เก็บความทรงจำ..(^_^)..ความสนใจ โลกส่วนตัว ที่เราสร้างเอง
Group Blog
 
 
พฤษภาคม 2555
 12345
6789101112
13141516171819
20212223242526
2728293031 
 
22 พฤษภาคม 2555
 
All Blogs
 
ขุนศึก ตอนที่ 10-2 , 10-3


ยามเย็น ภายในคุกหลวง ผู้คุมกำลังเก็บสำรับกับข้าวของเสมา สำรับนั้นมิได้พร่องลงแม้แต่น้อย เพราะเสมากินไม่ลง เสมานั่งหน้าซึมเศร้าอยู่ที่มุมคุก
       “กินไม่ลง ก็ต้องฝืนใจบ้างนะคุณหลวง กลัดกลุ้มไป ก็ไม่มีกระไรดีขึ้นดอก” ผู้คุมว่า
       “อ้ายน้องชาย ข้าอยากได้แหวนที่สวมติดนิ้วสักหน่อย เอ็งคืนให้ข้าได้หรือไม่” เสมาว่า
       “ไม่ได้ดอก แล้วคุณหลวงจะเอาแหวนไปทำกระไร สำคัญนักรึ”
       เสมาหน้าซึมลงไปอีก เพราะแหวนที่อยากได้คือ แหวนที่เรไรให้ไว้ตั้งแต่คราวออกศึกครั้งแรก ซึ่งเสมาพกติดตัวมาตลอดนั่นเอง
       ฝ่ายเรไรเดินซึมอยู่ที่นอกชานบ้าน คิดถึงแต่เรื่องที่เสมาจะถูกประหารตลอดเวลา เรไรมองไปที่ต้นจำปีต้นเดิม ที่เป็นความรักความหลังอยู่ เรไรเอื้อมมือไปเด็ดดอกจำปีออกมาหนึ่งดอก เรไรมองดอกจำปีในมือ แล้วหลั่งน้ำตาลงมาอาบแก้ม แม้เรไรจะโกรธเสมาเพียงไหน แต่พอรู้ข่าวว่า เสมาจะตาย หัวใจของเรไรก็เหมือนถูกบีบราวกับจะตายตามเสมาเช่นกัน
       เสมาใช้เศษฟาง เศษหญ้าในคุกมาผูกร้อยทำเป็นแหวน เพื่อแทนแหวนของเรไรที่ถูกริบไป
       เสมาเอาแหวนเศษฟางสวมนิ้วตนแล้วมองดูต่างแหวนของเรไรวงนั้น เสมาสีหน้าเศร้าใจได้แต่เพียงพูดกับแหวนหญ้าฟางวงนั้น
       “แม่หญิงเรไร สุดรักของเสมา ชาตินี้คงหมดบุญ สิ้นวาสนา จะได้พบหน้ากันอีกแล้ว”
เสมากุมมือที่สวมแหวนหญ้าฟางไว้แนบอก น้ำตาคลอขึ้นมาท่วมตา


ผู้คุมเดินนำเสมาที่ถูกล่ามโซ่ที่มืออยู่ออกมาจนถึงหน้าคุกหลวงตอนกลางคืน เสมาถามขึ้น
       “น้องชาย เอ็งพาข้าออกมาที่นี่ทำกระไร”
       ผู้คุมพูดไปขณะกำลังไขโซ่ที่ล่ามมือเสมา
       “ประเดี๋ยวก็รู้เอง คุณหลวงอย่าถามกระไรมากเลย”
       ผู้คุมไขโซ่เสร็จก็เก็บโซ่เดินเข้าข้างในไป เสมามองตามผู้คุมด้วยความแปลกใจ พอมองไปรอบๆก็เห็นผู้หญิงคนหนึ่งคลุมหน้ายืนหันหลังให้เสมา เสมาดีใจพลางคิดว่าเรไรแอบมา
       “แม่หญิงเรไร”
       เสมารีบเข้าไปหาผู้หญิงคนนั้นทันที
       แต่ยังไม่ทันที่เสมาจะถึงตัว ผู้หญิงคนนั้นก็หันกลับมา ปรากฏว่าเป็นดวงแขนั่นเอง สีหน้าของเสมาผิดหวังเล็กน้อย
       “แม่หญิงดวงแข เอ่อ แม่หญิงมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร”
       ดวงแขยิ้มรับแล้วบอกว่า
       “ฉันรู้ข่าวว่าออกหลวงต้องโทษ แต่เกรงว่าพี่ขันกับแม่ท่านจะไม่ให้มาพบ เลยแกล้งเป็นลมแลป่วยไข้ พอมืดค่ำจึงลอบออกมา ออกหลวงอย่าเพิ่งถามกระไรเลย รีบหนีก่อนเถิด”
       “หนีรึ เราจะหนีได้อย่างไร”
       “ฉันติดสินบนผู้คุมคุกไว้ ประเดี๋ยวจะเกิดเพลิงไหม้ขึ้น แล้วทำทีเป็นว่าออกหลวงใช้ความวุ่นวายหลบหนีไป อย่าช้าเลย หากมีผู้ใดมาเห็นเข้าจักลำบาก”
       เสมาหน้าขรึมลง
       “ขอบน้ำใจแม่หญิงนัก แต่ข้าพระเจ้าหนีไปไม่ได้ดอก”
       “ไม่หนี แล้วจะยอมถูกประหารรึ” ดวงแขพูดอย่างร้อนใจ
       “ข้าพระเจ้าทิ้งชีวิตไปแต่เมื่อแพ้ศึกแล้ว ที่ยอมกลับมารับโทษก็เพื่อดำรงความศักดิ์สิทธิ์ของอาญาทัพไว้เท่านั้น แล้วแม่หญิงจะให้ข้าพระเจ้าหนีอีกรึ”
       “แล้วเสมาไม่ห่วงฉันบ้างรึ หากเสมาตายไป แล้วฉันจะอยู่ต่อได้กระไร”
       เสมายิ้มบางๆ จับมือดวงแข
       “น้ำใจแม่หญิงครานี้ เสมาจักจำไว้จนลมหายใจสุดท้าย แต่หากให้หนีโทษ ข้าพระเจ้าขอยอมตายลงในบัดเดี๋ยวนี้เสียดีกว่า”
       เสมาปล่อยมือดวงแขแล้วเดินกลับไปเข้าคุก ดวงแขมองตามด้วยความขุ่นเคือง ไม่เข้าใจว่าทำไมเสมาถึงทำแบบนี้

       ผู้คุมเปิดประตูคุกแล้วพาเสมากลับเข้าไปในคุก ภายในคุกมีพระราชมนูนอนหลับอยู่ ผู้คุมหงุดหงิดเพราะอดเงินสินบนพลางบ่น
       “มีแต่คนเค้าอยากหนี แต่นี่กลับอยากตายเป็นบ้าไปรึคุณหลวง...”
       ขาดคำ เสมาก็กระชากคอเสื้อผู้คุมมาขู่ตะคอกเสียงเหี้ยมทันที
       “เอ็งรับสินบาดคาดสินบนยังกล้าพูดเช่นนี้อีกรึ สาบานมาว่าต่อไปจะไม่ทำเช่นนี้อีก มิเช่นนั้น ข้าจะกล่าวโทษเอ็งให้โดนตัดคอเช่นข้า”
       ผู้คุมกลัวลนลาน
       “สาบานจ้ะ ฉันจะไม่ทำอีกแล้วจ้ะ”
       เสมายอมปล่อย ผู้คุมรีบกลัวลนลานหนีไป พระราชมนูที่นอนอยู่ลืมตาตื่นขึ้นแอบมองเสมา พร้อมกับยิ้มเล็กน้อย พอใจในความซื่อสัตย์ของเสมา

