เก็บความทรงจำ..(^_^)..ความสนใจ โลกส่วนตัว ที่เราสร้างเอง
Group Blog
 
 
พฤษภาคม 2555
 12345
6789101112
13141516171819
20212223242526
2728293031 
 
22 พฤษภาคม 2555
 
All Blogs
 
ขุนศึก ตอนที่ 8-2 , 8-3

ขุนศึก ตอนที่ ๘

เจ็ดแปดวันผ่านไป ในเวลาเย็นที่ตำหนักในวัง เรไร ดวงแข และศรีเมืองกำลังร้อยมาลัยไป ฟังเรื่องเล่าจากบัวเผื่อนไปด้วยความตื่นเต้น เรไรพูดด้วยความดีใจอย่างที่สุดว่า

       “ถึงขั้นทรงทำยุทธหัตถีเชียวรึ ช่างมีบุญญาธิการแท้”
       “แน่ซีแม่เรไรเพื่อนฉัน ครานี้ พระเกียรติยศขององค์พ่ออยู่หัวคงเลื่องลือไปทั่ว มิผิดจากครั้งพระเจ้าชำนะสิบทิศแห่งหงสาวดีเป็นแน่” บัวเผื่อนว่า
       “เหตุใดการทำยุทธหัตถีจึงได้รับการยกย่องถึงเพียงนี้เล่าจ๊ะ องค์พ่ออยู่หัวชำนะศึกหลายครา มิเคยเห็นแม่หญิงบัวเผื่อนดีอกดีใจเช่นนี้เลย” ศรีเมืองถามด้วยความแปลกใจ
       ดวงแขยิ้มเล็กน้อยข่มศรีเมืองที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวเอาเสียเลย
       “เสียทีเป็นบุตรของท่านพันอิน ไม่รู้รึว่า ยุทธหัตถีถือเป็นสุดยอดแห่งการยุทธแล้ว มิเพียงแต่จะยากด้วยการต่อสู้ แต่โอกาสที่ท้าวพระยามหากษัตริย์จะได้ถึงตัวรบพุ่งกันนั้นก็น้อยนักจึงได้รับการยกย่องถึงเพียงนี้”
       ศรีเมืองพยักหน้าอย่างเข้าใจ
       บัวเผื่อนเหล่เรไรแล้วหยั่งเชิง
       “ แล้วจตุรงคบาทที่ได้ตามศึกถึงยุทธหัตถีเล่า แม่เรไรคิดว่าจะได้ความดีความชอบเช่นไร จะถึงขั้นพระราชทานนางข้าหลวงเป็นบำเหน็จหรือไม่”
       เรไรรู้ทันว่า บัวเผื่อนจะแซวเรื่องเสมาเลยแกล้งไม่รู้ไม่ชี้
       “ฉันหารู้ไม่ รู้แต่เพียงว่านางข้าหลวงคนนั้นคงไม่ใช่ฉันดอก แต่อาจจักมีผู้ใดขอพระราชทานแม่บัวเผื่อนก็เป็นได้กระมัง”
       “แกล้งพูดซีไม่ว่า ครานี้ขุนศึกไชยชาญมีความชอบนัก แลงานแต่งของแม่เรไรกับหมื่นชาญก็ล้มมาหลายครา หากถือเหตุนี้เป็นข้ออ้างแล้วกราบทูลขอพระราชทานแม่เรไรคงได้ออกเรือนสมใจเป็นแน่”
       เรไรเขินจึงแกล้งหยิกบัวเผื่อนจนร้องลั่นแล้วทิ้งค้อนตามหลังเบาๆ
       ศรีเมืองหน้าเจื่อนไป แต่แววตาของดวงแขแข็งกร้าวเต็มไปด้วยความอิจฉาริษยา เมื่อรู้ว่าเสมากับเรไรมีหวังได้แต่งงานกันแล้ว

       เรไรและดวงแขเดินถือพานใส่มาลัยที่เพิ่งร้อยเสร็จ คุยกันมาในสวน สีหน้าของดวงแขเซื่องซึมเศร้าหมองตลอดเวลา ผิดกับเรไรที่ยิ้มแย้มตลอดเวลา
       “ศึกครานี้สิ้นเร็วกว่าที่คาดนัก อีกไม่ช้านานท่านพ่อก็จะได้กลับเรือนแล้ว ฉัน...”
       เรไรเห็นสีหน้าดวงแขเศร้าหมองก็แปลกใจแล้วถามขึ้น
       “เป็นกระไรรึแม่ดวงแข เหตุใดหน้าอมทุกข์เช่นนั้น”
       ดวงแข เบือนหน้าหนีไปทางอื่นแล้วบอก
       “ไม่มีกระไรดอกจ้ะ”
       เรไรจับมือดวงแขไว้
       “ยังจะว่าไม่มีกระไรอีก บ้านเราสองสนิทสนมกันมาแต่รุ่นพ่อ ทั้งเราก็เห็นกันมาแต่เล็กแต่น้อย แม่ยังจะปิดบังฉันอีกรึ”
       ดวงแขหันกลับมามองเรไรด้วยน้ำตาคลอเบ้า
       “แม่ดวงแข...”
       ดวงแขรีบเดินหนีไปทันที เรไรยืนตกใจอยู่พักหนึ่งก่อนจะรีบเดินตามดวงแขไป

       เรไรกำลังเคาะประตูเรียกอยู่ที่หน้าห้องพักของดวงแขในวัง
       “แม่ดวงแข”
       ไม่มีเสียงตอบออกมาจากข้างใน
       “แม่ดวงแข ฉันเปิดเข้าไปนะจ๊ะ”
       เรไรเปิดประตูห้องเข้าไปก็ตกใจสุดๆ เมื่อเห็นดวงแขกำลังจะก้าวขาขึ้นม้านั่ง มีเชือกผูกจากขื่อเพดานห้อยลงมา เตรียมพร้อมสำหรับการผูกคอตาย เรไรรีบเข้าไปดึงดวงแขลงมา
       “อย่าแม่ดวงแข”
       ดวงแขพยายามขัดขืนร้องไห้
       “อย่าห้ามฉันแม่เรไร อย่าห้ามฉันเลย”
       เรไรไม่ยอมแพ้ดึงดวงแขลงมาจากม้านั่งจนได้ เรไรกอดดวงแขไว้ด้วยความห่วง
       “เหตุใดทำเช่นนี้แม่ดวงแข เกิดกระไรขึ้น เหตุใดต้องทำเช่นนี้”
       ดวงแขร้องไห้สะอึกสะอื้น
       “ปล่อยฉันแม่เรไร หากเห็นฉันเป็นเพื่อนก็ปล่อยให้ฉันตายเถิด”
       “ไม่มีทาง ฉันไม่มีวันปล่อยให้แม่ดวงแขคิดสั้นเช่นนี้เด็ดขาด มีกระไรก็บอกฉันมา แม้หนักหนาปานใด ฉันก็จักช่วยแม่เอง”
       ดวงแข ร้องไห้แล้วถาม
       “แม้แต่เรื่องขุนศึกไชยชาญน่ะรึ”
       พอเรไรได้ยินชื่อขุนศึกไชยชาญหรือเสมาก็ตกใจด้วยความคิดไม่ถึง
       “ขุนศึกไชยชาญ”
       “ที่ฉันทำเช่นนี้ ก็ด้วยหวาดกลัวขุนศึกนัก ใจจริงฉันไม่เคยคิดจะเล่า ด้วยเกรงว่าแม่เรไรกับขุนศึกจักผิดใจกัน”
       “มีเรื่องกระไรรึ” เรไรหน้าเสียขึ้นทันที
       “ออกขุนศึกเคยลอบเข้าบ้านฉันเพื่อช่วยเหลือจำเรียง แต่ไม่เพียงเท่านั้น ยังแอบขึ้นเรือนบุกเข้าห้องฉันหมายจะย่ำยีฉันเพื่อล้างแค้นพี่ขัน” พูดแล้วดวงแขก็ปล่อยโฮลั่น
       เรไรร้อนใจด้วยความอยากรู้
       “แล้วอย่างไรต่อ”
       ดวงแขสะอึกสะอื้น
       “โชคยังดีที่พี่ขันกลับเรือนมาเสียก่อน แต่ขุนศึกทิ้งคำอาฆาตไว้บอกว่า มียศศักดิ์สูงขึ้นเมื่อใดจะ...จะย้อนกลับมาฉุดคร่าฉันอีก”
       เรไรขบกรามแน่นด้วยความช้ำใจเพราะคิดว่าเรื่องที่ดวงแขเล่าให้ฟังนั้นคงต้องเป็นเรื่องจริงดวงแขเหล่ๆ มองเรไรด้วยสีหน้าแววตานิ่งอย่างมีแผนการร้ายในใจ

