เก็บความทรงจำ..(^_^)..ความสนใจ โลกส่วนตัว ที่เราสร้างเอง
Group Blog
 
 
พฤษภาคม 2555
 12345
6789101112
13141516171819
20212223242526
2728293031 
 
22 พฤษภาคม 2555
 
All Blogs
 
ขุนศึก ตอนที่ 4-4 , 5-1

ขุนศึก ตอนที่ ๔ (ต่อ)

บ้านขันตอนหัวค่ำ จำเรียงเดินถือห่อผ้าตามทาสหญิงวัยกลางคนคนหนึ่งเข้ามาในเรือนทาส จำเรียงต้องนอนรวมกันกับทาสหญิงอีกหลายคน ทาสหญิงคนหนึ่ง สีหน้าบึ้งตึงพูดเสียงห้วน

       “เอ็งนอนตรงโน้น วันพรึ่งต้องตื่นก่อนรุ่งสาง อย่าให้ข้าต้องปลุก มิเช่นนั้นเอ็งโดนหวายเป็นแน่”
       จำเรียงมองไปรอบๆ เห็นที่ทางค่อนข้างแออัดยัดเยียดก็หน้าเสีย
       “ต้องนอนรวมกันหมดเลยรึจ๊ะป้า ฉันเห็นมีห้องกั้นไว้หลายห้อง เหตุใดไม่แยกกันอยู่เป็น
       สัดส่วนเล่าจ๊ะ”
       ทาสคนเดิมตวาดแว๊ด
       “อีนี่ เพิ่งจะเหยียบเรือนก็คิดจะมีห้องเสียแล้วรึ ข้าอยู่มาจนป่านฉะนี้ ยังต้องนอนรวมกับเอ็งเลย”
       ทาสหญิงอีกคนยิ้มขำๆ
       “ว่าได้รึป้า หน้าตานังนี่ก็สะสวยใช่หยอก หากได้รับใช้พระคุณขันสักครา อย่าว่าแต่ห้องเพียงเท่านี้เลย แม้แต่เรือนใหม่ก็ยังหาใช่เรื่องแปลกกระไรไม่”
       ทาสคนแรกทิ้งค้อนด้วยความหมั่นไส้ที่เห็นจำเรียงเป็นสาวสวย จำเรียงหน้าเสียรีบเดินมายังที่นอนของของตัวเอง จำเรียงมองออกไปทางหน้าต่าง เห็นทาสชายกลุ่มหนึ่งกำลังจับกลุ่มคุยเรื่องจำเรียงอยู่
       “เอ็งเห็นนังคนสวยที่มาใหม่หรือไม่วะ ข้าว่าไม่เกินสามวัน พระคุณขันต้องเรียกไปรับใช้เป็นแน่” ทาสชายคนหนึ่งพูดขึ้น
       ทาสชายอีกคนหัวเราะชอบใจพลางว่า
       “สามวันเชียวรึ ข้าว่าพรึ่งนี้มากกว่า หากไม่เชื่อ พนันกันไหมล่ะ”
       พวกทาสชายคึกคักต่างพนันขันต่อกันใหญ่ว่า จำเรียงจะรอดมือขันได้กี่วัน จำเรียงกอดห่อผ้าแน่น สีหน้าเสียใจปนกลัว น้ำตาเริ่มคลอเบ้าขึ้นมา

       ในเวลาเดียวกัน มั่นค่อยๆประคองบุญเรือนที่ร้องไห้สะอึกสะอื้นขึ้นเรือนมา โดยมีเสมาเดินหน้าเครียดตามหลังมา
       “หักอกหักใจเสียเถิดแม่บุญเรือน เรามีเงินอยู่ชั่งหนึ่งแล้ว ถ้าขยันขันแข็ง อีกชั่งหนึ่งคงหาไม่ยากดอก ไม่นานต้องไถ่ตัวจำเรียงมันออกมาได้เป็นแน่”
       “เพราะฉันมันโง่เองไม่เชื่อคำอ้ายเสมา นึกว่าเค้ารักจำเรียงมันจริง จึงได้เสียทีเอาเช่นนี้ ฉันมันโง่เขลาเบาปัญญานัก” บุญเรือนพูดแล้วก็ทุบหัวตัวเองไม่หยุด
       เสมารีบจับมือแม่ไว้
       “อย่าแม่ อย่าทำเช่นนี้ ฉันสัญญาว่าจะไถ่ตัวจำเรียงมันให้เร็วที่สุด แม่อย่าได้โทษว่าตัวเองอีกเลย” เสมาว่า
       “ขอบน้ำใจเอ็งนักเสมาเอ๋ยที่เอ็งไม่ทิ้งน้อง แต่จำเรียงมันไปเป็นทาสเรือนเค้า คงยากที่จัก...” บุญเรือนลำคอตีบตันพูดไม่ออก ก่อนจะปล่อยโฮ
       เสมา และมั่นหันไปสบตากัน ด้วยความหนักใจ เพราะทั้งคู่ต่างรู้ดีว่าจำเรียงคงพ้นมือขันยาก

       บนเรือนยามเช้า ดวงแขกำลังเดินคุยพร้อมกับสั่งงานทาสหญิงไปด้วย
       “เพลานี้มีศึกมิรู้จะสิ้นเมื่อใด พวกเอ็งจงเร่งเตรียมอาหารแห้งไว้ จักได้เก็บไว้ได้นานวัน เผื่ออโยธยาจักต้องรับศึกนานเดือน จะได้ไม่อัตคัดขัดสน”
       “เจ้าค่ะแม่หญิง”
       ทันใดนั้น เสียงจำเรียงร้องกรี๊ดลั่นดังมาจากข้างใน ดวงแขตกใจ รีบตามเข้าข้างในไปทันที

       ขันกำลังยื้อยุดฉุดกระชากจำเรียงอยู่ในห้องนอน
       “ช่วยด้วย ช่วยด้วยเจ้าค่ะ”
       “เอ็งจะเรียกให้ใครช่วยนังจำเรียง เอ็งเป็นทาสในเรือนข้า ก็เหมือนดั่งเป็นข้าวของติดเรือน ข้าจักทำอะไรกับเอ็งก็ได้ทั้งสิ้น” ขันตะคอกใส่
       ขันกระชากมือ จำเรียงพยายามขืนตัวจะหนีออกจากห้อง ดวงแขตามเข้ามาที่ห้องนอนขัน เห็นเหตุการณ์เข้าพอดี
       “แม่หญิงดวงแขช่วยจำเรียงด้วยเถิดเจ้าค่ะ”
       “พอเสียทีเถิดพี่ขัน จำเรียงหาได้เต็มใจไม่ พี่บังคับกันเช่นนี้จะมิเสื่อมเกียรติของชายชาติทหารรึ”
       ขันอึ้งไปครู่ แต่ทิฐิมีมากกว่าจึงว่า
       “ไม่ว่าเรือนใดก็นับทาสเป็นเพียงสมบัติในเรือนทั้งสิ้น พี่ไม่ได้ทำกระไรผิด แม่ดวงแขอย่าได้ข้องเกี่ยวเรื่องนี้เลย”
       “แต่พระคุณขัน ใช้เล่ห์บีบให้บ่าวมาเป็นทาส แล้วยังคิดจะกระทำย่ำยี เพียงเพื่อหักหน้าพี่ชายบ่าวให้สาแก่ใจ แม้นไม่ผิดแต่ก็หาใช่วิสัยชายจะพึงกระทำไม่”
       “อีจำเรียง” ขันโมโหเงื้อมือขึ้นจะตบจำเรียง
       “อย่านะพี่ขัน” ดวงแขห้าม
       แต่ขณะนั้นเองก็มีทาสหญิงคนหนึ่ง ลนลานเข้ามาหาขัน
       “พระคุณเจ้าคะ”
       ขันยังโมโหเรื่องจำเรียงอยู่จคงตะคอกใส่ทาสคนนั้น
       “กระไรวะนังขาว เอ็งอยากจะรับหวายแทนรึ”
       “มิได้เจ้าค่ะ แต่มีราชการศึกเร่งด่วนมาถึงพระคุณ คนถือสาสน์รออยู่ที่หอนั่งเจ้าค่ะ”
       ขันหน้าเจื่อนลงทันที ในขณะที่จำเรียงและดวงแขโล่งอกที่รอดเหตุการณ์นี้ไปได้อย่างหวุดหวิด

