Belle + Simon = Bimon
 
ธันวาคม 2549
 
 12
3456789
10111213141516
17181920212223
24252627282930
31 
17 ธันวาคม 2549

ยิ้มไว้...เมื่อภัย(มะเร็ง)มา ตอน 17 (เล่าจากเรื่องจริง)

หลังการผ่าตัด ทำคีโมและหลังจากที่เรียนจบแล้ว ฉันก็พักผ่อนอยู่กับบ้านเพื่อให้แผลมันติด จะเดินเหิน ไปไหนก็ไม่ค่อยสะดวก ส่วนเรื่องท้องเสียฉันก็ยังเป็นอยู่ บางครั้งถ้าวิ่งไปห้องน้ำไม่ทัน ก็ปล่อยลงกางเกงเลย มันบังคับมะได้อะค่ะ แผลก็ยังเจ็บอยู่นิดๆ จะวิ่งเร็วก็ไม่ได้ จึงปล่อยเลยตามเลยค่ะ ฉันสมเพชตัวเองมั่กมาก มีอยู่วันหนึ่ง ฉันนั่งๆ ดูทีวีอยู่ แล้วก็ต้องรีบวิ่งเข้าห้องน้ำ "อู๊ย...ไม่ไหวแล้ว" ฉันร้องตะโกนบอกชอน "เบบี้ เป็นยังไงบ้าง" เขาตะโกนถาม "ฉันอึราดกางเกงอีกแล้วค่ะ" ฉันตะโกนตอบอย่างอายๆ "อ้าว อีกแล้วเหรอ" เขาบ่นแต่ก็วิ่งขึ้นไปชั้นบนเพื่อไปเอากางเกงตัวใหม่และกางเกงในมาให้ฉันเปลี่ยน เขามาเปิดประตูห้องน้ำแล้วก็โยนกางเกงตัวใหม่มาให้ฉัน แล้วก็เขารีบวิ่งหนีไป "นี่นะ เบบี้ ผมไม่อยากเห็น(อึ)มัน ยี๊... เหม็น" ฉันก็อดขำในท่าทีเขาไม่ได้ แล้วก็ต้องเปลี่ยนกางเกงใหม่ จากนั้นก็คอยเช็ดอึที่ติดอยู่แถวชักโครก บางครั้งก็วิ่งไปอึไม่ทันมันก็พุ่งติดแถวประตูก็มี เพราะฉันรีบถอดกางเกงทิ้งไว้ก่อน ด้วยความที่ไม่อยากเลอะกางเกง แต่มันดันไปเลอะประตูหรือฝาชักโครกแทน ฉันหล่ะอารมณ์เสีย ต้องคอยทำความสะอาดทั้งประตู ทั้งห้องน้ำใหม่ แล้วชอนก็จะไล่ให้ฉันไปอาบน้ำโดยเร็ว รวมทั้งต้องซักกางเกงพวกนั้นเลยมันจะได้ไม่เหม็น เฮ้อ ... ดูสิคะชีวิตฉัน มันช่างแสนรันทดเสียนี่กระไร บอกได้อย่างไม่อายเลยนะเนี่ย ก็มันเรื่องจริงอะ ไม่เป็นโรคนี้ก็ไม่รู้นะคะ ว่ามันลำบากขนาดไหน

