เก็บความทรงจำ..(^_^)..ความสนใจ โลกส่วนตัว ที่เราสร้างเอง
Group Blog
 
 
พฤษภาคม 2555
 12345
6789101112
13141516171819
20212223242526
2728293031 
 
22 พฤษภาคม 2555
 
All Blogs
 
ขุนศึก ตอนที่ 8-4 , 9-1

ขุนศึก ตอนที่ ๘ (ต่อ)

สินกับสมบุญเดินคุยกันมาด้วยสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส หัวเราะหยอกล้อกัน พอมาถึงหน้ากระท่อมก็เห็นเงาคนนั่งอยู่ในมุมมืดใต้บันได
       “ผู้ใดวะ ออกมาประเดี๋ยวนี้” สมบุญเสียงโวยวาย
       ด้วยความใจร้อน สินเลยพุ่งเข้าหาคนๆนั้นทันที โดยมีสมบุญตามไป ที่แท้เป็นเสมา
       “พิโธ่พิถัง พี่เสมานี่เอง เหตุใดไม่ขึ้นเรือนไปจุดคบจุดไต้ กลับมานั่งมืดๆอยู่คนเดียวเช่นนี้เล่า” สมบุญว่า
       เสมาสีหน้าเศร้าขบกรามแน่น พยายามไม่ร้องไห้แต่ก็น้ำตาคลอเบ้าออกมาจนได้ จึงรีบลุกเบือนหน้าหนี และพยายามสะกดอารมณ์ไว้ สินและสมบุญตกใจสุดๆ ไม่คิดว่าคนอย่างเสมาจะร้องไห้เป็นกับเขาเหมือนกัน
       “เกิดกระไรขึ้นพี่เสมา ถึงขั้นทำให้พี่ต้องเสียน้ำตาหรือว่าแม่หญิงเรไรหนีไม่ทันถูกจับไปเสียแล้ว” สินถาม
       เสมาส่ายหน้าตาแดงๆแล้วบอก
       “ไม่ใช่ หากแต่แม่หญิงเรไรชังข้าแล้ว ข้าสู้อุตสาหะออกศึกโดยไม่หวั่นต่อความตาย เพื่อหมายจักให้ตนขึ้นเทียมสมหน้าสมตาแม่หญิง แต่บัดนี้ ดวงประทีปแห่งข้าดับลงแล้ว ยศศักดิ์ของข้าจะมีความหมายกระไร เมื่อแม้แต่หน้าข้า แม่หญิงยังไม่อยากมอง”
       สินและสมบุญตกใจพูดอะไรไม่ออก งงไปหมดว่าเกิดอะไรขึ้น ในขณะที่เสมาขบกรามแน่น ตาแดงกล่ำ น้ำตาคลอเบ้า ด้วยความคับแค้นใจสุดๆ เพราะไม่รู้เรไรโกรธเคืองด้วยเรื่องอะไร

       สมเด็จพระนเรศวรทรงประทับนั่งอยู่เป็นประธานในการลงโทษประหารเหล่าทหารที่ต้องอาญาศึก ขุนรามเดชะ พันอิน ขัน พุฒและขุนนางอีกจำนวนมากที่ต้องโทษ ถูกจับมัดนั่งคุกเข่าอยู่เต็มลาน เพื่อรอการประหาร โดยมีทหารคอยควบคุม วางกำลังอย่างแน่นหนา
       สมเด็จพระนเรศวรทรงกระวนกระวายคอยชะเง้อมองเหมือนคอยใครบางคน)
       ทหารผู้หนึ่งแหงนดูพระอาทิตย์บนฟ้าเห็นว่าได้ฤกษ์ประหารแล้ว จึงถวายบังคมกราบทูล
       “ได้ฤกษ์แล้ว พระพุทธเจ้าข้า”
       สมเด็จพระนเรศวรพระพักตร์เครียดแล้วรับสั่ง
       “เริ่มการประหารได้”
       พอสิ้นรับสั่ง บรรดาขุนนางที่ต้องโทษ บางคนก็ร้องไห้ บางคนก็เป็นลม บางคนก็กลัวตัวสั่น ส่วนคนที่ไม่กลัวตายก็ขรึมๆ ปลงๆ ขันและพุฒกลัวมากจนได้แต่ก้มหน้า หมดเรี่ยวแรง ทำอะไรไม่ไหว ขุนรามเดชะ กับ พันอิน หันมามองหน้ากัน
       “ฉันลาก่อนท่านขุน” พันอินบอก
       ขุนรามเดชะพยักหน้ารับปลงๆ
       พันอินลุกขึ้นยืน เพชฌฆาตสองคนมาพาตัวพันอินไปที่กลางลานประหาร พันอินนั่งลงพิงกับเสา เหยียดขา เพชฌฆาตแก้มัดที่มือ ก่อนจะเอาดอกไม้ธูปเทียนให้พันอินถือพนม แล้วมัดมือให้อยู่ในท่าพนมมือ แถมยังมัดตัวติดกับเสา เอาผ้ามาผูกตา เพชฌฆาตทั้งสอง พนมมือขออโหสิกับพันอิน แล้วเริ่มรำดาบ เตรียมจะฟันคอ
       สมเด็จพระนเรศวร ทรงมีพระพักตร์เคร่งเครียด ส่วนขุนราม ขัน พุฒ ขุนนางคนอื่นๆต่างมีสีหน้าสลดใจ เพชฌฆาตรำดาบอยู่ซักพัก ก็ได้จังหวะเงื้อดาบจะฟันคอพันอิน
       ทันใดนั้น ก็มีทหารคนหนึ่งวิ่งกระหืดกระหอบเข้ามาคุกเข่า ถวายบังคม
       “สมเด็จพระพนรัตน์วัดป่าแก้ว มาขอเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าข้า”
       เพชฌฆาตชะงัก พอรู้ว่าสมเด็จพระพนรัตน์มาก็ไม่กล้าฆ่าคนต่อหน้าพระ
       สมเด็จพระนเรศวรทรงดีพระทัยมาก
       “รีบนิมนต์พระคุณท่าน”
       ทหารลุกขึ้นกลับออกไป ซักพักก็มีพระภิกษุชรา ท่าทางสำรวม มีสง่าราศีเดินเข้ามา พร้อมด้วยพระภิกษุติดตามเดินตามหลังมา สมเด็จพระนเรศวรทรงลุกขึ้นกราบพระ เช่นเดียวกับบรรดาทหาร เพชฌฆาต ทุกคนที่ก้มลงกราบพระ เว้นแต่นักโทษที่ถูกมัดอยู่
       สมเด็จพระพนรัตน์ และพระภิกษุก็แยกย้ายกันนั่ง บรรดาทหารก็ยกแท่นที่ประทับ มาให้สมเด็จ
       พระนเรศวรนั่งประทับในระดับเดียว
       “พระคุณเจ้ามาถึงที่แห่งนี้ ด้วยกิจธุระใดหรือ”
       “อาตมาภาพได้ยินว่า สมเด็จพระราชสมภารเจ้า เสด็จไปสงครามมีชัยแก่ข้าศึก ถึงได้กระทำยุทธหัตถีชำนะแก่พระมหาอุปราชา แล้วเหตุไฉนไยเล่า ข้าราชการแลแม่ทัพนายกองทั้งปวงจึงต้องโทษ”
       “อันนายทัพนายกองเหล่านี้ มันกลัวข้าศึกมากกว่ากลัวโยม ละให้โยมสองพี่น้องฝ่าเข้าไปท่ามกลางข้าศึก ต่อได้มีชัยชำนะแล้วจึงได้เห็นหน้าพวกมัน โยมจึงให้ลงโทษตามอาญาศึกประหารเสียทั้งสิ้น”
       “อาตมาภาพพิเคราะห์แล้ว เหตุทั้งนี้เห็นจะเป็นเพื่อให้พระเกียรติยศของพระราชสมภารเจ้าเป็นมหัศจรรย์ดอก เหมือนสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เสด็จเหนือปราชิตบัลลังก์เมื่อครากระโน้น...”
       บรรดานักโทษได้ยินเสียงพระพนรัตน์ก็รู้ว่า สมเด็จพระพนรัตน์มาช่วยให้พ้นโทษประหาร สีหน้าก็ดีขึ้น
       “โดยมีเทพยดาทั้งหมื่นจักรวาลมาเฝ้า แลเมื่อพญาวัศวดีมารยกพลเสนามาผจญ หากมีเทพเจ้าทั้งหลายเป็นบริวารแล้วผจญมารจนมีชัยก็หาเป็นที่มหัศจรรย์ไม่ แต่เผอิญให้ปวงเทพยดาหวาดกลัวพญามารจนหนีไปสิ้น ยังแต่พระองค์ผู้เดียวแต่ก็สามารถผจญพญามารให้แพ้พ่ายไปได้ เป็นมหัศจรรย์ดาลดิเรกทั่วอนันตโลกธาตุ... ดังเช่นพระราชสมภารเจ้า หากเสด็จพร้อมไพร่พลมากมาย แม้นมีชัยก็หาเป็นที่มหัศจรรย์ไม่ จึงมีเหตุเช่นนี้ เพื่อให้พระองค์สำแดงพระเกียรติยศให้ปรากฏสืบไป อาตมาภาพจึงอยากจักขอบิณฑบาตโทษแม่ทัพนายกองเหล่านี้ ไว้สักคราเถิด”
       พระนเรศวรแย้มพระสรวลแล้วยกพระหัตถ์ขึ้นวันทา
       “สาธุ พระคุณเจ้าวิสัชนาดั่งนี้ ก็สมควรหนักหนาแล้ว แลเมื่อพระคุณเจ้าขอบิณฑบาต โยมก็ขอถวาย ให้เป็นกุศลสืบไป”
       บรรดานักโทษแต่ละคน ดีใจสุดๆที่รอดตายมาได้หวุดหวิด ต่างหันไปมองหน้ากันด้วยความดีใจแล้วก้มกราบถวายบังคม