       สมเด็จพระนเรศวรทรงประทับอยู่ในกระโจมเพื่อฟังขุนนางคนหนึ่งกราบทูลรายงาน ด้วย
       สีหน้าเครียดขรึม ขุนนางพนมมือถวายบังคมแล้วกราบทูลว่า
       “ขอเดชะ พระอาญาไม่พ้นเกล้า พระอัยการกบฏศึกได้ตราไว้ว่า หากนายกองได้ชนช้างแลได้ตะลุมบอนแต่ลูกกองทั้งปวงมิได้ตะลุมบอนด้วยให้ลงโทษจงหนัก แต่หากละนายทัพนายกองให้เป็นอันตรายให้ลงโทษถึงสิ้นชีวิตพระพุทธเจ้าข้า”
       “มีผู้ใดอยู่ข้างนอกบ้าง”
       ชั่วอึดใจเสมาก็เดินเข้ามาในกระโจม คุกเข่าถวายบังคม
       “ข้าพระพุทธเจ้าขุนศึกไชยชาญ เป็นนายเวรในคืนนี้พระพุทธเจ้าข้า”
       “เอ็งจงเร่งกลับไปหัวเมืองแล้วนำพระบรมราชโองการไปจับกุมกบฏศึกทุกคนให้สิ้น”
       เสมาตกใจมาก
       “กบฏศึกรึพระพุทธเจ้าข้า เป็นผู้ใดกัน”
       “ผู้ที่ตามเสด็จไม่ทัน ปล่อยให้ข้าและสมเด็จพระเอกาทศรถ ต้องเป็นอันตรายอยู่ท่ามกลางข้าศึก แลผู้ที่อยู่ในทัพของพระยาศรีไสยณรงค์ทั้งหมด ด้วยข้าสั่งให้ลาดตระเวนหยั่งเชิงเท่านั้น แต่กลับรบประจัญกับข้าศึกจนเสียไพร่พล เอ็งจงจับกุมตัวแล้วพากลับไปอโยธยา พ้นวันพระเมื่อใดให้ประหารเสีย ไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่างสืบไป”
       เสมาสีหน้าเคร่งเครียดทันที เพราะนั่นหมายถึงจะมีขุนรามเดชะและพันอินรวมอยู่ด้วย

       จำเรียงเดินถือตะเกียงลงจากเรือนที่หัวเมืองตอนกลางคืนเพื่อมาส่งสินและสมบุญที่ยิ้มกรุ้มกริ่มอยู่
       “กับข้าวกับปลารสดีนัก ช่างโชคดีที่ฉันได้พักทัพที่หัวเมืองนี้ ฉันเลยมีวาสนาได้กินฝีมือแม่จำเรียง”
       จำเรียงยิ้มเขิน สินแอบอิจฉาเล็กๆ
       “ทัพองค์พ่ออยู่หัวไล่อ้ายข้าศึกพ้นแดนกาญจนบุรีแล้ว พี่เสมากลับมาเมื่อใด เอ็งก็กลับไปกินผักต้มจิ้มเกลือเช่นเดิมเถิดวะอ้ายสมบุญ”
       สมบุญเหล่มองสินตาขวางไม่พอใจที่โดนขัดคอ จำเรียงยิ้มขำแล้วยื่นตะเกียงให้สมบุญ “มืดค่ำแล้ว หัวพันทั้งสองกลับเรือนพักไปเถิดจ้ะ”
       สมบุญรับตะเกียงมา มองจำเรียงด้วยสายตาละห้อย
       “แล้วพรึ่งนี้ เราจะได้พบหน้ากันอีกหรือไม่แม่จำเรียง”
       “พรึ่งนี้ที่วัดมีงานบุญฉันคงไปช่วยทั้งวันไม่ได้อยู่ที่เรือนดอก”
       จำเรียงเขินอายแล้วเดินกลับขึ้นเรือนไป
       สมบุญมองตามด้วยความดีใจ ฟังคำพูดของจำเรียงก็เท่ากับเปิดทางให้ตนแล้ว สินแกล้งขัดคอขึ้นอีก
       “เฮ้ย ง่วง ยุงก็ชุมนัก หากเอ็งจะอยู่รอทำบุญพรึ่งนี้ก็ตามใจ แต่ข้าจะกลับแล้ว”
       สมบุญรำคาญสุดๆ ที่โดนสินขัดคอไม่เลิกเลยถือตะเกียงเดินนำลิ่วไปด้วยความหงุดหงิด สินขำๆ เพื่อนก่อนจะเดินตามไป

       ในค่ายทหารตอนกลางคืน ซึ่งเป็นกองทัพที่อยู่รอทัพสมเด็จพระนเรศวรอยู่ บรรยากาศดูสบายๆ ทหารก็พูดคุยกันเองอย่างยิ้มแย้มแจ่มใสเนื่องจากไม่มีการรบพุ่ง
       ขันยืนถือจอกเหล้าด้วยสีหน้าเครียดๆอยู่ พุฒเดินถือจอกเหล้าเข้ามาหา
       “คิดกระไรอยู่รึหมื่นชาญ หรือเสียดายที่ไม่ทำตามคำฉัน ไม่เช่นนั้น ป่านฉะนี้ขุนรามเดชะก็คงตายเสียแล้ว ท่านก็นับวันรอแต่งงานกับแม่หญิงเรไรได้เลย”
       ขันหน้าเสียรีบมองไปรอบๆทันทีเพราะกลัวคนอื่นจะได้ยิน
       “เรื่องผ่านไปแล้วจะรื้อฟื้นไปไย เกลือกมีผู้ใดได้ยินเข้าเราจะเดือดร้อนนะหมื่นทรง”
       พุฒยิ้มเยาะเทเหล้าจากจอกเข้าปากโดยไม่พูดอะไร
       “ที่ฉันหนักใจหาใช่เรื่องท่านอาไม่ แต่ด้วยอ้ายเสมามันมีความชอบในศึกยุทธหัตถี แลพระพุทธเจ้าอยู่หัวยกทัพตามตีหงสา มันก็ยังได้ตามเสด็จอีก แต่เรากลับต้องพักทัพอยู่ที่หัวเมืองนี้ นับวัน อ้ายเสมาก็จักยิ่งเหนือเรามากขึ้นทุกที”
       ฟังขันพูดแล้ว พุฒก็เกิดความริษยาขึ้นมาจับใจ
       “เพราะโชคไม่ดีดอก เรามาอยู่ในทัพออกญาศรีไสยณรงค์จึงหาความดีความชอบไม่ได้ แต่อ้ายเสมาก็ไม่ได้ดีฝ่ายเดียว”
       พุฒสีหน้าเจ้าเล่ห์อย่างมีแผนการแล้วว่า
       “คอยดูเถิด มันกลับจากตามเสด็จไปศึกเมื่อใดต้องแค้นจนแทบกระอักเลือด”
       “เพราะเหตุใดรึ” ขันถามขึ้นด้วยความสงสัย
       “คนของฉัน เจอนังจำเรียงแล้ว ที่แท้ อ้ายเสมาก็พาน้องสาวมันมาหลบที่หัวเมืองนี้เอง”
       ขันรู้ข่าวก็ยิ้มพอใจที่จะหาเรื่องเล่นงานเสมาได้อีกแล้ว