       เวลาเช้า … ขัน และพุฒ พร้อมทหารอาวุธครบมือบุกขึ้นเรือนเสมา ท่ามกลางความตกใจของสิน เอื้อยแตงและแต้มที่กำลังกินอาหารเช้ากันอยู่ แต้มโวยวายลั่น
       “เฮ้ยๆกระไรกันวะ เกรงอกเกรงใจกันบ้าง คนกำลังกินข้าวกินปลาไม่เห็นรึ”
       ขันตะคอก ชี้หน้าแต้ม
       “หุบปากอ้ายเฒ่า อ้ายเสมาจะถูกฟันคอวันพรึ่งแล้ว ทั้งเรือนแลข้าวของทั้งหมดต้องถูกริบเป็นของหลวง ข้ากับขุนวิเศษเป็นแม่กองรับผิดชอบเรื่องนี้เอง” ขันหันไปสั่งลูกน้อง
       “เฮ้ย ค้นให้ทั่ว”
       พวกทหารลุยค้นเรือนเสมาทันทีเพื่อหาของมีค่า …
       สินมองหน้าขันด้วยสายตาเกลียดชัง
       “นี่ถึงขั้นเสนอตัวเป็นแม่กองริบเรือนเองเลยรึ หากรู้อย่างนี้ วันที่เอ็งต้องโทษ ข้าคงฉวยโอกาสกำจัดไปแล้ว ไม่ปล่อยให้คนเนรคุณเช่นเอ็งขึ้นค้นเรือนเช่นนี้ดอก”
       “เอ็งอย่าปากดีนักอ้ายพันทิพ หากข้ารู้ว่าเอ็งจงใจช่วยเหลืออ้ายเสมาเอ็งไม่รอดแน่”
       พวกทหารค้นจนทั่วก็เดินออกมาหาขันและพุฒ
       “ว่าอย่างไร พวกเอ็งเจอกระไรบ้าง” พุฒถามขึ้นอย่างร้อนใจ
       “ไม่เจอเลยขอรับ ไม่มีผู้ใดอยู่ ข้าวของก็มีแต่ถ้วยหักกะลาบิ่นหาค่ามิได้เลยขอรับ” ทหารคนหนึ่งพูดขึ้น
       “ผู้ใดก็รู้ ว่าหลวงโจมจัตุรงค์ยากจนนัก เงินทองที่ได้เป็นบำเหน็จศึกก็เอาไปไถ่ตัวน้องจนสิ้น หากผู้ใดยังคิดริบของมีค่าอีกก็โง่เต็มทนแล้ว” เอื้อยแตงพูดยิ้มเยาะ
       ขันหันมาตะคอกเอื้อยแตง
       “พวกเอ็งเอาพ่อกับน้องอ้ายเสมาไปซ่อนไว้ที่ใด”
       สินตะคอกสวนทันที
       “แล้วเอ็งจักอยากรู้ไปหากระไร แพ้ศึกไม่ได้เป็นกบฏ โทษไม่ถึงพ่อถึงน้องดอกโว้ย เว้นแต่เอ็ง จะหาเรื่องใส่ไคล้ก็บอกมา”
       ขันขบกรามแน่น แต่ก็ไม่กล้าเถียงมากเพราะสินรู้ทัน พุฒมีสีหน้าติดใจสงสัยปนเสียดาย
       “ไม่อยู่บนเรือน แล้วอยู่ที่ใดวะ”

       สมบุญกำลังพายเรือให้จำเรียงกับมั่นนั่ง
       “เมื่อโทษทัณฑ์ไม่ถึงข้ากับนังจำเรียง แล้วเราต้องหนีด้วยรึพ่อพันเทพ” มั่นพูดขึ้น
       “กันไว้ก่อนเถิดจ้ะ อ้ายขันเป็นคนพาลสันดานหยาบ หากไม่มีพี่เสมาแล้ว มันอาจจะหาเรื่องกลั่นแกล้งเอาได้” สมบุญบอก
       “หากพี่เสมาโดนประหาร แม้ศพฉันก็ยังไม่ได้เห็นอีกรึ” จำเรียงถาม
       “มันเป็นคราวจำเป็น แม่จำเรียงกับพ่อมั่นเอาตัวรอดก่อนเถิด เรื่องที่เหลือฉันกับอ้ายสินจัดการเอง”
       “แม้เรือนก็ยังไม่มีอยู่ ไม่รู้จะตามทำร้ายกันไปถึงเพียงไหน”
       “ถึงไม่มีเรือนแลของมีค่า แต่พี่เสมายังมีของสำคัญอีกอย่าง หากผู้ใดเป็นทหาร ย่อมอยากได้ไว้ทั้งสิ้น ฉันจึงเกรงว่าพ่อกับแม่จำเรียงจะพลอยเดือดร้อนไปด้วย”
       “ของสำคัญ อ้ายเสมาน่ะรึ มีของสำคัญ หรือพ่อพันเทพหมายถึง...” มั่นพูดค้างไว้

       ขุนรามเดชะกำลังพูดคุยกับพันอินด้วยสีหน้าเคร่งเครียดที่บ้านพันอิน
       “ดาบแสนศึกพ่ายของอ้ายเสมา นับเป็นยอดศาตราวุธที่หายากยิ่ง”
       ศรีเมืองถือถาดใส่ขันน้ำลอยดอกมะลิ กับขนมทานเล่นออกมาให้
       “อ้ายมั่นพ่ออ้ายเสมาเป็นช่างตีดาบที่หาตัวจับยาก เมื่อตีดาบคู่มือให้ลูกชาย ย่อมต้องตีให้ดีกว่าทุกคราว แลได้พระครูขุนวัดพุทไธสวรรย์ปลุกเสกอีก ฉันจึงเสียดายนักหากต้องถูกริบไป” ขุนรามเดชะว่า
       “แต่วันพรึ่ง พี่เสมาก็ต้องถูกประหารแล้ว คงช่วยกระไรไม่ได้แล้วกระมังจ๊ะ”
       “ไม่ดอก ลุงให้คนตรวจดูแล้ว หามีดาบแสนศึกพ่ายในรายชื่อของที่ถูกริบไม่ หากอ้ายเสมาไม่ซ่อนไว้ก็คงยกให้ผู้อื่นไปแล้ว” ขุนรามเดชะหันไปเลียบเคียงถามพันอิน
       “เอ่อ มิทราบว่าเสมาบอกกระไรท่านขุนบ้างหรือไม่ อย่างไรเสีย ท่านขุนก็เป็นพ่อบุญธรรมน่าจักฝากฝังกระไรไว้บ้าง”
       พันอินยิ้มบางๆแล้วว่า
       “ฉันรับเจ้าเสมาเป็นลูกบุญธรรมมานานปี เพิ่งรู้วันนี้เองว่าดาบคู่มือมันชื่อดาบแสนศึกพ่าย นับแต่ฉันกับเสมาผิดใจกันเรื่องแม่ศรีเมือง ก็ไม่ใคร่ได้พูดจากันเท่าใดดอก ออกหลวงลองถามผู้อื่นเถิด”
       ขุนรามเดชะผิดหวังมาก
       “ถ้ากระนั้นก็ช่างเถิด ฉันลาก่อนนะท่านขุน”
       พันอิน และศรีเมืองไหว้ลาขุนรามเดชะ รามเดชะเดินเซ็งๆกลับไป ศรีเมืองมองตามด้วยความไม่พอใจ “เห็นชังน้ำมะหน้าพี่เสมานัก แต่กลับไม่รังเกียจดาบของไพร่ต่ำสกุล อย่างนี้เค้าเรียก...”
       “แม่ศรีเมือง” พันอินปรามไม่อยากให้ลูกก้าวร้าว
       “ขอประทานอภัยเจ้าค่ะพ่อท่าน”
       พันอินมองตามรามเดชะไป ไม่พอใจเหมือนกันที่ขุนรามเดชะเป็นคนแบบนี้

