Bloggang.com : เจ้าแม่แฟชั่น - ท้องนี้ห้ามขาด โฟลิก

ท้องนี้ห้ามขาด โฟลิก


	พระเอกที่เราจะพูดถึงวันนี้มีชื่อว่า กรดโฟลิก (Folic Acid) ซึ่งโจษขานฮือฮาในต่างประเทศมานาน และฮิตกันถึงเมืองไทย สร้างกระแสโฟลิกฟีเวอร์ในกลุ่มผู้หญิงวัยเจริญพันธุ์และคุณแม่ตั้งครรภ์ ได้ข่าวมาว่าได้รับความนิยมมากจนบางพื้นที่ในสหรัฐอเมริกา กรดโฟลิกถึงกับขาดตลาดเลยทีเดียว แม้จะดูเหมือนว่าเป็นกระแสแต่กรดโฟลิกก็หาใช่แฟชั่นที่มาแล้วหายไปเหมือนเทรนด์เสื้อผ้าแน่นอน เพราะเรายังต้องทำความเข้าใจและรู้จักกรดโฟลิกกันต่อไป ในฐานะที่เป็นสารอาหารซึ่งคุณแม่จำเป็นต้องได้รับให้เพียงพอทั้งก่อนและหลังการตั้งครรภ์ เพื่อช่วยป้องกันความพิการทางสมองของลูกน้อยในครรภ์ ว่าแต่ว่า โฟลิกมันคือ อะไรล่ะ? โฟลิกคืออะไร ? กรดโฟลิก เป็นสารอาหารชนิดหนึ่ง ละลายในน้ำได้ มีมากในผักใบเขียวและผลไม้บางชนิด เช่น ผักโขม บล็อกโคลี คะน้า หน่อไม้ฝรั่ง เห็ด มันฝรั่ง กะหล่ำดอก กะหล่ำปลี ผักกาดหอม ผักกาดเขียว ผักกาดแก้ว ถั่วลันเตา มะเขือเทศ แครอต ข้าวโพด ส้ม กล้วย ผลิตภัณฑ์จาก ถั่วเหลือง ถั่วสีเขียว ข้าวซ้อมมือ ขนมปังโฮลวีต ปลา นมสด ไข่แดง โยเกิร์ต ตับ เป็นต้น โฟลิกนั้นสำคัญไฉน กรดโฟลิก เป็นสารอาหารที่จำเป็นต่อการเจริญเติบโตและการเจริญพันธุ์ ช่วยป้องกันความผิดปกติของเลือด ผู้หญิงที่มีระดับของกรดโฟลิกต่ำ จะมีปัจจัยเสี่ยงต่อการคลอดบุตรที่มีความผิดปกติของท่อประสาท (Neural tube defect) ในอัตราที่สูงขึ้น รวมถึงลูกในครรภ์อาจได้รับการคุกคามจากภาวะล้มเหลวในการพัฒนาสมอง และกระดูกสันหลังด้วย นพ.วิชัย ชวาลไพบูลย์ สูติแพทย์ โรงพยาบาลกลาง ได้เล่าให้ฟังถึงบทบาทของกรดโฟลิกที่เด่นชัดมากขึ้นทุกทีว่า เกิดจากการศึกษาวิจัยที่แพร่หลายและชัดเจนในต่างประเทศถึงคุณสมบัติของกรดโฟลิกที่มีผลกับการเจริญเติบโตของลูกในครรภ์นั่นเองค่ะ โดยกรดโฟลิกได้เข้ามามีบทบาทเพราะมีการเก็บข้อมูล พบว่าแม่ตั้งครรภ์ที่ขาดกรดโฟลิกมีโอกาสคลอดลูกพิการทางระบบประสาทสูง โดยพบว่าแม่ที่คลอดลูกออกมาแล้วมีความพิการของสมองพอครรภ์ต่อไปให้รับประทานกรดโฟลิกตั้งแต่ก่อนตั้งครรภ์ จนถึงตั้งครรภ์ครบ 3 เดือนแรกพบว่าเมื่อลูกคลอดออกมา โอกาสเกิดสมองพิการลดลงอย่างเห็นได้ชัด จาการค้นพบจึงได้ข้อสรุปว่า กรดโฟลิกน่าจะป้องกันความพิการของสมองของทารกในครรภ์ได้ ถ้าแต่งงานแล้วเตรียมจะมีลูก ก็รับประทานกรดโฟลิกเตรียมไว้ได้เลย โดยเฉพาะช่วงตั้งครรภ์ 3 เดือนแรก จะช่วยลดโอกาสการเกิดความพิการทางสมองของลูกลงได้ การได้รับโฟลิกที่เหมาะสมโดยเฉพาะช่วง 12 สัปดาห์แรกของการตั้งครรภ์ ซึ่งอวัยวะของตัวอ่อนในครรภ์เริ่มสร้าง ถ้าคุณแม่ได้รับกรดโฟลิกจำนวน 0.4-0.5 มิลลิกรัมต่อวัน เป็นเวลาหลายเดือนก่อนการตั้งครรภ์จนถึงระยะอายุครรภ์12 สัปดาห์ จะช่วยป้องกันไม่ให้ทารกพิการเมื่อแรกคลอด เช่น เป็นโรค Spina Bifida (กระดูกสันหลังไม่ปิด) และ Anencerhalus (ไม่มีกระโหลกแต่กำเนิด) แพทย์ที่วิจัยแนะนำว่า เพื่อป้องกันไม่ให้ลูกในครรภ์เกิดโรค Spina Bifida จึงควรรับประทานกรดโฟลิกจำนวน 600 ไมโครกรัม (1000 ไมโครกรัม = 1 มิลลิกรัม) ต่อวันก่อนการตั้งครรภ์ จนถึงอายุครรภ์ 12 สัปดาห์ หรือแนะนำให้รับประทาน กรดโฟลิกจำนวน 400 ไมโครกรัม (0.4 มิลลิกรัม) และรับประทานอาหารที่มีกรดโฟลิกเสริมไปด้วย รับประทานกรดโฟลิกเมื่อใด ถ้าถามว่าทำไมถึงต้องรับประทานกรดโฟลิกตั้งแต่ก่อนตั้งครรภ์ และรับประทานไปจนถึงช่วงตั้งครรภ์ 3 เดือนแรก หากไปรับประทานหลังจากตั้งครรภ์แล้วเกิน 3 เดือนจะช่วยได้ไหม เรื่อนี้ขอยกคำอธิบายของคุณหมอวิชัยมาช่วยคลายความสงสัยให้ค่ะ “กรดโฟลิกมีความสำคัญต่อการตั้งครรภ์ตั้งแต่เริ่มมีการปฏิสนธิ เพราะตอนที่เซลล์แบ่งตัวเป็นสองเซลล์กรดโฟลิกจะช่วยให้การแบ่งตัวของเซลล์เป็นไปอย่างสมบูรณ์ และช่วยในการจัดสร้างโครงสร้างของสมองทารกให้สมบูรณ์ด้วย ดังนั้นถ้าขาดกรดโฟลิกในช่วง 2-3 สัปดาห์แรกหลังปฏิสนธิจะทำให้สมองทารกที่กำลังจัดตัวเป็นหลอดเหมือนหลอดกาแฟเกิดเสียหายบกพร่อง ทำให้มารกที่เกิดมามี สมองพิการ (NTDs-Neural Tube Defects) เช่น เป็นโรคสมองเปิด (Anencephaly ไม่มีกระโหลกศรีษะ) คือ เกิดช่องโหว่ที่ปลายสมอง เพราะหลอดสมองสร้างตัวไม่สมบูรณ์ ส่วนปลายหลอดไม่ปิด จึงไม่มีกะโหลกมาปิดสมองทำให้สมองไม่พัฒนาตามไปด้วยส่งผลทำให้เดินไม่ได้ ควบคุมระบบขับถ่ายไม่ได้ ไม่สามารถมีชีวิตต่อไปได้ ต้องเสียชีวิตหลังคลอดทุกราย การรับประทานกรดโฟลิกตั้งแต่ตอนยังไม่ตั้งครรภ์จึงช่วยลดอัตราเสี่ยงต่อการเป็นโรค NTDs ได้ถึง 75 เปอร์เซ็นต์ เพราะกรดโฟลิกมีบทบาทตั้งแต่การปฏิสนธินี่คือเหตุผลว่าทำไมเราจึงควรรับประทานกรดโฟลิกอย่างน้อย 1 เดือนก่อนการตั้งครรภ์ และรับประทานติดต่อไปถึงหลังตั้งครรภ์ 3 เดือนไปแล้ว จะไม่มีผลในการช่วยลดความเสี่ยงแต่อย่างใด ทั้งนี้เพราะตัวอ่อนได้สร้างโครงสร้างสำคัญของสมองไปแล้วตั้งแต่ช่วงตั้งครรภ์ 3 เดือนแรก” โฟลิก แบบเม็ดหรือแบบอาหารดี คุณแม่คนไทยอาจไม่ต้องกังวลเรื่องการขาดกรดโฟลิกมากนัก