       ในช่วงนั้นเอง กรุงละแวกได้ฉวยโอกาสที่กรุงศรีอยุธยาต้องรับศึกหนักกับกองทัพหงสาวดี เลยยกทัพพลหนึ่งหมื่นบุกเข้าตีเมืองปราจีนจนแตก สมเด็จพระนเรศวรทรงกริ้วมาก แต่ด้วยติดทัพหงสาจึงมีรับสั่งให้พระยาศรีไสยณรงค์ และพระยาสีหราชเดโช ยกทัพห้าพันเพื่อเข้ารับศึกละแวกทันที

       ขุนรามเดชะสวมชุดเกราะเต็มยศสีหน้าเคร่งเครียด เดินลงจากเรือนมาหากลุ่มทหารที่รออยู่ โดยมีลำภูเดินตามมาส่ง
       “อ้ายเสมาต้องอยู่รับทัพหงสา ไม่ได้ไปศึกละแวกกับฉันแลพ่อขัน ฉันจึงหวั่นใจนัก ไม่อยากให้แม่เรไรออกจากวังเลย แต่ด้วยธรรมเนียมจึงไม่อาจขัดได้ ถ้าอย่างไรแม่ลำภูจงคอยดูแลลูกให้ดีเถิด”
       “ท่านขุนไม่ต้องเป็นห่วงดอก ฉันกำชับบ่าวไพร่ทุกคนแล้ว ว่าหากเห็นอ้ายเสมามาที่เรือนก็ให้ขับไล่ไปเสีย แลสั่งเป็นคำขาดกับแม่เรไรไม่ให้ออกจากเขตบ้าน ฉันรับรองว่า อ้ายเสมาไม่มีทางได้ปะหน้าแม่เรไรเป็นอันขาด”
       “เช่นนี้ฉันก็เบาใจ ไม่ต้องห่วงกระไรแล้ว อ้ายเสมามันช่างไม่เจียมตัวนัก หากมันไม่ใฝ่สูงจนเกินศักดิ์ ป่านฉะนี้ ฉันคงให้มันสังกัดมูลนาย มีศักดินาตำแหน่งหมื่นกินแล้ว ไหนเลยน้องมันจักต้องไปเป็นทาสเค้าเช่นนี้”
       ลำภูมองตามขุนรามเดชะได้แต่ถอนใจออกมาอย่างไม่สบายใจนัก

       เวลาเดียวกัน พุฒกำลังคุยกับบัวเผื่อนอยู่ใต้ต้นไม้ที่หน้าเรือนของพุฒ
       “เพิ่งออกจากคุกมาก็ต้องไปศึกละแวกอีก ฉันหวั่นใจเหลือเกินเกรงว่า ถ้าพ่ายศึกอีกครานี้คงไม่พ้นฟันคอริบเรือนเป็นแน่”
       พุฒโมโหขึ้นทันที
       “เอ๊ะ แม่บัวเผื่อน ฉันกำลังจะไปศึกเหตุใดพูดจาอัปมงคลเช่นนี้”
       บัวเผื่อนหน้าเสียและรีบเปลี่ยนเรื่องทันที
       “ขอขมาเถิดพ่อพุฒ ฉันพูดเพราะเป็นห่วงพ่อ หาได้คิดร้ายไม่ เอ่อ แล้วนี่พ่อพุฒจะไปสักกี่วันกันเล่า”
       “ไปรบทัพจับศึกจะกะได้เยี่ยงไร แม่บัวเผื่อนถามเช่นนี้ต้องการกระไรรึ”
       “เปล่าดอก ฉันเกรงว่ายามพ่อพุฒไปศึกจักไม่มีใครดูแลเรือน เลยจะอาสามาดูแลให้”
       “ไม่ต้องดอก ฉันไหว้วานป้าแลอาของฉันมาดูแลให้แล้ว หากไม่ใช่เหตุจำเป็น แม่บัวเผื่อนไม่ต้องมาที่เรือนฉันดอก”
       พุฒ เหล่มองบัวเผื่อน เตรียมที่จะหาเรื่องเขี่ยบัวเผื่อนทิ้ง
       “เอ๊ะ พ่อพุฒ เหตุใดพูดเช่นนี้ ฉันไปทำกระไรให้พ่อพุฒโกรธเคืองหนักหนารึ ถึงขั้นห้ามเหยียบเรือนกัน”
       “ไม่ใช่ห้ามเหยียบ แต่หากไม่มีเหตุจำเป็นก็ไม่บังควรมา แม่บัวเผื่อนเป็นหญิงมาหาชายอื่นถึงเรือนไม่นึกอายบ้างรึ”
       บัวเผื่อนตกใจไม่คิดว่าพุฒจะด่าซึ่งหน้าแบบนี้
       “แม่บัวเผื่อนเป็นคนฉลาด ฉันพูดถึงเพียงนี้ คงพอเข้าใจดอกนะ”
       พุฒเดินขึ้นเรือนไปโดยไม่แยแส ปล่อยให้บัวเผื่อนยืนนิ่งอึ้งตกใจจนพูดอะไรไม่ออก

       ภายในตำหนักยามบ่าย บัวเผื่อนร้องห่มร้องไห้ โดยมีเรไรอยู่ใกล้ๆ
       “เสียแรงที่ฉันมีใจใฝ่ให้กลับทอดทิ้งไม่ใยดีกันได้ ขอให้มันโดนพวกละแวกฆ่า เป็นผีเฝ้าเมืองปราจีนเสียเลย”
       เรไรนึกปลงกับนิสัยเพื่อน
       “เพลานี้เป็นยามศึก อย่าแช่งกันเช่นนี้เลย หากฝีมือเช่นหมู่พุฒยังตายเสียไพร่พลอื่นมิหนักกว่ารึ แม่บัวเผื่อนอย่าเอาแต่โทสะเป็นที่ตั้งเลย”
       “แม่เรไรพูดเช่นนี้เพราะไม่รู้ความจริง ที่แม่เรไรต้องโทษจนถึงขั้นตีกรวนแลโดนโบยนั้น ก็เพราะอุบายอ้ายพุฒมันทั้งสิ้น”
       “ฉันรู้ หากแต่ฉันอโหสิให้หมดสิ้นแล้ว”
       บัวเผื่อนเจ็บใจที่ยุเรไรไม่ขึ้น
       “อโหสิทำกระไร เหตุใดไม่ฟ้องขุนรามเดชะท่านเล่า ศึกละแวกครานี้ อ้ายพุฒเป็นทหารในบังคับของออกขุนรามท่านจะได้ให้มันโดนดีเสียบ้าง”
       “แม่บัวเผื่อนคิดว่าพ่อท่านยังฟังคำฉันอีกรึ แล้วที่ฉันต้องโทษมิใช่เพราะเพื่อนที่คบมานานปีร่วมมือกับเค้าใส่ไคล้ฉันดอกรึ หากฉันไม่อโหสิ เพลานี้คงไม่คุยกับแม่บัวเผื่อนอยู่ดอก” เรไรแขวะบ้าง
       บัวเผื่อนหน้าแตกและพาลโกรธเรไรทันที
       “แม่เรไรพูดเช่นนี้ก็ตามใจเถิด ฉันเป็นเช่นนี้แล้วคงสาแก่ใจแม่ขึ้นมาบ้างกระมัง”
       บัวเผื่อนสะบัดหน้าเดินเลี่ยงไปทางอื่นด้วยความหงุดหงิด เรไรมองตาม แล้วส่ายหน้าแบบปลงๆ