       ภายในห้องนอนของดวงแข ขันกำลังทะเลาะกับดวงแขโดยมีอำพันนั่งหน้าเครียดอยู่ใกล้ๆ
       “วันพรึ่งมันก็จะโดนบั่นคอแล้ว แม่ดวงแขยังจะให้พี่ช่วยมิเท่ากับให้พี่ไปตายแทนอ้ายเสมารึ” ขันว่า
       “ฉันไม่ได้หมายความเช่นนั้น แค่อยากให้พี่ขอร้องบรรดาออกญาผู้ใหญ่ ให้ช่วยกราบบังคมทูลขอโทษตายเท่านั้น เพียงเท่านี้ไม่มีผู้ใดเดือดร้อนดอก”
       “ช่วยน้องสักคราเถิดพ่อขัน แม่ดวงแขรับกับแม่แล้วว่ามีใจให้หลวงโจม หากหลวงโจมตายเสียน้องจะอยู่อย่างไรเล่า” อำพันว่า
       “เงินทองเรามีออกพะเนิน จะอยู่ไม่ได้เพราะอ้ายช่างตีเหล็กก็ให้มันรู้ไป ลูกจะไม่ช่วยมันเป็นอันขาด เพราะลูกไปขอออกญายมราชให้ลูกคุมการประหารแล้วด้วย ครานี้ลูกได้เห็นคอมันขาดคาตาแน่” ขันยิ้มเหี้ยม
       “พี่ขัน นี่ทำถึงเพียงนี้เชียวรึ ถ้ากระนั้นฉันจะบอกแม่เรไรให้หมดว่า แม่เรไรหลงโกรธเสมาเพราะอุบายของฉันกับพี่”
       “นี่เจ้าสองคนทำกระไรกัน” อำพันถามอย่างตกใจ
       “ก็ตามใจแม่ดวงแขเถิด หากอ้ายเสมาตายจากไปแล้ว อย่างไรเสียแม่หญิงเรไรก็ไม่พ้นมือพี่เป็นแน่ ถึงจักโกรธเกลียดพี่ แม่หญิงก็ขัดใจท่านอาขุนรามไม่ได้ดอก”
       ขันเปิดประตูเดินหงุดหงิดออกจากห้องไป ดวงแขได้แต่มองตามด้วยความแค้นใจขันที่ไม่ยอมช่วยเหลืออะไรเลย

       เวลาเย็น ภายในบ้านขุนรามเดชะ พิณกำลังคุกเข่ารายงานให้เรไรฟัง
       “วันพรึ่งหลังจากหลวงโจมโดนประหารแล้ว ก็คงริบเรือนแลของมีค่าทั้งหมด”
       เรไรตกใจจนหน้าซีดเผือด
       “แต่บ่าวรู้มาว่า พ่อเฒ่ามั่นกับแม่จำเรียงหลบหนีไปแล้ว คงเกรงว่าหลังจากหลวงโจมตาย ขุนณรงค์จะกลั่นแกล้งกระมังเจ้าคะ”
       “นี่ถึงขั้นบ้านแตกสาแหรกขาดกันเชียวรึ” เรไรพูดอย่างเศร้าใจจนพิณนึกสงสาร
       “แล้วแม่หญิงจะไปเยี่ยมหลวงโจมหรือไม่เจ้าคะ หากไม่ไปก็คงไม่มีโอกาสอีกแล้วนะเจ้าคะ”
       เรไรลังเลสุดๆ ไม่รู้จะเอายังไงดี ขณะนั้นเอง ลำภูก็เดินออกมาจากข้างในและพูดขึ้นอย่างรู้ทัน
       “จะชวนลูกข้าออกไปที่ใดรึนังพิณ”
       พิณ รีบก้มหน้าหลบตาทันที
       “เปล่า เปล่าเจ้าค่ะ”
       ลำภูเหล่มองพิณแบบระแวง ก่อนจะหันไปพูดกับเรไร
       “แม่เรไรคงไม่ลืมว่า คราก่อนพ่อของลูกต้องโทษเพราะผู้ใดปรักปรำ หวังว่าแม่เรไรคงไม่กระทำ
       การใดให้เสื่อมเสียไปกว่านี้อีก”
       เรไรหน้าขรึมลง
       “แม่ท่านวางใจเถิดเจ้าค่ะ ลูกลั่นปากว่าตัดเป็นตัดตายกับชายผู้นั้นแล้ว ลูกก็ไม่คิดจะไปพบหน้าให้ถูกติฉินนินทาดอกเจ้าค่ะ”
       สายตาเรไรดูแข็งกร้าว เด็ดเดี่ยวกับการตัดสินใจ

       ผู้คุมเดินนำเสมาซึ่งถูกล่ามโซ่ที่มือออกมาจากคุกในเวลากลางคืน ผู้คุมหันไปไขโซ่ที่มือให้เสมา พอโซ่หลุด เสมาก็กระชากคอเสื้อผู้คุมทันทีแล้วตะคอกใส่ทันที
       “เอ็งสาบานแล้วไม่ใช่รึ ว่าจะไม่รับสินบนอีก แล้วนี่หมายความว่ากระไร”
       “หามิได้ ฉันไม่ได้รับสินบนจริงๆ เพียงแต่มีคนอยากพบคุณหลวง เลยขอให้ฉันช่วยเท่านั้นจ้ะ”
       “ผู้ใดอยากพบข้า”
       ผู้คุมชี้นิ้วให้เสมาดู เสมามองตาม เห็นผู้หญิงคนหนึ่งคลุมผ้ายืนหันหลังให้เสมาอยู่ห่างออกไป เสมาถอนใจแล้วพึมพำขึ้น
       “แม่หญิงดวงแข”
       ผู้คุมปล่อยเสมาให้แล้วเดินเข้าไปหาแล้วรีบเดินหนีไปทันที
       “แม่หญิง...”
       ผู้หญิงคนนั้นหันกลับมา ปรากฏว่าเป็นเรไรนั่นเอง เสมานึกไม่ถึงก่อนจะยิ้มดีใจสุดๆ แต่ยังไม่ทันพูดอะไร เรไรก็โผเข้ากอดเสมาทั้งน้ำตาคลอ เสมาอึ้งไปคิดด้วยไม่ถึง เสมากอดเรไรตอบด้วยความรักสุดหัวใจ เรไรน้ำตาคลอ ทั้งรักทั้งแค้น
       “ฉันชังท่านนัก ฉันเคยลั่นปากตัดเป็นตัดตายจะไม่พบหน้าท่านอีก แต่ท่านก็ทำให้เสียสัตย์ครั้งแล้วครั้งเล่า”
       เสมายิ้มบางพลางว่า
       “นั่นแม้เพราะถึงเราโกรธเคืองกัน แต่ไม่ได้เกลียดกัน แม่หญิงถึงตัดข้าพระเจ้าไม่ขาดไงเล่า”
       เรไรผละจากกอด มองหน้าเสมาด้วยความรักและเศร้าเสียใจพร้อมๆกัน
       “แต่ครานี้คงเป็นครั้งสุดท้ายแล้วที่เราสองจะได้เจอหน้ากัน ไม่ว่าแต่ก่อนเกิดเรื่องกระไรขึ้น ฉันก็ขออโหสิให้ทั้งสิ้น”
       เสมามองเรไรด้วยความรักเต็มเปี่ยม
       “แต่ข้าพระเจ้าไม่ยอมอโหสิให้แม่หญิงเป็นอันขาด เพื่อที่ข้าพระเจ้าจะได้ตามพบเจอแม่หญิงทุกชาติทุกชาติไป”
       เรไรน้ำตาคลอเบ้าท่วมขึ้นมาอีก เสมาดึงเรไรกลับเข้ามากอดไว้แนบแน่น ไม่ว่าจะโกรธกันแค่ไหน แต่ตอนนี้มีแต่ความรักเท่านั้นที่มอบให้กัน