หมายเหตุ สมเด็จพระพนรัตน์ น่าจะเป็นพระสังฆราช หรือไม่ก็มีบรรดาศักดิ์ทางสงฆ์ชั้นสูงในสมัยนั้น

       ภายในวัง เวลาสาย สมเด็จพระนเรศวรเดินคุยมากับสมเด็จพระเอกาทศรถด้วยสีพระพักตร์ยิ้มแย้มแจ่มใส
       “ผู้คนต่างแจ้งว่า พระเจ้าแผ่นดินอโยธยาแกล้วกล้าในการศึก แลบังคับบัญชาทหารเด็ดขาดนัก จนเหล่าทหารกลัวพระองค์เสียยิ่งกว่ากลัวความตาย แต่จะมีผู้ใดแจ้งบ้างว่าพระเมตตาแลพระสติปัญญาของพระองค์ยังเลิศกว่าเสียอีก”
       “น้องอย่ายกยอพี่นักเลย พี่ทำไปด้วยสงสารเหล่าแม่ทัพนายกองที่เหนื่อยยากทำศึกมานานดอก แต่อาญาทัพก็ต้องเด็ดขาด แม้พ่อลูกก็เว้นไม่ได้ จึงเหลือแต่พระศาสนาเท่านั้น ที่จักเป็นทางออก”
       “น้องจึงว่าพระสติปัญญาของสมเด็จพี่เลิศนัก ให้น้องไปนิมนต์สมเด็จพระพนรัตน์วัดป่าแก้ว มาบิณฑบาตชีวิตเหล่าแม่ทัพนายกอง มิเพียงแต่ช่วยชีวิตยังรักษาความศักดิ์สิทธิ์ของอาญาทัพไว้ได้อีก”
       พระนเรศวร ทรงแย้มพระสรวลบางๆอย่างมีความสุขต่างจากภาพของความเด็ดขาดเข้มแข็ง ที่เห็นอยู่จนชินตา

       เวลาต่อมา ขันก้มลงกราบเท้าอำพันโดยมีดวงแขอยู่ใกล้ๆ ทุกคนต่างดีใจที่ขันรอดตายมาได้ ขันเข้าไปกอดอำพัน
       “บุญของลูกนักที่ได้กลับมากราบเท้าแม่ท่านอีก นึกว่าครานี้จะกลับมาแต่ศพเสียแล้ว” ขันว่า
       อำพันดีใจจนน้ำตาคลอเบ้า
       “อย่าพูดอัปมงคลเช่นนั้นพ่อขัน ลูกหมดทุกข์หมดโศกแล้ว มีแต่จะต้องจำเริญสุขยิ่งขึ้น”
       อำพันพูดแล้วหันไปสั่งบ่าวไพร่
       “เอ็งจงเร่งไปขอน้ำมนต์หลวงตาที่วัด ข้าจะให้ลูกข้าอาบน้ำมนต์ ล้างเสนียดจัญไรคุกเสีย”
       “เจ้าค่ะแม่นาย” ทาสรับคำแล้วลุกขึ้นเดินเลี่ยงไป
       “ประเดี๋ยวแม่จักทำกับข้าวกับปลาให้กิน พ่อขันรอสักครู่เถิด”
       อำพันเดินเลี่ยงซับน้ำตาไปด้วยความดีอกดีใจที่ลูกปลอดภัย
       “คืนนี้พี่ขันต้องไปศึกตีเมืองทวาย ตะนาวศรี เพื่อแก้ตัวใช่หรือไม่”
       “ถูกแล้ว ทหารทุกคนที่ต้องโทษต้องไปรบศึกนี้เพื่อแก้ตัว หากครานี้แพ้อีกคงรักษาหัวไว้ไม่ได้เป็นแน่”
       “ไม่ดอก แม่ทัพนายกองออกมาก ทัพอโยธยาก็เข้มแข็งนัก เหตุใดจะไม่ชำนะเล่า” ดวงแขยิ้มให้กำลังใจ
       ขันคิดตามที่น้องพูดก็พยักหน้าเห็นด้วย
       ดวงแขชำเลืองมองไปทางแม่ เมื่อเห็นว่าไปไกลแล้วก็หันมาพูดกับขัน
       “พี่ขันน้องมีเรื่องจักพูดด้วย พี่มากับน้องสักหน่อยเถิด”
       ขันมองดวงแขด้วยความแปลกใจว่า ทำไมดวงแขถึงพูดตรงนี้ไม่ได้

       ดวงแขพาขันมาสนทนาที่ศาลาท่าน้ำในบ้าน ขันได้ฟังแล้วก็หัวเราะชอบใจ
       “ปัญญาแม่ดวงแขช่างเลิศนัก ครานี้แม่หญิงเรไรต้องโกรธแค้นอ้ายเสมาไม่อาจคืนดีกันได้เป็นแน่”
       “แต่หากท่านอาขุนรามเผยความจริง ฝ่ายที่แม่เรไรโกรธแค้นคงเป็นเราเสียมากกว่า” เรไรว่า
       “ไม่ต้องห่วงดอก พี่จะไปเรียนท่านอาเอง อย่างไรเสียท่านอาก็ชังน้ำมะหน้าอ้ายเสมานักต้องช่วยเราเป็นแน่”
       “มิต้อง ข้อนั้นน้องเรียนเองได้ พี่ขันเร่งไปรับแม่เรไรที่ปากแม่น้ำเถิด ระหว่างนั้นก็พูดจาให้แม่เรไรเชื่อถือเราไส่ไคล้ปรักปรำขุนศึกให้มากไว้”
       ขันพยักหน้ารับ ยิ้มแย้ม
       “หากน้องยอมช่วยพี่เช่นนี้แต่แรก พี่ก็ไม่ต้องพึ่งปัญญาอ้ายพุฒแล้ว นี่น้องคงมีเหตุโกรธเคืองอ้ายเสมากระมังถึงได้ทำเช่นนี้ มันทำกระไรน้องรึ”
       ดวงแขหน้าขรึมลง
       “หาใช่ไม่ น้องไม่ได้โกรธเคืองขุนศึกไชยชาญ”
       ขันนึกแปลกใจแล้ว ฉุกคิดขึ้น
       “แล้วเหตุใด... น้องอย่าบอกพี่เชียวนา ว่าน้องทำเช่นนี้เพราะมีใจให้อ้ายเสมาจึงยุแยงให้แตกกับแม่หญิงเรไร”
       ดวงแขหลบตาขัน ถึงไม่พูดก็เท่ากับยอมรับ ขันไม่เห็นด้วยขึงขังขึ้นมาทันที
       “พี่หายอมไม่ หากพี่ต้องรับอ้ายคนต่ำสกุลเช่นนั้น”
       ดวงแขไม่พอใจ พูดสวนขึ้นทันที
       “พี่ขันทำตามที่น้องบอกเถิด เรื่องอื่นหาต้องยุ่งเกี่ยวไม่ หาไม่แล้วน้องจะบอกแม่เรไรจนสิ้น ครานี้ พี่ก็อย่าหวังในตัวแม่เรไรอีกเลย”
       ดวงแขสะบัดหน้าพรืดเดินกลับไป แม้ขันจะไม่พอใจ แต่ต้องจำยอมเพราะรักเรไร