เพราะอาหารการกินของบ้านเราอุดมด้วยผักผลไม้แทบทุกฤดู ทางเลือกในการเพิ่มโฟลิกให้ร่างกายจากอาหารจึงมีได้มากกว่าและง่ายกว่าโฟลิกในรูปเม็ด การกรดโฟลิกบูมเป็นพลุแตกในต่างประเทศนั้นก็เพราะฝรั่งเป็นเมืองหนาว หาผักผลไม้รับประทานยาก จึงมีอัตราการขาดโฟลิกสูง สุดท้ายก็ต้องหันหน้าไปพึ่งโฟลิกในรูปเม็ดยา ในต่างประเทศมีการจัดกรดโฟลิกในรูปของยาเม็ดให้แม่ตั้งครรภ์รับประทาน 400 ไมโครกรัมต่อวัน ซึ่งกรดโฟลิกที่คุณหมอให้นี้ได้รับการยืนยันแล้วว่าไม่ส่งผลข้างเคียง และเนื่องจากสามารถละลายได้ในน้ำ กรดโฟลิกจึงไม่มีการสะสมในร่างกาย สามารถรับประทานติดต่อกันเป็นเวลานานได้ และร่างกายจะกำจัดส่วนเกินออกไปเองตามธรรมชาติเรื่อนี้คุณวิชัยมีข้อแนะนำให้ทั้งว่าที่คุณแม่และคุณแม่ตั้งครรภ์ดังนี้ค่ะ ถ้ารับประทานเป็นเม็ด จะการันตีว่าได้สารอาหารเข้าไปแน่ๆ ทุกวัน ในปริมาณที่คงที่และเพียงพอ แต่หากคุณแม่รับประทานอาหารที่มีกรดโฟลิกเพียงพอ เช่น ใน 1 วัน มีผักสดผลไม้สดทุกมื้อ ก็จะได้รับกรดโฟลิกอยู่เสมอ และช่วยในแง่การขับถ่าย ช่วยระบบการย่อยอาหารให้ดีขึ้นและยังได้วิตามินอื่นๆ ที่ขาดไป คุณแม่ตั้งครรภ์ที่รับประทานอาหารอย่างนี้สม่ำเสมอก็น่าจะได้กรดโฟลิกเพียงพอ แต่เพื่อความมั่นใจ ส่วนใหญ่หมอจะแถมยาเม็ดโฟลิกให้ด้วยในช่วง 3 เดือนแรก เพราะเราไม่รู้ว่าโภชนาการที่บ้านของคุณแม่แต่ละคนเป็นอย่างไรบ้าง แต่ถ้าตั้งครรภ์แล้วจึงมารับประทานกรดโฟลิก อาจจะไม่พอเพราะจริงๆ แล้ว กรดโฟลิกถ้าจะให้ได้ผลดีสามารถป้องกันความพิการของสมองลูกได้ ควรรับประทานก่อนตั้งครรภ์อย่างน้อย 3 เดือนถึงจะช่วยลดความพิการของสมองลูกได้” กรดโฟลิก ช่วยให้แม่ลูกฉลาดขึ้น ? มีงานวิจัยใหม่ๆ ในต่างประเทศบอกว่าหากแม่ตั้งครรภ์ได้รับกรดโฟลิก อย่างเพียงพอนอกจากจะลดโอกาสพิการทางสมองให้ลูกในท้องแล้ว โฟลิกยังจะไปช่วยเสริมสร้างเซลล์สมองของทั้งลูกและแม่ บางรายงานระบุว่า กรดโฟลิกอาจช่วยป้องกันโรคอัลไซเมอร์ และถ้าแม่ตั้งครรภ์ที่รับประทานกรดโฟลิกอย่างเพียงพอและสมบูรณ์ ลูกก็จะมีพัฒนาการทางสมองที่ดีมีการเสริมสร้างใยสมองอย่างมีประสิทธิภาพช่วยทำให้ลูกฉลาดขึ้นได้อีกด้วย กรดโฟลิกมีคุณค่ามากมายอย่างนี้ หันมารับประทานอาหารที่มีกรดโฟลิกเพิ่มขึ้นกันดีกว่า บางคนอาจจะบอกว่ารับประทานยาเม็ดก็น่าจะพอแล้ว ยังจะทำให้ร่างกายได้รับสารอาหารอื่นๆ ที่ล้วนจำเป็นต่อการเจริญเติบโตของลูกน้อยในครรภ์ทั้งสิ้น. (update 9 สิงหาคม 2006) [ ที่มา.. นิตยสารรักลูก ปีที่ 24 ฉบับที่ 280 พฤษภาคม 2549 ]