       จำเรียงหอบเสื่อหมอนเดินตามดวงแขเข้ามาในห้อง
       “นับแต่นี้จำเรียงนอนในห้องกับฉันเถิดไม่ต้องไปนอนรวมกับพวกทาสที่เรือนแล้ว มีฉันอยู่ด้วย พี่ขันจะทำกระไรก็คงต้องเกรงกันบ้าง”
       จำเรียงนั่งพับเพียบไหว้ดวงแข
       “ขอบพระคุณแม่หญิงมากเจ้าค่ะ”
       ดวงแขรับไหว้พลางยิ้มบางๆก่อนกล่าวว่า
       “ไม่เป็นกระไรดอก เราเคยเป็นเพื่อนร่วมตำหนักกันมา แลฉันรับปากหมื่นศึกไว้แล้วว่าจะดูแลจำเรียง แล้วจะปล่อยให้โดนข่มเหงได้อย่างไร”
       “พูดถึงพี่เสมาแล้วก็พิกลเหลือนะเจ้าคะ จำเรียง เอ่อ... บ่าวเห็นผู้อื่นได้ยศเป็นหัวพันหัวหมื่นก็มั่งมีหนักหนา แล้วเหตุใดพี่เสมาจึงยากจนถึงเพียงนี้”
       “ฉันก็ไม่ใคร่เข้าใจกฎของทหารนักดอก แต่คาดว่าการผิดใจกันของหมื่นศึกกับท่านอาขุนรามเดชะ น่าจะเป็นเหตุหนึ่งกระมัง”
       “นับแต่พี่เสมาชอบพอกับแม่หญิงเรไร ก็มีแต่เรื่องเดือดร้อนเมื่อใดพี่เสมาจักเข้าใจเสียที”
       ดวงแขยิ้มเล็กน้อยแล้วว่า
       “ต่อไปคงไม่ต้องกังวลแล้วกระมัง ท่านอาขุนราม คงไม่ยอมให้หมื่นศึกปะหน้ากับแม่เรไรอีกดอก”
       “กระไรได้เล่าเจ้าคะ พี่เสมานั้นดื้อรั้นนัก แลเคยเป็นครูฝึกอยู่ที่บ้านท่านขุนรามเดชะ รู้ทางหนีทีไล่ที่บ้านท่านขุนดี พี่สมบุญยังเคยบอกว่าพี่เสมาเคยลักลอบเข้าไปในบ้านท่านขุนเสียหลายครั้ง แม้แต่ปีนเข้าห้องนอนแม่หญิง ก็ยังเคยเลยเจ้าค่ะ”
       ดวงแขเหยียดปากด้วยโมโหหึง สีหน้าแววตาหมั่นไส้เรไรขึ้นมาทันทีอย่างลืมตัว

       ทาสของขุนรามเดชะกำลังพายเรือพาลำภูมาขึ้นที่ท่าน้ำ พอลำภูขึ้นฝั่ง ทาสหญิงคนหนึ่งของดวงแขก็รีบเข้ามาหาลำภูและคุกเข่าลงไหว้ทันที
       “ขอประทานโทษเจ้าค่ะ แม่นายใช่แม่นายลำภูหรือไม่เจ้าคะ”
       “ใช่ เจ้าเป็นใครกันรึ”
       “ข้อนั้น บ่าวบอกไม่ได้เจ้าค่ะ”
       ทาสหยิบจดหมายออกมายื่นให้ลำภู
       “แต่นายของบ่าว ให้นำสาสน์นี้มาให้แม่นายเจ้าค่ะ แม่นายอ่านแล้วก็จะเข้าใจเอง”
       ลำภูสายตาระแวง
       “ลับๆล่อๆ พิลึกนัก ฉันไม่อ่านดอก”
       “อ่านเถิดเจ้าค่ะ เรื่องนี้เกี่ยวพันถึงแม่หญิงเรไรแลหมื่นศึกอาสาด้วยเจ้าค่ะ”
       ลำภูตกใจเลยรีบรับจดหมายมาฉีกออกอ่านทันที พออ่านไปได้ซักครู่ก็ยิ่งตกใจจนหน้าซีดเผือด

       บ้านรามเดชะตอนหัวค่ำ เรไรกำลังยืนมองออกไปนอกหน้าต่างเพื่อรอเสมา มองเท่าไหร่ก็ไม่เห็นวี่แววเสมาแม้แต่น้อย เรไรถอนหายใจคิดว่า เสมาคงไม่มาแล้วจึงเอื้อมมือจะปิดหน้าต่าง พลันมือของเสมาก็มาดันหน้าต่างไว้ แล้วโหนตัวปีนหน้าต่างเข้าห้องมา เสมาดีใจมากรีบจับมือเรไรไว้
       “คิดถึงหนักหนาแล้วแม่หญิงเอ๋ย พอรู้ข่าวว่าพระคุณไปศึกละแวก แม่หญิงต้องกลับมาที่เรือน ใจอ้ายเสมาก็ร้อนดังไฟเผา อยากมาหาแม่หญิงเหลือเกินแล้ว”
       เรไรเขินอาย เสมาไม่ปล่อยมือเหมือนทุกที ยิ้มกรุ้มกริ่มแล้วเอามือเรไรมาจูบ เรไรรีบดึงมือออกแล้วเดินเลี่ยง
       “ร้ายกาจแล้วเสมา ตัวฉันนี้แม้จะชั่ว ก็ขอชั่วเพียงนอกโอวาทพ่อแม่ท่าน แต่ผีสางเทวดาก็สุดละอายท่านนักแล้ว”
       เสมาพูดพลางยิ้มกรุ้มกริ่ม
       “อภัยเถิดแม่หญิงเอ๋ย เสมาไม่ได้ปะหน้าแม่หญิงมานานวันให้คิดถึงนัก พอได้พบเจอ จึงสุดจะหักห้ามใจแล้ว แม่หญิงสุดรักแห่งข้าพระเจ้า”
       เสมาค่อยๆกอดเรไรจากทางด้านหลังอย่างทะนุถนอม เรไรพยายามจะเบี่ยงตัวออก
       “ช้าก่อนเสมา อย่า...”
       ทันใดนั้นเอง ลำภูก็เปิดประตูห้องเข้ามาเห็นเสมากับเรไรอย่างเต็มตา ทั้งสองรีบผละออกจากกันทันที
       ลำภูชี้หน้าเรไรด้วยความโมโห
       “งามหน้าแล้วแม่เรไร นี่ต่อหน้าต่อตาจับได้เอง หากเป็นผู้อื่นจะว่าซัดใส่โทษ”
       เรไรกลัวรีบนั่งพับเพียบกราบเท้าแม่ น้ำตาคลอเบ้า ร้องไห้ออกมาด้วยความรู้สึกผิด
       “แม่ท่าน ผิดลูกเกินตัวที่จะอภัยแล้ว
       ฝ่ายลำภูก็โกรธจนน้ำตาคลอ
       “แม่มีลูกแต่คนหนึ่งเป็นเอื้อยหัวปีก็ประพฤติไม่สมศักดิ์สมรักนัก”
       ลำภูหันไปพูดกับเสม
       “แน่ะหมื่นศึก ฉันนี้นึกว่าใคร มิคาดเลยว่าจะเป็นหมื่นที่ท่านขุนอุปการะมาย้อนเนรคุณถึงฟากเรือน”
       เสมาละอายใจคุกเข่าลงกราบ
       “สุดแต่เมตตาพระคุณ ใช่ข้าพระเจ้าจักลบหลู่ล่วงเกินพระคุณทั้งสองนั้นหามิได้ หากที่ประพฤตินี้ก็โดยสุดรักแม่หญิงยิ่งอื่นแม้ชีวิตตัว พระคุณจงเมตตาเถิด”
       “เมตตารึ” ลำภูแค่นหัวเราะแล้วว่า
       “หมื่นศึกก็รู้แล้ว คำขุนท่านประกาศมิให้เหยียบเรือนเรา แลเมื่อชะล่าเช่นนี้ มิหมายใจจักลองดีเพราะสิ้นเกรงกันรึ”
       “หามิได้เลยพระคุณ...”
       “พอเถิด แม้เจ้าจักเป็นหมื่นมียศแล้ว ฉันก็ยังมองอยู่ว่าเป็นช่างเหล็กที่เคยหมอบอยู่ปลายเท้า หากอโยธยาสิ้นบุรุษแล้วนั้นก็จนใจ แต่บัดนี้ เชิญเสียให้พ้นเรือนแต่โดยเร็วเถิด หาไม่จะเรียกไพร่มาจับส่งพระนครบาล” ลำภูพูดสวนขึ้น
       เสมาขบกรามจนขึ้นสันด้วยความเจ็บใจสุดๆ แต่เมื่อคิดว่าลำภูเป็นแม่ของเรไรเลยต้องทน
       “พระคุณกล่าวถูกแล้ว แลเมื่อพระคุณมาลั่นวาจาเสียว่า สิ้นบุรุษแล้วจนใจนั้นข้าพระเจ้าก็เสียใจอยู่ มิทราบจะขอเมตตาประการใดจึงต้องขอขมาด้วย”
       เสมาก้มลงกราบอีกแล้วหันมามองเรไรซึ่งมองตอบด้วยน้ำตานองหน้า แต่สายตาที่ทั้งคู่มองกันยังมั่นคงต่อกันเต็มเปี่ยม เสมาลุกขึ้นออกจากห้องไป เรไรได้แต่มองตามทั้งน้ำตานอง ลำภูหงุดหงิด สะบัดหน้าพรืดเดินออกไปจากห้องนอนเรไรอีกคน เรไรได้แต่เดินไปนั่งที่เตียงแล้วร่ำไห้เสียใจต่อโชคชะตา

