนี้เป็นไฮไลท์ระดับโลกที่ไม่ควรพลาดเมื่อมาเที่ยวอ่าวพังงาเลยนั่นก็คือ " เกาะตะปูและเขาพิงกัน "



เกาะตะปู ชาวโลกรู้จักกันในนามเกาะเจมส์บอนด์เนื่องจากเคยถูกใช้เป็นฉากในหนังเจมส์บอนด์สายลับ 007 ภาคนึงเมื่อปี 2517 (ผมยังไม่เกิดเลย) 





ผมเองเคยมีโอกาสได้มาเที่ยวในช่วงเด็กๆอยู่หลายครั้งตั้งแต่ยังให้เรือเข้าไปเทียบหาดทางฝั่งเกาะตะปูได้อยู่เลย จนครั้งสุดท้ายมาครั้งนั้นจำได้ว่ามีการเปลี่ยนท่าเรือให้ขึ้นเกาะไปอยู่ด้านข้างเพื่อไม่ให้คลื่นจากเรือที่มีมาเยือนเกาะวันละเป็นร้อยๆลำมากระทบและกัดเซาะเกาะตะปู เสียดายช่วงที่ผมไปเป็นช่วงน้ำขึ้นฮะ ทำให้เห็นรูปตะปูไม่ค่อยชัดเจนนัก



ส่วนอีกหนึ่งไฮไลท์บนเกาะเรียกว่า " เขาพิงกัน " ครับ เป็นเขาหินปูนที่แยกตัวออกจากกัน แต่เป็นการแยกแบบพิเศษเหมือนกับถูกใครเอามีดคมๆมาเฉือนเอาไว้ แต่พอแยกตัวออกจากกันทั้งสองส่วนก็ยังคงพิงกันทำให้เกิดช่องหินลักษณะแปลกตากับผู้ที่มาเที่ยวเป็นอย่างมากฮะ



นอกจากนี้บริเวณอ่าวพังงายังมีเกาะแก่งอีกมากมายอยู่จนหลายๆคนเรียกว่าป่าเกาะ



เราจะกลับไปที่เกาะปันหยีกันอีกครั้งครับ เกาะปันหยีเป็นชุมชนที่เกิดขึ้นมานานมากกว่า 200 ปีแล้วฮะ โดยประวัติเล่ากันมาว่ามีชาวอินโดนีเซีย 3 ครอบครัวอพยพหาถิ่นที่อยู่ใหม่จนมาพบกับเกาะแห่งนึงที่มีความอุดมสมบูรณ์สามารถที่จะลงหลักปักฐานได้ก็เลยปักธงแสดงสิทธิ์ความเป็นเจ้าของเอาไว้ คำว่าปันหยีเป็นภาษาอินโดฯ แปลว่า ธง นั่นเอง



ชุมชนบนเกาะมีประมาณ 300 หลังคาเรือน ส่วนใหญ่ประกอบอาชีพประมงพื้นบ้าน ทำของที่ระลึกขาย ทำร้านอาหาร แน่นอนว่าคนในชุมชนเป็นชาวมุสลิม เห็นเป็นเกาะแบบนี้ที่จริงเกาะปันหยีมีพื้นดินอยู่ประมาณ 1 ไร่นะครับ แต่ได้ถูกสร้างเป็นมัสยิดและกุโบร์หรือที่ฝังศพของชาวบ้านไปหมดแล้ว ชุมชนที่นี่จึงเป็นเหมือนชุมชนกลางน้ำที่ใหญ่โตมากๆฮะ

พูดมาซะเยอะ ไม่มีอะไรครับ แค่อยากบอกว่าบนเกาะปันหยีมีโฮไลท์ที่ดังระดับโลกอีกหนึ่งอย่างเช่นกันนั่นคือ " สนามฟุตบอลลอยน้ำ " แถมมีทีมชื่อปันหยี FC ด้วยนะครับ เนื่องจากชาวบ้านและเด็กๆที่นี่อยากมีที่ออกกำลังกายโดยเฉพาะสนามฟุตบอลที่ไม่รู้ว่าจะไปเอาพื้นที่ตรงไหนเตะกันได้เลยเกิดไอเดียในการทำสนามฟุตบอลลอยน้ำนี้ขึ้นมาฮะ