       ดวงแขกำลังคุยกับขุนรามเดชะอยู่บนเรือนในยามบ่าย
       “จะให้อาพูดเช่นนั้นได้อย่างไร อ้ายเสมาจับกุมอาตามรับสั่ง แลมีพระยานาหมื่นอีกโขที่ต้องโทษดุจกัน หาใช่อ้ายเสมาใส่ไคล้ปรักปรำไม่”
       “แต่เพลานี้แม่เรไรเข้าใจผิด คิดว่าขุนศึกใส่ความท่านอา จนเป็นเหตุหมางใจกัน หากพูดความจริง ทั้งคู่ย่อมกลับไปคืนดีกันเป็นแน่”
       รามเดชะคิดตามและแสดงท่าทีอึดอัดใจออกมา
       “ท่านอาขุนเจ้าคะ ใช่ว่าหลานอยากให้ท่านอามุสา ตัวหลานจะได้ดีเพราะเหตุนี้ก็หาไม่ เพียงแต่หลานไม่อยากให้แม่เรไรได้ชั่ว เพราะมีใจให้คนเช่นขุนศึกไชยชาญ แต่หากท่านอาถือสัตย์ก็สุดแล้วแต่เถิดเจ้าค่ะ”
       ขุนรามเดชะเครียด เลือกไม่ถูกระหว่างเกลียดเสมากับความยุติธรรม ดวงแขเหลือบตามองขุนราม สีหน้าแววตานิ่งๆ ปนลุ้นว่าจะกล่อมขุนรามเดชะได้สำเร็จหรือไม่

       เรไรนั่งซึมอยู่คนเดียวที่ใต้ต้นไม้ริมชายคลอง เรไรคิดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นก็น้ำตาคลอเบ้า กำมือจนเล็บจิกเข้าไปในเนื้อ ทั้งรักทั้งผิดหวังเสมาอย่างที่สุด เรไรรู้สึกว่า มีคนมายืนข้างหลังตนเลยรีบปาดน้ำตาแล้วหันกลับไปมอง ปรากฏว่าเป็นพิณ
       “แม่ท่านให้มาตามรึ”
       “ไม่ใช่ดอกเจ้าค่ะ บ่าวเห็นแม่หญิงหายมานานเลยเป็นห่วงเจ้าค่ะ...แม่หญิงร้องไห้หรือเจ้าคะ”
       เรไรเบือนหน้าไปทางอื่นแล้วว่า
       “ไม่ใช่กงการของเจ้า”
       “บ่าวรู้เจ้าค่ะ แต่บ่าวไม่อยากเห็นแม่หญิงเป็นเช่นนี้เลย แม่หญิงทุกข์ บ่าวก็ทุกข์”
       “ขอบน้ำใจเจ้านัก แต่ฉันทุกข์อีกไม่นานดอก เพราะฉันจะไม่มีวันทุกข์โศกด้วยชายชั่วเช่นนั้นอีก หากจักมีก็มีแต่ความแค้นเท่านั้น”
       “แม่หญิงเจ้าคะจะว่าบ่าวสู่รู้บ่าวก็ยอม แต่แม่หญิงแน่ใจได้กระไร ว่าขุนศึก...”
       พิณยังพูดไม่ทันขาดคำ ขันพร้อมบรรดาบ่าวไพร่ก็พายเรือมาถึงพอดี ขันร้องเรียก
       “แม่หญิง แม่หญิงเรไร”
       เรไรและพิณหันไปมองตามเสียงเห็นขันกับบ่าวไพร่พายเรือมาจอดเทียบ ขันรีบลงจากเรือแล้วเข้าไปหาเรไรทันที เรไรแปลกใจมาก
       “หมื่นชาญ ท่านต้องโทษไม่ใช่รึ หรือว่าท่านหนีอาญามา”
       “มิได้ สมเด็จวัดป่าแก้ว ท่านบิณฑบาตชีวิตเหล่าแม่ทัพนายกอง ข้าพระเจ้าจึงรอดมาหาแม่หญิงได้ เพียงแต่ต้องไปตีเมืองทวาย ตะนาวศรี เป็นการไถ่โทษ”
       “ถ้ากระนั้น พ่อท่านก็ปลอดภัยแล้ว” เรไรดีใจสุดๆ
       “คนดีพระท่านย่อมคุ้มครอง แผนชั่วของอ้ายเสมา ทำกระไรไม่ได้ดอก แม่หญิงวางใจเถิด” ขันได้ช่องใส่ไคล้เสมาทันที
       “ขุนศึกไชยชาญวางแผนปรักปรำพ่อให้ได้โทษจริงๆ รึ”
       “อย่าสงสัยเลยแม่หญิง ท่านอาออกศึกมาแต่หนุ่มจนบัดนี้ จะทำผิดอาญาศึกได้กระไร ไว้ตอนขากลับ ข้าพระเจ้าจะเล่าให้ฟัง เพลานี้ขอข้าพระเจ้าไปกราบท่านอาหญิงก่อนเถิด”
       ขันเดินเลี่ยงไปพร้อมบรรดาทาส สีหน้าแววตาของเรไรเต็มไปด้วยความเจ็บแค้นใจเสมามาก

       จำเรียงและเอื้อยแตงยกกับข้าวมาให้มั่นและบุญเรือนทานร่วมกัน บุญเรือนมองจำเรียงแล้วก็ใจหาย “แม่นึกว่าหมื่นชาญต้องโทษประหารเอ็งจะได้กลับมาอยู่กับแม่ แต่แล้วก็ต้องหนีอีก เวรกรรมเหลือเกินจำเรียงเอ๋ย”
       “เพราะความโง่ของลูกทั้งสิ้นจึงพลอยให้แม่ได้ทุกข์เช่นนี้”
       เอื้อยแตงพูดตัดบททันที
       “จะพูดเรื่องเก่าไปไย อ้ายหมื่นชาญต้องไปศึกทวาย ตะนาวศรี อีกนานเดือนกว่าจะกลับ ระหว่างนี้ จำเรียงก็ได้อยู่ที่เรือนไปก่อน แต่หากโชคดี อ้ายหมื่นชาญตายเสียกลางศึกจำเรียงก็ไม่ต้องหนีแล้ว”
       “บาปปากนักนังเอื้อยแตง ถึงแช่งชักกันเช่นนี้จะใช้ได้รึ” มั่นบอก
       เอื้อยแตงยิ้มขำๆ แล้วนึกขึ้นได้พลางมองหาเสมา
       “เย็นป่านนี้แล้ว พี่เสมายังไม่กลับอีกรึ”
       จำเรียงถอนใจ
       “วันนี้คงไม่กลับแล้ว หมางใจกับแม่หญิงเรไรครานี้หนักนัก ป่านฉะนี้จะอยู่ที่ใดยังไม่รู้เลย”
       เอื้อยแตงชะงัก เมื่อรู้ว่าเสมากับเรไรทะเลาะกันแรง
       “ถึงเพียงนี้เชียวรึ แล้วหมางใจกันเรื่องกระไรเล่า” มั่นถาม
       “จะเรื่องกระไรก็ช่างเถิด อย่างไรเสีย เราก็ต่างจากแม่หญิงนัก หากเสมากับแม่หญิงเลิกร้างกันได้ฉันกลับเบาใจเสียมากกว่า” บุญเรือนว่า
เอื้อยแตง แอบยิ้มชอบใจ เพราะภาวนาไว้แบบนั้นเหมือนกัน