บ่อยครั้งค่ะ ที่ฉันโทรไปบอกคุณแม่ว่า "แม่ ๆ วันนี้นะหนู อึราดกางเกงอีกแล้วนะ" แล้วคุณแม่ก็ฮากลิ้งค่ะ เขาชินแล้วหล่ะ ก็ถือว่าเป็นเรื่องตลกประจำครอบครัวไปเลย ไม่ว่าจะราดที่ห้องน้ำ หรือราดบนรถหรือราดในห้างสรรพสินค้า ฉันราดมาหมดแล้วค่ะ ไม่ใช่แค่ครั้งเดียว มันนับไม่ถ้วนแล้วค่ะ ตั้งแต่ที่แบงค์ยันโรงพยาบาล ฉันก็อึราดกางเกงมาหมดแล้ว เวลาจะไปไหนกับชอน เราจะต้องมองหาห้องน้ำข้างทางค่ะ เพราะฉันเป็นนักสำรวจเก่าค่ะ ที่ไหนๆ ฉันก็ไปเข้ามาหมด ถ้าไม่อายก็คงจะวิ่งลงข้างทาง หาพวกสุมทุมพุ่มไม้แถวนั้นละ เพราะมันอั้นไม่ได้ ถ้าไม่ไหวจริงๆ ก็ปล่อยลงในรถนั่นแหละค่ะ เอาถุงพลาสติกรองเบาะซะ มันจะได้ไม่เลอะ ถ้าเลอะแล้วเป็นเรื่องเลย ถึงแม้ฉันเป็นอย่างนี้ก็เถอะ แต่คุณชอนก็รักเอ๊า รักเอา พอไล่ให้ไปรักคนอื่นเพราะฉันมันเป็นตัวเจ้าปัญหา แต่เขาก็จะร้องไห้เพระกลัวฉันจะทิ้งเขา คิดดูสิคะ ฉันจะไปไหนรอด นอกจากชอนแล้วก็คงจะไม่มีใครเอาหรอกค่ะ แต่ก็ไม่รู้ว่าฉันมีอะไรดีนักหนา ชอนถึงได้หลงหัวปักหัวปำอย่างนี้ หรือว่าเขาคงเห็นฉันเป็นของแปลกมั๊ง แบบว่ามีหนึ่งเดียวในโลกอะ ฉันนี่ ช่างเป็นคนที่โชคดีเสียนี่กระไร แต่ถ้าเลือกได้ก็ไม่เอานะ ขอแต่ชอนก็พอค่ะ มะเร็งไม่อาววววว

นอกจากฉันจะเป็นช้ำรั่ว มันรั่วได้รั่วดี แล้วก็ยังเป็นโรคฉี่รั่ว มันร้ายพอๆกะไอ้โรคฉี่หนูนั่นแหละค่ะ เพราะมันก็มีกลิ่นเหม็นๆโชยมาเลย วันๆนึง ฉันมักจะเปลี่ยนกางเกงและกางเกงในอย่างน้อยวันละ 2 ชุด อาจจะเป็นเพราะว่าฉันผ่าตัดบ่อยๆ ทำให้กระเพาะปัสสาวะอ่อนแอ แล้วทำให้ไม่สามารถควบคุมได้ในเวลาที่เราฉี่ ฉี่ไปนึกว่าเสร็จแล้วนะ ฉันก็ทำความสะอาดเช็ดซะดิบดี พอมานั่งที่โชฟา อ้าว มันไหลออกมาอีกละ จนบางทีมันก็เห็นเป็นทางเลย ซึ่งโรคนี้อาจเกิดกับทุกคนที่ได้รับการผ่าตัดหรือหลังการคลอดลูก หรือสตรีผู้สูงอายุ พอแก่ตัวไปสังขารมันก็ไม่เที่ยงค่ะ แต่ดูเหมือนทุกอย่างมันก็เลือกที่จะมาเกิดกับฉันคนเดียวเดี่ยวๆเลย มาถึงตอนนี้พวกมันก็เลยกลายเป็นเหมือนส่วนหนึ่งของชีวิตที่ฉัน ที่ขาดมันไม่ได้ แต่ก็ยังดีที่ชอนเขาไม่เคยรังเกียจ แค่นี้ก็พอแล้วหล่ะค่ะ ถึงแม้ว่าบางครั้งเขาจะบ่นออกมาบ้างว่า "อิ๊ว (คือการร้องยี๊ของฝรั่ง) ... เบบี้ เธอฉี่ใส่กางเกงแนะ" แต่มันช่วยมะได้ค่ะ รักฉันก็ต้องรักอึและฉี่ของฉันด้วย เข้าทำนองที่ว่า รักฉันก็ต้องรักหมาของฉันด้วย (Love me, Love my dog) อะค่ะ