ใช้เวลาพอสมควรก็ได้เวลากลับท่าเรือกันครับ 



แต่ยังมีอีกหนึ่งไฮไลท์ที่น่าสนใจที่เรายังไม่ได้แวะกันก็คือ " ภาพเขียนสีโบราณ " ถ้าเราได้มาเที่ยวอ่าวพังงาเราจะสังเกตได้ว่าลักษณะของเกาะแก่งต่างๆจะถูกคลื่นลมซัดจนเป็นโถงถ้ำเล็กๆอยู่ทั่วไปหมด ชาวเรือสมัยก่อนใช้ช่องโถงเล่านี้เป็นที่หลบมรสุมในเวลาเดินเรือ ภาพเขียนสีที่ปรากฎอยู่บริเวณอ่าวพังงาถูกสันนิษฐานว่าชาวเรือในสมัยก่อนเขียนเอาไว้ รูปที่เขียนก็จะเป็นพวกคนและสัตว์ชนิดต่างๆมากมาย โดยกรมศิลปากรเคยสำรวจแล้วพบว่าน่าจะมีอายุมากกว่า 3000 ปีเลยทีเดียวฮะ



นับเป็นอีกหนึ่งสถานที่ที่น่าสนใจเมื่อมาเที่ยวจังหวัดพังงามากๆนะครับ ถ้าพอมีเวลาและโอกาสอยากให้แวะมาเที่ยวอ่าวพังงากันฮะ อ้อ.. อ่าวพังงาเป็นอุทยานแห่งชาติด้วยนะครับ



การได้มาเที่ยวแบบนี้ ได้เห็นสีหน้าและรอยยิ้มของคนข้างๆดูแล้วมีความสุขครับ





หลังจากใช้เวลาพอสมควรในการเที่ยวอ่าวพังงาก็ได้เวลาเข้าที่พักกันแล้วฮะ คืนแรกนี้เราพักกันที่ " บ่อแสน วิลล่า แอนด์ สปา " ครับ

โรงแรมนี้อยู่บนถนน 415 หรือเส้นเดียวกับแดรี่ฮัทฟาร์มที่พาไปเที่ยวมาก่อนหน้านี้ แต่ต้องขับรถเลยไปอีกสิบกว่ากิโลเมตรครับ โรงแรมนี้มีพื้นที่ค่อนข้างใหญ่มากทีเดียวครับ ห้องพักทั้งหมดมี 49 หลังเป็นห้องแบบพูลวิลล่า มีแบบ 1 2 และ 3 ห้องนอน รายล้อมอยู่รอบๆลากูนครับ







ในวิลล่าแบ่งออกเป็นสองอาคารโดยมีสระว่ายน้ำขนาดกลางอยู่ตรงกลางครับ เปิดประตูเข้าไปก็จะเจอส่วนของห้องนั่งเล่นและห้องอาหารก่อน สามารถทำอาหารในห้องนี้ได้ด้วยนะครับ



อีกอาคารเป็นส่วนของห้องนอนมีเตียง King Size และห้องน้ำขนาดใหญ่อยู่ ในห้องนอนจะไม่มีทีวีนะครับ แต่จะมีชุดเครื่องเสียงไว้ให้ชุดนึง



โรงแรมน่าพักนะครับ ผมว่าค่อนข้างจะเหมาะกับการมาพักเป็นหมู่คณะหรือมาสัมมนาทำกิจกรรมต่างๆเนื่องจากพื้นที่ของโรงแรมใหญ่และร่มรื่นมากครับ ข้อเสียที่ผมเห็นอย่างเดียวคือเรายังต้องซื้ออินเตอร์เน็ตเพื่อใช้ในห้องพักอยู่ครับ

ช่วงเย็นผมไปทานอาหารกันที่บ้านบางพัฒน์ครับ จริงๆเราเคยมาที่นี่ครั้งนึงแล้วเมื่อคราวมาพังงาครั้งก่อน แต่เห็นว่าบ้านบางพัฒน์ไม่ไกลจากบ่อแสน วิลล่า ที่เราพักเท่าไหร่นักก็เลยขับรถมาทานกันอีกครั้ง

