Bloggang.com : weblog for you and your gang
blog แห่งนี้ถ้าชมจากคอมพิวเตอร์ขนาดเล็ก และจาก IE Browser ตัวหนังสือและรายละเอียดจะไม่สวยงาม
เตรียมกายใจ ก่อนไปคลอด
การเปลี่ยนแปลงทางสรีระร่างกายของคุณแม่ตั้งแต่เริ่มตั้งครรภ์จนกระทั่งถึงช่วงท้ายๆ ของการตั้งครรภ์เดือนที่ 8-9 จะมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องและตลอดเวลา หากคุณแม่มีความรู้ ความเข้าใจ และศึกษาถึงความเป็นไป คุณแม่ก็จะคลายความวิตกกังวลลงไปได้ ช่วงนี้คุณแม่จะอุ้ยอ้ายขึ้นเยอะ เพราะการรับประทานมากขึ้นเนื่องจากเห็นอะไรก็เอร็ดอร่อยไปเสียทุกอย่าง เรียกว่า มีกำลังใจในการรับประทานอาหาร ยิ่งลูกดิ้นแรงขึ้น บ่อยขึ้น ชัดเจนขึ้น ก็เลยแทบจะไม่ค่อยยับยั้งตัวเอง จริงๆ แล้วระยะนี้น้ำหนักไม่ควรเกินสัปดาห์ละ 450 กรัม (เกือบๆ ครึ่งกิโล) น้ำหนักตัวคุณแม่ควรขึ้นจากเดิม ในระยะนี้ประมาณ 6-8 กิโลกรัม ซึ่งหากน้ำหนักขึ้นเหมาะสมตามเกณฑ์จะเป็นประโยชน์ต่อการคลอด และคุณแม่จะไม่เป็นภาระลดน้ำหนักเกินเหลือไว้มากมายหลังคลอด
หันมาดูลูกน้อยว่า ตัวเขาตอนน้ำหนักประมาณเท่าไร จะพบว่าความยาว 40 ซม. น้ำหนักประมาณ 2,400 กรัม ผิวหนังเต่งตึงขึ้นกว่าเดิมเพราะมีไขมันมาพอกตามผิวหนังมากขึ้น กะโหลกศีรษะยังไม่ค่อยแข็งนัก ปอดพร้อมที่จะทำงานได้เพราะมีสารยืดหยุ่น (Surfactant) มากพอ หากคลอดมาช่วงนี้โอกาสรอดชีวิตมีสูง แต่อย่าเพิ่งคิดว่าจะคลอดช่วงนี้นะคะเขาเรียกว่าเป็น
การคลอดก่อนกำหนด
ซึ่งจะมีปัญหาตามมามากมาย เช่น ภูมิคุ้มกันลูกยังไม่มีจึงติดเชื้อง่าย, สัดส่วนของร่างกายตลอดจนการทำงานของอวัยวะยังไม่สมบูรณ์เต็มที่ และที่สำคัญเมื่อตัวเล็กสมองก็เล็กตามด้วย
ถ้าหากคลอดออกมาตอนนี้ ก็คงต้องนำเข้าไปเจริญเติบโตต่อในตู้อบ ซึ่งมีความแตกต่างกับการเจริญเติบโตในท้องคุณแม่ราวฟ้ากับดิน เพราะน้ำหนักตัวของลูกกว่า จะขึ้นแต่ละกรัมในตู้อบนั้นช่างยากเย็นแสนเข็ญ แถมตู้อบก็ราคาแสนแพง เชื้อโรคทุกชนิดก็คอยจ้องรุมเล่นงาน การให้ลูกอยู่ในท้องคุณแม่จนครบถ้วนแบบธรรมชาติจึงจะดีที่สุด
เลือกคลอดแบบไหนดีล่ะ