       พระอาทิตย์ขึ้นยามเช้า ผู้คุมเปิดประตูคุกให้เสมาเดินออกมาหาพุฒซึ่งจัดอาหารอย่างดีทั้งหมูเห็ดเป็ดไก่เต็มโต๊ะเพื่อเอาใจเสมา
       “คงเห็นว่าฉันใกล้จักตายแล้วกระมัง ขุนวิเศษจึงจัดอาหารคาวหวานอย่างดีให้ฉันเช่นนี้” เสมาว่า
       พุฒยิ้มประจบแล้วว่า
       “ฉันเพียงแต่เห็นว่าเราเป็นอริกันมานานนัก จึงอยากขออโหสิกับคุณหลวงเสีย แลใคร่จะทำคุณกับหลวงท่านสักครั้งหนึ่งพอเป็นเครื่องขมาลาโทษ”
       เสมาหัวเราะ
       “ยังจะมีสิ่งใด พอจะเป็นคุณแก่ข้าพระเจ้าในขณะจะตายนี้พอให้ท่านสนองได้อีกรึ” เสมาว่า
       “ก็เรื่องพ่อท่านกับแม่จำเรียงกระไรเล่า หรือคุณหลวงไม่รู้ ว่าขุนณรงค์นั้นถืออาฆาตนัก แม้ท่านตายไปก็ยังไม่วายกลั่นแกล้งพ่อแลน้องท่านอีก คุณหลวงคงไม่อยากให้พ่อกับน้องต้องคอยหลบหนีลำบากได้ยากกระมัง”
       “อีกไม่นานนัก คอเสมาก็จะไม่อยู่บนบ่าแล้ว ขุนวิเศษอย่ามัวอ้อมค้อมอยู่เลย ท่านต้องการสิ่งใดแลกเปลี่ยนก็บอกมาเถิด”
       พุฒยิ้มเจ้าเล่ห์
       “ดาบแสนศึกพ่ายของคุณหลวงอยู่ที่ใดรึ”
       เสมามองพุฒแล้วยิ้มบางๆ เพราะเดาไว้ไม่ผิดจึงแกล้งถอนใจ
       “ฉันใกล้ตายแล้วใช่จะหวงสมบัตินอกกาย แต่หลวงรามเดชะมีพระคุณเคยอุปการะฉันมาแต่ก่อน จึงตั้งใจจะยกดาบคู่นี้ให้”
       พุฒรีบยุแยงทันที
       “หลวงรามเค้าชังท่านนักสารพัดจะดูถูก ไม่เช่นนั้นจะกีดกันท่านกับแม่หญิงเรไรรึ แลหลวงรามมีคุณแค่รับท่านเป็นทหารเท่านั้น ถึงท่านไม่สังกัดหลวงรามก็ไปสังกัดผู้อื่นได้ จะถือเป็นคุณกระไรนัก เชื่อฉันเถิดคุณหลวง หากคุณหลวงบอกที่ซ่อนดาบ ฉันให้สัตย์ว่าจะดูแลพ่อกับน้องท่านอย่างดี”
       เสมาแกล้งทำเป็นกลัดกลุ้ม ลังเลว่าจะเอาไงดี ผู้คุมแอบฟังการสนทนาด้วยสีหน้าแววตาเจ้าเล่ห์

       ที่หน้าบ้าน ขุนรามเดชะกำลังตื่นเต้นขณะคุยกับผู้คุมของเสมา
       “จริงรึ หลวงโจมเอาดาบไปซ่อนถึงป่าโตนดเชียวรึ”
       “ไม่ผิดดอกขอรับ ข้าพระเจ้าได้ยินมาเต็มสองหู ว่าซ่อนดาบไว้ใต้ไม้ใหญ่ในป่าโตนดก่อนข้ามลำน้ำขอรับ”
       “ไม่เสียแรงที่ข้าไหว้วานให้เอ็งคอยสืบข่าวให้”
       ขุนรามเดชะหยิบถุงใส่เงินยื่นให้ผู้คุม ผู้คุมยกมือไหว้แล้วรับถุงใส่เงินมาด้วยความดีใจ
       “มีอีกข้อขอรับ ทีแรกหลวงโจมตั้งใจจะยกดาบให้พระคุณ แต่ขุนวิเศษให้สัตย์ว่าจะปกป้องพ่อแลน้องของหลวงโจมไว้ หลวงโจมจึงได้เปลี่ยนใจขอรับ”
       ขุนรามเดชะมีสีหน้าไม่พอใจ
       “หลวงโจมคงรำลึกถึงคุณที่ข้ารับเป็นทหาร จึงจะยกดาบให้ แต่ขุนวิเศษทำเช่นนี้ก็เหมือนตัดหน้าข้า แลตัวเองก็ใช้กระบี่เป็นอาวุธ แล้วจักอยากได้ดาบไปเพื่อกระไร ช่างโลภมากนัก”
       “ถ้ากระนั้นพระคุณรีบไปเถิดขอรับ ทางไปป่าโตนดไกลนัก หากช้าขุนวิเศษจะชิงดาบไปเสียก่อน”
       ขุนรามเดชะ สีหน้าขึงขังไม่พอใจ ยังไงก็ไม่ยอมให้คนอื่นแย่งดาบไปแน่

       ยามเช้า … สินกำลังเช็ดถูเรือนบ้านเสมาอยู่ เอื้อยแตงเดินหงุดหงิดออกมาจากข้างใน พอเห็นสินเช็ดถูเรือนอย่างไม่มีท่าทีเดือดร้อนอะไร เอื้อยแตงก็ยิ่งหงุดหงิด
       “เอ็งเป็นสุขเหลือเกินนะอ้ายสิน อีกไม่กี่ชั่วยามพี่เสมาก็จะถูกประหารแล้ว คงดีใจล่ะซี”
       สินชักไม่พอใจขึ้นมาทันที
       “แม่เอื้อยแตงเห็นข้าเลวถึงเพียงนี้เชียวรึ ถ้าข้าคิดชั่วจริงอย่างใจแม่คิด คราวที่พี่เสมาจะฆ่าตัวตาย ข้าจะช่วยไว้รึ เหตุใดไม่คิดบ้างเล่า”
       เอื้อยแตงเห็นสินโกรธก็เสียงอ่อยลง
       “ก็ข้าเห็นเอ็งเย็นใจหามีท่าทีเดือดร้อนกระไรไม่ ก็ต้องเข้าใจเช่นนั้นซี”
       “ฉันห่วงพี่เสมาไม่น้อยกว่าแม่เอื้อยแตงดอก แต่แรกคิดจะปล้นลานประหารเสียด้วยซ้ำ แต่อ้ายสมบุญเตือนฉันว่า อ้ายขันต้องให้ทหารล้อมไว้แน่นหนาคงยากที่จักทำการสำเร็จ ฉันจึงคิดหาทางอื่นจนไม่ได้นอนทั้งคืน เพิ่งจักหาทางได้เมื่อรุ่งสางนี้เอง”
       “ทางกระไรรึ” เอื้อยแตงน้ำเสียงตื่นเต้นดีใจ
       สินเห็นเอื้อยแตงตื่นเต้นก็มีท่าทีกระหยิ่มยิ้มย่อง อยากอวดความสามารถให้เอื้อยแตงเห็น