บ้านบางพัฒน์เป็นหมู่บ้านท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ครับ นอกจากเป็นที่อยู่ของชาวบ้านแล้วยังมีโฮมสเตย์และร้านอาหารอีกหลายแห่งด้วย การเดินทางถ้ามาจากแยกวังหม้อแกงจะมีระยะทางมาถึงทางเข้าบ้านบางพัฒน์ประมาณ 10 กิโลเมตรสังเกตง่ายๆถ้าถึงวัดเขาเฒ่าแสดงว่าถึงทางเข้าแล้วฮะ เมื่อเลี้ยวเข้าไปตามป้ายบ้านบางพัฒน์ต้องขับรถเข้าไปอีกประมาณ 10 กิโลเมตรตามทางเล็กๆผ่านหมู่บ้านเข้าไปจนสุดทางก็ถึงครับ





วันนี้เปลี่ยนบรรยากาศเลือกทานร้านเรือแพบางพัฒน์ครับ อาหารทุกร้านแถวนี้จะมีให้เลือกทานในแบบ Buffet ด้วยนะครับ หรือจะเลือกสั่งเองเป็นจานๆไปก็ได้เช่นกัน



วันนี้ผมเลือกทานแบบสั่งเองฮะ อย่างแรกเป็นปูม้านึ่ง กิโลละ 300 บาทสดมากเลยฮะ



ปูนิ่มทอดกระเทียมพริกไทย (180 บาท)



และปลากะพงนึ่งมะนาว (300 บาท)



ราคาอาหารก็ไม่ถูกไม่แพงหรอกครับ แต่รสชาติใช้ได้ที่สำคัญอาหารสดมากฮะ

ตัดมาที่เช้าอีกวันครับ วันนี้เราไม่ได้ทานอาหารเช้าที่โรงแรม แต่เลือกที่จะเช็คเอ้าท์ออกมาทานกันในตัวเมืองพังงากันฮะ ร้านนี้เป็นร้านที่มีคนแนะนำให้มาทานเป็นร้านก๋วยเตี๋ยวที่ชื่อว่า " บะหมี่ตลาดขวาง " ร้านจะอยู่ตรงบริเวณที่เค้าเรียกกันว่าตลาดขวางอยู่สุดตัวเมืองพังงาเลยครับ สังเกตง่ายๆถ้าขับรถผ่านตัวเมืองพังงาจนถึงวัดประชุมโยธีให้เลี้ยวขวาเข้าซอยเล็กๆหรือไม่ก็หาที่จอดรถแถวๆนั้นเลยครับ แล้วเดินเข้าซอยไปนิดเดียวก็ถึงร้าน



ร้านนี้ขายมานานร่วมๆ 40 ปีแล้วครับเป็นร้านบะหมี่-เกี๊ยว ที่มีขาหมู หมูแดง และลูกชิ้นปลา ร่วมถึงข้าวขาหมูและข้าวหมูแดงฮะ ที่แนะนำเลยต้องเป็นบะหมี่เกี๊ยวขาหมูฮะ ที่สำคัญร้านนี้ขายแบบแห้งเท่านั้นนะครับ แต่จะมีซุปกระดูกหมูให้ซดอีกถ้วยนึงครับ 





ร้านจะเปิด 9.30 - 15.30 น.ทุกวัน จะปิดวันอาทิตย์วันนึงครับ

ทานเสร็จเราจะเดินทางกันต่อไปยังอำเภอตะกั่วป่ากันครับ โดยเราจะใช้เส้นทาง 4090 หรือขับรถจากร้านบะหมี่ตลาดขวางต่อไปอีกพักนึงจนเห็นแยกที่มีป้อมตำรวจอยู่ให้เลี้ยวซ้ายแล้วขับตรงไปเรื่อยๆ ซึ่งจริงๆมันก็เป็นเส้นทางไปน้ำตกโตนปริวรรตในทริปพังงาทริปแรกนั่นเอง