สิ่งที่คุณแม่ทุกคนกังวลมากๆ เมื่อครรภ์แก่ขึ้นก็เห็นจะไม่พ้นเรื่องคลอดลูกนั้นจะเจ็บไหม ? ก็ตอบง่ายๆ ว่าเจ็บค่ะ แต่เจ็บแบบมีรางวัล มีความหวัง เดี๋ยวก็เห็นหน้าลูกแล้ว แม่คอยมาหลายเดือน พอคลอดเสร็จความเจ็บทั้งหลายก็มลายหายไปสิ้น หากจะคลอดโดยไม่ให้เจ็บเลยด้วยวิธีที่เรียกสั้นๆ กันว่า
บล็อคหลัง
จะเป็นเช่นไร ก็ขอเรียนว่าปัจจุบันโรงพยาบาลแทบทุกแห่งได้นำวิธีการนี้ มาช่วยคุณแม่ในการคลอดไม่ให้เจ็บ มีชื่อภาษาอังกฤษว่า
Painless labour
(เพนเลสเบอร์) หรือศัพท์ทางการแพทย์ใช้ว่า
Epidural anesthesia
สามารถทำได้กับคุณแม่ทุกราย แม้แต่คุณแม่ครรภ์เป็นพิษ โรคหัวใจ ยกเว้นคุณแม่ที่ติดเชื้อที่ผิวหนังบริเวณใกล้ตำแหน่งที่จะลงเข็ม หรือคุณแม่ที่มีภาวะพร่องเลือด พร่องน้ำ เป็นต้น
ขั้นตอนการทำนั้นคุณแม่จะมองไม่เห็นอะไรหรอก เพราะคุณหมอทำอยู่ข้างหลัง คุณแม่ต้องโค้งตัวตัวงอก่องงอขิงสักพัก คุณหมอจะฉีดยาชาแล้วจึงสอดเข็มเข้าระหว่างช่องว่างข้อต่อกระดูกสันหลัง ช่วงล่างๆ ใช้เวลา 2-3 นาที จะสำเร็จเรียบร้อย และมีสายพลาสติกเล็กๆ ยื่นมาไว้สำหรับเติมยาด้วย คุณแม่จะทุเลาอาการเจ็บท้องคลอดลงได้ชะงัดนัก เมื่อฤทธิ์ยาลดลงคุณหมอก็เติมยาได้โดยไม่ต้องจิ้มเนื้ออีก สายพลาสติกที่คาไว้นี้ไม่ทำให้รู้สึกเจ็บปวดหรือรำคาญ มีข้อเสียอยู่บ้างก็คือแข้งขาของคุณแม่จะหมดเรี่ยวหมดแรง การรับความรู้สึกหมดไปทำให้แรงเบ่งไม่ค่อยดี อาจทำให้เวลาของการคลอดยืดยาวออกไปอีก และท้ายที่สุดคุณหมอมักจะต้องช่วยคลอดโดยใช้เครื่องมือดึงลูกน้อยออกมาที่เรียกว่าใช้ คีมดึง (Forceps extraction) แต่หากว่าคุณแม่ไม่กลัวเจ็บจนเกินไป และใช้ การคลอดธรรมดา ไม่ต้องบล็อคหลัง คุณแม่จะรับความรู้สึกทั้งหมดคลอดได้ด้วยน้ำพักน้ำแรง หยาดเหงื่อต่างน้ำ ซึ่งน่าภาคภูมิใจเสียนี่กระไร แต่ก็อย่าตั้งมั่นจนเกินไปกับวิธีคลอดที่ตั้งใจไว้ เพราะมีไม่น้อยที่มีความพลิกผันอาจต้องลงท้ายด้วยการผ่าตัด เนื่องจากต้องรีบช่วยลูกโดยด่วน เพราะเสียงหัวใจของลูกเต้นผิดปกติ รอเวลาต่อไปไม่ได้ แต่อย่างไรก็ตามหากไม่คิดวางแผนเสียเลยก็ไม่รู้ทิศทางอีกเช่นกัน สรุปก็คือรู้ๆ ไว้ก่อน คลอดได้เองก็แจ๋ว ถ้าไม่ได้ก็ไม่เป็นไร ขอความปลอดภัยเป็นอันดับแรก
วันสำคัญ... และช่วงหลังคลอด