       บรรยากาศภายในวัดยามเช้าดูสงบร่มรื่น มีชาวบ้านมากมายขนของมาทำบุญด้วยสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส สินและสมบุญถือถาดใส่อาหารคาวหวาน ดอกไม้ ฯลฯ เดินมากับจำเรียงเพื่อมาทำบุญ
       “หากพักทัพอยู่ที่นี่ ไม่ต้องกลับอโยธยาอีกคงดีนัก ฉันจักได้มาทำบุญกับแม่จำเรียงเช่นนี้ทุกวัน” สมบุญว่าพลางยิ้มกรุ้มกริ่ม
       สินก็แกล้งขัดคอขึ้นอีก
       “เช่นนั้นเรือนเอ็งก็ยกให้ข้าเถิดวะ ข้าจะได้มีเรือนที่อโยธยาอยู่”
       สมบุญเหล่สินตาขวางๆ จำเรียงยิ้มแย้ม
       “เอาข้าวปลาไปไว้ที่หอฉันก่อนเถิดจ้ะ ใกล้ได้เพลาฉันแล้ว”
       จำเรียงเดินนำทั้งคู่ไป สมบุญรีบเดินตามไป ในขณะที่สินเบะปากด้วยความหมั่นไส้ปนอิจฉาเพื่อนที่มีแววจะสมหวังก่อนจะเดินตามไปอีกคน

       ภายในโบสถ์ สมบุญกำลังก้มลงกราบพระประธาน พอกราบเสร็จ สมบุญก็เงยหน้าขึ้นมา
       “ ไม่นึกไม่ฝันเลยว่า ฉันจะได้มาไหว้พระกับแม่จำเรียงเช่นนี้ คงเป็นบุญวาสนาที่ได้ทำร่วมกันมาในชาติก่อนเป็นแน่ ชาตินี้จึงได้มาพานพบกันอีก”
       สมบุญค่อยๆเอื้อมมือมาจับมือข้างหนึ่งไว้ เมื่อเห็นว่าจำเรียงนิ่งก็ยิ่งกระหยิ่มใจ
       “แม่จำเรียง ฉันมีความนัยจะบอกกับแม่ต่อหน้าองค์พระท่าน ฉันขอสาบาน... ว่าจะรักแม่จำเรียงทุกชาติไป”
       สมบุญหันมามองก็ต้องตกใจสะดุ้งสุดตัว เพราะคนที่สมบุญกุมมือบอกรักไม่ใช่จำเรียง หากแต่เป็นสินที่ตีหน้าตายอยู่
       สมบุญตกใจมากและรีบปล่อยมือทันที
       “เฮ้ย อ้ายสิน เอ็งมาอยู่ที่นี่ได้กระไร แล้วแม่จำเรียงเล่า”
       “พอกราบพระเสร็จ แม่จำเรียงก็ออกไปแล้ว”
       สินตบบ่าสมบุญแล้วว่า
       “อ้ายสมบุญ ข้ารู้ว่าเอ็งคิดเช่นไร แต่ข้าหาได้ชอบผู้ชายด้วยกันไม่ เอ็งตัดใจเสียเถิด” สินหัวเราะชอบใจ ทั้งโกรธ ทั้งอาย
       “อ้ายสิน เอ็งเฝ้าขัดคอข้านับครั้งไม่ถ้วน เพราะริษยาที่ข้าได้อยู่กับแม่จำเรียง แต่เอ็งไม่ได้อยู่กับแม่เอื้อยแตงใช่หรือไม่ ข้าสู้อดใจมาแต่เมื่อวาน ครานี้ข้าไม่ทนแล้ว หากไม่เอาเลือดปากเอ็งมาล้างตีนข้า อย่านับถือกันเลยโว้ย”
       สินตกใจรีบวิ่งหนีออกจากโบสถ์ไป พร้อมกับส่งเสียงล้อเลียนสมบุญไปตลอดทาง สมบุญวิ่งไล่กวดตามสินออกไปอย่างเร็ว