เส้นทางสายนี้จะเป็นถนนสองเลนรถวิ่งสวนกัน มีผ่านป่าเขาและทางชันบ้างเล็กน้อยแต่ระหว่างทางวิวสวยงามครับ ผมแวะถ่ายรูปอยู่หลายใบเหมือนกัน





ขับรถตามป้ายมาเรื่อยๆจากตัวเมืองพังงาใช้เวลาประมาณชั่วโมงนึงก็ถึงตะกั่วป่าครับ

ตะกั่วป่าเป็นอำเภอหนึ่งใน 8 อำเภอของจังหวัดพังงา เป็นเมืองเก่าในอดีตที่เคยมีความเจริญรุ่งเรืองมาก เนื่องจากเป็นเมืองท่าจอดเรือ เป็นศูนย์กลางการค้าขาย เป็นทางลัดที่ใช้ขนถ่ายสินค้าข้ามฝั่งจากทะเลอันดามันไปอ่าวไทย เป็นเมืองเศษฐกิจที่มีเหมืองดีบุกผลิตได้มากที่สุด คนสมัยก่อนเรียกชื่อว่าเมือง " ตะโกลา " ปัจจุบันถูกลดฐานะจากจังหวัดเป็นอำเภอนึงในจังหวัดพังงาครับ

มาถึงเมืองตะกั่วป่าต้องแวะร้านนี้กันก่อนครับ " ร้านกาแฟตะกั่วป่าโปสการ์ด " ร้านนี้อยู่หลังสถานีบขส.ตะกั่วป่าครับ



เป็นร้านที่ขายกาแฟและของที่ระลึกจากเมืองตะกั่วป่ารวมถึงโปสการ์ดสวยๆที่สามารถเขียนและส่งที่ร้านได้เลยครับ




แวะทานกาแฟกันไปแล้วก็ไปกันต่อครับ ตะกั่วป่าจะมีเมืองอยู่ 2 แห่งครับคือตัวเมืองปัจจุบันและตัวเมืองเก่าที่อยู่ห่างออกไปประมาณ 7 กิโลเมตร เราจะไปเที่ยวตัวเมืองเก่ากันก่อนครับ



เมืองเก่าตะกั่วป่าหรือเมืองตะโกลา ในอดีตเป็นเมืองศูนย์กลางการค้าขายและมีเศรษฐกิจที่รุ่งเรืองตึกรามบ้านช่องยังคงถูกอนุรักษ์เอาไว้ในสภาพเดิมๆ เมื่อได้มาเห็นตึกเก่าสไตล์ชิโนโปรตุกีสกลิ่นไอความเจริญจากอดีตทำให้เราหวนคิดว่าเมื่อก่อนที่นี่คงเจริญไม่น้อยกว่าภูเก็ตเลยทีเดียว วิถีชีวิตความเป็นอยู่ต่างๆของเมืองเก่าตะกั่วป่ายังคงเดินไปแบบช้าๆ นี่เป็นมนต์เสน่ห์ที่น่ามาสัมผัสครับ













จวนเจ้าเมืองตะกั่วป่า ร่องรอยในอดีตที่ยังพอหลงเหลือให้เราได้เห็นกันแม่จะผ่านมาหลายๆร้อยปีแล้วก็ตาม 



ที่พลาดไม่ได้คือของฝากจากเมืองเก่าตะกั่วป่าไม่ว่าจะเป็นขนมหมั่วหลาว เทียนเฮง (งาพอง) ขนมเต้าส้อ และขนมผิงโบราณ (ช่วงที่ผมไปหยุดขาย)



ปล.ทุกวันอาทิตย์เวลาบ่ายสามถึงหนึ่งทุ่มจะมีถนนคนเดินจัดบริเวณถนนศรีตะกั่วป่าอีกด้วยนะครับ เสียดายที่ผมไปไม่ตรงวัน