       ยามเช้าที่วัดพุทไธสวรรย์ พระครูขุนกำลังรินน้ำชาร้อนๆขึ้นจิบด้วยสีหน้าครุ่นคิด โดยมีสิน สมบุญและเอื้อยแตงนั่งพับเพียบอยู่ใกล้ๆ
       “เอ็งจักให้ข้าบิณฑบาตชีวิตอ้ายเสมาเช่นเดียวกับที่สมเด็จพระพนรัตน์ท่านทำไม่ได้ดอก เพราะข้าไม่ได้มีบรรดาศักดิ์สงฆ์ ผู้ใดจะยอมให้ข้าเข้าเฝ้าองค์พ่ออยู่หัวกัน”
       “อ้าว” สินร้องขึ้นอย่างหน้าเสีย
       เอื้อยแตงเซ็งสุดๆ
       “ข้ามันโง่เองที่หลงเชื่อปัญญาเอ็ง นี่รึ คิดจนไม่ได้นอนทั้งคืน แต่แรกที่ข้ารู้ว่าพี่เสมาต้องโทษ ข้าก็มาหาหลวงตาท่านแล้ว แต่ท่านช่วยไม่ได้ดอก ข้าจึงกลุ้มใจนัก”
       สินกลายเป็นโง่ไปซะอีก
       “ฉันจะไปฉลาดเหมือนแม่เอื้อยแตงได้กระไรล่ะจ๊ะ”
       เอื้อยแตงทิ้งค้อน ถ้าไม่ใช่ต่อหน้าพระคงด่าแหลกไปแล้ว
       สมบุญหน้าเครียดขึ้นทันที
       “แล้วเราไม่มีหนทางอื่นใดที่จักช่วยพี่เสมาได้เลยหรือขอรับ ข้าพระเจ้าเที่ยวขอความเมตตาจากออกญาผู้ใหญ่หลายท่าน แต่ก็ไม่มีผู้ใดช่วยได้เลย”
       “ผู้อื่นช่วยไม่ได้ดอก แต่มีอยู่ผู้หนึ่งที่ช่วยได้ แล้วหากชะตาอ้ายเสมายังไม่ถึงฆาต วันนี้ ข้าก็อาจจะได้พบท่านผู้นั้น”
       ทั้งสิน สมบุญและเอื้อยแตงตื่นเต้นมากถามขึ้นพร้อมกันด้วยสีหน้าอยากรู้มาก
       “ผู้ใดกันขอรับ / ผู้ใดกันเจ้าคะ”
       พระครูขุนมีสีหน้านิ่งขรึมไป

       ในโบสถ์วัดพุทไธสวรรย์ พระวิสุทธิกษัตรีย์ทรงก้มลงกราบพระประธานในโบสถ์ หลังกราบเสร็จพระองค์พีราชดำเนินออกมาจากโบสถ์ โดยหน้าโบสถ์มีข้าหลวงคอยต้อนรับ และมีโขลน (ตำรวจวังหญิง) คอยให้ความคุ้มกัน
       ขณะนั้นเอง พระครูขุนก็เดินเข้ามาพระวิสุทธิกษัตรีย์
       “โยมจะเสด็จกลับแล้วรึ”
       “เจ้าค่ะ หลวงพ่อมีกระไรหรือเจ้าคะ”
       “อาตมามีเรื่องทุกข์ใจ ใคร่อยากจะขอพระเมตตาจากโยม ช่วยอาตมาสักหน่อย”
       “บอกมาเถิดเจ้าค่ะ การทำให้สมณะชีพราหมณ์ปฏิบัติธรรมโดยเป็นสุขเป็นหน้าที่ผู้เกิดในตระกูลกษัตริย์อยู่แล้วเจ้าค่ะ”
       พระครูขุนยิ้มบางๆ เริ่มมีความหวังที่จะช่วยเสมาได้แล้ว

       ยามเช้า ภายในห้องนอนของดวงแข ขันให้ทาสหญิงช่วยกันจับดวงแขเข้าไปขังในห้องนอน ดวงแขพยายามดิ้น
       “ปล่อยข้า พวกเอ็งกล้าเหิมเกริมจับข้ารึ ปล่อยข้า พี่ขัน ทำกับน้องถึงเพียงนี้เชียวรึ”
       “หากแม่ดวงแขไม่ดื้อกับพี่ ไหนเลยพี่จะทำเล่า”
       ขันหันไปสั่งทาสหญิง
       “เอาตัวแม่หญิงดวงแขไปไว้ในห้อง”
       พวกทาสช่วยกันพาดวงแขไปไว้ในห้องนอน แล้วปิดประตูลงกลอนล่ามโซ่ขังดวงแขไว้ ดวงแขทุบประตูไม่ยั้งด้วยความโมโหมาก
       “เปิด เปิดซีเปิดประตูให้น้องออกไปประเดี๋ยวนี้ พี่ขันๆ”
       อำพันได้ยินเสียงลูกสาวเอะอะ ก็รีบเดินเข้ามาดู
       “นี่ทำกระไรน่ะพ่อขัน เป็นบ้าไปแล้วรึ ปล่อยน้องประเดี๋ยวนี้นะ” อำพันว่า
       “แม่ท่านรู้หรือไม่ขอรับ ว่าแม่ดวงแขยังคิดขัดขวางไม่ให้ลูกประหารอ้ายเสมา แม่ท่านก็รู้ว่าขัดพระบรมราชโองการมีโทษสถานใด ถ้าแม่ท่านอยากให้ปล่อยแม่ดวงแข เพื่อให้แม่ดวงแขไปตาย ก็ตามแต่ใจเถิดขอรับ”
       ขันพูดจบก็เดินเลี่ยงไป อำพันอึ้งทำอะไรไม่ถูก ไม่ปล่อยก็สงสาร แต่ปล่อยก็กลัวดวงแขไปตายจริงๆ

       ตำรวจคุมตัวเสมากับพระราชมนูที่ถูกล่ามโซ่ทั้งมือทั้งเท้าออกจากคุกเพื่อจะเอาไปประหาร
       พระราชมนูยิ้มๆแล้วว่า
       “คงถึงคราวของเราสองแล้วคุณหลวง ฉันสั่งเสียลูกเมียไว้สิ้นแล้ว คุณหลวงเล่า”
       “ข้าพระเจ้าไม่มีสิ่งใดจักสั่งเสียดอกขอรับ เพียงแค่ได้ร่วมตายกับทหารกล้าเช่นพระคุณ ก็เป็นเกียรติสูงสุดแล้วขอรับ”
       พระราชมนูยิ้มพอใจ ก่อนจะหันไปพูดกับตำรวจ
       “เอ็งรู้หรือไม่ ว่าผู้ใดจะมาคุมการประหารข้าจักได้ขออโหสิกรรมเสียแต่เพลานี้”
       ตำรวจยังไม่ทันตอบ ขันก็เดินยิ้มสะใจเข้ามาหา
       “ข้าพระเจ้าเองขอรับคุณพระ ข้าพระเจ้าก็ตั้งใจจะขออโหสิกรรมกับคุณพระอยู่แล้ว”
       ขันหันไปจ้องหน้าเสมาด้วยสายตาเหี้ยมเกรียม
       “แต่กับบางคน ข้าพระเจ้าไม่เคยคิดอโหสิให้ หากจะจองเวรกันต่อไป ข้าพระเจ้าก็พร้อมจะจองเวรด้วย”
       เสมาจ้องขันนิ่ง แล้วยิ้มเยาะ
       “คงจะติดใจรสดาบของข้ามากกระมังขุนณรงค์ ชาตินี้โดนไปหลายแผลยังไม่พอจึงอยากโดนในชาติหน้าด้วย”
       ขัน และเสมา จ้องหน้ากันราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ ต่างฝ่ายต่างไม่ลงให้กัน

       เรไรเดินซึมๆออกมาที่นอกชานเรือน โดยมีพิณเดินตามรับใช้มาติดๆ เรไรเหม่อมองไปที่ต้นจำปีต้นเดิม ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นความรัก ขณะที่เรไรกำลังมองต้นจำปีด้วยสายตาเศร้าสร้อย พลันได้ยินเสียงกลองตีดังนำมา เรไรก็ใจหายวูบวาบ
       “เสียงกลองกระไรเจ้าคะแม่หญิง สายป่านฉะนี้ ยังมีวัดใดตีกลองอีก” พิณถามขึ้น
       เรไรหน้าเสียแล้วตอบ
       “ไม่ใช่วัดดอก แต่เป็นเสียงกลองบอกว่าจะมีการประหารต่างหาก”
       “แม่หญิงจะไม่ไปหาหลวงโจมจริงหรือเจ้าคะ ครั้งสุดท้ายแล้ว”
       เรไรน้ำตาคลอเบ้า ความกดดันโศกเศร้าที่เก็บกดไว้ด้วยทิฐิ พังทลายลงจนหมด
       “แล้วเจ้าจะให้ฉันไปดูคนที่ฉันรักตายต่อหน้ารึ”
พิณนิ่งไป รู้ว่าเรไรเสียใจมากขนาดไหนเลยไม่กล้าพูดอีก เรไรน้ำตาไหลซึมออกมา นับจากนี้เรไรจะไม่ได้เห็นหน้าเสมาอีกแล้ว
ยามบ่ายในท้องพระโรง สมเด็จพระนเรศวรกำลังคุยกับพระวิสุทธิกษัตรีย์ โดยมีพระเอกาทศรถประทับยืนอยู่ใกล้ๆ ในขณะที่สิน สมบุญ และมหาดเล็กคนอื่นๆนั่งคุกเข่าเข้าเฝ้าอยู่ใกล้ๆ