ประมาณ 1-2 สัปดาห์สุดท้ายก่อนวันครบกำหนดคลอด คุณแม่จะหายใจโล่งขึ้น คล่องขึ้น ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร แต่เป็นเพราะลูกน้อยใช้ส่วนของศีรษะเข้าไปอยู่ในช่องเชิงกรานหรืออุ้งเชิงกรานนั่นเอง ส่วนของก้นจึงลดระดับลงไปด้วย จึงทำให้คุณแม่หายใจไม่อึดอัดแน่นจนเกินไป ชาวบ้านมักใช้ศัพท์ว่า
ท้องลด
ซึ่งหมายถึงใกล้จะคลอด
เมื่อวันสำคัญมาถึง คุณแม่อาจมีอาการท้องแข็งเป็นระยะๆ ในช่วงแรก อาจเจ็บห่างๆ แต่จะเจ็บเป็นช่วงๆ ไม่หายไปเลยทีเดียว มีระยะพักให้พอสบายหน่อยแล้วก็จะเจ็บอีก บางรายอาจไม่เจ็บแต่จะมีมูกหรือเลือด หรือน้ำคร่ำใสๆ ไหลออกมาเลอะเทอะกางเกง เป็นต้น เมื่อมีอาการเหล่านี้ คุณแม่ควรใส่ผ้าอนามัยไว้ก่อนเพื่อความสะอาด และเพื่อสังเกตสิ่งที่ออกมา ซึ่งจะต้องนำไปใช้เมื่อถูกซักถามหรือซักประวัติที่โรงพยาบาล คุณแม่ควรจดเวลา และจำเหตุการณ์ต่างๆ ไว้เพื่อตอบคำถามด้วย เอกสาร อุปกรณ์ทั้งหลายที่จะต้องนำไปด้วยนั้น โปรดอย่าลืม!! สิ่งที่คุณแม่ควรปฏิบัติ เมื่อน้ำคร่ำแตกหรือไหลออกมานอกเหนือจากการใส่ผ้าอนามัยแล้วคือ ไม่ควรเดินไปมาโดยไม่จำเป็นเพราะสายสะดืออาจพลัดต่ำหรือย้อยตามน้ำคร่ำที่ไหลออกมา และอาจถูกกดจากศีรษะ ทำให้เลือดไม่สามารถไปเลี้ยงลูกได้ ที่ดีก็คือ นอนตะแคงข้างซ้ายจะดีกว่าท่าอื่นๆ
เมื่อถึงห้องคลอดพยาบาลจะเตรียมความสะอาด และโกนขนหัวเหน่า ตรวจดูปากมดลูกว่าเปิดหรือไม่ แล้วรายงานแพทย์ การเจ็บท้องคลอดจะกินเวลาประมาณ 12-16 ชั่วโมงในท้องแรก และใช้เวลา 6-8 ชั่วโมงในท้องหลัง การเบ่งใช้เวลา 1-2 ชั่วโมงในท้องแรก ส่วนท้องหลังเบ่งประมาณ 1/2-1 ชั่วโมง สรุปแล้วท้องแรก จะใช้เวลานานกว่าท้องหลังนั่นเอง เมื่อคลอดแล้วพยาบาลจะนำลูกน้อยมาให้ดูดนมคุณแม่ และให้ได้อุ้มชู กอดรัด เป็นการสร้างสายสัมพันธ์ พ่อ-แม่-ลูก ทันทีที่คลอด (หากคุณพ่อมีโอกาสเข้าไปอยู่ในห้องคลอดด้วย)
ต่อจากนั้นคุณหมอจะเย็บซ่อมแซมฝีเย็บให้ ซึ่งคุณแม่จะไม่เจ็บเลยเพราะฤทธิ์ของยาชา เมื่อทุกอย่างเสร็จสรรพ กว่าจะย้ายมาอยู่หน่วยหลังคลอด คุณแม่ต้องนอนเพื่อสังเกตอาการผิดปกติ ที่ห้องพักในห้องคลอดนานถึง 2 ชั่วโมง เมื่อพบว่าคุณแม่ปลอดภัยจึงย้ายไปอยู่หน่วยหลังคลอด ซึ่งคุณแม่ควรได้ทราบความเปลี่ยนแปลงหลังคลอด ว่ามีหลายประการ ดังเช่น