จบตอนที่ ๘
ขุนศึก ตอนที่ ๙

เสมาลอบเข้ามาในสวนบ้านขุนรามเดชะตอนเย็น ขณะกำลังชะเง้อมองดักรอเรไรกลับมา จู่ๆก็มีมือข้างหนึ่งเอื้อมมาจับไหล่เสมา เสมาตกใจหันกลับไปจะเอาเรื่อง ปรากฏว่าคนที่จับไหล่ตนเป็นสมบุญนั่นเอง โดยมีสินยืนอยู่ใกล้ๆ สมบุญยิ้มๆแล้วเอ่ยขึ้น

       “ฉันนึกแล้วว่าพี่ต้องไม่ยอมหมางใจกับแม่หญิงเรไรเช่นนี้ อย่างไรเสีย ต้องหาทางมางอนง้อกันเป็นแน่”
       “ข้าไม่ได้งอนง้อ เพียงแต่ข้าหาเข้าใจไม่ ว่าเหตุใดแม่หญิงจึงคิดว่าข้าชั่วเช่นนั้นจึงจำต้องพูดคุยกันให้แจ่มแจ้ง”
       “พิโธ่พิถัง ช่างแตกต่างกับงอนง้อเสียเหลือเกิน จริงหรือไม่วะอ้ายสมบุญ” สินยิ้มแซว
       สมบุญอมยิ้มไม่พูดอะไร แต่เสมาหน้าเจื่อนไป ยิ่งพูดยิ่งเข้าตัวเถียงไม่ออก ขณะนั้นเองสมบุญก็เหลือบเห็นเรือของเรไรมาจอดเทียบท่าพอดี
       “แม่หญิงเรไรกลับมาแล้ว” สมบุญบอก
       เสมาและสินรีบหันไปมองตาม
       เรไร ลำภูและพิณ ลงจากเรือโดยมีขันลงตามมาส่ง สินตกใจแล้วพูดขึ้น
       “อ้ายขันนี่พี่เสมา นี่พอออกจากคุกก็ตามไปรับแม่หญิงเรไรเลยรึ”
       เสมา พอเห็นขันคอยเอาอกเอาใจเรไรก็หน้าบึ้งตึงหึงหวงขึ้นมาทันทีฃ

       บนเรือน เรไรกอดกับขุนรามเดชะด้วยความดีใจสุดๆที่พ่อปลอดภัย โดยมีขันกับลำภูอยู่ใกล้ๆ และมีพิณคอยรับใช้
       “ลูกดีใจเหลือเกินแล้ว ที่ได้พบหน้าพ่อท่านอีก พ่อรักของลูก”
       ขุนรามเดชะลูบหัวเรไรด้วยความเอ็นดู รักใคร่
       “พ่อก็ดีใจ เสียแต่คืนนี้ต้องไปศึกทวาย ตะนาวศรีแก้ตัว จึงไม่ได้อยู่กับเจ้าแลแม่เจ้านานกว่านี้”
       “ศึกทวาย ตะนาวศรีเพียงนี้ ไม่นานก็ได้กลับขอรับท่านอา ยิ่งไม่มีอ้ายเสมาคอยให้ร้ายด้วยแล้ว หาต้องกังวลกระไรไม่” ขันใส่ไฟทันที
       ขุนรามเดชะหน้าเจื่อนไป ยังไงก็รู้สึกไม่ดีที่ปล่อยให้เสมามีมลทินเช่นนี้
       “หากไม่ได้ฟังจากปากหมื่นชาญ ฉันคงไม่เชื่อว่าคนที่เคยเกื้อหนุนมาอย่างอ้ายเสมา จะล้างคุณกันเช่นนี้” ลำภูว่า
       พิณสงสัยแล้วถามขึ้น
       “แต่บ่าวแคลงใจเหลือเกินเจ้าค่ะได้ยินว่ามีแม่ทัพนายกองต้องโทษมากนัก แล้วขุนศึกไชยชาญจะใส่ไคล้ปรักปรำทั้งหมดเลยหรือเจ้าคะ”
       ขันตาเขียวใส่พิณ ลำภูตวาดแว๊ดทันที
       “เอ็งยังจะแก้ต่างแทนมันอีกรึนังพิณ แม่ทัพนายกองอื่นอาจจักผิดจริง แต่คนชำนาญศึกเช่นท่านขุนจะผิดอาญาได้เช่นไร ถ้ามิใช่อ้ายเสมามันจงใจปรักปรำท่านขุนให้ได้ชั่ว”
       “การเป็นเช่นนั้นจริงใช่หรือไม่เจ้าคะพ่อท่าน”
       ขุนรามหันไปสบตาขัน ขันใช้สายตาแกมบังคับเพื่อให้ขุนรามตอบ รามเดชะถอนใจหนักๆขึ้นทีหนึ่ง
       “การมันผ่านไปแล้ว อย่ารื้อฟื้นอีกเลย พ่อไปเตรียมการเพื่อไปศึกทวาย ตะนาวศรี จักควรกว่า”
       ขุนรามเดชะเดินเลี่ยงไป ขันปั้นยิ้มแล้วว่า
       “ท่านอาคงละอาฆาต ไม่อยากให้เป็นเวรกรรมกันสืบไป ดีแล้วขอรับ เอ่ยถึงชื่ออ้ายเสมา ก็รังแต่จักเป็นเสนียดปาก”
       เรไรพอเห็นพ่อพูดแบบนี้ ก็ยิ่งเชื่อสนิทใจว่าเสมาทำเลวต่อขุนรามเดชะจริง

       เรไรเดินมาส่งขันถึงหน้าบ้านในเวลาต่อมา
       “เพิ่งได้เหยียบดินนอกคุกไม่ทันข้ามวัน ก็ต้องไปศึกเสียอีกแล้ว มิรู้ว่าศึกนี้จะล้างอายแก้ผิดหรือได้โทษเพิ่มกันแน่” ขันพูดกับเรไร
       “หมื่นชาญอย่ากล่าวท้อแท้ให้เสียน้ำใจเลย จะออกศึกรบพุ่งแล้ว จักไม่เป็นมงคลเสีย” เรไรว่า
       ขันถอนใจแล้วว่า
       “อันกล้าหาญในหัวใจนั้นมีอยู่ แต่หากแม้นแม่หญิงจักเมตตาบ้าง ข้าพระเจ้าก็เชื่อหนักหนาว่าจะชำนะศึกได้ดีเมื่อกลับมาเป็นอันแน่”
       เรไรรู้ว่าขันวกกลับมาตัดพ้อก็อึดอัดใจ ขันรุกต่อด้วยการจับมือเรไรไว้แล้วมองด้วยตาละห้อย
       “ตอบสักคำเถิดแม่เรไรเอ๋ย ตอบแต่สักคำหนึ่งแล้ว แม้ข้าพระเจ้าจักไปสิ้นชีพเสียกลางศึกก็ยังเป็นกุศลแก่หัวใจ”
       เรไรเห็นขันจับมือแม้จะไม่สบายใจนัก แต่ความรู้สึกดีๆที่ได้จากขันก็ช่วยให้ใจไม่อ้างว้างและว้าเหว่จนเกินไปนัก เรไรจึงใจอ่อนยอมให้ขับจับมือไว้
       “แล้วหมื่นชาญจะให้ฉันตอบเช่นไรเล่า”
       “ตอบว่ารอฉันสิแม่ สองเรานี้จักได้ร่วมเรือนรักใคร่กัน แม้เสร็จศึกทวายแลตะนาวศรีแล้ว ข้าพระเจ้าจักตบแต่งแม่หญิง แม่หญิงรับปากเถิด” ขันว่า
       เรไรเครียดหนักถ้าเป็นเมื่อก่อนคงปฏิเสธไปแล้ว แต่ตอนนี้ เรไรเพิ่งแตกหักกับเสมาจึงสับสนจนไม่รู้จะพูดยังไงดี
       เสมา สิน และสมบุญซึ่งแอบดูอยู่ สินโกรธแทนเสมาแล้วว่า
       “เหตุใดแม่หญิงไม่ปัดป้อง ทำเช่นนี้มันงามแล้วรึ”
       สมบุญรีบสะกิดสินไม่ให้พูดมาก กลัวเสมาโมโหมากไปกว่านี้
       เสมาเห็นขันจับมือเรไร ยิ่งเรไรไม่ปัดป้องก็ยิ่งหึงหวงจับใจ เสมาขบกรามแน่น กำมือเกร็ง สายตาเต็มไปด้วยความเจ็บช้ำอย่างที่สุด