และแล้ววันที่ฉันรอคอยก็มาถึง ทางมหาลัยได้ส่งผลการเรียนของเทอมสุดท้ายมาให้ที่บ้าน พอเห็นซองจดหมายแล้ว ฉันก็รีบแกะซองด้วยใจระทึก นี่ขนาดลุ้นอยู่ในใจนะ ฉันยังได้ยินเสียงหัวใจมันเต้นตุ้มๆ ต่ำๆ ใจมันรัวยังกะกลองยาวแนะ เป็นอันว่าฉันได้ เกรด A 2 วิชา ซึ่งเขาเรียกว่า H1 ก็คือ First Class Honours, 80-100% และก้อเกรด C 1 วิชา หรือที่เขาเรียกว่า H2B นั่นก็คือ Second Class Honours, Lower 60-69% พอจะเดาออกนะคะ ว่าฉันได้วิชาไหน เกรดอะไร นั่นก็คือ วิชาทำซีดีรอมของอาจารย์วีเจ ซึ่งฉันได้คะแนนถึง 95 % และก็วิชาอินโนเวชั่นของอาจารย์บิล ฉันก็ได้คะแนน 86% แหม ... ฉันรู้สึกรักอาจารย์สองท่านนี้ขึ้นมาทันทีเลย ส่วนวิชาการวิจัยของอาจารย์เดนนิส ฉันได้คะแนน 69 % น่าเสียดายอีกนิดเดียว ฉันก็จะได้เกรด B แต่ก็ช่างเถอะ โชคดีที่ไม่ตก ได้แค่นี้ก็บุญแล้ว ฉันปลอบใจตัวเอง เอาเป็นว่าฉันเรียนจบปริญญาโทเสียที เย้...ฉันดีใจจริงๆ มันรู้สึกโล่งๆและภูมิใจอย่างบอกไม่ถูก เพราะฉันจบมาได้อย่างทุลักทุเล ลำบากมั่กมากค่ะ ส่วนด้านคุณชอนเขาก็ปลื้มมาก มิเสียแรงที่มีแฟนเก่งๆ อย่างฉัน ไม่อยากชมตัวเองอะคะ บรื๋อ ...คิดแล้วมันขนลุกค่ะ คุณแม่ฉันเคยสอนอยู่เสมอว่า "อย่าไปอวดใครว่าขี้เราหอมนะลูก คนอื่นเขาไม่ชอบหรอก" คำสอนของคุณแม่นี่คมมากเลยค่ะ ทำนองว่าอย่าอวดตัวเอง อย่าชมตัวเอง อาจจะทำให้คนอื่นหมั่นใส้ได้ ฟังแล้วฉันก็อึ้งเลย คุณแม่คิดได้ยังไงเนี่ย ฉันหล่ะนับถือท่านจริงๆค่ะ

เอาเป็นว่าเหตุการณ์ต่างๆ เริ่มคลี่คลายไปในทางที่ดีขึ้น ซึ่งคริสมาสต์ปีนี้เราก็ไปจัดที่โรงแรมของคุณพ่อคุณแม่ของชอน พวกเราก็มีความสุขกันถ้วนหน้าได้พบญาติๆอีกครั้ง พูดถึงว่าดิฉันก็เป็นชาวพุทธนะ ส่วนทางบ้านชอนเขาก็เป็นคาทอลิกกัน ด้านคุณฟิลซึ่งเป็นแฟนของนิคกี้น้องสาวของชอนเขาก็เป็นคนกรีก แต่พวกเราก็จัดงานและแลกของขวัญกันได้ค่ะ ศาสนาและความเชื่อไม่เป็นอุปสรรค์ค่ะ ถ้าใจเรารักกัน ดูอย่างครอบครัวเราสิคะ