++ มดลูก
ซึ่งขนาดใหญ่โตก่อนคลอด บัดนี้มดลูกจะลดขนาดลงอย่างฮวบฮาบเหลือขนาดเท่าๆ กำปั้นเท่านั้น และจะแข็งเกร็งตลอดเวลา สามารถคลำได้ทางหน้าท้อง ต่อมาจะค่อยๆ ลดระดับจากเคยอยู่แถวๆ สะดือลงไปเรื่อยๆ วันละ 1-1/2 นิ้ว ทุกวัน และภายใน 7-10 วันคุณแม่จะคลำไม่พบอีก
++ ช่องคลอดจะมีน้ำคาวปลา ซึ่งมีสีแดงสดคล้ายประจำเดือนอยู่ 1-3 วัน ต่อมาสีจะจางลงเรื่อยๆ จนกลายเป็นสีชมพูดในเวลา 7-10 วัน และจะจางเรื่อยๆ จน 14-21 วัน ก็จะหายไปหมด อาจเร็วหรือช้ากว่านี้นิดหน่อย สิ่งผิดปกติที่อาจเกิดขึ้นได้ในช่วงนี้ก็คือ น้ำคาวปลาที่จางไปแล้วนั้น กลับกลายเป็นสีแดงสดขึ้นมาอีก ซึ่งแสดงถึงว่า อาจมีเศษรกค้างอยู่ในโพรงมดลูก หรือมดลูกไม่ลดขนาดลงเลย ซึ่งอาจติดเชื้อหรือมีสิ่งตกค้างภายในเช่นกัน หากคุณแม่เลี้ยงลูกด้วยนมแม่จะยังไม่มีประจำเดือน เพราะฮอร์โมนที่สร้างน้ำนมจะกดฤทธิ์ฮอร์โมนของไข่ไว้ ไม่ให้ไข่สุก ประจำเดือนจะมาก็ต่อเมื่อเลิกให้ลูกดูดนมแม่แล้วนั่นเอง
++ เหงื่อไคลจะไหลมาเทมามากมาย
เพราะธรรมชาติจะช่วยลำน้ำหนักให้คุณแม่เองด้วย เมื่อเป็นเช่นนี้ หากเพิ่มการบริหารร่างกายหลังคลอดเข้าไปด้วยอย่างสม่ำเสมอ ก็จะช่วยให้น้ำหนักหายไปเร็วขึ้น เอวที่หายไปก็จะรีบกลับมาอยู่ที่เดิมได้
++ เต้านม
เป็นอวัยวะเดียวที่ยังคงมีขนาดใหญ่ขึ้นหลังคลอด ขณะที่อวัยวะอื่นๆ ลดขนาดลง คุณแม่ไม่ต้องตกใจเพราะนั่นคือธรรมชาติได้เตรียมพร้อมไว้เพื่อการเลี้ยงลูก ถ้าคุณแม่ให้นมแม่ อาการคัดตึง, เจ็บปวดก็จะไม่เกิดขึ้น แถมยังจะห่างจากมะเร็งเต้านม มะเร็งรังไข่ และโรคกระดูกพรุนอีกด้วย ควรระวังเรื่องเต้านมคล้อยหรือหย่อน ซึ่งต้องใส่เสื้อยกทรงขนาดพอเหมาะกับเต้านม ประคับประคองไว้ทั้งกลางวัน และกลางคืนทีเดียว เรื่องนี้ควรดูแลอย่างเคร่งครัด เพราะยานแล้วยานเลย ไม่หวนกลับมาหรือแก้ไขได้อีก ต้องดูแลต่อเนื่องตั้งแต่ตั้งครรภ์จนหลังคลอด
++ อาหารที่จะแสลงหลังคลอด