       จำเรียงเดินพูดคุยทักทายกับชาวบ้านด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม มีความสุขอยู่ในวัด ทันใดนั้นเอง ขันก็พุ่งตรงเข้าไปกระชากข้อมือจำเรียงทันที จำเรียงตกใจที่เห็นขัน พุฒและบรรดาลูกน้องอาวุธครบมือตามมาด้วยนับสิบคน ขันมองจำเรียงด้วยสายตาเหี้ยม
       “นังจำเรียง เอ็งคิดว่าจะหนีข้าพ้นรึ ครานี้ข้าจะให้เอ็งลิ้มรสหวายจำไปจนตายเลยเชียว”
       “หมื่นชาญปล่อยฉันไปเถิดอย่าข่มเหงฉันเลย”
       “เอ็งเป็นทาสหนีนายเงิน สัญญาก็มีอยู่ยังจะให้ปล่อยอีกรึ” พุฒว่าพลางหันไปพูดกับ
       ขัน
       “เร่งพานังจำเรียงไปเถิดหมื่นชาญ”
       ขันจะฉุดจำเรียงไป แต่ทันใดนั้น เสียงสมบุญก็ตวาดดังขึ้น
       “หยุดประเดี๋ยวนี้”
       ทุกคนหันไปมองตามเสียงเห็นสมบุญเดินหน้าตาถมึงทึงเข้ามาโดยมีสินเดินกวนๆตามเข้ามาพร้อมกัน
       “หากคิดจักฉุดแม่จำเรียงไป ก็ต้องข้ามศพกูไปก่อน”
       พุฒได้ทีแล้วยิ้มเจ้าเล่ห์
       “เอ็งสองคนนี่เอง เมื่อพวกเอ็งอยู่กับนังจำเรียง ทาสหนีนายเงินเช่นนี้ ย่อมชัดแจ้งแล้วว่าโจรที่พานังจำเรียงหนีเมื่อคราก่อนคือพวกเอ็ง”
       พุฒหันไปสั่งลูกน้อง
       “เฮ้ย ล้อมจับอ้ายโจรสองคนนี้ไปด้วย”
       พวกลูกน้องชักอาวุธออกมาแล้วรีบกรูกันเข้ามาล้อมจับสมบุญกับสินตามคำสั่ง สินและสมบุญตั้งท่าเตรียมพร้อมสู้ด้วยมือเปล่า
       “เอ้า เชิญเหวย เมื่อใครเห็นน้อยตัวน้อยยศ จักข่มเหงก็ขอเชิญเรียงเข้ามาเถิด” สินว่า
       “ในวัดวายังกุมอาวุธไล่จับผู้คน ไม่กลัวนรกกันบ้างหรือไร” สมบุญพูดขึ้น
       พวกลูกน้องขันไม่สนใจรุมเข้าไปทันที แต่สินและสมบุญใช้แม่ไม้มวยไทยเข้าต่อสู้ ทั้งหลีกหลบ ทั้งเตะต่อยสวนจนพวกลูกน้องขันเข้าไม่ติด
       จำเรียงมองสมบุญด้วยความห่วงใย สินและสมบุญเตะต่อยจนแย่งอาวุธของพวกลูกน้องขันมาได้ยิ่งทำให้การต่อสู่ได้เปรียบจนพวกลูกน้องขันกระเจิดเจิงไปหมด
       ขันและพุฒเห็นท่าไม่ดี ขันเลยผลักจำเรียงไปให้ลูกน้องอีกคนดูแลก่อนที่ทั้งคู่จะชักอาวุธเข้าไปสู้กับสินและสมบุญ
       พอขัน และพุฒบุกเข้ามาประกอบกับลูกน้องขันยังตอดเล็กตอดน้อยช่วยรุม สินและสมบุญก็เริ่มจะเป็นฝ่ายเสียเปรียบโดนรุกไล่เตะต่อยเข้าไปหลายที สินเห็นท่าไม่ดีบอก
       “อ้ายสมบุญข้าจะยันไว้ เองรีบพาแม่จำเรียงหนีไป”
       สินควงอาวุธใช้ท่าไม้ตายรุกไล่ขัน และพุฒ เพื่อเปิดโอกาสให้สมบุญเข้าไปช่วยจำเรียง สมบุญฟันดาบใส่ลูกน้องขันจนกระเจิง แล้วจับมือจำเรียงพาวิ่งหนีทันที ขัน และพุฒจะตาม แต่สินก็เข้ามาสกัดไว้ แต่สินมีคนเดียวสู้กันได้ไม่กี่เพลงก็โดนขันกับพุฒรุมจนพ่ายแพ้ แถมโดนต่อยจนเลือดกบปากล้มกลิ้งอยู่กับพื้น

       สมบุญพาจำเรียงวิ่งหนีฝ่าฝูงชนเข้ามาถึงในเมือง โดยมีขัน พุฒและลูกน้องอีกกลุ่มถืออาวุธไล่ตามมา ทันใดนั้นเอง ขุนรามเดชะและพันอินที่เดินคุยกันมาก็เจอกับเหตุการณ์นี้อย่างบังเอิญ พันอิน ถามขึ้นทันที
       “อ้ายสมบุญ แม่จำเรียง นี่เกิดกระไรขึ้น”
       สมบุญไม่มีเวลาตอบจะพาจำเรียงหนีต่อ แต่ไม่ทันเพราะขันกับพุฒและลูกน้องวิ่งกรูกันเข้ามาล้อมไว้ทันที
       “เอ็งหนีไม่รอดดอกอ้ายสมบุญ ครานี้ข้าจะจับเอ็งก่อน อ้ายเสมาครูเอ็งมาเมื่อใดข้าจะจับมันเสียด้วย”
       จำเรียงยกมือไหว้พลางร้องไห้
       “หมื่นชาญ ฉันยอมแล้ว อย่าทำร้ายผู้อื่นเลย ฉันยอมกลับไปกับหมื่นชาญแล้ว”
       “เอ็งเป็นทาสข้าก็ต้องตามข้ากลับไปอยู่แล้ว แต่อ้ายโจรที่พาเอ็งหนีก็ต้องรับโทษด้วย”
       พุฒเห็นขุนรามเดชะกับพันอินอยู่ด้วยก็ถือโอกาสชิงฟ้องทันที
       “เมื่อพระคุณอยู่ที่นี่ก็ขอเป็นพยานด้วยเถิดขอรับ นังจำเรียงเป็นทาสหนีมาอยู่หัวเมือง พอตามตัวพบ อ้ายสินแลอ้ายสมบุญก็ยังจะพาหนีอีก เช่นนี้ ควรจับตัวมันสองคนหรือไม่ขอรับ”
       ขุนรามเดชะและพันอินหันไปสบตากันด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
       “แม่จำเรียงเป็นทาสจริง เมื่อหนีนายเงินย่อมต้องรับโทษ ผู้ที่พาหนีก็มีโทษเช่นกัน หัวหมื่นทั้งสองกระทำถูกแล้ว” ขุนรามเดชะว่า
       “เอ็งพูดไม่หมด หากอ้ายขันไม่คิดการอันเป็นอัปยศแก่แม่จำเรียง พวกข้าจะพาหนีรึ” สมบุญว่า
       “ใส่ความกันทั้งสิ้น อย่าไปฟังมันขอรับท่านอา อ้ายเสมาไม่มีเงินมีอัฐมาไถ่ตัวน้อง จึงคิดชั่วพาน้องหนีเสีย โดยไม่เกรงอาญาบ้านเมือง” ขันว่า
       ขณะนั้นเอง ลูกน้องขันสองคนก็พาตัวสินที่โดนจับมัดเข้ามา ก่อนจะผลักสินในสภาพหน้าตาแตก เลือดเปรอะหน้าให้นั่งลงบนพื้น สมบุญเห็นสภาพเพื่อนก็ยิ่งโกรธจัด
       “อ้ายสิน” สมบุญจะเข้าไปลุยกับขันและพุฒ แต่พันอินห้ามไว้
       “อย่า อ้ายสมบุญ ตัวเอ็งมีผิดอยู่ หากขืนสู้อีกจะยิ่งผิดหนัก อย่างไรเสียแม่จำเรียงก็เป็นทาสหมื่นชาญจริง เอ็งจะชิงตัวกันเช่นนี้หาได้ไม่”
       สินแกล้งหัวเราะเยาะ
       “ชิงตัวไม่ได้ แต่นายเงินทำอัปรีย์กับทาสได้ อาญาบ้านเมืองกระไรกัน ช่างเป็นธรรมเหลือ”
       ขุนรามเดชะไม่พอใจ
       “พวกข้าพูดเพื่อผ่อนหนักให้เป็นเบาแก่พวกเอ็ง ยังไม่รู้ดีชั่วอีกรึ”
       “พวกมันก็อกตัญญูเยี่ยงอ้ายเสมาครูมันนั่นหล่ะขอรับ อย่าพูดกับพวกมันให้เสียปากอีกเลย” พุฒใส่ความอีกจากนั้นหันไปสั่งลูกน้อง
       “กุมผู้หญิงไว้ แล้วจับอ้ายสมบุญเสีย”
       ขาดคำ ก็มีทหารกลุ่มใหญ่พร้อมอาวุธครบมือกรูกันเข้ามาล้อมพวกขัน พุฒ และขุนรามเดชะกับพันอินไว้เล่นเอาพวกขันกับพุฒตกใจอย่างไม่คาดฝัน เพียงอึดใจเสมาก็เดินฝ่ากลุ่มทหารเข้ามาหาพวกขัน จำเรียงดีใจขึ้นทันที
       “พี่เสมาช่วยน้องด้วย”
       “อ้ายเสมา นี่มึงกล้าสั่งทหารล้อมกูเชียวรึ” ขุนรามเดชะบันดาลโทสะขึ้นทันที ก่อนจะหันไปพูดกับพันอิน
       “ดูเถิดท่านพันอิน แต่ก่อนเพราะเรารักท่านพันอินอยู่ไม่ใช่รึ จึงยอมรับเจ้าหนุ่มนี้ไว้เป็นทหาร มิรู้เลยว่าจักตอบแทนเราเช่นนี้”
       พันอินก็แสดงอาการไม่พอใจเช่นกัน
       “ขุนศึกไชยชาญ เจ้าอย่าล่วงเกินผู้ใหญ่แลอย่าทะนงแก่ศักดิ์นัก ต้องคิดถึงความหลังบ้าง ว่าท่านมีพระคุณ”
       เสมาก้มลงกราบขุนรามเดชะกับพันอิน
       “พ่อท่านกับพระคุณจงอภัยเถิด ใช่เสมานี้จักเนรคุณเลย หากเป็นราชการบังคับเจาะจงตัว ข้าพระเจ้าจึงต้องกระทำตามรับสั่ง”
       เสมาหันไปสั่งทหาร
       “เชิญราชโองการ”
       ทุกคนพากันงง ทหารคนหนึ่งเดินถือพานทองใส่ราชโองการชูไว้เหนือหัว เข้ามาหาเสมา
       เสมาถวายบังคมราชโองการก่อนจะลุกขึ้นแล้วหยิบม้วนราชโองการชูให้เห็นกันทุกคน ขุนรามเดชะตกใจมากเมื่อเห็นม้วนพระราชโองการชัดๆ - - หมายตราพระคชสีห์
       ขุนรามเดชะ พันอิน ขัน พุฒ และทุกคนต่างตกใ รีบคุกเข่าถวายบังคมทันที เสมาเปิดพระราชโองการออกอ่าน
       “สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทั้งสองพระองค์ทรงพระอุตสาหะยกทัพไปณรงค์แก่ข้าศึก แต่นายทัพนายกองไม่กลัวเกรงพระราชอาญา มิได้โดยเสด็จพระราชดำเนินให้ทัน แลไม่ทำตามรับสั่ง รบพุ่งแก่ข้าศึกโดยพลการ จึงพระบรมราชโองการให้กุมเหล่าแม่ทัพนายกองนั้นเข้าจำตรุไว้ก่อน เมื่อพ้นวันพระแล้ว ให้เอาไปประหารชีวิตเสียทั้งสิ้น”
       ทั้งขุนรามเดชะ พันอิน ขัน และพุฒ ต่างตกใจแทบสิ้นสติเมื่อฟังราชโองการ เสมาเองมีสีหน้าซึมเศร้าอย่างเห็นได้ชัดที่ต้องทำเช่นนี้กับพันอินและขุนรามเดชะด้วย แต่เมื่อเป็นรับสั่งก็จนใจ