       เรไรเปิดประตูกลับเข้ามาในห้องนอนเมื่อตอนหัวค่ำ พอเรไรปิดประตู เสมาซึ่งแอบรออยู่ในห้องก็ดึงเรไรเข้ามากอดทันที เรไรตกใจมาก แต่พอเห็นว่าเป็นเสมาก็โมโหขึ้นมาทันที
       “ปล่อยประเดี๋ยวนี้ ไม่เช่นนั้นฉันจะร้องให้อึงเรือน”
       “ร้องหรือ เสมาสู้ทนนั่งคอยแต่เมื่อเย็น แล้วแม่หญิงตอบแทนกันเช่นนี้รึ แม่หญิงสิ้นรักเสมาแล้วหรือไร” เสมาเข้าปลุกปล้ำและจูบหอมแก้มเรไรทันที
       เรไรดิ้นรนไม่ยอมง่ายๆก่อนจะผลักเสมาออกไปจนได้ เรไรทั้งรักทั้งแค้นพลางกล่าวว่า
       “รักหรือ เจ้าร้อยหัวใจ ฉันได้ทุกข์ยากลำบากนักทั้งอับอายขายหน้าเพราะใครเล่า แล้วมันกลับทุรยศเช่นนี้จะคบกันอีกสืบไปได้รึ”
       ที่หน้าห้องลำภูเดินผ่านมาก็ได้ยินเสียงเสมาดังออกมาจากห้องเรไรเลยรีบเอาหูแนบประตูเพื่อฟังเสียงทันทีกะว่าถ้าเสมาทำอะไร ตนจะได้ช่วยเรไรทัน
       “ทุรยศเรื่องกระไร ข้อที่ข้าพระเจ้าคุมทหารจับพระคุณน่ะรึ ข้าพระเจ้าทำตามรับสั่ง แม่หญิงจะถือโทษได้เช่นไร”
       เรไรแค้นสุดๆแล้วว่า
       “อย่ามาอ้างรับสั่งให้มัวหมอง เรื่องที่ออกขุนท่านใช้เล่ห์ปรักปรำพ่อท่านจนได้โทษ แล้วลักแหวนของพ่อท่านมาเอาหน้า นึกว่าจะปิดมิดรึ”
       “มุสา ผู้ใดกันที่เอาเรื่องมุสาเช่นนี้มาบอกแม่หญิง..ไป เราไปถามพระคุณกันต่อหน้าจะได้รู้ว่าเป็นเช่นไร”
       “ยังจะเสแสร้งอีกรึ พ่อท่านไปศึกแล้วก็แจ้งอยู่ จะไปไต่ถามผู้ใด เอาเถิด หากท่านขุนเห็นว่ามุสา กระนั้นฉันขอถามอีกข้อ ตอนที่ท่านขุนขึ้นเรือนพาน้องสาวหนีนั้น ได้มักใหญ่ใฝ่สูงเข้าห้องข่มเหงแม่ดวงแขด้วยใช่หรือไม่”
       เสมาหน้าเสีย อึกๆอักๆ แต่ไม่รู้ว่าเรไรรู้เรื่องนี้ได้ยังไง เรไรยิ้มเยาะ
       “เหตุใดไม่ตอบเล่า หรือว่าสิ้นคำพูดเสียแล้ว”
       “เสมาผิดไปแล้วด้วยคะนองใจดอกแม่หญิง แลหากแม่หญิงอภัยสักครา ก็จักให้สัญญาว่าจะเลิกประพฤติเช่นนี้อีก”
       “อย่าเลยขุนศึก เพราะฉันได้อธิษฐานใจแล้วว่าจะไม่คบหากับท่านอีก หากผิดคำก็ขอให้ชาติหน้าอย่าได้เกิดในตระกูลมนุษย์เลย”
       “เหตุใดพูดสาหัสเช่นนี้ แม่ลืมรักเราแล้วรึ หรือแม่หญิงมีอื่นแล้ว จึงอยากลืมเสมาเสีย” เสมาพูดอย่างน้อยใจปนหึงหวง
       “ดูถูกกันเกินนักแล้วเสมา ไสหัวไปประเดี๋ยวนี้เทียว แล้วอย่ามาเหยียบอีก”
       “คำก็ไล่ สองคำก็ไล่ เอาเถิด อ้ายเสมานี้มันไพร่ผู้ต่ำก็จักขอลาไปก่อน ขอให้แม่หญิงเรไรจงอยู่คอยผู้มีศักดิ์เสมอกันเถิด แม้เสร็จศึกตะนาวศรีแล้ว ก็คงจักได้ออกเรือนทันหัวใจแม่ดอก”
       เรไรโมโหสุดขีดที่เสมาดูถูกจึงตบหน้าเสมาเข้าเต็มๆ เสมาหันมาจ้องเรไรด้วยสายตาแข็งกร้าว น้อยใจ ช้ำใจ เรไรก็จ้องเสมากลับด้วยน้ำตาคลอเบ้า
       ทันใดนั้นเอง ลำภูก็เปิดประตูเข้ามา เสมาและเรไรตกใจหน้าเสียไม่คิดว่าลำภูจะรู้เห็นเรื่องทั้งหมด
       “กลับไปเสียเถิดขุนศึก เจ้าทำร้ายลูกฉันมามากแล้ว นับแต่นี้ ขอให้อโหสิกรรมต่อกันอย่าได้พบเจอกันอีกเลย” ลำภูพูดด้วยสีหน้าบึ้งตึง
       เสมาสูดลมหายใจลึกๆ ไม่ให้ร้องไห้อีก
       “เมื่อพระคุณประสงค์เช่นนั้น ข้าพระเจ้าก็จักขอลาไปไม่ให้พระคุณแลแม่หญิงเรไรขุ่นเคืองอีก”
       เสมาเดินออกจากประตูห้องไป เรไรปล่อยโฮโผเข้ากอดลำภู
       ลำภูได้แต่กอดเรไรไว้เป็นการปลอบโยน แม้จะสงสารแต่ก็ดีใจที่เรไรเลิกกับเสมาเสียได้

       เสมากลับมาที่กระท่อมของสมบุญ
       เสมายกไหเหล้าขึ้นดื่ม ท่ามกลางความตกใจของสินและสมบุญ เสมายิ่งเมาก็ยิ่งคิดถึงเรไร พอคิดถึงก็เจ็บปวดจนดื่มเหล้าต่ออีก จนสมบุญเห็นท่าไม่ดีจึงรีบดึงไหเหล้าไว้
       “พอเถิดพี่เสมา อย่ากินเหล้าอีกเลย”
       สินทำหน้าเสียดายเหล้าสุดๆ
       “นั่นซีพี่ เหลือให้ฉันกินบ้างเถิด”
       “อ้ายบ้าสิน เพลานี้เอ็งยังจะห่วงเหล้าอีกรึ” สมบุญพูดแล้วก็หันไปพูดกับเสมา
       “พี่เสมา พี่กินเหล้าเช่นนี้ ได้เมาตายกันพอดี เลิกกินเถิดพี่”
       เสมาเสียงเมามาก
       “ก็ให้มันตายไปเลยซีวะ ข้าจะอยู่ไปเพื่อกระไรหญิงที่ข้ารักก็เปลี่ยนน้ำใจเป็นอื่นไปแล้ว ถึงกับยอมไม่เกิดเป็นมนุษย์ ไม่ขอพบหน้าข้าอีก ดูถูกกันถึงเพียงนี้ ก็ควรแล้วที่อ้ายเสมาจะตายไปเสีย”
       เสมายกไหเหล้าขึ้นดื่มอีก
       ขณะนั้นเอง เอื้อยแตงก็เดินถือตะเกียงหน้าตาตื่นเข้ามาหา
       “พี่เสมาๆ”
       สินดีใจรีบเข้าไปหาเอื้อยแตงฉีกยิ้มหวาน
       “แม่เอื้อยแตง”
       สินไม่ทันจะเอ่ยปากพูดหวาน เอื้อยแตงก็ผลักหน้าสินออกไป แล้วรีบเข้าไปหาเสมาทันที
       “ยังมีกะใจกินเหล้าอีกรึพี่เสมา” เอื้อยแตงดึงไหเหล้าออกมาจากมือเสมา
       “กระไรของเอ็งวะนังเอื้อยแตง เอาเหล้าข้ามา” เสมาจะแย่งเอาเหล้าคืนจนเอื้อยแตงชักโมโห
       “จำเรียงถูกอ้ายขันพาตำรวจมาจับไปแล้ว แม่พี่ตกใจจนเป็นลมเป็นแล้งไป รู้เช่นนี้แล้ว ยังจะกินเหล้าอีกหรือไม่”
       เสมาตกใจมาก ไม่คิดว่าจะเกิดเรื่องขึ้นขนาดนี้