ในวันนั้นนิคกี้เขาก็ประกาศว่าเขาจะย้ายออกไปอยู่กับฟิลในอนาคตอันใกล้นี้ ซึ่งเขาก็จะเริ่มไปต่อเติมบ้านที่ฟิลเขาซื้อไว้แล้วก็ให้คนอื่นเขาเช่าอยู่ ดังนั้นฉันกับชอนก็ต้องหาที่อยู่ใหม่เพราะว่า ถ้าเราสองคนยังเช่าบ้านนั้นอยู่มันก็แพงเกินไปสำหรับเรา ช่วงนั้นฉันก็ไม่มีรายได้อะไร ก็มีแต่ชอนเท่านั้นที่เป็นเสาหลักของครอบครัว พอวันเวลาผ่านไปร่างกายฉันก็เริ่มดีขึ้น ฉันผ่าตัดได้เกือบ 5 เดือนละ ฉันก็เลยกลับไปทำงานที่ร้านสตรีไทย ที่อยู่ในเมือง และร้านไทยนที ที่อยู่แถวนอกเมืองมานิดนึง ซึ่งอยู่บนถนนสายเดียวกัน ส่วนเจ้าของร้านทั้งสองร้านก็ดีกับฉันมาก อยู่ร้านสตรีไทยฉันก็ไปทำเสิร์ฟ ร้านนี้จะยุ่งมาก แต่ฉันก็ทำแค่กะกลางวันเท่านั้น อาทิตย์ละ 3 วัน ทำเยอะไม่ได้กลัวจะไปไม่ไหว ไม่ใช่อะไรหรอกค่ะ พอตกเย็นฉันก็ไปทำที่ไทยนทีต่อ ก็เดินสายอีกแล้วค่ะฉัน หญิงเหล็กจริงๆ พอมาถึงไทยนทีฉันก็มาทำงานในครัวค่ะ ฉันเป็นเด็กเสิร์ฟจนเบื่อละก็เลยอยากจะเป็นเด็กในครัวมั่ง

ส่วนใหญ่แล้วฉันก็จะทำแกง และทำยำค่ะ เช่น แกงเขียว แกงแดง แกงพะแนง แกงมัสหมั่นและแกงกะหรี่ ซึ่งก็แล้วแต่ลูกค้าว่าจะสั่งเนื้ออะไร ไก่ เนื้อ กุ้ง หรือว่าจะกินแต่ผัก แล้วฉันก็ทำพวกยำด้วย เช่นลาบไก่ ยำวุ้นเส้น ยำเนื้อ ยำทะเล ทำไปทำมาก็สนุกไปอีกแบบ พี่ทัศเจ้าของร้านกับน้องมานพพ่อครัวคนเก่ง เขาก็ไม่อยากให้ฉันยกของหนัก กลัวว่าฉันจะไม่ไหว พวกเขาก็ดีกับฉันมาก โดยเฉพาะน้องมานพก็จะคอยถาม ฉันว่าเหนื่อยไหม ไหวไหม น้องเขาก็กลัวว่าฉันจะเดี้ยงไปเสียก่อน แต่ฉันก็อึดค่ะ ไม่เป็นไรฉันทำได้ ก็มันอยากได้เงินหน่ะ ที่ร้านอาหารทิป จะสำคัญมากเพราะว่าเวลาเราทำงานด้านในบริการ เราก็หวังจะได้ทิบกันบ้าง อย่างน้อยเอาไว้เป็นค่าเดินทางก็ยังดี ซึ่งพวกเราก็จะหารกันเท่าจำนวนคนที่ทำงานในร้าน ได้คนละนิดละหน่อยก็ดีใจแล้วหล่ะค่ะ