หมายเหตุ ตราพระคชสีห์แสดงว่าเป็นเรื่องเกี่ยวกับทหาร ไม่ได้เป็นราชโอการทั่วไป ขุนรามเลยกลัวมาก

สมเด็จพระนเรศวรกำลังเสด็จขึ้นม้าเพื่อจะยกทัพกลับกรุงศรีอยุธยา ขณะนั้นเองสมเด็จพระเอกาทศรถก็พระราชดำเนินมาเข้าเฝ้าสมเด็จพระนเรศวร

       “สมเด็จพี่”
       “องค์ขาว พี่กำลังอยากเจอน้องอยู่เทียว เจ้ามีกระไรกับพี่ก็ว่ามาก่อนเถิด”
       “น้องอยากจะกราบทูลขอพระราชทานชีวิตบรรดาแม่ทัพ นายกองที่ต้องอาญาศึกพระพุทธเจ้าข้า ถึงแม้จะผิดจริงไม่มีข้อแย้ง แต่แม่ทัพนายกองเหล่านี้ก็ออกศึกรับใช้เรามาแต่ครั้งแผ่นดินสมเด็จพ่อ หากต้องประหารเสียสิ้นตามอาญาศึกแล้ว...”
       สมเด็จพระนเรศวรหัวเราะชอบใจ
       “สมแล้วที่เราเป็นพี่น้องกัน น้องช่างคิดตรงกับพี่นัก ที่พี่จะไหว้วานน้องก็ด้วยเหตุนี้นี่หล่ะ”
       สมเด็จพระเอกาทศรถทรงแปลกพระทัยว่า สมเด็จพระนเรศวรจะไหว้วานอะไร

       เช้าสายวันหนึ่ง บรรดาโขลนกำลังไล่จับข้าหลวงที่เป็นลูกเมียของทหารที่ต้องโทษ ข้าหลวงหวาดกลัว กรีดร้องพยายามหนีแต่ก็ไม่พ้นถูกโขลนจับกุมตัวได้หมด ขณะที่โขลนกำลังจะพาข้าหลวงที่จับตัวได้ไปบัวเผื่อนก็เดินเข้ามาหา
       บัวเผื่อนปั้นหน้าเครียดทำเสียงดุๆ
       “แม่โขลนทั้งหลาย ฉันรู้ว่าแม่ทำตามหน้าที่ แต่ช่วยเบาเสียงหน่อยเถิด หากรบกวนเสด็จพระองค์หญิงขึ้นมาจะทำเช่นใด”
       “ขอขมาด้วยเถิดจ้ะแม่หญิงบัวเผื่อน ต่อไปพวกฉันจะระวังจ้ะ” โขลนว่า
       โขลนกำลังจะเดินเข้าข้างในแต่บัวเผื่อนรีบขวางไว้
       “ทางนี้หามีลูกเมียของผู้ต้องอาญาศึกอยู่ไม่ แม่ไปทางอื่นเถิด เพียงนี้ พวกฉันก็กลัวจับจิตจับใจแล้ว หากพวกแม่ไปไล่ค้นไล่จับคนข้างในอีกคงอึกทึกจนรบกวนไปถึงเสด็จแน่”
       พวกโขลนหันไปมองหน้ากัน อยากค้นต่อแต่ถ้ารบกวนจริงก็กลัวโดนลงโทษ
       “เช่นนั้นฉันก็ขอฝากแม่หญิง หากเจอนางข้าหลวงใดที่เป็นลูกเมียของผู้ต้องอาญาศึกก็แจ้งแก่ฉันด้วยเถิด” โขลนว่า
       บรรดาโขลนช่วยกันคุมตัวข้าหลวงที่จับได้เดินเลี่ยงไปทางอื่น บัวเผื่อนมองตามจนแน่ใจว่าไม่มีใครอยู่ บัวเผื่อนหันไปมองศรีเมืองและเรไรที่ซ่อนตัวอยู่
       “ปลอดภัยแล้วออกมาเถิด”
       ศรีเมืองและเรไรออกมาจากพุ่มไม้ที่ซ่อนตัวอยู่แล้วเดินเข้ามาหาบัวเผื่อน
       “ขอบน้ำใจนักที่เมตตาช่วยฉัน แม่บัวเผื่อน”
       “ฉันเห็นแก่ว่าเราเป็นเพื่อนกันมานานดอก แต่พูดก็พูดเถิด ท่านขุนรามเดชะต้องอาญาศึกแล้ว แม่เรไรกับแม่ป้าลำภูอาจโดนโทษไปด้วย ฉันไม่อยากพลอยเป็นกบฏศึกไปอีกคน แม่เรไรหาทางหลบหนีจากวังเอาเองเถิด”
       “เพลานี้โขลนล้อมวังไว้ทั่วแล้วจะหนีได้เช่นไร แม่หญิงบัวเผื่อนเมตตาช่วยอีกสักคราเถิด” ศรีเมืองว่า
       “แล้วมันเรื่องกระไรแม่ศรีเมืองถึงต้องออกหน้าด้วย แม่ศรีเมืองเป็นเพียงแต่บุตรบุญธรรมของท่านพันอิน ไม่โดนโทษด้วยก็ดีแล้วจะวุ่นวายเรื่องผู้อื่นไปไย” บัวเผื่อนว่า
       “แต่...”
       เรไรตัดบท
       “ช่างเถิด อย่าให้แม่บัวเผื่อนต้องลำบากใจเลย ฉันหาทางหนีเองได้”
       ศรีเมืองสงสารเรไรแล้วฉุกคิดขึ้นแล้วเหล่มองบัวเผื่อน
       “ถ้ากระนั้นฉันช่วยเองจ้ะ หากถูกจับได้ก็ซัดทอดว่า แม่หญิงบัวเผื่อนเป็นต้นคิดเป็นไร”
       บัวเผื่อนตกใจหันไปแว๊ดใส่ทันที
       “เอ๊ะ...แม่ศรีเมือง”
       ศรีเมืองพูดสวนขึ้นทันที
       “แต่หากแม่หญิงเมตตาอีกสักครา แม้ถูกจับได้ก็จะไม่เอ่ยถึงแม่หญิงเลยแม้แต่คำเดียว”
       บัวเผื่อนกระฟัดกระเฟียดเจ็บใจที่โดนศรีเมืองข่มขู่ เรไรกำลังกังวลใจมากด้วยห่วงพ่อและแม่