จบตอนที่ ๔
อ่านต่อตอนที่ ๕ พรุ่งนี้

ความรู้เกี่ยวกับขุนศึก

๓o. การสังกัดมูลนาย ในสมัยโบราณ กำหนดให้ผู้ที่จะรับราชการ ต้องมีสังกัดขึ้นตรงกับ
ข้าราชการคนใดคนหนึ่ง ซึ่งเรียกกันว่า “มูลนาย” ถ้าไม่มีสังกัดมูลนาย ก็จะไม่ได้รับ
ประโยชน์จากราชการ เช่น ไม่ได้รับศักดินา หรือเบี้ยหวัดเงินปี

๓๑. พระแสงดาบคาบค่าย เป็นพระแสงดาบของสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ที่ทรงคาบนำ
ทหาร ปีนบันไดเข้าตีค่ายหลวงของพระเจ้าหงสาวดี พระแสงดาบเล่มนี้ จึงได้ชื่อว่า “พระแสงดาบคาบค่าย”

ขุนศึก ตอนที่ ๕

เสมา สิน สมบุญ กับทหารไทยอีกจำนวนหนึ่ง กำลังสู้รบทหารพม่าอย่างดุเดือดเพื่อทำลายเสบียงอาหารของพม่า สินตะโกนลั่น

       “เผาเสบียงมัน อย่าให้อ้ายข้าศึกเอาไปใช้ได้”
       ทหารบางคนลอบเข้ามาที่เกวียนของพม่าแล้วจุดชุดไฟเผาเสบียงบนเกวียน เพียงไม่นานเปลวไฟก็ลุกท่วมเสบียงบนเกวียนทุกเล่มไปหมด เสมาควงดาบสองมือคู่ใจ บุกตะลุยทหารพม่า ๔-๕ คนพร้อมกันอย่างบ้าคลั่ง ระบายอารมณ์ที่ตนโดนแม่เรไรดูถูก จนพวกทหารพม่ากระเจิดกระเจิงไปหมด
       สิน สมบุญ มองเสมาแล้วหันมามองหน้ากัน
       “ข้าว่าอ้ายข้าศึกมันโชคร้ายนัก ที่มาปะพี่เสมาเพลานี้” สินว่า
       “พี่เสมาคงเจ็บใจ ที่ถูกแม่นายลำภูหยามหมิ่นถึงเพียงนี้ แต่จะทำกระไรได้เล่า เมื่อท่านขุนกับแม่นาย เห็นศักดิ์ตระกูลแลความมั่งมีเหนือกว่าน้ำใจแลความมานะของพี่เสมาเสียแล้ว”
       ทั้งคู่หันไปมองเสมาที่ฟาดฟันทหารพม่าจนหนีตายกันอย่างอลหม่าน

       สมเด็จพระนเรศวรได้ทรงวางแผน แต่งทัพออกรบกวน ตีเสบียงกองทัพหงสาวดีอยู่ตลอดเวลา แต่ก็ไม่สามารถหยุดยั้งทัพหงสาวดีได้ ในที่สุด กองทัพหงสาวดีก็ได้ยกเข้าล้อมกรุงศรีอยุธยา โดยตั้งค่ายใหญ่ ๓ ค่าย ที่บางปะหันบ้านกุ่มดอง และ ทุ่งสีกุก รวมทั้งค่ายเล็กๆอีกนับสิบค่าย เพื่อเข้าโจมตีกรุงศรีอยุธยาพร้อมกัน

       สมเด็จพระนเรศวร กับ สมเด็จพระเอกาทศรถกำลังดูแผนที่บนโต๊ะ แล้ววางแผนรับมือด้วยสีหน้าเคร่งเครียดในเพลาเย็นในค่ายกระโจม
       พระเอกาทศรถตรัสด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
       “พระเจ้านันทบุเรง ใช้กลยุทธเช่นเดียวกับพระเจ้าบุเรงนองซึ่งได้ชัยเหนืออโยธยาทั้งสองครา แต่ครานี้ เรามีเสบียงอาหารบริบูรณ์ ถึงตั้งรับในพระนครนานถึงขวบปี ก็หาเป็นกระไรไม่”
       “ตั้งรับ หาใช่ยุทธวิธีที่ดีที่สุดไม่ พี่เห็นควรให้แต่งทัพออกปล้นค่ายที่รายล้อมพระนครอยู่ เมื่อใดที่ค่ายเล็กระส่ำระสาย เราก็ฉวยบุกตีค่ายใหญ่อย่าให้ทัพหงสาทำศึกโดยสะดวก” สมเด็จพระนเรศวรตรัส
       “แต่ไพร่พลเราเรามีน้อยกว่าข้าศึกนัก จะใช้พลน้อยเข้าตีค่ายที่มีพลมากกว่า จักไม่ขัดกับหลักพิชัยสงครามหรือพระพุทธเจ้าข้า” สมเด็จพระเอกาทศรถตรัสถามขึ้น
       “ไม่ดอก เพราะถึงพลน้อย แต่หากมีจิตใจฮึกเหิม คนหนึ่งอาจสู้ได้ถึงสิบ พี่จักนำทัพออกปล้นค่ายด้วยตัวพี่เอง หากไพร่พลเห็นเจ้าฟ้ามหากษัตริย์ออกรบตะลุมบอนด้วยข้าศึก ขวัญทหารย่อมเข้มแข็งเป็นแน่”
       “มิได้พระพุทธเจ้าข้า การบุกตีค่ายยังอันตรายกว่าการรบกลางแปลงมากนัก สมเด็จพี่เป็นพระมหาอุปราชแห่งอโยธยาจักเสี่ยงภัยเช่นนี้ได้อย่างไรกัน”
       “หากอโยธยาต้องสิ้น แม้ศีรษะบนบ่าก็ยังยากจะรักษาไว้ แล้วตำแหน่งพระมหาอุปราชจะมีความหมายกระไร เชื่อพี่เถิด แม้เสี่ยงภัยเพียงใดพี่ก็จักต้องทำ”
       สายพระเนตรของสมเด็จพระนเรศวรเต็มไปด้วยความมุ่งมั่น เอาจริง

       สมเด็จพระนเรศวรทรงรบอย่างทระนงองอาจ ถึงขนาดทรงพระแสงดาบคาบค่าย ปีนเข้าตีค่ายหงสาวดีเหมือนทหารธรรมดาคนหนึ่ง เลือดนักรบของพระองค์สร้างความฮึกเหิมไม่กลัวตายให้กับทหารกรุงศรีอยุธยาจนสามารถตีค่ายของหงสาวดีแตกทั้งๆที่มีกำลังพลน้อยกว่า แถมยังไล่ตีไปจนถึงค่ายหลวงของพระเจ้านันทบุเรง ทำให้ข้าศึกครั่นคร้ามแก่พระบรมเดชานุภาพ นับตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา

       พระเจ้านันทบุเรงพิโรธหนัก โดยมีลักไวทำมู และขุนนาง นายทหารคนสำคัญร่วมประชุมกันพร้อมหน้า
       “ทัพของเราเป็นทัพกษัตริย์ถึงสามทัพ แลมีทัพหัวเมืองประเทศราชอื่นอีก ไพร่พลรวมถึงห้าแสนแทบจะเหยียบแผ่นดินอโยธยาล่มแล้ว แต่ทัพขององค์พระนเรศมีเพียงหยิบมือ เรากลับพ่ายแพ้ถึงเสียค่ายเช่นนี้ได้กระไร”
       ขุนนางผู้หนึ่งพนมมือแล้วกราบทูลว่า
       “องค์พระนเรศทำศึกอาจหาญนักรบเยี่ยงทหารธรรมดาโดยไม่เกรงภัย ทำให้ไพร่พลมีขวัญเข้มแข็งแม้นมีทหารน้อยก็เหมือนดั่งมีมาก หากเราจับตัวองค์พระนเรศมิได้ ศึกนี้คงยากจะได้ชัยพระพุทธเจ้าข้า”
       “ข้าพระพุทธเจ้าขออาสาจับกุมองค์พระนเรศพระพุทธเจ้าข้า” ลักไวทำมูพนมมือขึ้นกราบทูล
       พระเจ้านันทบุเรงยิ้มพอใจ
       “ลักไวทำมู เจ้าเป็นทหารเอกอันหาได้ยากในแผ่นดิน แต่เพลงทวนของเจ้าก็พิชิตไปทั่วลุ่มน้ำอิรวดีแล้วเมื่อเจ้าอาสาเองข้าก็สิ้นกังวล มีแผนการใดจงบอกมาเถิด”
       “ข้าพระพุทธเจ้า ขอคัดทหารที่มีฝีมือเป็นเอกให้ได้หนึ่งหมื่น แลจะยกไปรักษาค่ายที่ลุมพลี หากองค์พระนเรศออกมาตีค่ายเมื่อใด ข้าพระพุทธเจ้าจะแกล้งแพ้ แล้วล่อให้ตามมาถึงที่ซุ่มทหารไว้ เพื่อล้อมจับมาถวายพระองค์ให้ได้ พระพุทธเจ้าข้า”
       พระเจ้านันทบุเรงฟังแผนการ แล้วก็ตบตักฉาดหัวเราะด้วยความพอใจ มั่นใจว่าคราวนี้สมเด็จ
       พระนเรศวรเสร็จแน่ๆ

       พระยาศรีไสยณรงค์และพระยาสีหราชเดโช ได้ยกกองทัพห้าพันเข้าสู่เมืองนครนายก เพื่อรอรับทัพเมืองละแวก ซึ่งกำลังจะบุกเข้าตีนครนายก หลังจากที่ได้ตีเมืองปราจีนแตกไปก่อนหน้านี้แล้ว

       ภายในค่ายทหารพระยาศรีไสยณรงค์ พุฒกำลังทะเลาะกับพันอิน โดยมีขันยืนอยู่ใกล้ๆ
       “กระไรกันพันอินทราช พูดเช่นนี้คิดจะหาเรื่องกันรึ” พุฒว่า
       “บ๋าแล้วหัวหมู่พุฒ ฉันพูดด้วยดีๆกลับหาว่าหาเรื่อง ก็กลิ่นเหล้ายังติดตัวหัวหมู่คลุ้งถึงเพียงนี้ ฉันก็เตือนว่ากินเหล้าระหว่างศึก มันผิดอาญาทัพ แล้วหัวหมู่มาพาลโกรธฉันได้กระไร”
       “ฉันไม่ได้กินเหล้า พันอินทราชเอากระไรมาพูด คิดว่ามีบรรดาศักดิ์เหนือกว่าแล้วจักข่มเหงกันได้รึ”
       ขันหน้าบึ้งตึงแล้วว่า
       “ท่านลุงพันอินคงจะเคืองที่ฉันกับพ่อพุฒผิดใจกับอ้ายเสมาลูกบุญธรรมของท่านลุงกระมัง จึงใส่ไคล้ปรักปรำกันเช่นนี้”
       “หมิ่นกันเกินไปแล้วพ่อขัน ฉันแก่จนปูนนี้ มีรึจักใส่ไคล้คนรุ่นลูกรุ่นหลานได้ พูดถึงเพียงนี้ก็อย่านับถือกันอีกต่อไปเลย”
       ขุนรามเดชะได้ยินเสียงทะเลาะก็เดินเข้ามา
       “ใจเย็นก่อนเถิดพี่พันอิน หัวหมู่ทั้งสองยังรุ่นหนุ่ม จึงมิรู้ที่ถูกที่ควร ขอพี่พันอินจงอภัยให้หลานชายเถิด”
       ขุนรามเดชะหันไปสั่ง
       “พ่อขัน พ่อพุฒกราบขอขมาพี่พันอินเสียเถิด”
       “ท่านอาจะให้ข้าพระเจ้า...” ขันว่า
       “วิวาทกับผู้มีบรรดาศักดิ์สูงกว่าในยามศึก แล้วยังขัดคำสั่งฉันอีกรึ” ขุนรามเดชะรีบตัดบท
       ขัน และพุฒหน้าเสียรู้ดีว่าโทษหนักเลยขบกรามแน่นไหว้ขอโทษพันอินด้วยความจำใจ

       ในเวลาต่อมา พุฒทุบต้นไม้ระบายอารมณ์ด้วยความโกรธ
       “เหตุใดเราต้องยกมือไหว้อ้ายแก่พันอินด้วย ออกขุนกระทำเกินไปเสียแล้ว”
       “ท่านอาถือสาเรื่องบรรดาศักดิ์นัก ไม่ชอบให้ผู้ด้อยกว่าล่วงเกินผู้ที่สูงกว่า คราอ้ายเสมายังบังคับให้มันไหว้ขมาฉันเลย” ขันว่า
       “เช่นนั้นก็แย่แล้ว”
       “กระไรรึ”
       “หากเมื่อหน้า อ้ายเสมามียศสูงกว่านี้อีกเล่า ออกขุนรามจะไม่ยกแม่หญิงเรไรให้มันรึ”
       “เป็นไปไม่ได้ดอก แม้อ้ายเสมาจะมียศเพียงใด ก็เป็นแค่ทหารอาสาไร้มูลนายสังกัด ไม่ได้กินศักดินา ท่านอาจะยกแม่หญิงเรไรให้กระไรได้”
       “ที่ไม่มีศักดินาก็เพราะท่านขุนรามชังมันจึงแกล้งไม่ให้สังกัดมูลนายดอก แต่หากอ้ายเสมามันรุ่งเรืองขึ้นก็มิแน่ว่าท่านขุนรามจะเปลี่ยนใจส่งเสริมมันไม่ใช่รึ”
       ขันอึกอักทันที
       “พ่อขันจำไม่ได้เทียวหรือ วันที่พ่อพ้นคุก พ่อเคยกล่าวล่วงเกินขุนรามเดชะแล้วจักแน่ใจได้อย่างไร ว่าออกขุนจะไม่ถือสา”
       ขันหน้าเสียเริ่มระแวงเพราะคำยุยงของพุฒ
       “เช่นนั้นควรจะทำประการใดดีเล่าพ่อพุฒ”
       พุฒคิดอยู่ครู่นึงแล้วยิ้มเจ้าเล่ห์ออกมาเพราะคิดแผนในใจเรียบร้อย