อยากให้คุณแม่คลายกังวลว่า ไม่มีอาหารประเภทใดแสลงสำหรับคุณแม่ จะมีก็แต่อาหารบางชนิดที่คุณแม่ไม่ควรรับประทาน เช่น สุรา ยาดอง เครื่องดองต่างๆ เช่น มะม่วงดอง มะดัน มะยมดอง เป็นต้น รวมทั้งอาหารรสจัดทั้งหลายด้วย เหล่านี้จะทำให้ท้องเสียง่าย และจะมีฤทธิ์ออกมาทางน้ำนม ซึ่งจะมีผลไปถึงลูกน้อย โดยเฉพาะแอลกอฮอล์หรือสุรา ซึ่งมีผลต่อพัฒนาการทางสมองของลูกน้อยเป็นอย่างยิ่ง บางท่านบอกว่าทานยาดองเหล้าแล้วลูกเลี้ยงง่าย ก็คงจะเป็นจริงที่เด็กไม่โยเย เพราะคุณแม่ก็เมา ลูกก็เมา ต่างคนต่างก็หลับเพราะฤทธิ์เหล้านั่นเอง นอกจากนี้ยังเป็นการปลูกฝังให้ลูกติดแอลกอฮอล์ ตั้งแต่แรกเริ่มของชีวิตเลยก็ว่าได้
++ สิว ฝ้า
เม็ดผื่นปื้นดำของผิวหนังทั้งหลาย ที่แย่งกันกันขึ้นตั้งแต่ตั้งท้อง ก็จะค่อยๆ ลดจำนวน และหายไป โดยไม่ต้องรักษา แต่ต้องใจเย็นๆ เพราะต้องอาศัยเวลา
++ ภาวะซึมเศร้าภายหลังคลอด
เป็นเรื่องที่คุณแม่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ แต่ภาวะนี้ไม่ใช่เรื่องผิดปกติร้ายแรงอะไรนัก เกิดจากฮอร์โมนเกี่ยวกับการตั้งครรภ์นั้นลดลงอย่างรวดเร็ว จึงทำให้เกิดภาวะไม่สมดุลทางอารมณ์ รู้สึกน้อยใจง่าย มีความอดทนต่ำ บ่อน้ำตาตื้น ร้องไห้ได้ง่ายๆ เสมือนไม่มีเหตุผล หงุดหงิด อารมณ์ไม่ดี ดังนั้น ผู้อยู่ใกล้ชิดควรเข้าอกเข้าใจ ให้ความเห็นอกเห็นใจ และช่วยประคับประคองทางด้านจิตใจด้วยการช่วยงาน, มีส่วนร่วมในการเลี้ยงดูลูกน้อย ซึ่งจะทำให้คุณแม่พักผ่อนเพียงพอก็จะช่วยให้คุณแม่สบายกายและใจขึ้น ผ่อนคลายความตึงเครียดลง ภาวะซึมเศร้าจะค่อยๆ หายไป ภาวะนี้มักเกิดขึ้นใน 2-3 วัน หรือในสัปดาห์แรกหลังคลอด และหายไปประมาณสัปดาห์ที่ 2-3 คุณแม่ส่วนใหญ่จะผ่านพ้นอุปสรรคไปได้ด้วยดี จะอย่างไรก็ตามขอให้คุณแม่มีหลักว่าทุกๆ อย่างเป็นเรื่องธรรมชาติ อย่าวิตกกังวลจนเกินไป เราพร้อมที่จะลุ้นเอาใจช่วยคุณแม่อยู่เบื้องหลังค่ะ
วินาทีแรกของการเกิด
เมื่อคลอดแล้วที่จะลืมเสียมิได้เลยทีเดียวเชียวคือ
การสร้างสายสัมพันธ์แม่-ลูก
หากมีคุณพ่ออยู่ในห้องคลอดด้วย ก็ต้องบอกว่าเป็นสิ่งที่ดีงามที่สุด เพราะเป็นการสร้างสายใยรักพ่อ-แม่-ลูก อันเป็นพื้นฐานของครอบครัวและสังคม ทำอย่างไร? ไม่ใช่ของยากเลยค่ะ
เพียงแต่รีบนำลูกมาดูดนมคุณแม่ทันที ภายหลังคลอดหรือไม่เกิน 30 นาที
ซึ่งช่วงเวลานี้เป็นช่วงที่เรียกว่า
Sensitive period