เมื่อก่อนตอนอยู่เมืองไทยฉันไม่ค่อยที่จะให้ทิปกะพนักงานเสิร์ฟเลย นานๆทีถึงจะให้ ไปก็ไปกินแต่อาหาร ไม่ได้คิดถึงเรื่องการบริการเลย ทั้งๆที่น้องๆพนักงานเสิร์ฟที่เมืองไทย เขาก็ทำงานกันอย่างยากลำบาก เงินเดือนก็น้อย เขาก็หวังจะได้ทิปช่วยอีกแรง พอมาถึงตอนนี้ฉันเข้าใจความรู้สึกของพวกเขาเป็นอย่างดีค่ะ เพราะฉันก็มาเป็นเด็กเสิร์ฟเสียเอง ทุกวันนี้เวลาฉันไปกินข้าวนอกบ้าน ฉันก็จะให้ทิปแก่พนักงานทุกครั้ง นิดๆหน่อยๆ เราช่วยกันได้ก็ช่วยกันไปค่ะ เพราะนึกถึงใจ เขาใจเรา เด็กเสิร์ฟเป็นคนที่น่าเห็นใจมาก คอยเอาของอร่อยๆไปให้ลูกค้ากิน คอยยืนเฝ้าว่าเขาจะเอาอะไรเพิ่มอีกไหม พอเขากินเสร็จ เด็กเสิร์ฟก็คอยเก็บจาน ลูกค้าบางคนก็ใจดี แต่ก็มีบางคนที่มองเขาอย่างดูถูกดูแคลน คิดดูสิคะว่าน่าสงสารขนาดไหน

มีอยู่วันนึงน้องโอนนี่ เขาเป็นเด็กเสิร์ฟคนนึงในร้านไทยนที ได้แนะนำให้ฉันไปสมัครงานเป็นพนักงานทำความสะอาดที่โรงแรม เพราะน้องเขาก็ทำอยู่ที่นั่นเป็นบางวัน ฉันก็สนใจอยากจะหางานที่ดูเป็นชิ้นเป็นอันทำ ก็ได้สอบถามรายละเอียดการสมัครจากน้องเขา ในร้านไทยนทีนี้ก็มีเด็กเสิร์ฟกันหลายคนค่ะ เช่น น้องฝันผู้แสนดี น้องเจเจ น้องกีตาร์ น้องจ๊ะโอ๋ พี่อาร์ และน้องนุ่งเหน่ง ซึ่งเป็นน้องที่ฉันสนิทด้วยที่สุด เพราะเราทำงานด้วยกันมานานแล้ว เราก็เคยสัญญากันไว้ว่าถ้าพี่ตูนเขาขายร้านฉันกับเจ้านุ่งเหน่งจะร่วมหุ้นกันเซ้งร้า
นต่อ แต่ก็ต้องรอไปอีก สัก 5-6 ปีอะค่ะ รอให้พี่ๆเขารีไทร์ก่อน ซึ่งร้านนี้เป็นร้านที่ฉันผูกพันธ์มาก พูดได้ว่าฉันเป็นพนักงานเสิร์ฟคนแรกๆ ของพี่ตูนเลยก็ว่าได้

ต่อมาเราวางแผนกันว่าจะซื้อบ้านเอา เพราะถ้าเช่าเขาอยู่เงินมันก็จะสูญเปล่าไป สู้ซื้อผ่อนกับแบงค์ไปเรื่อยๆ สักวันหนึ่งมันก็จะเป็นของเรา แต่มันก็จะต้องใช้เงินสูงเหมือนกัน ฉันก็อยากจะแบ่งเบาภาระชอนบ้าง ก็เลยลองหาสมัครงานตามเวปไซต์ต่างๆ ซึ่งเวปที่ฉันเข้าบ่อยที่สุดคือ //www.seek.com.au บังเอิญฉันก็เข้าไปเจอเขารับสมัคร Room Attendance หรือว่าแม่บ้านทำความสะอาดโรงแรมนั่นแหละค่ะ พอฉันเห็นก็สนใจ จึงส่งใบสมัครไปทางอินเตอร์เนท สักพักก็มีคนโทรกลับมา แล้วเขาก็เรียกฉันสัมภาษณ์ในวันนั้นเลย โชคดีที่ชอนอยู่บ้านเขาก็เลยไปส่ง เอาไปเอามา เขาก็รับฉันเลย ทั้งๆที่ฉันไม่เคยทำงานแบบนี้มาก่อน คงเป็นเพราะว่าเขาขาดคนทำงานจริงๆ ฉันก็เลยได้งานทำ