       ยามสายวันเดียวกัน ฝ่ายเสมากับทหารจำนวนหนึ่งกำลังขี่คอช้างอาบน้ำอยู่ ช้างเอางวงพ่นน้ำอย่าง ผ่อนคลาย ฝ่ายสินกำลังเพลินใจ นั่งคิดแต่งกลอนไปอยู่ใต้ต้นไม้ด้วยสีหน้ายิ้มน้อย ยิ้มใหญ่
       “หวานเอยหวานใดเท่าหวานเจ้าแตง...”
       สมบุญย่องมาแอบฟังหลังต้นไม้ สินคิดๆแล้วแต่งต่อ
       “หวานร้อนแรงสุมไฟในอกพี่...”
       สมบุญหัวเราะลั่น สินตกใจด้วยความอาย ลุกพรวดขึ้น
       “อ้ายสมบุญ”
       สมบุญถอยฉากหลบ
       “เหวย อ้ายสิน นี่เอ็งแต่งกลอนไว้เกี้ยวแม่เอื้อยแตงรึ สำบัดสำนวนไม่ได้ความ ไปขอให้พี่เสมาแต่งให้เถอะ”
       สินโมโหแล้วตบหน้าอกตัวเอง
       “น้ำมะหน้าอย่างเอ็ง จะเข้าใจกระไรวะ ของเช่นนี้ต้องแต่งจากหัวใจโว๊ย ถึงจักมีค่า”
       สมบุญหัวเราะ ขำกลอนเฉิ่มๆเชยๆของสิน หลังเสมาอาบน้ำให้ช้างเสร็จก็เดินเข้ามาหาสมบุญ
       “อ้ายสมบุญ ท่านแม่ทัพมีคำสั่งประการใดบ้าง”
       “ออกญาท่านสั่งมาว่า เสร็จจากป้องกันช้างม้ากินหญ้ากินน้ำเมื่อใดให้ทัพของเราไปคอยซุ่มที่ป่าด้านตะวันออก เพลาคืนนี้จะมีกองเสบียงข้าศึกผ่านมาให้เราปล้นตีชิงเสีย”
       เสมาพยักหน้ารับ
       “พี่เสมา ฉันเจอกับพวกกองตระเวนศึกละแวก ได้ยินว่าละแวกมีไพร่พลเรือนหมื่นเชียวนา แล้วพลเพียงห้าพันของออกญาศรีไสยณรงค์จักต้านไหวรึ”
       “ต้านไม่ไหวก็ดี อ้ายขันอ้ายพุฒจะได้เป็นผีเฝ้าศึกละแวกไปเสีย” สินว่า
       “ปากพล่อยแล้วอ้ายสิน เอ็งชังอ้ายขันอ้ายพุฒเพียงเท่านี้ จะแช่งให้ทหารอื่นไปตายด้วยรึ” เสมาว่า
       สินฉุกคิดแล้วจ๋อยสนิท
       “ออกญาศรีไสยณรงค์เป็นทหารเอกคู่พระบารมีสมเด็จเจ้าฟ้าท่าน แลมีพระคุณขุนรามเดชะไปด้วย แม้จักมีพลน้อยกว่าเท่าตัว ข้าก็เชื่อว่าต้องชำนะเว้นแต่จะมีเหตุใดเกินกว่าคาดหมายเท่านั้น”

       ที่กลางป่ายามบ่าย ทัพของขุนรามเดชะกำลังต่อสู้กับละแวกอย่างดุเดือด แต่ด้วยกำลังพลน้อยกว่า ทัพขุนรามก็ใกล้จะแย่เต็มทน ขุนรามโดนทหารละแวกสามสี่คนรุมอย่างหนักจนย่ำแย่ล้มลุกคลุกคลาน แต่ได้ทหารไทยสองสามคนเข้ามาช่วยไว้
       “เหลือกำลังแล้วพระคุณ เหตุใดทัพหนุนไม่มาเสียทีใกล้จักแย่แล้ว” ทหารคนหนึ่งพูดขึ้น
       ขุนรามเดชะกัดฟันสู้
       “ทานไว้ หากทัพเราแตกทัพหลวงต้องคับขันเป็นแน่ ต่อให้ตายก็ต้องต้านทานไว้”
       ขาดคำ ทหารก็โดนธนูลอบยิง ปักเข้ากลางหลัง ขาดใจตายไปทันที ขุนรามเดชะสะดุ้งเฮือกด้วยความตกใจที่ทหารตายไปต่อหน้า ทันใดนั้น พวกทหารละแวกก็กรูกันเข้ามาไล่ฟันขุนรามเดชะต่อจนเสียท่าล้มลง ทหารละแวกเงื้อดาบจะฟัน แต่ทันใดนั้น ก็มีดาบเล่มหนึ่งเข้ามากันไว้ก่อน
       ขุนรามเดชะมองตามปรากฏว่าขันนั่นเองที่เป็นคนใช้ดาบกันขุนรามเดชะไว้ไม่ให้ถูกฟัน ขันใช้ดาบสองมือ ไล่ฟันทหารละแวกแตกกระเจิง ในขณะที่พุฒคุมทหารอีกกลุ่มบุกเข้ามาช่วย เหล่าทหารส่งเสียงโห่ร้องดังลั่น พุฒตะโกนลั่นสั่ง
       “บุกเข้าไป ฆ่าอ้ายข้าศึกให้หมดอย่าให้เหลือ”
       ทหารไทยกรูเข้าใส่ทัพละแวกจนถอยร่นไม่เป็นขบวน ขันรีบเข้าไปประคองขุนรามเดชะ
       “ปลอดภัยแล้วขอรับท่านอา ข้าพระเจ้ามาช่วยแล้ว”
       หลังขันประคองขุนรามเดชะลุกขึ้นก็หันไปต่อสู้กับทหารละแวกเพื่อคุ้มครองขุนรามเดชะอย่างเต็มที่

       เวลาเย็น ขัน พุฒ และขุนรามเดชะ เดินคุยกันมา
       “ขอบน้ำใจพ่อขันกับพ่อพุฒนัก หากไม่ได้พ่อทั้งสองช่วยไว้ อาคงไม่รอดเป็นแน่”
       ขันปั้นหน้าจ๋อยพลางยกไม้ไหว้แล้วว่า
       “กระไรได้เล่าขอรับ เป็นเพราะข้าพระเจ้ามาช้าเป็นเหตุให้ต้องเสียไพร่พลแลท่านอาเกือบเป็นอันตรายข้าพระเจ้าขอขมาด้วยเถิดขอรับ”
       “อย่ากล่าวโทษตัวเองเลยพ่อขัน พ่อขันมาช้าเพราะต้องช่วยทัพด้านอื่น ก็เป็นธรรมดาของการทำศึก อย่างไรเสีย อาก็ต้องขอบน้ำใจพ่อทั้งสองอยู่ดี”
       ขันและพุฒชำเลืองมองกันแล้วยิ้มอย่างพอใจ
       “พระคุณอ่อนล้ามาทั้งวันแล้ว เชิญกลับกระโจมพักผ่อนก่อนเถิดขอรับ ละแวกพ่ายกลับไปครานี้ ออกญาแม่ทัพทั้งสองคงต้องตามไปตีเมืองปราจีนคืนมาเป็นแน่ บางที พรึ่งนี้อาจจะต้องเดินทัพแต่เช้ามืดนะขอรับ”
       ขุนรามเดชะพยักหน้ารับ
       “เช่นนั้นอาไปก่อน พ่อทั้งสองก็ไปพักเถิด”
       ขันและพุฒไหว้ลา ขุนรามเดชะรับไหว้แล้วเดินเลี่ยงไป สวนกับพันอินที่เดินผ่านมาพอดี ขันและพุฒสบตาแล้วยักคิ้วให้กัน พุฒยังหมั่นไส้พันอินจึงแกล้งพูดลอยๆ
       “พ่อขัน กลับอโยธยาครานี้ หากได้ตำแหน่งหัวพันคืนมาคงดีนัก ภายหน้าจักได้ไม่โดนผู้อื่นอวดอ้างข่มเหงเอาอีก”
       พันอินมองทั้งคู่ด้วยสีหน้าบึ้งตึงไม่พอใจ แต่ไม่อยากเถียงด้วยจึงจะเดินเลี่ยงไป
       “เราสองยังหนุ่มฉกรรจ์ เพียงตำแหน่งหัวพันจะกระไรนัก มีแต่จะได้เป็นขุนเป็นหลวงเสียมากกว่า แต่หากมีวาสนาขึ้นแล้วพ่อพุฒต้องระวังไว้ข้อหนึ่งให้จงดี”
       “ข้อใดรึ”
       “ข้อรับลูกบุญธรรมซี ยิ่งเป็นหนึ่งหญิงหนึ่งชาย ยิ่งต้องระวังให้มากเพราะหากก่อเรื่องบัดสีขึ้นใต้ชายคาแล้วก็ไม่รู้จะมองหน้าผู้ใดได้ ไปที่ใดก็มีแต่จะโดนเยาะเอา”
       พันอินโมโหทันที
       “เฮ้ย ชายจริงก็พูดโดยตรง ไม่ต้องพูดกระทบกระเทียบดอกโว๊ย แม้ข้าจะแก่ก็หาเกรงไม่”
       ขัน และพุฒยิ้มเยาะเย้ย ก่อนจะเดินเลี่ยงไปทางอื่นไม่ทะเลาะกับพันอินอีก ฝ่ายพันอินได้แต่มองตามด้วยความแค้นใจที่โดนเด็กเมื่อวานซืนสบประมาทเอา