       ตำรวจพาตัวจำเรียงเข้ามาคุกหลวง โดยมีขัน และพุฒ ตามหลังมา
       “เอ็งคิดไม่ถึงกระมังนังจำเรียง พวกข้าจะไปศึกคืนนี้แล้วยังพาตำรวจไปจับเอ็งมาได้” พุฒยิ้มเยาะ
       จำเรียงมองขันและพุฒด้วยสายตาเกลียดชัง
       “หัวใจคดเยี่ยงหัวหมื่นทั้งสอง ผู้ใดตามทันก็คงเลวดุจกัน”
       ขันชี้หน้าจำเรียง
       “เหิมเกริมไปเถิดนังจำเรียง เอ็งเป็นทาสหนีนายเงิน อย่าหวังว่าจะพ้นผิดไปได้ แม้แต่อ้ายเสมาก็ไม่มีทางช่วยเอ็งไปจากคุกหลวงได้ดอก”
       ตำรวจเปิดประตูคุกแล้วพาจำเรียงเข้าไปไว้ในคุก ก่อนจะล่ามโซ่ตีตรวนจำเรียง ขันและพุฒมองด้วยความสะใจ

       หมายเหตุ ตำรวจในสมัยก่อนเป็นหน่วยงานหนึ่ง ดูแลเฉพาะเขตเมืองแต่งตัวเหมือนทหารแต่อาจจะคนละสี

       บุญเรือนนอนร้องไห้สะอึกสะอื้นด้วยความห่วงจำเรียง เอื้อยแตงพยายามจะป้อนอาหารให้ บุญเรือนก็ไม่กิน เสมาและมั่นได้แต่มองด้วยความเป็นห่วง
       “แม่ป้ากินข้าวกินปลาสักหน่อยเถิด ได้ไข้หนักเช่นนี้ ไม่กินกระไรเลยจะยิ่งแย่ไปนา”
       “ข้ากินกระไรไม่ลงดอก ห่วงจำเรียงมันเหลือเกิน” บุญเรือนพูดพลางสะอึกสะอื้น
       มั่นสงสารจับใจแล้วว่า
       “ข้าเป็นพ่อ ข้าก็ห่วงมันเช่นกัน แต่เอ็งต้องฝืนใจกินเสียบ้างแม่บุญเรือน ได้ไข้คราก่อน เอ็งก็เป็นหนักนัก กว่าจะหายก็แรมปี ครานี้ถ้าเอ็งไม่กินข้าวกินปลาอีกแล้วจะหายได้เช่นไร”
       เสมาพยายามให้กำลังใจแม่
       “ถูกแล้วแม่รักของเสมา แม่สู้อุตส่าห์รักษาตัวเถิด ฉันสัญญาว่าจักช่วยจำเรียงให้จงได้ ฉันช่วยมาหลายคราแล้ว แม่ก็เห็นไม่ใช่รึ”
       บุญเรือนพยักหน้าทั้งน้ำตา
       “เอ็งอย่าปดแม่นะเสมา เอ็งต้องช่วยน้องให้ได้นะ”
       บุญเรือนพยุงตัวลุกขึ้นนั่งโดยมั่นเข้าไปช่วยพยุง เอื้อยแตงก็รีบป้อนข้าวให้บุญเรือนทันที คอยพยาบาลเต็มที่ เสมามีสีหน้าเคร่งเครียด รู้ว่างานนี้ยากมากที่จะช่วยจำเรียง แต่ก็ต้องหลอกแม่ไปก่อน

       เสมา สิน และสมบุญ มาคุยกับจำเรียงที่ติดคุกอยู่
       “ครานี้คงยากที่จะช่วยฉันได้ อ้ายหมื่นชาญ หมื่นทรง มันเจ้าเล่ห์นัก รู้ตัวว่าต้องไปศึกนานเดือน จึงแจ้งตำรวจให้จับฉันมาขังในคุกหลวง ด้วยเกรงว่าหากขังที่อื่น พี่จะตามไปช่วยฉันเช่นทุกคราได้”
       สมบุญห่วงจำเรียงจนขาดสติ
       “คุกหลวงแล้วกระไร ฉันเองก็อยากลองปล้นคุกหลวงสักคราเช่นกัน”
       “เอ็งจะได้โดนบั่นคอปะไร ต่อให้พี่เสมาเลิศฝีมือเพียงใด เพียงแค่สามคนก็ปล้นคุกหลวงไม่ได้ดอกโว้ย” สินว่า
       สมบุญมองจำเรียงด้วยความสงสาร
       “เป็นเพราะฉันประมาทโดยแท้ เห็นว่าอ้ายขันต้องโทษ จึงให้แม่จำเรียงกลับมา หาไม่ก็คงไม่โดนจับตัวเช่นนี้”
       “อย่าโทษตนเองเลย หมื่นชาญรู้แล้วว่าฉันซ่อนอยู่ที่หัวเมือง ถึงไม่กลับอโยธยาก็ต้องหนีไปที่อื่นอยู่ดี”
       เสมาถอนใจหนัก
       “การมาถึงขั้นนี้แล้ว คงหนีอีกหาได้ไม่ มีแต่ต้องหาเงินมาไถ่ตัวออกไปเท่านั้น”
       “ไถ่ตัวรึ หากมีคงไถ่ตัวแต่แรกแล้ว จะรอถึงป่านฉะนี้ไยกัน”
       สมบุญสบตามองกับจำเรียงด้วยความห่วงใย เสมามีสีหน้านิ่งเครียดไปอย่างใช้ความคิด

       บริเวณศาลาท่าน้ำบ้านขัน เสมากำลังคุยกับดวงแขด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
       “จะให้ช่วยจำเรียง แต่หามีเงินมาไถ่ตัวไม่ เช่นนี้ก็ไม่ต่างจากการคดโกงกันเลยนะเจ้าคะ ท่านขุน”
       “ข้าพระเจ้ารู้ว่าทำเช่นนี้นั้นผิดนัก แต่ข้าพระเจ้าสัญญาว่าจะหามาให้จนครบ ขอแต่เพียงช่วยจำเรียงออกมาก่อนเถิด ด้วยแม่ข้าพระเจ้าห่วงจำเรียงจนได้ไข้ จึงอยากขอเมตตาแม่หญิงสักครา”
       “ออกขุนก็รู้ ว่าพี่ขันเป็นนายเงิน ฉันจะทำกระไรได้ แลนับแต่จำเรียงหนีไป ก็ไม่เคยส่งดอกเบี้ย ดอกทบต้นเสียจนมากกว่าเดิมนัก แล้วออกขุนจะหามาใช้ได้รึ”
       “เสมาจึงต้องขอเมตตาจากแม่หญิงนี่กระไรเล่า แม่หญิงก็แจ้งอยู่ ว่าข้าพระเจ้าหาได้คิดคดโกงไม่ หากแต่หมื่นชาญคิดย่ำยีจำเรียงข้าพระเจ้าจึงต้องพาหนี แม่หญิงโปรดช่วยข้าพระเจ้าสักคราเถิด”
       ดวงแขแสร้งบีบน้ำตา เบือนหน้าไปทางอื่น เสมามองด้วยความแปลกใจ
       “แม่หญิงเป็นกระไรไป”
       “ฉันสงสารตัวเองนัก ขุนศึกท่านขอให้ฉันเมตตา แล้วท่านเล่าเคยเมตตาฉันบ้างรึ รู้หรือไม่ ว่าฉันทุกข์เพราะท่านมามากแล้ว”
       “ข้าพระเจ้าทำชั่วกระไร จึงเป็นเหตุให้แม่หญิงได้ทุกข์”
       “หาใช่เรื่องกระทำชั่ว แต่เป็นด้วยฉันน้อยใจนัก คราใดที่ขุนท่านมีทุกข์ท่านนึกถึงฉัน แต่ยามสุขท่านกลับคิดถึงแต่ผู้อื่น แลฉันเองจะปรับทุกข์กับผู้ใดก็มิได้ ด้วยเป็นหญิงแต่แอบพึงใจให้ชายก่อน”
       เสมาชะงักไป ดวงแข ปั้นน้ำตารื้นจนท่วมตา
       “ตรองดูเถิด ว่าฉันจักทุกข์เพียงใด”
       เสมาคิดตาม เริ่มจะเข้าใจว่าดวงแขแอบบอกเป็นนัยๆว่ามีใจให้ตน
       ดวงแขสบตาเสมา บีบน้ำตาร่วงผล๋อยให้เสมาได้เห็น เสมารู้สึกผิดระคนใจอ่อนที่ได้เห็นน้ำตาดวงแข
       ดวงแขแสร้งลุกหนีทั้งน้ำตา เพียงคล้อยหลังก็เห็นอมยิ้มอย่างพึงพอใจภายใต้คราบน้ำตาที่ได้เผยความในใจให้เสมารู้ หลังจากทำให้เสมา กับเรไรทะเลาะกันได้สำเร็จ