ฉันจึงไปบอกพี่ๆเจ้าของร้านทั้งสองร้านว่าฉันเพิ่งได้งานทำที่โรงแรม ฉันคงมาทำงานร้านอาหารอีกไม่ได้แล้ว แต่ฉันก็รู้สึกสงสารพี่ๆเขาเหมือนกันที่ฉันออกไป ซึ่งฉันไม่มีทางเลือกเพราะว่าเราต้องการเงินเพื่อจะเอาไปซื้อบ้าน ชอนเขาอยากจะซื้อบ้านโดยที่จะใส่ชื่อฉันไปในบ้านด้วยเราจะได้เป็นเจ้าของบ้านร่วมกัน
ดังนั้นฉันต้องหางานที่ถูกต้องและเสียภาษี มีรายได้มั่นคง เวลาที่ฉันทำในร้านอาหารไทย เราไม่ได้เสียภาษีกันค่ะ จุ๊ ๆๆ อย่าเอ็ดไปเดี๋ยว พวกอิมมิเกรชั่นมันได้ยินค่ะ เดี๋ยวเป็นเรื่องอีก แต่ด็กไทยที่นี่ก็ทำอย่างนี้กันทั้งนั้นหล่ะค่ะ อาจเป็นเพราะที่ร้านไทยเราทำแบบไม่เสียภาษี ก็เลยจะได้เงินในอัตราที่ต่ำกว่างานอื่นๆ แต่ก็สบายกว่างานอื่นนั่นแหละ ซึ่งเอาเข้าจริงๆทำงานโรงแรม มันเหนื่อยกว่ากันเยอะเลย หนักมั่กมาก หนักยิ่งกว่าทำงานฟาร์มเสียอีก ฉันนี่อยู่ดีไม่ว่าดี หาเรื่องใส่ตัวแท้ๆเลยค่ะ
โรงแรมที่ฉันทำงานอยู่นั้นเป็นโรงแรมหรูระดับ 5 ดาวเลยค่ะ ซึ่งจะเป็นโรงแรมที่มีชื่อเสียงมากของที่นี่เพราะมีบ่อนคาสิโนอยู่ด้วย ลูกค้าส่วนใหญ่ก็เป็นพวกชาวต่างชาติที่มาเล่นการพนัน หรือไม่ก็พวกนักท่องเที่ยวที่มีกะตังค์ พวกดารา พวกนักกีฬา และก็พวกนักแข่งรถหน่ะค่ะ โดยที่ฉันจะเริ่มงานกะเช้า ก็จะต้องไปถึงที่ทำงานก่อนประมาณครึ่งชั่วโมง เพราะฉันจะต้องเปลี่ยนชุดทำงาน ซึ่งชุดฟอร์มของที่นี่จะเป็นเสื้อแขนสั้นสีขาวที่มีลำตัวยาวถึงต้นขา มีกระดุมสีทองเป็นรูปมงกุฏ แล้วก็มีป้ายชื่อติดอยู่บนกระเป๋าเสื้อ ส่วนกางเกงกับรองเท้าต้องเป็นสีดำเท่านั้นค่ะ ผมเผ้าก็ต้องมัดรวบเก็บให้เรียบร้อย ห้ามทำผมสีฉูดฉาด ประเภทหัวแดงมาเลย นี่เขาก็ไม่รับค่ะ แล้วก็ห้ามใส่เครื่องประดับ ใส่ได้แต่ต่างหูเม็ดเล็กๆเท่านั้น กฏมีเยอะมากค่ะ แต่ก็มีใว้แหก พวกที่โจ๋ๆ อยู่กันมานาน ฉันก็เห็นเขาอยากใส่อะไรก็ใส่กันแต่พวกน้องใหม่ต้องสงบเสงี่ยม เจียมตัวค่ะ พอแต่งตัวเสร็จก็เดินไปโรงอาหาร เพราะจะต้องไปหาอะไรกินค่ะ ไม่งั้นหิวแย่เลย มันเป็นงานที่ต้องใช้แรงงานค่ะ ต้องกินเยอะไว้ก่อน