หากเกินเลยจากช่วงเวลาเหล่านี้ไปแล้ว การสร้างความสัมพันธ์จะไม่กินใจชนิดผูกมัดแน่นแฟ้นยืนยาวเท่าช่วงแรกของการคลอด คุณแม่อาจสงสัยว่าน้ำนมยังไม่มีเลย ไม่เป็นไรขอให้ลูกดูดเพียงอย่างเดียว และคุณแม่ได้กอดรัด ตาประสานตาก็เพียงพอแล้ว เรื่องน้ำนมกว่าจะมาในท้องแรกอาจใช้เวลา 1-3 วัน จึงมีก็เป็นได้ การให้ลูกดูดเร็ว (30 นาทีแรกเกิด) และหมั่นให้ลูกดูดนมบ่อยทุก 1-2 ชั่วโมง น้ำนมของคุณแม่ก็จะมาเร็วขึ้น เพราะการดูดจะเป็นการกระตุ้นให้มีการสร้างน้ำนม และในการดูดนั้นต้องดูดให้ถูกวิธีด้วย คือให้ลูกอมลึกถึงลานนม หรือเหงือกกดอยู่ที่ลานนม น้ำนมจึงไหลดี และหัวนมก็ปลอดภัย ไมเป็นแผลหรือแตก
(update 29 มีนาคม 2005)
[ ที่มา... นิตยสารบันทึกคุณแม่ ปีที่ 11 ตุลาคม 2547 ]
Create Date : 17 สิงหาคม 2552
Last Update : 21 สิงหาคม 2552 0:07:08 น.
Counter : 1117 Pageviews.
0 comments
Share
Tweet
เจ้าแม่แฟชั่น
Location :
Maldives
[ดู Profile ทั้งหมด]
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 55 คน [
?
]
Group Blog
Hello..Momma
>>ครรภ์ที่สี่<<
--- ครรภ์ที่สาม (Miscarriage)---
++ ประสบการณ์แท้งลูก ครั้งแรก ++
-- > ปิ่นมุกวัยแรกเกิด - 1 ขวบ
-- > ปิ่นมุกวัย 1 ขวบ
-- > ปิ่นมุกวัย 2 ขวบ
-- > ปิ่นมุกวัย 3 ขวบ
-- > ปิ่นมุกวัย 4 ขวบ
-- > ปิ่นมุกวัย 5 ขวบ
-- > เรื่องราววัย 13-24 เดือน
--> พัฒนาการวัย 1-2 ขวบ
--> All about 'ปิ่นมุก'
--> การฉีดวัคซีน และฟัน
--> อาหารการกิน
--> คลังภาพ "ปิ่นมุก"
--> ผม "ปิ่นมุก"
--> แฟชั่น "ปิ่นมุก"
--> ของ ของ เรา และ "ปิ่นมุก"
--> "ปิ่นมุก" ในครรภ์มารดา
--> พบหมอช่วงตั้งครรภ์
--> ** TriViAL **
--> M I X
--> BEAUTY - Momma
--> OtherS
>> mE - cOllection -
-- > ทำสวยหลังคลอด {อกฟู..รูฟิต}
--> Clip บริหารร่างกาย (เจ๋งๆ)
*Health Corner*
^ -Low Fat Recipes- ^
- BBQ Recipes -
= Salad =
+ Side Dish Recipes +
-- Smoothie **
-----------------------------------
== My Hobby ==
== My gears ==
== Photography ==
== LR3 & PS ==
+++++++++++++++++++++
ความรู้แนววิทย์ & ดาราศาสตร์
Tsunami in Japan 2011
IF I RICH, I WILL GO!