       “แม่เห็นว่าศึกละแวกครานี้ ใช่ว่าเราจะพ่ายแพ้ก็หาไม่ แม้จะตีเมืองละแวกไม่แตก แต่ก็ยังได้เมืองปัตบองแลโพธิสัตว์ หากยังลงโทษถึงตายอีกก็หาควรไม่”
       “ใช่ว่าลูกจะมีใจคอโหดร้าย แต่อาญาทัพ แม้เป็นพ่อลูกก็เว้นไม่ได้ ไม่เช่นนั้นเหล่าทหารจะไม่ยำเกรงจนทำศึกย่อหย่อนให้เป็นอันตรายต่อบ้านเมืองได้”
       พระเอกาทศรถคิดอยู่ครู่นึง
       “ถ้ากระนั้นก็เว้นโทษตายแต่ให้คงโทษเป็นไว้ โดยให้พระราชมนูไปรบศึกอื่นเพื่อแก้ตัว ส่วนหลวงโจมก็ให้ปลดไปเป็นตะพุ่นหญ้าช้างเสีย เห็นเป็นเช่นไรพระพุทธเจ้าข้า”
       “แม่เห็นด้วยกับองค์ขาว แลแม่ตั้งใจจะสร้างพระที่พิษณุโลกสองแควจึงอยากให้ลูกประทานชีวิตให้เป็นทานเพื่อเป็นกุศลในการสร้างพระของแม่ด้วย”
       “เมื่อสมเด็จแม่ตรัสเช่นนั้น ลูกก็ขอถวายเป็นกุศลด้วย”
       สมเด็จพระนเรศวรหันไปสั่งสินและสมบุญ
       “พวกเจ้าจงเร่งไปเอาธงห้ามการประหารไปโดยเร็ว เพราะใกล้ถึงฤกษ์ประหารแล้ว”
       สินกับสมบุญดีใจสุดๆ ถวายบังคมขึ้นพร้อมกัน
       “เป็นพระมหากรุณาธิคุณพระพุทธเจ้าข้า”

       มหาดเล็กคนหนึ่งกำลังไขโซ่เพื่อเปิดประตูห้อง โดยมีสินและสมบุญยืนลุ้น กระวนกระวายอยู่ใกล้ๆ
       “ธงมีหลายผืน แต่ละผืนจะแจ้งสัญญาณต่างกัน หัวพันจงไปหยิบธงขลิบขาวที่แขวนไว้บนผนัง แล้วรีบไปเถิด”
       สินยิ้มแย้มดีใจ
       “ขอบน้ำใจมากจ้ะพ่อ”
       สินรีบเข้าไปในห้อง ซักพักก็กลับออกมาพร้อมธงขาวผืนใหญ่
       “ข้ารีบไปก่อนนะอ้ายสมบุญ”
       สินรีบวิ่งนำธงขาวไปทันที
       มหาดเล็กมองตามแล้วฉุกคิดขึ้นแล้วร้องขึ้นอย่างตกใจมาก
       “ประเดี๋ยวก่อน กลับมาก่อน กลับมา”
       “มีกระไรรึ” สมบุญถามอย่างแปลกใจ
       “ข้าบอกให้เอาธงขลิบขาว หมายถึงธงแดงขลิบขาวที่แขวนบนผนัง ไม่ใช่ธงขาวทั้งผืน นั่นมันธงเร่งประหาร จะเอาไปทำกระไร”
       สมบุญตกใจสุดๆ รีบวิ่งเข้าห้องแล้วออกมาพร้อมธงแดงขลิบขาวก่อนจะวิ่งตามสินไปทันที

       บริเวณลานประหาร ชาวบ้านต่างทยอยมามุงดูการประหาร ตำรวจนำตัวเสมาและพระราชมนูมาถึงลานประหาร โดยมีขันเป็นหัวหน้าควบคุมการประหาร พร้อมทหารจำนวนมากคอยล้อมอยู่
       “เหตุใดต้องใช้ทหารจำนวนมากคอยคุ้มกันด้วยเล่าขุนณรงค์ เพียงแค่คุมการประหารนักโทษสองคนเท่านั้น”
       ขันเหล่มองเสมา
       “ข้าพระเจ้าต้องกันไว้ เผื่อมีคนชั่วชิงนักโทษประหารขอรับ”
       เสมามองหน้าขันด้วยสายตาถมึงทึง
       “คนอย่างอ้ายเสมา หากผิดแล้วคิดหนีจะยอมนิ่งให้น้ำมะหน้าอย่างมึงเย้ยเล่นเช่นนี้รึ”
       ขันยิ้มเหี้ยมแล้วว่า
       “ปากกล้านักนะ เอาไว้กูฟันคอมึงลงมาเมื่อใด กูจะฟันปากมึงออกมาด้วย”
       ขันหันไปสั่งเพชฌฆาต
       “เตรียมการประหารได้”
       ขันเดินไปนั่งที่นั่งสำหรับผู้ควบคุมการประหาร เสมามีสีหน้าเรียบเฉยไม่สะทกสะท้าน แต่แววตาเข้มแข็งเด็ดเดี่ยว

       สินควบม้าถือธงสีขาวมาตามทางเพื่อจะไปยับยั้งการประหารเสมา โดยไม่รู้ว่าธงนั้นเป็นการเร่งประหารแทน สินพูดกับม้า
       “เร่งฝีเท้าอีกหน่อยโว้ย อ้ายทองลูกพ่อ ประเดี๋ยวไปไม่ทันพี่เสมา”
       สินควบม้าเต็มที่ตั้งใจไปช่วยเสมาโดยไม่รู้อะไรเลย

       บริเวณลานประหาร เพชฌฆาตตอกหลักประหารเสร็จแล้วหันไปหยิบพานที่ใส่เชือก ดอกไม้ธูปเทียนตามธรรมเนียม ตำรวจไขโซ่ที่มือและขาให้เสมา ก่อนที่ตำรวจจะพาตัวเสมาไปที่หลักประหาร เพื่อจับเสมามัดกับหลักแล้วผูกตาและผูกมือ
       “ไม่ต้องดอก ข้าไม่ใช่คนกลัวตาย ไม่ต้องปิดตาแลมัดมือมัดเท้าข้า”
       เสมาหันไปหยิบดอกไม้ธูปเทียนในพาน แล้วไปนั่งคุกเข่าพนมมือ เพื่อรอการประหาร
       ขันหมั่นไส้สุดๆหันไปสั่งเพชฌฆาต
       “ใกล้ตายแล้วยังอวดกล้า...เอ้าจะช้าอยู่ไย รีบฟันคออ้ายคนเก่งกล้านี่เสียที”
       เพชฌฆาตเดินเข้าไปคุกเข่าขอขมาเสมา
       “หลวงโจมจัตุรงค์ ฉันขอขมาเถิดอย่าเป็นเวรเป็นกรรมต่อกันเลย”
       “เจ้าทำตามหน้าที่ ฉันไม่ถือโทษดอก เริ่มพิธีเถิด”
       เพชฌฆาตก้มลงกราบเสมา พวกทหารที่คอยเล่นปี่กลองเพื่อสร้างจังหวะก่อนลงดาบก็เริ่มบรรเลงทันที เพชฌฆาตเริ่มรำดาบก่อนประหาร
       เอื้อยแตงแหวกฝูงชนเข้ามาพอเห็นเสมานั่งคุกเข่าพนมมือด้วยอาการนิ่งสงบ เอื้อยแตงก็หวาดกลัวจับใจยกมือขึ้นพนม น้ำตาท่วมตา