ก่อนกลับก็ถ่ายภาพกันไว้เป็นที่ระลึกซะหน่อย



บ่ายแล้วเริ่มหิว ขับรถกลับมาที่ตัวเมืองตะกั่วป่ากันอีกครั้งครับ ที่ตะกั่วป่ามีร้านผัดไทยดังอยู่ร้านนึงครับชื่อว่า " ผัดไทยใจเย็นเย็น " แค่ชื่อก็บอกอยู่ในตัวแล้วว่าจะทานต้องใจเย็นๆ แต่ผมโชคดีที่ไปแล้วไม่ค่อยมีลูกค้าสงสัยเพราะบ่ายแล้วเลยไม่ต้องรอนาน ร้านนี้อยู่ถนนทางเข้าบ้านพรุเตียวฮะ ถ้ามาจากตัวเมืองตะกั่วป่าขับรถมาจนสุดทาง 4 เลนจนเป็นทางรถวิ่งสวนเลนขับมาซัก 200-300 เมตรให้เลี้ยวขวาขับมาอีกนิดเดียวก็เจอร้านครับ



รสชาติผัดไทยก็ใช้ได้ครับ แต่ส่วนตัวผมว่าผัดไทยกรุงเทพฯอร่อยๆกว่ายังมีเยอะครับ

ทานกันเบาๆฮะเพราะจะไปทานของหวานกันต่อที่ ร้านไอซ์แตชาชักครับ ร้านนี้มีของหวานพิเศษอยู่อย่างนึงที่เคยเห็นน้องในเฟสโพสภาพไว้จนต้องตามมาลองด้วยตัวเอง อร่อยไม่อร่อยไม่รู้รู้แต่แปลก สิ่งที่บอกคือโรตีครับ แต่มันไม่ใช่โรตีธรรมดามันเป็นโรตีภูเขาไฟ แปลกยังไงดูรูปได้เลยครับ





ที่นี่เค้ามีโรตีหน้าตาแปลกประหลาดครับ จริงๆรสชาติก็เหมือนโรตีทั่วๆไปเนี่ยล่ะแต่เพราะหน้าตาของมันเลยทำให้ต้องมาลอง แป้งโรตีบางและกรอบมากฮะตอนทานลำบากเอาเรื่อง ฮ่าๆๆ

ส่วนของที่ทานด้วยก็ต้องโรตีระบำ



กับชาชัก แล้วตบท้ายล้างปากด้วยน้ำชาที่ทางร้านมีให้ฟรีครับ



อิ่มแล้วไปเที่ยวกันต่อครับ คราวนี้จะเที่ยวแนวๆกันซักหน่อย แต่เป็นแนวอนุรักษ์นะครับ ที่ตะกั่วป่ามีที่เที่ยวอีกแห่งนึงที่ค่อนข้าง Unseen นั่นก็คือการล่องเรือชมป่าไทรอายุร้อยปีที่คลองสังเน่ห์ซึ่งอยู่ใกล้ๆตัวเมืองตะกั่วป่าเองครับ การเดินทางไปล่องเรือไม่ยากครับมองหาสถานีตำรวจตะกั่วป่าซึ่งอยู่บนถนนสามัคคีแล้วเลี้ยวเข้าไปไม่ถึงกิโลก็ถึงแล้วครับ



คลองสังเน่ห์เป็นลำคลองเล็กๆที่มีต้นไทรขึ้นอยู่ริมน้ำทำให้เป็นคลองที่มีป่าไทรอุดมสมบูรณ์ ระบบนิเวศฯ์บริเวณนี้ก็สมบูรณ์ตามไปด้วย การชมต้องนั่งเรือพีทหรือเรือท้องแบนเข้าไปชม โดยเรือลำนึงจะมีสามารถนั่งได้ 2-3 คนมีชาวบ้านชุมชนคลองสังเน่ห์เป็นคนขับเรือและเป็นไกด์ไปด้วยในตัว หรือถ้าอยากนั่งคายัคก็มีเอกชนให้บริการอยู่เช่นกันครับ



ระยะทางในการเที่ยวชมภายในคลองประมาณ 2 กิโลเมตรครับใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมงในการเที่ยวชม การเช่าเหมาเรืออยู่ที่ 550 บาทสำหรับคนไทยฮะ



เมื่อเรือเริ่มล่องไปตามลำคลองในช่วงที่มีป่าไทรขึ้นรกครึ้มคนเรือก็จะใช้พายพายช้าๆไปเรื่อยๆครับ ส่วนช่วงที่ไม่ค่อยมีป่าไทรก็จะติดเครื่องยนต์วิ่งเพื่อไม่ให้เสียเวลาครับ