แต่จากที่เปลี่ยนเสื้อผ้าไปถึงโรงอาหาร ก็ประมาณ ครึ่งกิโล ไกลมั่กมาก เขาก็มีพวกอาหารเช้าประเภทซีเรียลต่างๆ ขนมปัง นม กาแฟ กล้วยและส้ม ประมาณนั้นค่ะ ถ้าอยากกินหรูก็ห่อมาจากบ้านค่ะ จากนั้นก็ไปที่อ๊อฟฟิสของแม่บ้าน ซึ่งจะต้องไปตอกบัตร แล้วก็ไปรับใบงานว่าวันนี้ทำอยู่ชั้นไหน ทำกับใคร ซึ่งที่โรงแรมจะมีสองด้านคือ A กะ B ซึ่งแต่ละคนจะต้องรับผิดชอบฝั่งใครฝั่งมัน หลังจากนั้นก็เข้าแถวรับเพจเจอร์คนละเครื่อง เพราะถ้ามีเรื่องอะไรเร่งด่วนเขาก็จะเพจเข้าเครื่องเราเลย ก่อนเริ่มงานทางผู้จัดการของแผนกก็จะแจ้งให้ทราบว่าวันนี้มีเรื่องอะไรใหม่ๆ มีอะไรเปลี่ยนแปลงบ้าง มีแขกวีไอพีห้องไหนที่จะต้องให้ความดูแลเป็นพิเศษ ใครมีปัญหาอะไร ก็บอกได้ในที่ประชุม เสร็จแล้วก็แยกย้ายกันไปทำงานในชั้นที่ตัวเองรับผิดชอบ ...โปรดติดตามตอนต่อไป


Create Date : 17 ธันวาคม 2549
Last Update : 17 ธันวาคม 2549 9:18:11 น. 2 comments
Counter : 345 Pageviews.  

 
คิดว่างานร้านอาหารจะหนักกว่าโรงแรมซะอีก


โดย: คุณจ๊ะจ๋า วันที่: 20 ธันวาคม 2549 เวลา:5:59:04 น.  

 
งานโรงแรมหนักกว่าเยอะเลยค่ะ คุณจ๊ะจ๋าขา


โดย: summer_scent (Summer_scent ) วันที่: 20 ธันวาคม 2549 เวลา:10:06:44 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิกช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

Summer_scent
Location :
กรุงเทพฯ Australia

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




หวัดดีค่ะ มาอยู่เมลเบิร์นได้ เกือบ 6 ปีแล้วค่ะ
ตอนนี้มีครอบครัวอยู่ที่เมลเบิร์นค่ะ
ชีวิตคนเรามีทางเดินแตกต่างกันออกไป แต่ละคนมีวิถีชีวิตไม่เหมือนกัน สำหรับชีวิตของฉันแล้ว ยิ่งต่างจากคนอื่นไปอีก ดูเหมือนจะสมบูรณแบบ มีสามี มีบ้าน มีรถ มีความสุข แต่ฉันก็สุขไม่ได้นาน เพราะ่ว่า ....ฉันเป็นมะเีีีร็งในสำไส้หน่ะสิ บล็อกนี้เลยอยาถ่ายทอด เรื่องราว ความรู้สึกของฉัน ว่าฉันต่อสู้กับโรคนี้ได้ยังไง ...ตามอ่านดูนะคะ ....มีหลายตอนมากเลย
[Add Summer_scent's blog to your web]