       สินกำลังเร่งควบม้าโดยมีสมบุญควบม้าถือธงแดงขลิบขาวตามหลังมาแต่อยู่ห่างจากกันค่อนข้างมาก
       “ทำไมม้ามันฝีเท้าจัดเช่นนี้วะ อ้ายสิน หยุดก่อนโว้ย หยุดอ้ายสิน” สมบุญตะโกนลั่น
       สินยังคงควบม้าต่อ ไม่ได้ยินเสียงสมบุญแม้แต่น้อย สมบุญเร่งควบม้าตามต่อด้วยสีหน้าเคร่งเครียดสุดๆ

       เพชฌฆาตกำลังรำดาบอยู่ เพื่อรอฤกษ์และหาจังหวะฟันคอเสมา เสมามีสีหน้าสงบนิ่งเรียบเฉย ปราศจากความกลัวแม้แต่น้อย ขันยิ่งเห็นเสมาสงบนิ่งก็ยิ่งเจ็บใจเพราะคิดว่า เสมาจะกลัวตัวสั่นเพื่อจะได้เยาะเย้ยถากถางให้สาแก่ใจ ขันหันไปตะคอกทหารที่อยู่ใกล้ๆ
       “กระไรวะ นานแล้วยังไม่ลงดาบอีก”
       ทหารคนหนึ่งเงยหน้ามองพระอาทิตย์ ก่อนจะตอบขัน
       “รอสักครู่เถิดขอรับ ยังไม่ได้ฤกษ์ประหาร ของเช่นนี้ต้องทำให้ถูกพิธีนะขอรับ”
       ขันยิ่งหงุดหงิดหนัก จนทนไม่ไหว ความเกลียดชังพุ่งถึงขีดสุด
       “หยุด พวกเอ็งไม่ต้องประหารแล้วข้าจะเป็นคนลงดาบเอง”
       เพชฌฆาตและเหล่าทหารพากันตกใจ ไม่คิดว่าขันจะทำแบบนี้
       เพชฌฆาตคุกเข่าพนมมือไหว้ขัน
       “ไม่ได้ขอรับพระคุณของเช่นนี้ต้องทำให้ถูกพิธี ไม่เช่นนั้นจะเป็นเวรกรรมผูกพันกันไปขอรับ”
       “เป็นก็เป็นซีวะ นึกว่าข้ากลัวมันรึ”
       “พวกเจ้าอย่าขวางขุนณรงค์ท่านนี้เลย หากเขาไม่ได้ประหารข้ากับมือ คงอกแตกตายก่อนคอข้าขาดเป็นแน่” เสมาเยาะเย้ย
       ขันเจ็บใจ แต่ขณะนั้นเองก็เหลือบไปเห็นธงขาวที่สินควบม้าถือมา
       ขันยิ้มเหี้ยมชี้นิ้วให้ดู
       “พวกเอ็งดูโน่นปะไร”
       ทุกคนหันไปมองตามเห็นสินขี่ม้า โบกธงขาวมาแต่ไกลตามที่ขันบอก
       “ธงขาวเร่งรับสั่งประหารของพระพุทธเจ้าอยู่หัวมาโน่นแล้ว พวกเอ็งกล้าขัดรับสั่งรึ”
       ทุกคนพากันสลดลง ไม่มีใครกล้าขัดรับสั่ง เอื้อยแตง ตกใจแทบสิ้นสติ งงไปหมดว่าเกิดอะไรขึ้น ในเมื่อพวกตนพยายามขอชีวิตเสมา แต่กลับมีธงเร่งประหารมาแทน

       บรรยากาศตลาดริมทางมีผู้คนเดินกันเต็มไปหมด สมบุญควบม้าถือธงแดงขลิบขาวมาถึง
       “ขอทางหน่อย จะรีบไปช่วยชีวิตคน ขอทางหน่อย”
       พวกชาวบ้านต่างรีบยกของหลบให้ม้าของสมบุญควบผ่านไป บางรายที่หลบไม่ทัน โดนม้าของ
       สมบุญชนจนข้าวของเสียหายจนโดนด่าตามหลังเป็นทิวแถว สมบุญหน้าเสีย แต่ตอนนี้โดนด่าแค่ไหนก็ยอม เลยรีบหลับหูหลับตาควบม้าลูกเดียว

       ขันแย่งดาบจากมือเพชฌฆาตมาแล้วตะคอกใส่
       “พวกเอ็งมัวแต่ชักช้าร่ำไร จนธงเร่งรับสั่งตกมาถึง กลัวจะไม่โดนประหารหรือกระไรวะ”
       ขันเดินเข้าไปหาเสมาด้วยสายตาเหี้ยมเกรียม เงื้อดาบจะฟันเสมา
       “ครานี้มึงตายคามือกูแน่ อ้ายเสมา”
       ทันใดนั้น เอื้อยแตงก็พยายามฝ่าทหารที่คอยล้อมอยู่เข้าไปช่วยเสมา เอื้อยแตงตะโกนลั่น
       “อย่าเพิ่งฆ่าพี่เสมา”
       พวกทหารรีบเข้ามาจับตัวเอื้อยแตงไว้ ไม่ให้เอื้อยแตงเข้าไปถึงตัวเสมา เสมาตกใจไม่คิดว่าเอื้อยแตงจะบุกเข้ามาแบบนี้
       “นั่นปะไร อ้ายพวกปล้นลานประหารมาแล้ว” ขันว่า
       “มึงอย่าใส่ไคล้ หญิงตัวคนเดียวจะปล้นลานประหารได้กระไร”
       “พวกฉันทูลขอพระราชทานอภัยโทษแล้ว อีกไม่ช้า คงมีรับสั่งมาถึงอย่าเพิ่งประหารพี่เสมาเลย”
       “มุสาแล้วอีไพร่ เอ็งไม่เห็นรึว่าธงเร่งประหารมาโน่นแล้วยังจักกล้าบอกว่ามีรับสั่งอภัยโทษอีกรึ เอาไว้ข้าประหารอ้ายเสมาเมื่อใด เอ็งถูกจับส่งนครบาลโทษฐานแอบอ้างรับสั่งแน่” ขันตะคอกใส่
       “ฉันพูดจริง พระครูขุนท่านขอบิณฑบาตกับสมเด็จพระราชมารดาแล้ว พระองค์ท่านรับปากว่าจะทูลขอให้ แต่ฉันก็หาเข้าใจไม่ว่า เหตุใดจึงมีธงเร่งประหารมาอีก ถ้าอย่างไรรออีกสักครู่เถิด ผู้ถือธงสัญญาณมาเมื่อใดก็จะได้แจ้งกัน”
       “กูไม่รอ เหตุใดกูต้องเชื่อมึงด้วย”
       ขันหันกลับไปฟันดาบใส่คอเสมาทันที ท่ามกลางเสียงกรีดร้องของเอื้อยแตง แต่เสมาระวังอยู่แล้ว เลยก้มหลบแล้วม้วนตัวหลบดาบได้หวุดหวิด ชนิดเส้นยาแดงผ่าแปด ขันโมโหมาก
       “อ้ายเสมา มึงคิดขัดขืนรึ”
       เสมาลุกขึ้นยืน
       “กูไม่ได้ขัดขืน แต่กูเชื่อคำเอื้อยแตง กูจึงจะรอผู้นำธงก่อนเพียงแค่ไม่กี่อึดใจ มึงทนไม่ได้เชียวรึอ้ายขัน”
       ขันโมโหมากตะโกนสั่งทหาร
       “ทหาร จับอ้ายกบฏนี่บัดเดี๋ยวนี้”
       พวกทหารชักดาบ เตรียมรุมเสมาทันที
       พระราชมนูตะโกนลั่น
       “หยุด หากมีรับสั่งอภัยโทษตกมาจริง ผู้ใดทำร้ายหลวงโจม กูจะทูลให้ตัดคอเสียทั้งโคตร”
       พวกทหารตกใจเห็นคนระดับแม่ทัพอย่างพระราชมนูสั่งเองก็เลยละล้าละลังไม่กล้า ขันโกรธจัดจนมือเท้าเกร็ง แต่ก็ไม่กล้าหุนหันด้วยเห็นว่าพระราชมนูเอาจริง