       หมายเหตุ โทษอาญาศึกสมัยก่อน ลูกเมียต้องรับผิดด้วย ถ้าเป็นความผิดร้ายแรงอาจจะถึงประหารเก้าชั่วโคตร
       โขลน คือตำรวจวังหญิง คอยรักษาความสงบเรียบร้อยในตำหนักใน

       บัวเผื่อนเดินนำศรีเมืองมา โดยศรีเมืองเข็นรถใส่ศพมาด้วย ศพนั้นถูกห่อด้วยเสื้อหลายชั้น บนรถเข็นมีห่อผ้าเล็กๆวางอยู่ด้วย ทั้งคู่เดินมาถึงประตูผีที่มีโขลนเฝ้าอยู่สองคน
       โขลนคนหนึ่งขวางทางไว้
       “นั่นกระไร”
       บัวเผื่อนแสร้งทำหงุดหงิด
       “ก็ศพน่ะซี ออกทางประตูผีจะมีคนเป็นรึ”
       โขลนอีกคนชักสงสัย
       “มีคนตายในวังด้วยรึ ไม่เห็นรู้เลยชื่อกระไรล่ะ”
       “ชื่อนังขาว มันเป็นทาส ป่วยตายในห้องมาหลายวันแล้วแต่หามีคนรู้ไม่ จนกลิ่นออกนั่นหล่ะ ถึงหาศพเจอ”
       โขลนลองเข้าไปจับเสื่อดูว่าเป็นศพจริงรึเปล่า ศรีเมืองรีบหลบตาหน้าเครียดกลัวจะถูกจับได้ พอโขลนแง้มเสื่อออกเล็กน้อยก็มีกลิ่นเหม็นกระจายออกทันที จนพวกโขลนผงะ หน้าเบ้ด้วยความเหม็น
       “ก็ฉันบอกแล้วว่ามันตายจนมีกลิ่น ครานี้จักให้ออกได้หรือไม่ จะได้เอาไปให้พ่อแม่มันทำพิธี”
       พวกโขลนรีบเปิดทางให้รีบไป บัวเผื่อนและศรีเมืองก็รีบขนศพออกไปทันที

       หมายเหตุ ประตูผี คือประตูธรรมดา แต่เอาไว้ใช้ขนคนตายออกจากวัง โดยมากจะตั้งอยู่หลังวัง)

       หลังออกจากปรพตูผีแล้ว ศรีเมืองก็เอาเสื่อที่คลุมออกเพื่อให้เรไรออกมา โดยมีบัวเผื่อนยืนหน้าเหยเก สะอิดสะเอียนด้วยความเหม็นอยู่ใกล้ๆ
       “แม่เรไรก็ช่างอดทนนัก ไม่นึกเลยว่าแม่จะทนนอนกับเนื้อเน่า ปลาเน่าเช่นนี้ได้”
       “หากช่วยให้ฉันหนีไปหาแม่ท่านได้ ต่อให้เน่าเหม็นกว่านี้ ฉันก็ทนได้ อย่างไรเสียก็ขอบน้ำใจแม่บัวเผื่อนนักที่วางแผนช่วยฉันครานี้”
       บัวเผื่อนหน้าบึ้งตึงบอก
       “ไม่ต้องดอก ขอให้รักษาสัตย์ก็เป็นพอ หากถูกจับได้อย่าซัดทอดมาที่ฉัน แลจำไว้ว่าฉันจะไม่ช่วยอีกแล้ว”
       บัวเผื่อนทิ้งค้อน ก่อนจะเดินเลี่ยงไป ศรีเมืองมองตาม
       “เหตุใดแม่หญิงบัวเผื่อนพูดตัดน้ำใจเช่นนี้”
       “ช่างเถิด เทียบกับที่ผ่านมาต้องถือว่าแม่บัวเผื่อนมีน้ำใจมากแล้ว”
       ศรีเมืองหยิบห่อผ้าบนรถเข็นยื่นให้เรไร
       “เบื้องหน้าเป็นคลอง แม่หญิงเรไรไปอาบน้ำแล้วผลัดผ้าปลอมตัวก่อนเถิด”
       เรไรซึ้งใจ
       “ขอบน้ำใจนักแม่ศรีเมือง ฉันจะไม่ลืมคุณแม่ครานี้เลย”
       “แล้วแม่หญิงจะหนีไปที่ใดหรือจ๊ะ”
       “ฉันยังหาได้คิดไม่ แต่คงต้องไปหาแม่ท่านก่อน ข่าวที่พ่อท่านเป็นหนึ่งในผู้ต้องอาญาศึก ยังไม่ได้โจษออกไปลางทีแม่ท่านยังไม่รู้”
       ศรีเมืองหน้าเศร้าๆ น้ำตาคลอ
       “หากแม่หญิงเจอพ่อพันอิน ฝากบอกด้วยเถิดว่าฉันปลอดภัยทุกประการ ขอพ่อท่านอย่าห่วงเลย”
       เรไรสงสารศรีเมืองด้วยตกอยู่ในหัวอกเดียวกัน
       “หากเจอฉันจะบอก แม่ศรีเมืองเร่งกลับเข้าวังเถิด หายมานานจะเป็นพิรุธให้แม่ศรีเมืองเดือดร้อนได้”
       ศรีเมืองพยักหน้ารับ
       “จ้ะ”
       ศรีเมืองจับมือเรไร บีบเบาๆก่อนเดินเลี่ยงกลับไป เรไรมองห่อผ้าในมือด้วยสายตาเศร้าสร้อยไม่รู้ชีวิตตัวเองจะเป็นยังไงต่อไป