สิ่งที่เราจะได้เห็นคือป่าไทรอายุนับร้อยๆปีที่ขึ้นอยู่ริมลำคลองแผ่สาขาแตกขยายกิ่งก้านจนดูรกครึ้ม จนเป็นที่อยู่อาศัยและแหล่งอาหารของสัตว์หลายๆชนิดเช่นนก กระรอก ตัวเงินตัวทอง และที่เห็นได้เยอะที่สุดคืองูครับ การเที่ยวแบบนี้จึงต้องบอกข้อจำกัดของคนที่จะไปเที่ยวซะหน่อยว่าถ้ากลัวสัตว์เลี้อยคลานที่นี่ควรหลีกเลี่ยงครับ แต่ถ้าชอบฟิลเหมือนได้ท่องเรือชมป่าดงดิบที่นี่เหมาะมาก จนมีคนขนานนามให้ที่นี่เป็น " Little Amazon " เลยทีเดียว



นั่งเรือเข้ามาไม่นานลุงที่เป็นคนพาเราเข้ามาก็ชี้ให้ดูบนหัวของเรา สิ่งที่เห็นทำเอาขนลุกไปเหมือนกันครับ



งูปล้องทอง งูที่เราสามารถเจอได้มากมายในการมาเที่ยวลิตเติ้ลอเมซอน งูชนิดนี้เป็นงูมีพิษครับแต่ถ้าโดนพิษเข้าก็จะไม่ถึงกับชีวิต(แต่มันก็น่ากลัวอยู่ดี) แต่ที่เห็นๆมันนอนขดอยู่บนกิ่งไม้ไหวเอนไปมาเนี่ย ลุงเค้าบอกว่าไม่อันตรายนะครับ เพราะงูพวกนี้จะออกหากินในตอนกลางคืนเพราะฉะนั้นกลางวันแบบนี้มันจะนอนพักนิ่งๆ อีกทั้งสายตาในตอนกลางวันของงูพวกนี้ไม่ดีครับ มันไม่เห็นเราหรอกว่าพายเรือผ่านใต้ท้องมันไป ส่วนอาหารที่มันกินก็เป็นพวกปลา หรือหนูหรือสัตว์เล็กๆริมลำคลองครับ



ตลอดระยะทางผมเจองูปล้องทอง 3 ตัวครับแล้วทั้งหมดก็นอนขดอยู่บนกิ่งไม้บนหัวเราทั้งนั้นเลย ลุงแกก็พายวนใกล้ๆให้ถ่ายรูปจนต้องบอกให้ลุงแกถอยหน่อยเพราะกลัวลมพัดเอางูตกลงมาบนเรือ ฮ่าๆๆ



งูเขียวหางไหม้ตัวนี้ใหญ่จนน่ากลัว

อยากบอกว่าบางมุมมันสวยมากฮะ กิ่งก้านมันพันระโยงระยางให้ความรู้สึกน่าค้นหาและน่าพิศวงไปในตัว 



พ้นจากคลองสังเน่ห์ออกมาก็จะออกมาเจอกับกิ่งก้านสาขาของแม่น้ำตะกั่วป่าครับ ลุงใจดีติดเครื่องเรือพาออกไปดูชุมชนชาวประมงใกล้ๆ





ใช้เวลาพอสมควรก็วกเรือกลับมาเข้าคลองเดิมเพื่อกลับมาที่ต้นทางที่เราขึ้นเรือกันครับ นับเป็นอีกกิจกรรมที่น่าสนใจ ทุกวันนี้คนส่วนใหญ่ที่มาเที่ยวจะเป็นคนต่างชาติครับ อยากให้คนไทยได้ออกมาเห็นธรรมชาติที่สวยงามแบบนี้กันเยอะๆ

วันนี้เที่ยวเยอะแล้วครับ เข้าที่พักกันดีกว่า ที่พักวันนี้อยู่ที่แหลมปะการังซึ่งเราต้องขับรถตามถนนเพชรเกษมวกลงไปทางจะไปเขาหลักฮะ