       ภายในท้องพระโรงเมืองหงสาวดียามบ่าย พระเจ้านันทบุเรง ทรงยืนตกตะลึง หลังจากทราบข่าวพระมหาอุปราชาสิ้นพระชนม์ ในท้องพระโรงนั้นยังมีพระเจ้าเชียงใหม่นั่งอยู่ใกล้ๆ ในขณะที่ขุนนาง แม่ทัพนายกองที่ไปศึกกับพระมหาอุปราชาพากันคุกเข่าเข้าเฝ้าด้วยสีหน้าหวาดกลัว
       พระเจ้านันทบุเรง ทรงตัวสั่น เซ ก่อนจะทรุดลง พระเจ้าเชียงใหม่รีบเข้าไปประคองให้นั่งประทับที่บัลลังก์ทันที
       “ระวัง สมเด็จพี่”
       พระเจ้านันทบุเรงน้ำตาคลอเบ้า เสียใจที่สุดกับการตายของพระมหาอุปราชา หันไปมองพวกขุนนางที่ไปศึกด้วยความโกรธแค้น
       “ทหาร เอาพวกมันไปประหารให้หมด”
       พวกขุนนาง นายทหารต่างตกใจ หวาดกลัวสุดๆ
       “ช้าก่อนสมเด็จพี่ ขอทรงพระเมตตาละเว้นโทษตายให้เหล่าแม่ทัพนายกองด้วยเถิดพระพุทธเจ้าข้า”
       “พวกมันไม่ปกป้องพระมหาอุปราชา ปล่อยให้ลูกข้าต้องตาย แลยังปกปิดไว้นานวันจนพ่ายแพ้กลับมา เห็นจวนตัวแล้วจึงมาบอก เช่นนี้ยังไม่ควรประหารพวกมันอีกรึ”
       “พระมหาอุปราชากระทำยุทธหัตถีกับองค์พระนเรศ แม้จะพ่ายแพ้จนสวรรคตแต่ก็ถือเป็นเกียรติสูงสุดของนักรบแล้ว หาควรตำหนิเหล่าผู้ตามเสด็จไม่ แลหากประหารเสียสิ้นหงสาก็จะอ่อนแอลงอีกพระพุทธเจ้าข้า”
       “แล้วเจ้าจะให้พี่ทำเช่นไร”
       “อโยธยาชำนะศึก ย่อมมีใจฮึกเหิม ดีร้ายคงบุกตีทวายแลตะนาวศรีคืนไปเป็นแน่ ขอให้เหล่าทหารที่พ่ายศึก กระทำการแก้ตัวไปป้องกันทวายแลตะนาวศรีเถิดพระพุทธเจ้าข้า”
       พระเจ้านันทบุเรงชี้หน้าพวกขุนนาง แม่ทัพ
       “พวกเอ็งได้ยินแล้วหรือไม่ รีบไปให้พ้นหน้าประเดี๋ยวนี้”
       ขุนนางพร้อมกันถวายบังคม
       “รับด้วยเกล้าพระพุทธเจ้าข้า”
       พระเจ้าเชียงใหม่ มีสีหน้าเคร่งเครียดหนักที่หงสาวดีตกต่ำลงเรื่อยๆ ยากที่จะมีใครช่วยได้แล้ว

       เจ็ดแปดวันผ่านไป ในท้องพระโรงกรุงศรีอยุธยา สมเด็จพระนเรศวรกำลังอ่านจดหมายจากพระเจ้าเชียงใหม่ ด้วยพระพักตร์ยิ้มแย้มแจ่มใส โดยสมเด็จพระเอกาทศรถประทับนั่งอยู่ใกล้ๆ
       “พระเจ้าเชียงใหม่มีสาส์นมาขอสวามิภักดิ์ ย่อมประจักษ์แล้วว่า อำนาจของหงสาวดีใกล้จะหมดสิ้นลงทุกที”
       “สิ้นพระมหาอุปราชา ก็ดั่งพระกรขวาของพระเจ้าหงสาวดีขาดลง อีกไม่ช้านาน หงสาวดีย่อมต้องวุ่นวายด้วยการชิงอำนาจเป็นแน่”
       “ถึงเพลานั้น พี่จะยกทัพบุกตีหงสาเพื่อยึดมาเป็นประเทศราชให้จงได้ จักได้เป็นการแก้คืนคราเสียกรุง แลเป็นพระเกียรติยศสืบไป ดังเช่นพระเจ้าชำนะสิบทิศ”
       “ควรแล้วพระพุทธเจ้าข้า... เอ่อ สมเด็จพี่ น้องได้ทำบาญชีความชอบเหล่าทหารคราศึกยุทธหัตถีเสร็จแล้ว ขอสมเด็จพี่ทรงตรวจทานด้วยพระพุทธเจ้าข้า”
       “มิต้องดอก น้องทำตามที่เห็นควรเถิด แม่ทัพนายกองที่มีผิดก็ลงโทษแลให้รบแก้ตัวแล้ว ผู้ที่มีความชอบ ก็ควรจะได้บำเหน็จเสียที”

       ศรีเมืองยื่นถุงใส่เงินให้เสมารับไปแล้วกล่าวว่า
       “พ่อท่านไปศึก ฉันเองก็มีเงินไม่มาก ละอายใจเหลือเกินที่ช่วยพี่ได้เท่านี้”
       “ยามยากเช่นนี้ น้ำใจศรีเมืองเจ้ามีค่ามากกว่าเงินทองโขนัก พี่สัญญาว่าจะหามาใช้คืนเจ้าให้จงได้”
       “ไม่เป็นกระไรดอก พี่เสมามีเมื่อใดค่อยใช้ก็ได้ เอ่อ แล้วอาการแม่ป้าบุญเรือนเล่าเป็นกระไรบ้าง”

       เสมาสีหน้าเครียดหนัก
       “แม่ท่านทรุดลงเร็วนัก เพียงไม่ถึงสิบวันที่จำเรียงถูกจับ แต่แรกยังพอปลอบโยนกันได้ นานไปยังช่วยจำเรียงไม่ได้ แม่ท่านก็ยิ่งตรอมใจ”
       “แล้วจะทำเช่นใด หนี้สินพอกพูนกว่าเดิมโขนัก ของเดิมยังหามาใช้ไม่ได้ แล้วของใหม่จะหามาใช้ได้อย่างไร”
       เสมาพยายามคิดหาทางออก