       เสมา สิน สมบุญ และเหล่าทหารกำลังคุมนักโทษทั้ง ขุนรามเดชะ พันอิน ขัน พุฒ และคนอื่นๆอีกหลายคนมาเป็นขบวนใหญ่ โดยนักโทษทุกคนถูกตีตรวนล่ามโซ่กันหนี เสมาเงยหน้าขึ้นมองแดด กลัวนักโทษจะร้อนหันไปสั่งทหาร
       “หยุดพักที่นี่ก่อน แลหาน้ำหาเสบียงให้ผู้ต้องโทษอาญาศึกด้วย”
       บรรดาทหารต่างพานักโทษไปหลบร้อนนั่งพัก แบ่งอาหารแบ่งน้ำให้กิน
       สิน และสมบุญเดินถือกระบอกไม้ไผ่ใส่น้ำกับข้าวห่อใบตองไปให้ขัน และพุฒ สมบุญยื่นน้ำกับข้าวให้
       “เอ้า กินเสีย”
       ขัน และพุฒขบกรามแน่นด้วยทิฐิมานะมองไปทางอื่นไม่ยอมกิน
       “จะโดนตัดคออยู่อีกไม่กี่วัน ยังจักหยิ่งอีกรึ” สินว่า
       สินและสมบุญเดินเลี่ยงไปทางอื่นไม่สนใจขัน และพุฒอีก
       เสมา เดินถือน้ำและอาหารเข้ามาหาขุนรามเดชะกับพันอิน
       “ถอดโซ่กรวนให้ท่านขุนรามเดชะกับท่านพันอินประเดี๋ยวนี้” เสมาสั่ง
       ทหารคนนหึ่งลังเลด้วยกลัวผิดกฎ
       “แต่ท่านขุน...”
       “เกิดกระไรขึ้น ข้ารับผิดเอง เจ้าถอดเถิด” เสมาพูดตัดบท
       “ขอรับ”
       ทหารเข้าไปถอดโซ่ตรวนให้ขุนรามเดชะและพันอินตามคำสั่ง เสมาเอาอาหารและน้ำไปให้ “พระคุณกับพ่อพันอินทานเสียหน่อยเถิด จะได้ไม่หิว”
       พันอินสีหน้าเศร้า รู้ตัวว่าคงไม่รอดแน่ก็รับอาหารกับน้ำมา
       “ขอบน้ำใจนักเสมาเอ๋ย ยามที่พ่อใกล้ตายยังได้เห็นหน้าเจ้านับว่าดีมากแล้ว”
       เสมาสงสารจับใจ
       “พ่อผู้มีพระคุณแก่เสมาจงอภัยเถิด อย่าถือคิดเป็นกรรมเลย นี้เป็นพระบรมราชโองการหน้าที่ ท่านกำชับให้เสมาต้องกระทำจึงจนใจนัก”
       “เจ้าทำตามหน้าที่ราชการท่านนั้นก็สมควรแล้วห่วงอยู่แต่ศรีเมือง ขอเจ้าจงเวทนาแก่ศรีเมืองบ้างเถิด”
       “ข้าพระเจ้าขอให้คำมั่นว่าจะดูแลศรีเมือง พ่อท่านอย่าห่วงเลย”
       “ขุนศึกเอ๋ย การมาถึงเพียงนี้แล้ว เจ้าจะฟังคำขอข้าบ้างได้หรือไม่” ขุนรามเดชะพูดขึ้น
       “พระคุณสั่งมาเถิดขอรับไม่ว่าจะหนักหนาปานใด ข้าพระเจ้าจะกระทำให้”
       “ข้าห่วงแม่ลำภูกับเรไรนัก ด้วยข้าต้องโทษหนัก เกรงว่าแม่ลำภูกับเรไรจะพลอยโดนโทษไปด้วย”
       ขุนรามเดชะถอดแหวนมรกตที่สวมอยู่ยื่นให้เสมา
       “เจ้าจงล่วงหน้าไปก่อน แล้วเอาแหวนนี้ไปเป็นพยาน แลบอกให้ทั้งสองหนีไปเสีย แต่หากมีเพียงข้าที่ต้องโทษตามพระราชโองการ ก็ขอให้สองแม่ลูกจงเลี้ยงดูกันสืบไป ข้าทิ้งทรัพย์ไว้โขอยู่ คงไม่ลำบากกระไรนัก”
       เสมารับแหวนมรกตมา
       “ข้าพระเจ้าจะไปประเดี๋ยวนี้ แลจักกราบเรียนพระคุณผู้หญิงทุกประการ พระคุณวางใจเถิด”
       เสมามองดูแหวนมรกตในมือแล้วก็ห่วงใยเรไรขึ้นมาจนสีหน้าเคร่งเครียด

       บรรยากาศตลาดยามเย็นผู้คนไม่มากนัก เรไรแต่งชุดชาวบ้านเก่าๆ ใช้ผ้าคลุมหัวเพื่อปกปิดหน้าตากำลังเดินมา พอเห็นทหารเดินผ่านก็กลัว แกล้งไปเลือกซื้อของหลบหน้าหลบตา ครั้นพอทหารเดินผ่านไป เรไรก็เดินเลี่ยงไปอีกทาง
       ทันใดนั้น ก็มีมือข้างหนึ่งมาฉุดแขนเรไรไว้ เรไรตกใจสุดๆ หันไปมองคนที่ฉุดแขนทันที เรไรทั้งแปลกใจปนดีใจ
       “แม่หญิงดวงแข”