แหลมปะการังมีชายหาดที่เงียบสงบมีโรงแรมหลายๆแห่งตั้งอยู่หนึ่งในนั้นคือที่ที่เราจะมานอนกันคืนนี้ " อัปสรา บีชฟร้อนท์ รีสอร์ท แอนด์ วิลล่า " 


ล็อบบี้เล็กๆน่ารัก



โรงแรมนี้มีสองโซนนะครับ โซนอาคารแบบที่เราพักนี้เป็นโซนเก่า ส่วนโซนใหม่เป็นโซนวิลล่า



ห้องพักที่เรานอนครับ ค่อนข้างกว้างขวางดี 



โรงแรมมีพื้นที่ค่อนข้างใหญ่ครับ ชายหาดหน้าโรงแรมกว้างแต่เสียดายที่มุมที่พระอาทิตย์ตกไม่ค่อยสวยเพราะค่อนข้างเยื้องไปทางขวาจะเกือบมองไม่เห็นครับ 





เป็นอีกหนึ่งโรงแรมที่เงียบสงบและค่อนข้างคุ้มราคา มาทริปนี้เราไม่ได้ทานอาหารเช้าของโรงแรมกันเลยครับ

เช้าวันรุ่งขึ้น เราต้องเช็คเอ้าท์ไปที่เขาหลักกันต่อครับ

บรรยากาศริมทะเลของแหลมปะการัง



แวะเก็บบรรยากาศของเหตุการณ์สึนามิเมื่อปี 47 ซะหน่อย นี่เป็นอนุสรณ์ที่บ้านน้ำเค็มจุดที่โดนคลื่นยักษ์หนักที่สุดจุดนึงครับ ไม่น่าเชื่อว่าเรือลำใหญ่ๆจะขึ้นมาเกยตื้นบนฝั่งได้ไกลขนาดนี้



เราแวะทานอาหารกันที่ร้าน " ยิ้ม ยิ้ม " ร้านนี้อยู่เลยทางเข้าบ้านน้ำเค็มมาทางเขาหลักไม่เกิน 2 กิโลเมตร ร้านอยู่ริมถนนเพชรเกษมเลยครับ

มีคนเล่าให้ฟังว่าร้านนี้โดนคลื่นยักษ์ซัดจนร้านพังไม่เหลืออะไรเลย แต่ด้วยพระมหากรุณาธิคุณของสมเด็จพระเทพฯซึ่งร้านนี้เป็นร้านทรงโปรด ทางร้านจึงได้รับเงินสนับสนุนจากหน่วยเฉพาะกิจสิรินธรมาซ่อมแซมและปรับปรุงจนเปิดขายมาได้จนถึงทุกวันนี้



อาหารร้านนี้ก็ไม่แพงเลยครับ ผมสั่งปลาเก๋าทอดน้ำปลา ลูกชิ้นปลาลวก แฮ่กึ๊น กุ้งอบวุ้นเส้น ราคาอาหารทั้งหมดรวมเครื่องดื่ม 630 บาทเองครับ



อิ่มแล้วก็เดินทางต่อกันมาที่เขาหลักครับ ถึงตรงหาดบางเนียงก็แวะถ่ายรูปซึมซับอดีตกันอีกที " เรือ ต.813 " เรือที่ถวายอารักขาทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตน์และครอบครัวในวันที่เกิดคลื่นยักษ์สึนามิ เรือถูกคลื่นซัดขึ้นมาติดอยู่เนินเขาของอีกฝั่งถนนนึงซึ่งไกลจากชายหาดร่วมกิโล ทางการเลยทำเป็นอนุสรณ์สถานไว้เพื่อเตือนความโหดร้ายของธรรมชาติครับ



มาถึงเขาหลักก็ไปเที่ยวกันก่อน จุดแรกเป็นจุดที่ผมเคยตั้งใจไว้หลายครั้งว่าจะไปเที่ยวนั่นก็คือ " หาดเล็ก "

หาดเล็กอยู่ไม่ไกลจากศาลเจ้าพ่อเขาหลักเท่าไหร่นัก จะมีป้ายบอกทางลงหาดอยู่ริมถนนครับ หาดเล็กอยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติเขาหลัก-ลำรู่เพราะฉะนั้นต้องเสียค่าเข้า 20 บาทสำหรับคนไทยฮะ