       ในห้องนอนบุญเรือน...เสมากำลังคุยกับเอื้อยแตงด้วยสีหน้าเคร่งเครียด เอื้อยแตงพูดไปก็เช็ดตัวให้บุญเรือนที่อาการทรุดหนัก นอนไข้ขึ้นไม่ได้สติ
       “ต่อหน้าข้าศึกเรือนหมื่นเรือนแสน ข้าไม่เคยหนักใจเช่นนี้เลย หาเงินหาอัฐยังยากกว่าออกศึกมากนัก” เสมาพูดขึ้น
       “แล้วแม่หญิงดวงแขกระไรนั่นเล่า ไม่ยอมเราให้ทยอยชดใช้หนี้เลยรึ”
       “แม่หญิงดวงแขไม่ใช่นายเงิน ก็คงช่วยได้เพียงเท่านี้”
       เสมาลองจับตัวบุญเรือนดู ตัวร้อนเป็นไฟไข้ขึ้นสูง
       “ไข้แม่ไม่ลดเลย หรือจะลองเปลี่ยนยาดู”
       “ยากระไรก็ไม่ได้ผลดอก หากแม่ป้ายังตรอมใจเช่นนี้ แต่ก็น่าตรอมใจอยู่ดอก ถูกอ้ายขันจับไป ยังพอช่วยได้ แต่ถูกตำรวจจับไปไว้คุกหลวง นอกเสียจากจะมีพระบรมราชโองการเท่านั้น ไม่เช่นนั้นอย่าหวังว่าจะออกมาได้เลย”
       พอเอื้อยแตงพูดเช่นนี้ เสมาก็ฉุกคิดขึ้นมาทันทีถึงเรื่องพระบรมราชโองการ

       ทหารคนหนึ่ง เดินออกมาหาเสมาที่ยืนกระวนกระวายอยู่ที่หน้าวังแล้วพูดว่า
       “ออกญาเดโชต้องถวายคำปรึกษาราชการ มิรู้ว่าเมื่อใดจะเสร็จสิ้น ท่านขุนศึกไชยชาญกลับไปก่อนเถิด”
       “ฉันมีเรื่องร้อนใจนัก อยากจะให้ท่านออกญานำฉันเข้าเฝ้า หากออกญาเดโชติดราชการ พอจะให้ฉันพบออกญาท่านอื่นได้หรือไม่”
       “ส่วนมากไปศึกทวาย ตะนาวศรี ที่อยู่ก็เข้าถวายคำปรึกษาจนสิ้น หากท่านขุนอยากพบบรรดาท้าวพระยา ก็คงต้องรอจนสิ้นราชการหล่ะ”
       ทหารเดินเลี่ยงไป เสมากลับมานั่งรออยู่ริมกำแพงวัง
       พระอาทิตย์ แผดแสงแรง อากาศร้อนจัด เสมาร้อนจนเหงื่อไหลโทรมกายแต่ก็อดทนรอต่อไป เงาต้นไม้ ค่อยๆเคลื่อนจากสาย ไปเที่ยง บ่าย จนถึงเย็น เสมายังคงนั่งรออยู่ที่เดิม พอทหารคนเดิมออกมาจากวัง เสมาก็รีบเข้าไปหาทันที
       “ขุนศึกไชยชาญ ท่านยังรออยู่อีกรึ”
       “บรรดาท้าวพระยาสิ้นราชการแล้วหรือไม่ ฉันพอจะพบท่านเจ้าคุณท่านใดได้บ้างเล่าพ่อ”
       “วันนี้คงไม่ได้ดอก เพราะข้อราชการมีมากนัก คงต้องค้างคืนในวังเสียแล้ว ท่านขุนมาวันพรึ่งเถิด หรือไม่ก็ไปหาบรรดาเจ้าคุณผู้ใหญ่ที่เรือนเองเถิด”
       พูดแล้วทหารก็เดินเลี่ยงไป เสมาเดินคอตกกลับไปด้วยสีหน้าซึมๆ
       สิน และสมบุญ รีบเดินเข้ามาหาเสมา
       “เป็นกระไรบ้างพี่เสมา ได้เข้าเฝ้าหรือไม่” สมบุญถาม
       เสมาส่ายหน้าช้าๆ
       “ข้าเป็นเพียงทหารอาสาต้องมีออกญาผู้ใหญ่นำเข้าเฝ้า เสียดายที่วันนี้มีข้อราชการมากนัก หามีออกญาท่านใดว่างไม่ แล้วพวกเอ็งเล่า หยิบยืมเงินผู้ใดได้บ้างหรือไม่”
       “เพราะเป็นทหารอาสาเช่นกันจึงไม่มีผู้ใดให้หยิบยืม ด้วยเกรงว่าเราจะไม่มีเงินไปใช้คืน” สมบุญว่า
       เสมาถอนใจยาวออกมาอย่างหนักใจ
       “อ้ายพวกนี้ หากมีศักดินาร่ำรวยขึ้นมาเมื่อใดจะกลับไปเย้ยพวกมันให้จงได้” สินพูดอย่างเจ็บใจ
       หรือว่า เสมาจะอับจนหนทางแล้วจริงๆ

       บนเรือนบ้านขัน ดวงแขกำลังนั่งทำบัญชีให้แม่ จดดอกเบี้ย เงินต้นที่ปล่อยกู้ ฯลฯ อำพันเดินออกมาจากข้างในเข้ามาหาดวงแขที่สีหน้ายิ้มแย้มอยู่
       “แม่ท่านมาพอดี ลูกทำบาญชีลูกหนี้แลดอกเบี้ยเสร็จพอดี แม่ตรวจทานก่อนเจ้าค่ะ”
       อำพันนั่งลง รับบัญชีจากดวงแขมาดู ยิ้มพอใจ
       “แม่ดวงแขละเอียดกว่าแม่เสียอีก แม่ไม่ต้องตรวจทานก็ได้”
       ดวงแขยิ้มรับ อำพันอ่านบัญชีคร่าวๆต่อจนเจอบัญชีของจำเรียงเข้า สีหน้าของอำพันก็ไม่สบายใจพลางพูดว่า
       “หนี้สินที่แม่จำเรียงติดค้างพ่อขัน แม่อยากยกให้เสียจริง จะได้คลายความบาดหมางของพ่อขันกับขุนศึกไปได้บ้าง แม่ดวงแขเห็นเช่นไร”
       ดวงแขชะงักไปเล็กน้อย ก่อนปั้นหน้าขึงขัง
       “ไม่บังควรเจ้าค่ะ อย่างไรต้องไต่ถามพี่ขันก่อน หากทำไปโดยพี่ขันไม่เต็มใจ อาจบาดหมางกันยิ่งขึ้นกว่าเดิม”
       “แต่เพลานี้แม่จำเรียงอยู่ในคุกหลวง แล้วจะปล่อยทิ้งให้ลำบากเช่นนี้รึ”
       “ลูกกับจำเรียงเป็นเพื่อนร่วมตำหนักกันมาก่อน แม้จะติดคุก ลูกก็ไม่ปล่อยทิ้งให้จำเรียงได้ยากลำบากเกินไปดอกเจ้าค่ะ แม่ท่านอย่ากังวลเลย”
       “ถ้ากระนั้นก็แล้วแต่แม่ดวงแขเถิด แม่ไว้ใจแม่ดวงแขยิ่งกว่าผู้ใด หากแม่ดวงแขเห็นควรเช่นนี้ ก็คงไม่ผิดพลาดดอก”
       อำพันยิ้มบางๆ ให้ดวงแขแล้วคืนบัญชีให้ลูกก่อนเดินเลี่ยงไป
       ดวงแขพูดพึมพำ
       “หากช่วยเสียแต่ตอนนี้ แล้วจะเป็นบุญเป็นคุณกับขุนศึกในภายหน้าได้อย่างไรเจ้าคะแม่ท่าน”
ดวงแขแสยะยิ้มร้าย อย่างมีแผนการ
//www.manager.co.th/Drama/ViewNews.aspx?NewsID=9550000057327



Create Date : 22 พฤษภาคม 2555
Last Update : 22 พฤษภาคม 2555 12:14:04 น. 0 comments
Counter : 990 Pageviews.

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

atitaya_t
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 2 คน [?]




สวัสดีค่ะ ขอร่วม gang ด้วยคนค่ะ
Friends' blogs
[Add atitaya_t's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.