       สมบุญควบม้าเร่งฝีเท้าสุดชีวิตกวดไล่หลังม้าสินมา สมบุญตะโกนเรียก
       “อ้ายสิน อ้ายสิน”
       สินเหลียวมอง
       “หยุดม้าประเดี๋ยวนี้ เอ็งหยิบธงผิด”

       ขันกำลังแค้นใจ ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงชาวบ้านตะโกนขึ้น
       “ธงมาแล้ว ธงสัญญาณมาแล้ว”
       พวกชาวบ้านเริ่มหลีกทางทุกคนหันไปจับจ้องเป็นตาเดียวกัน สิน และสมบุญเดินฝ่าฝูงคนเข้ามา พร้อมกับธงแดงขลิบขาวในมือ สมบุญชูธงขึ้น
       “มีพระบรมราชโองการให้ละเว้นโทษตายพระราชมนูแลหลวงโจมจัตุรงค์ ธงแดงขลิบขาวนี้ คือสัญญาณแทนรับสั่งของพระพุทธเจ้าอยู่หัว”
       สินตะคอกใส่ทันที
       “รีบปล่อยตัวพระคุณทั้งสองซีวะ พวกเอ็งจะขัดรับสั่งรึ”
       พวกทหาร ตำรวจหน้าตาเลิ่กลั่กรีบไขโซ่ให้พระราชมนูทันที ในขณะที่ชาวบ้านต่างเฮกันลั่น เอื้อยแตง สิน และสมบุญดีใจกันสุดๆ ขันขบกรามแน่นด้วยความแค้น โอกาสฆ่าเสมาอยู่แค่เอื้อมแล้วแต่ก็พลาดไปจนได้
       เสมาหันมายิ้มเย้ยใส่ขัน ขันโกรธอย่างเดือดดาล

       พระราชมนูกำลังก้มลงกราบสมเด็จพระนเรศวร และสมเด็จพระเอกาทศรถ
       “อ็งไม่ต้องมาขอบคุณข้าดอก คนที่เอ็งควรจักขอบพระคุณคือสมเด็จแม่ข้าต่างหาก”
       พระราชมนูยิ้มแย้มอย่างโล่งอกที่รอดตาย
       “ข้าพระพุทธเจ้าตั้งใจว่าเสร็จจากเข้าเฝ้าใต้ฝ่าพระบาท ก็จะขอเข้าเฝ้าสมเด็จพระราชมารดาพระพุทธเจ้าข้า”
       “สมเด็จแม่ข้าเมตตาที่เอ็งติดตามข้ามานาน แต่คราหน้าเอ็งต้องทำศึกโดยรอบคอบ อย่าได้ปากพล่อยแลประมาทเช่นนี้อีก มิเช่นนั้น แม้สมเด็จแม่ข้าจะขอ ข้าก็คงอภัยให้เอ็งไม่ได้อีก”
       พระราชมนูถวายบังคม
       “รับด้วยเกล้าพระพุทธเจ้าข้า”
       พระเอกาทศรถแย้มพระสรวลแล้วกล่าวว่า
       “หากภายหน้ามีศึกเมื่อใด เจ้าก็จงออกศึกไถ่โทษเสีย เพลานี้ไม่มีกระไรแล้ว เจ้าไปเข้าเฝ้าสมเด็จแม่เถิด”
       พระราชมนูถวายบังคม
       “ขอเดชะ ข้าพระพุทธเจ้า มีเรื่องจะกราบบังคมทูลพระพุทธเจ้าข้า”
       “เรื่องกระไรรึ”
       “ในคืนแรก ที่ข้าพระพุทธเจ้าถูกขังในคุกหลวง ได้เห็นการกระทำบางประการของหลวงโจมจัตุรงค์ อันเป็นการสำคัญ ผิดจากที่ได้ยินมาพระพุทธเจ้าข้า”
       สมเด็จพระนเรศวร กับ สมเด็จพระเอกาทศรถทรงมองพระราชมนูด้วยความสนใจว่า เสมาไปทำพฤติกรรมอะไรไว้

       หน้าบ้านเสมาตอนหัวค่ำ เอื้อยแตงกำลังถือไม้ไล่ตีสินโดยสินวิ่งหัวซุกหัวซุนด้วยความกลัว ในขณะที่คนอื่นๆ กำลังล้อมวงคุยกันด้วยสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส มีเพียงแต้มที่นั่งหน้าหงิกกินเหล้าอยู่คนเดียว
       “มาให้ข้าเอาเลือดหัวเอ็งออกเสียดีๆอ้ายสินหนอย มาก็ช้า แล้วยังหยิบธงมาผิดอีก จนพี่เสมาเกือบโดนประหารเสียแล้ว”
       สินพูดหลบไปพูดไป
       “แม่เอื้อยแตงอภัยให้ฉันเถิดจ้ะ ฉันไม่ได้แกล้งแต่ยามนั้นฉันดีใจที่จะได้ช่วยพี่เสมา จึงไม่รอบคอบ เช่นนี้ต้องถือว่ามีความชอบกึ่งหนึ่งนะจ๊ะ”
       “ความชอบกึ่งหนึ่งรึ ได้ จากที่ข้าจะตีเอ็งสิบแผลเหลือสักห้าแผลก็แล้วกัน”
       เอื้อยแตงไล่ตีสินต่อ สินวิ่งหลบจนวุ่นวายไปหมด
       “เบาๆโว้ย ประเดี๋ยวเรือนข้าก็พังกันพอดี” มั่นบอกแล้วหันไปพูดกับเสมา
       “หมดเคราะห์เสียทีนะเสมา พ่อดีใจเหลือ ที่เราได้กลับมาอยู่พร้อมหน้ากันอีก”
       “ฉันก็ดีใจเช่นกันจ้ะ”
       แต้มกำลังเมา ค่อยๆพยุงตัวลุกขึ้น
       “ไม่ตาย แต่ถูกปลดจากคุณหลวงไปเป็นตะพุ่นหญ้าช้าง เฮอะ ช้างศึกมีเป็นพันเป็นหมื่น ต้องไปเกี่ยวหญ้าให้ช้างกินเท่าใดจึงพอวะ หนักหนากว่าเป็นทาสเสียอีก”
       แต้มเดินเมาเซเข้าข้างในไปเล่นเอาทุกคนหน้าเจื่อนกันไปหมด จนจำเรียงปั้นยิ้ม เปลี่ยนบรรยากาศ “เอ่อ พี่เสมาเหน็ดเหนื่อยมามากแล้ว ประเดี๋ยวฉันจัดที่หลับที่นอนให้ พี่จักได้พักผ่อน”
       จำเรียงเดินเลี่ยงเข้าข้างในไป สมบุญเข้ามาหาเสมาที่มองด้วยความสงสัย
       “เอ่อ พี่เสมา แหวนพี่ที่ถูกริบ ฉันรับคืนมาแล้วจ้ะ”
       สมบุญหยิบแหวนส่งให้ เสมารับแหวนมาดูด้วยสายตาเศร้าสร้อย
       แม้ว่าเสมากับเรไรจะกลับมาพูดกัน แต่ก็รู้ว่าคงยากที่จะได้แต่งงานกันแล้ว



Create Date : 22 พฤษภาคม 2555
Last Update : 22 พฤษภาคม 2555 12:23:46 น. 0 comments
Counter : 1645 Pageviews.

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

atitaya_t
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 2 คน [?]




สวัสดีค่ะ ขอร่วม gang ด้วยคนค่ะ
Friends' blogs
[Add atitaya_t's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.