*********************
ดูแลครรภ์
ออกกำลังกาย
ยา อาหาร และวิตามิน
อาการแทรกซ้อน
สวยต้องห้าม
ลูกสาว-ลูกชาย
สวยในยามตั้งครรภ์
การคลอดบุตร
หลังคลอด
เลี้ยงลูกด้วยนมแม่
ดูแลลูกน้อย
เกี่ยวกับวัคซีน
พัฒนาการของเด็ก
อาหารของทารก
เดินทางกับลูกน้อย
Learning -- corner
======================
++ บริการถ่ายรูปเด็กแรกเกิด - 6 เดือน ++
>> รับพรีออร์เดอร์ <<
เปิดท้ายขายเสื้อผ้า ปี 2013-2014
เปิดท้ายขายเสื้อผ้า ปี 2012-2013
เปิดท้ายขายเสื้อผ้า ปี 2011-2012
เปิดท้ายขายเสื้อผ้า ปี 2010-2011
พรีออร์เดอร์ ชุดคอสตูม แฟนซี
น้ำหนัก*ส่วนสูง*อาหารเด็ก
<<
สิงหาคม 2552
1
2
3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
14
15
16
17
18
19
20
21
22
23
24
25
26
27
28
29
30
31
17 สิงหาคม 2552
เตรียมกายใจ ก่อนไปคลอด
All Blog
รับมือใกล้คลอด
เตรียมกายใจ ก่อนไปคลอด
6 ย. ช่วยลดอาการท้องแข็ง
ท้องแข็งโป๊ก!
เตรียมตัวคลอดอย่างมืออาชีพ
การเจ็บท้องคลอด
การซ้อมหดรัดตัวของมดลูก
ติวคุณแม่ เตรียมตัวคลอด
คลอดยาก....
นี่ไง...สัญญาณใกล้คลอด
เลือกคลอดให้ตรงใจ
ท้องแบบไหนถึงผ่าคลอด
12 ชั่วโมงก่อนคลอด
Checklist for Baby
เทคนิคคลอดให้ง่าย
คลอดธรรมชาติ ผ่าคลอด
เทคนิคเตรียมตัวก่อนคลอด
เลือกคลอดแบบไหนดี
ขั้นตอนต่างๆ ที่เกิดขึ้นเมื่อไปถึงโรงพยาบาลเพื่อคลอดลูก
รายการสิ่งของในกระเป๋าเตรียมไปคลอด
เมื่อไรจะคลอด
Friends Blog
มิสซิสอาร์โนลด์
คุณแม่ลูกห้า
AnaBerry
จ้าว..จอม
บลูม่า
Minjoo
How is beautiful life
แม่มินจู
flower over the moon
i_tom
Webmaster - BlogGang
[Add เจ้าแม่แฟชั่น's blog to your weblog]
Link
เพลงเด็กๆ
อยู่ไฟด้วยตนเอง
การตั้งครรภ์ และคลอด
การวัดแสง
Bloggang.com
Pantip.com
|
PantipMarket.com
|
Pantown.com
| © 2004
BlogGang.com
allrights reserved.