ทางลงไปหาดมีระยะทางประมาณ 400 เมตรครับช่วงแรกเป็นทางราบครับ ประมาณ 200 เมตรสุดท้ายจะเป็นทางลงชันนิดหน่อยแต่ก็ไม่ได้เดินลำบากนัก ระหว่างทางเราจะได้เห็นความอุดมสมบูรณ์ของธรรมชาติเดินเพลินๆไม่นานก็ถึงฮะ





หาดเล็กเป็นเหมือนเวิ้งอ่าวเล็กๆที่มีชายหาดที่เงียบสงบอยู่ฮะ เสียดายว่าช่วงที่ไปเป็นช่วงที่เขาหลักกำลังเจอปัญหาคลื่นลมแรง เห็นว่าช่วงทะเลสวยๆชาวต่างชาติชอบมานอนอาบแดดและเล่นน้ำกันที่หาดเล็กนี้ครับ






โรงแรมที่เราจะพักกันที่เขาหลักอยู่ตรงเขาหลักเลยครับ โรงแรมนี้เปิดได้แค่ 2 ปีชื่อ " Sensimar Khaolak Beachfront Resort " เป็นโรงแรมขนาดใหญ่ที่มีห้องพักสวยงาม สระว่ายน้ำขนาดใหญ่ และไม่ไกลจากตัวเมืองเขาหลัก







ชายหาดหน้าโรงแรมฮะ





ล็อบบี้



ห้องพักครับ





ห้องอาหารไทย



ห้องอาหารนานาชาติและที่ทานอาหารเช้า



เป็นอันจบทริปเที่ยวเมืองพังงาในครั้งนี้แล้วครับ สำหรับสถานที่ท่องเที่ยวในครั้งนี้ต้องบอกเลยว่าเหมือนเปิดโลกใหม่ในหลายๆอย่างทั้งล่องเรือเที่ยวคลองสังเน่ห์ดูป่าไทรร้อยปี ได้เที่ยวตลาดเก่าเมืองตะกั่วป่าที่เคยเจริญรุ่งเรือง รวมไปถึงได้กลับไปเที่ยวในแหล่งท่องเที่ยวที่ดังระดับโลกอย่างอ่าวพังงา ได้แวะเที่ยวอีกหลายๆแห่งที่เป็นที่ท่องเที่ยวแห่งใหม่ๆของพังงาที่ไม่เคยได้ไปเยือน ได้แวะกินของอร่อยๆซึ่งทริปนี้กินเยอะจริงๆ

สรุปแล้วพังงายังคงเป็นจังหวัดที่น่าเที่ยวและยังมีอีกหลายสถานที่ที่ผมยังไม่ได้ไปเยือน นอกจากเกาะแก่งต่างๆที่สวยงามทางฝั่งทะเลอันดามัน ยังมีวัฒนธรรมและวิถีอีกหลายๆอย่างที่น่าไปเยือน มีโอกาสคงกลับไปเยือนกันอีกครับ

ขอบคุณททท.พังงาที่ทำให้มีโอกาสได้เปิดประสบการณ์อันล้ำค่าแบบนี้ ขอบคุณทุกๆคอมเม้นท์ ทุกกำลังใจที่ส่งมาให้นะครับ อย่าลืมฮะผมยังจะมีรีวิวออกมาให้ได้ชมกันอีกในเร็วๆนี้ ขอบคุณที่ติดตามกันเสมอจ้า 



ฝากติดตามแฟนเพจผมได้ที่ https://www.facebook.com/travelholicbigboy นะครับ



Create Date : 24 กรกฎาคม 2557
Last Update : 24 กรกฎาคม 2557 23:22:21 น. 0 comments
Counter : 5024 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

biGbOySalaDbAr
Location :
นนทบุรี Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 23 คน [?]




Group Blog
 
<<
กรกฏาคม 2557
 12345
6789101112
13141516171819
20212223242526
2728293031 
 
24 กรกฏาคม 2557
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add biGbOySalaDbAr's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.