       ภายในกระโจมเวลากลางคืน ขันและพุฒกำลังหัวเราะชอบใจ พร้อมกับดื่มเหล้าไปด้วย
       “สาแก่ใจนัก อ้ายเฒ่าพันอิน หากอ้ายเสมามันรู้ ว่าพ่อบุญธรรมมันโดนเราหยามเช่นนี้ คงแค้นจนแทบกระอักเลือด” พุฒว่า
       “เรื่องอ้ายเสมายังเล็กนัก เทียบไม่ได้กับการซื้อใจท่านอาขุนรามดอก ปัญญาของพ่อพุฒ ช่างเลิศกว่าใครในอโยธยาจริงๆ”
       “ยกยอฉันเกินไปแล้วพ่อขัน แค่แกล้งถ่วงให้ขุนรามเข้าที่คับขัน แล้วจึงเข้าช่วยเพื่อเอาบุญคุณเท่านั้น อุบายธรรมดานัก”
       “แต่ก็เพราะอุบายของพ่อพุฒดอก ฉันจึงมีราคาค่างวดในสายตาท่านอาอีกครา แลยังได้ความชอบมาล้างความผิดอีก ศึกละแวกครานี้ มีแต่ได้กับได้โดยแท้”
       ขัน และพุฒหัวเราะชอบใจแล้วรินเหล้าดื่มกันอย่างสนุกสนาน โดยไม่สนว่าแผนนั้นทำให้ทหารชั้นผู้น้อยรับเคราะห์กันอย่างมากมาย

       เรไรเดินมาส่งดวงแขถึงชานเรือนตอนกลางคืน
       “มืดค่ำป่านฉะนี้แล้ว ให้ค้างด้วยกันเสียที่นี่ก็ไม่ยอม แม่ดวงแขนี่ช่างดื้อดึงนัก”
       “ยามศึกเช่นนี้ ฉันอดเป็นห่วงแม่ท่านไม่ได้ดอก อย่างไรก็ต้องไปอยู่เป็นเพื่อนท่าน”
       ขณะนั้นเอง ก็มีทาสหญิงคนหนึ่งเดินมาคุกเข่าใกล้ๆ เรไรชำเลืองตามองทาสหญิงด้วยความรำคาญ ดวงแขสังเกตเห็นท่าทางเรไรก็รู้สึกแปลกใจจึงถามขึ้น
       “มีกระไรรึแม่เรไร”
       “แม่ท่านน่ะซี เกรงว่าหมื่นศึกอาสาจะลอบมาพบฉัน จึงให้บ่าวไพร่คอยตามฉันทุกฝีก้าว แลแม่ท่านไม่ไว้ใจพิณ หาว่าพิณเข้าข้างฉัน จึงไม่ให้พิณอยู่รับใช้ฉันตามลำพังอีก”
       ดวงแขยิ้มบางสบโอกาสกล่อมเรไร
       “ถึงขั้นนี้แล้ว แม่เรไรยังสมัครใจด้วยหมื่นศึกอีกรึ ฉันหาเข้าใจไม่ว่า หมื่นศึกผู้นี้มีกระไรดี แม่เรไรถึงไม่ยอมตัดใจเสียที ลองตรองดูเถิด ชายผู้นี้ไม่มีกระไรเทียมแม่ได้เลย แม้จักดื้อรั้นครองคู่ด้วยกันแล้วก็จะนำมาซึ่งทุกข์แก่แม่เรไร”
       เรไรหน้าเศร้าลง
       “ฉันรู้ว่าแม่ดวงแขหวังดีต่อฉัน แต่ความรักเป็นเรื่องประหลาดนัก ฉันเองก็ลำบากได้ยากเพราะเสมาไม่น้อยแต่มิเพียงตัดใจไม่ได้ ยังผูกพันแน่นแฟ้นมากขึ้นทุกที แม่ดวงแขไม่เคยมีความรัก คงยังไม่เข้าใจดอก” เรไรว่า
       ดวงแขหน้าตาบึ้งตึงเคร่งเครียดขึ้นมาทันทีที่ได้ยินเรไรพูดแบบนี้

       ในเวลาต่อมา ดวงแขยืนมองออกไปนอกหน้าต่างด้วยสีหน้าเคร่งขรึม คำพูดของเรไรยังก้องอยู่ในหัวตลอดเวลา ภาพนั้นสลับกับภาพที่ดวงแขเจอกับเสมาครั้งแรก
       ….....................
       เสมาเขย่าตัวดวงแขพลางเรียก
       “แม่หญิงๆ”
       ดวงแขสำลักน้ำก่อนจะค่อยๆลืมตาตื่นขึ้น เห็นเสมากำลังยิ้มให้
       “แม่หญิง ฟื้นแล้ว”
       ดวงแขตกใจกระเถิบหนีด้วยความเขินอายที่ฟื้นขึ้นมาท่ามกลางอ้อมอกของชายหนุ่ม เสมาถามขึ้นด้วยความแปลกใจ
       “เป็นกระไรไปแม่หญิง”
       ดวงแขเขินอาย อึกอักพูดอะไรไม่ออก
       ….......................

       ดวงแขสีหน้าเคร่งขรึมเหยียดปากด้วยความหมั่นไส้เมื่อนึกถึงคำพูดของเรไร พลางพูดคนเดียวว่า
       “ฉันรึ ไม่เคยมีความรัก บางที ฉันอาจมีก่อนแม่เรไรเสียด้วยซ้ำ”

       ที่ชายป่า ทหารไทยคนหนึ่งซึ่งได้รับบาดเจ็บสาหัสเข้ามารายงานทุกอย่างให้เสมารู้ โดยมีสิน และสมบุญและทหารไทยคนอื่นๆรับฟังด้วยสีหน้าเคร่งเครียดด้วยความเป็นห่วงในสมเด็จพระนเรศวร
       “สมเด็จเจ้าฟ้าวังหน้าต้องกล บัดนี้ถูกล้อมเอาไว้ด้วยทหารเรือนหมื่น มีเพียงกองม้าล้อมพระราชวังคอยอารักขาเท่านั้น แต่ก็ล้มตายลงมากแล้ว หมื่นศึกท่านจงเร่งไปช่วยเถิด”
       “ทหารเราเพียงเรือนร้อย ยากที่จะหักทหารเรือนหมื่นเข้าไป พี่เสมาเร่งส่งคนไปทูลสมเด็จพระราชอนุชาให้ส่งทัพมาช่วยเถิด” สมบุญว่า
       “กว่าทัพจะมาถึงก็ไม่ทันการแล้ว เสี่ยงตายหักเข้าไปเถิดพี่เสมา” สินว่า
       เสมาตัดสินใจหันไปสั่งทหารคนหนึ่ง
       “เอ็งจงเร่งไปทูลสมเด็จพระราชอนุชาท่านประเดี๋ยวนี้”
       จากนั้นก็หันไปพูดเสียงดังกับทหารทุกคน
       “ส่วนพี่น้องที่เหลือจงอย่าเสียดายแก่ชีวิตเลย ข้า อ้ายเสมาหมื่นศึกอาสา จะขอเป็นคนแรกที่ตีหักเข้าไป แม้ตายก็จักได้ชื่อว่าถวายภักดีแก่องค์สมเด็จพระนเรศ”
       สิน สมบุญ และทหารไทยทุกคนโห่ร้องดังกึกก้อง เตรียมพร้อมที่จะสู้ตาย เพื่อช่วยสมเด็จพรนเรศวรให้ได้

       สมเด็จพระนเรศวรถูกซุ่มโจมตีตามอุบายของลักไวทำมู และถูกล้อมอยู่ถึงชั่วโมงเศษ จนกระทั่งเหล่าทหารอาสาตีหักเข้าไป ทำให้กองทัพของลักไวทำมูระส่ำระสาย สมเด็จพระนเรศวรได้ต่อสู้กับลักไวทำมูและสังหารลักไวทำมู ทหารเอกหงสาวดีด้วยพระแสงทวน และตีหักออกมาจากวงล้อม ก่อนจะล่าถอยกลับเข้าพระนครอย่างปลอดภัย สร้างความครั่นคร้ามให้กับกองทัพหงสาวดีมากยิ่งขึ้นไปอีก

       พระเจ้านันทบุเรงทรงพิโรธหนักปาจอกเหล้าลงบนพื้น ทำเอาขุนนางแต่ละคนหน้าเครียดกันไปหมด
       “กระไรกัน นี่มันกระไรกัน ทหารเรือนหมื่นล้อมเป็นเพลานานยังจับตัวไม่ได้ หนำซ้ำยังปล่อยให้องค์พระนเรศตีหักออกมา แลสังหารลักไวทำมูทหารเอกของเราอีก กองทัพหงสาวดีที่ปราบไปทศทิศ หมดสิ้นฝีมือแล้วรึ”
       ขุนนางสีหน้าสลดยกพนมมือขึ้น
       “พระอาญาไม่พ้นเกล้า ขอพวกข้าพระพุทธเจ้ากระทำการแก้ตัวสักครั้งเถิด ครานี้ พวกข้าพระพุทธเจ้า จะไม่ทำให้เสื่อมเสียพระบรมเดชานุภาพของพระองค์เลยพระพุทธเจ้าข้า”
       “ดี พวกเจ้าจงระดมไพร่พลทั้งหมดที่เรามีบุกเข้าตีอโยธยาทุกทิศทุกทาง อยากจะรู้นัก ว่าทหารเพียงหยิบมือขององค์พระนเรศ จะทนแสนยานุภาพของหงสาไปได้เพียงใด”
       สีหน้าของพระเจ้านันทบุเรง เต็มไปด้วยความมุ่งมั่นจะเอาชนะให้ได้

       ที่หน้าประตูเมือง เสมา สิน สมบุญ และทหารไทยจำนวนหนึ่งกำลังต่อสู้กับทหารพม่า เพื่อคุ้มกันให้ประชาชนหนีเข้าเมืองไป ชาวบ้านหอบลูกจูงหลานหนีตายเข้าเมืองกันอลหม่าน เสียงปืนใหญ่ดังกึกก้องมาเป็นพักๆ เสมาตะโกนลั่น
       “เร็วเข้า เร่งเข้าไปหลบในกำแพงเมืองเร็ว อ้ายข้าศึกมันบุกหนักแล้ว เร่งเข้าไปหลบเร็วๆ”
       เอื้อยแตง แต้ม มั่น บุญเรือนและชาวบ้านกลุ่มหนึ่ง วิ่งหนีตายกันมา บุญเรือนสะดุดหกล้ม เอื้อยแตง แต้ม มั่น รีบเข้าไปช่วยพยุง
       จังหวะนั้นเอง ทหารพม่าอีกกลุ่มก็กรูกันเข้ามาจะทำร้ายพวกมั่น เอื้อยแตงเอาห่อสัมภาระปาใส่ แล้วหยิบฉวยของใกล้มือเข้าทุบตี แต่ก็สู้ทหารไม่ได้ จังหวะที่กำลังจะโดนทหารพม่าฆ่า สินก็กระโดดถีบทหารพม่าคนนั้นกระเด็นไป แล้วเอาทวนแทงซ้ำจนตายคาที่
       “คิดจะทำร้ายแม่เอื้อยแตงของข้ารึ อย่าอยู่เลยมึง” สินว่า
       เอื้อยแตงอึ้งไปเล็กน้อย กับคำพูดและท่าทีขึงขังของสิน สินถอนทวนออกจากศพของทหารพม่า แล้วเอาทวนไล่ฟาดพวกพม่ากระเจิงไป เสมา และสมบุญขับไล่ทหารพม่าไปก็รีบเข้ามาหาพ่อแม่ทันที
       “พ่อแม่รีบเข้าไปหลบในเขตกำแพงเถิด ฉันจักคอยคุ้มกันให้”
       บุญเรือนห่วงจำเรียงสุดๆ
       “ไม่ต้องห่วงข้า เอ็งรีบไปช่วยจำเรียงเถิด ข้าเห็นอ้ายพวกข้าศึกมันบุกไปทางวัดกลาง เกรงว่าจำเรียงจะมีภัยไปด้วย”
       “ อ้ายสิน เอ็งจงเร่งคุ้มกันผู้คนเข้าไปในเขตกำแพงอ้าย สมบุญเอ็งมากับข้า”
       เสมา และสมบุญรีบตามไปช่วยจำเรียงทันที

       ที่บริเวณท่าน้ำ ดวงแข จำเรียง และอำพัน กำลังหนีมาลงเรือโยมีพวกทาสชายถือดาบคอยคุ้มกันอยู่ แต่ยังไม่ได้ทันลงเรือ ทหารพม่าก็บุกมาถึง พวกทาสชายเข้าสู้กับทหารพม่าเพื่อคุ้มกันทันทีท่ามกลางเสียงกรีดร้องของบรรดาผู้หญิง จำเรียงเป็นห่วงดวงแขกับอำพัน
       “แม่หญิงกับแม่นายรีบลงเรือเถิดเจ้าค่ะ"
       ดวงแขรีบพาแม่ลงเรือพร้อมด้วยบ่าวไพร่ แต่ตัวเองยังไม่ทันได้ขึ้นเรือ ทหารพม่าก็ฆ่าทาสชายคนหนึ่งตาย แล้วพุ่งเข้ามาจะทำร้ายดวงแข ดวงแขกรี๊ดลั่น แต่ทันใดนั้น เสมาก็เข้ามาช่วย ฟันทหารพม่าคนนั้นตายทันที พวกทาสกลัวสุดๆ เลยรีบพายเรือหนีไป โดยทิ้งดวงแขไว้
       อำพันร้องขึ้นด้วยความห่วงดวงแข
       “แม่ดวงแข...หยุดประเดี๋ยวนี้ กลับไปรับลูกข้าก่อน”
       ดวงแขตะโกนสั่งกลับไป
       “ไม่ต้อง รีบพาแม่นายหนีไป ไม่ต้องห่วงข้า ไปซี”
       พวกทาสลังเลอยู่ครู่นึงก่อนรีบพายเรือพาพันหนีไป ทหารพม่าฆ่าทาสไปได้หลายคน เลยรุมเข้ามาหาเสมา และสมบุญ จำเรียงละล้าละลังกำลังจะถูกทหารพม่าทำร้าย สมบุญก็เข้ามาช่วยไว้ได้ทันแล้วคอยคุ้มกันจำเรียง สมบุญตะโกนบอกเสมา
       “ข้าศึกมากนัก ต้องเร่งหนีแล้วพี่เสมา”
       “แยกกันไป ข้าจะคอยระวังหลังให้”
       ทหารพม่ากรูฟาดฟันเข้ามาทันที เสมารีบดึงดวงแขเข้ามาหลบด้านหลังตน แล้วเข้าสู้กับทหารพม่าอย่างกล้าหาญ
       “แม่หญิงดวงแข รีบตามสมบุญไป”
ขณะที่สมบุญฟาดฟันกับทหารเพื่อคุ้มกันจำเรียงกับทาสที่เหลือ ดวงแขแทนที่จะตามสมบุญไปกลับวิ่งไปหาที่หลบกำบังอยู่ใกล้ๆ คอยมองเสมาด้วยความห่วงใย

อ่านต่อหน้า ๒

ความรู้เกี่ยวกับขุนศึก

๓๒. ศักดินา เป็นเครื่องกำหนดความสูงต่ำและรายได้ของข้าราชการในสมัยโบราณ โดยข้าราชการที่มีบรรดาศักดิ์เท่ากัน อาจจะมีศักดินาไม่เท่ากันก็ได้ ขึ้นอยู่กับความสำคัญของตำแหน่งหน้าที่การงานเป็นหลัก โดยข้าราชการ จะมีศักดินาได้สูงสุดคือ หนึ่งหมื่นไร่

๓๓. กำแพงเมืองกรุงศรีอยุธยา เดิมทำจากดิน แต่ได้มีการเปลี่ยนเป็นการก่อด้วยอิฐตามแบบชาวตะวันตก ในสมัยสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ และได้ปรับปรุงอีกครั้งในสมัยสมเด็จพระมหาธรรมราชา โดยมีป้อมปืนบนกำแพงถึงสิบหกป้อม และมีประตูเข้าออกถึงเก้าสิบเก้าประตู




Create Date : 22 พฤษภาคม 2555
Last Update : 22 พฤษภาคม 2555 11:56:28 น. 0 comments
Counter : 1900 Pageviews.

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

atitaya_t
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 2 คน [?]




สวัสดีค่ะ ขอร่วม gang ด้วยคนค่ะ
Friends' blogs
[Add atitaya_t's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.