       เรไรกำลังคุยกับดวงแขอยู่บนเรือโดยมีทาสชายคนหนึ่งกำลังพายเรือให้
       “ฉันยังนึกประหลาดใจที่ไม่เห็นแม่ดวงแข ที่แท้แม่ดวงแขหลบออกมาก่อนฉันเสียอีก”
       “ฉันรู้ข่าวพี่ขันต้องโทษ แต่ยังไม่ปักใจ จึงออกมาไต่ถามบรรดาออกญาที่มีพระคุณ พอแจ้งว่า จริงแท้แน่แล้ว ฉันก็เสียใจนัก แต่นึกห่วงแม่เรไรอยู่ ตั้งใจจะกลับมาช่วยก็มาเจอกันกลางทางเสียก่อน”
       “ฉันตั้งใจจะกลับไปหาแม่ท่าน เพื่อแจ้งให้ท่านรู้ แต่ไปทางใดก็เจอแต่ทหาร จึงยังกลับเรือนไม่ได้เสียที”
       “คงต้องรอให้มืดค่ำก่อน จึงจะกลับเรือนได้โดยสะดวก แต่แม่เรไรไม่ต้องกลัว ฉันสั่งคนไว้แล้ว หากเกิดกระไรขึ้น แม่เรไรกับท่านอาลำภูก็ลงเรือหนีได้ทัน”
       เรไรซึ้งใจเพื่อน จับมือดวงแข
       “ขอบน้ำใจแม่ดวงแขนัก แล้วตัวแม่ดวงแขกับแม่ป้าอำพันเล่า”
       “โทษพี่ขันเพียงถึงลูกเมีย ไม่ถึงแม่แลน้องดอก แม่เรไรไม่ต้องห่วง เพียงแต่...การนี้น่าคับแค้นใจนัก” ดวงแขแกล้งบีบน้ำตา
       “คับแค้นใจด้วยเหตุใดรึ”
       ดวงแขน้ำตาคลอกลั้นสะอื้นแล้วว่า
       “เพราะฉันสืบรู้มาว่า ผู้ที่อาสาจับพี่ขันแลท่านลุงขุนราม คือขุนศึกไชยชาญน่ะซี”
       เรไรตกใจหน้าซีดเผือดทันที
       “ชะรอยขุนศึกจะหาเหตุล้างแค้นเป็นแน่ ดีร้าย ผู้ที่ใส่ความพี่ขันกับท่านลุงขุนจนต้องโทษ คงไม่พ้นขุนศึกผู้นี้ดอก”
       เรไรหน้าเสียงงไปหมด
       “หากใส่ความหมื่นชาญ ยังพอมีเหตุ แต่เหตุใดต้องใส่ความพ่อท่านด้วยเล่า”
       ดวงแขเหล่เรไรเล็กน้อย ก่อนทำเป็นสะอึกสะอื้นต่อ
       “เพราะท่านลุงคอยขวางไม่ให้ขุนศึกสมรักกับแม่เรไรน่ะซี คิดดูเถิด ท่านลุงตามเสด็จออกศึกมานับไม่ถ้วน มีรึ จะทำผิดอาญาศึกเสียเอง นอกจากจะมีผู้คิดร้ายใส่ความ”
       เรไรคิดตามหลงเชื่อคำพูดดวงแข อดรู้สึกผิดหวังเสมาขึ้นมาไม่ได้
       ดวงแข แม้จะทำร้องไห้สะอึกสะอื้นอยู่ แต่ก็แอบยิ้มเจ้าเล่ห์ที่พลิกวิกฤตเป็นโอกาสเอาสถานการณ์หาประโยชน์ใส่ตัวจนได้เพื่อจะได้ครอบครองเสมาแต่เพียงผู้เดียว

       ลำภูเดินออกมารับอำพันที่รออยู่ที่โถงบ้านเมื่อตอนหัวค่ำ
       “มาเสียมืดค่ำเชียวแม่อำพัน ไปที่ใดมารึ”
       ขณะที่ลำภูพูดด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม แต่อำพันพูดด้วยสีหน้าเครียด
       “นี่แม่ลำภูยังไม่รู้เรื่องอีกหรือ”
       “รู้เรื่องกระไรกัน”
       “ก็เรื่อง...”
       ขณะนั้นเอง เสียงทาสหญิงโวยวายขึ้นเพื่อขัดขวางไม่ให้เสมาขึ้นเรือน
       “อย่าเจ้าค่ะ ขึ้นไม่ได้เจ้าค่ะ ขึ้นไม่ได้”
       เสมาไม่สนใจเดินขึ้นเรือนมาด้วยสีหน้าเคร่งเครียด เมื่อเห็นลำภูยังอยู่ก็ดีใจ
       “พระคุณ คุณพระคุ้มครองนักที่พระคุณยังอยู่”
       “มากเกินไปเสียแล้วอ้ายเสมา ท่านขุนสั่งห้ามขาดไม่ให้เหยียบเรือน แล้วเจ้ายังกล้าบังอาจขึ้นมาอีกรึ เหวย บ่าวไพร่เรือนนี้ไปอยู่ที่ใดกันรีบมาไล่ไปที”
       เสมาไหว้พลางกล่าวแล้วหยิบแหวนมรกตยื่นให้ลำภู
       “ช้าก่อนขอรับ ข้าพระเจ้าก้มหน้ามานี่หาใช่จักรบกวนประการใดไม่ หากว่าเป็นกิจของพระคุณท่าน ให้มาด้วยสั่งความไว้ ... นี่ขอรับ พระคุณท่านให้มาเพื่อยืนยัน”
       ลำภูรับแหวนมาดูจำได้ว่าเป็นของสามีตนแน่ ลำภูตกใจแล้วถามขึ้น
       “แล้วเหตุใดออกขุนไม่มาด้วยตนเอง”
       “ท่านขุนต้องโทษอาญาศึก เพลานี้ถูกกุมไว้จึงให้ข้าพระเจ้ามาแจ้งให้พระคุณกับแม่หญิงเรไรหลบหนีไป แลหากโทษทัณฑ์มาไม่ถึงพระคุณกับแม่หญิงก็ขอให้ปกครองทรัพย์ดูแลกันไว้ขอรับ”
       ลำภูช็อกสุดๆ ก่อนจะตวาดออกมา
       “มุสา มุสาทั้งสิ้น..ไป ออกไปจากเรือนข้าประเดี๋ยวนี้”
       “ใจเย็นก่อนเถิดแม่ลำภู ที่ขุนศึกกล่าวนั้นถูกแล้ว พ่อขันก็ต้องโทษเช่นกัน ฉันจึงมาหาแม่ลำภูด้วยเหตุนี้” อำพันพูดน้ำตาคลอเบ้า
       ลำภูตกใจสุดๆ ไม่คิดว่าขุนรามเดชะจะโดนโทษร้ายแรงขนาดนี้จึงช็อกเป็นลมสลบไป อำพันรีบเข้าไปรับลำภู
       “แม่ลำภูๆ”
       จังหวะนั้นเอง เรไรก็เดินขึ้นเรือนมามาพอดี เรไรเห็นแม่เป็นลมก็ตกใจมากรีบเข้าไปหาแม่ทันที
       “แม่... แม่ แม่ท่านเป็นกระไรไป”
       “พาพระคุณไปนอนพักก่อนเถิด แล้วให้บ่าวไพร่หายาลมยาหอมมา” เสมาว่าพลางจะเข้าไปช่วยแต่เรไรผลักเสมาออก
       “อย่ามาแตะต้องตัวแม่ท่าน”
       “แม่หญิง”
       พวกทาสหญิงได้ยินเสียงเอะอะเลยรีบเข้ามา พอเห็นลำภูเป็นลมก็รีบเข้าไปช่วยกันประคองลุกขึ้นพาไปพักที่ห้องนอน เรไรจ้องหน้าเสมาด้วยความแค้น
       “จับกุมพ่อท่านยังไม่พอ ยังหวนกลับมาทำร้ายแม่ท่านอีกรึ ชั่วช้าสามานย์นัก ฉันเกลียดตัวเองเหลือที่เคยมีใจให้คนชั่ว เนรคุณแลมักมากเช่นเจ้า”
       เสมางงไปหมด
       “แม่หญิงเรไร เหตุใดพูดเช่นนี้ ข้าพระเจ้า...”
       พูดไม่ทันจบ เรไรก็ตบหน้าเสมาเข้าเต็มแรง พร้อมน้ำตาร่วงผล๋อยด้วยความเจ็บช้ำถึงที่สุด เสมาหน้าชา เสียใจเจ็บช้ำ พูดไม่ออกบอกไม่ถูก อำพันเดินออกมาตาม
       “แม่เรไร รีบมาดูแม่ลำภูก่อนเถิด”
       เรไรจ้องเสมาด้วยความแค้นใจ ก่อนจะรีบตามอำพันกลับไปดูแลแม่ลำภู เสมายืนมองตามเรไรไป ทั้งงง ทั้งเสียใจ ไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น

       ภายในคุกหลวงเวลากลางคืน ผู้คุมคุกกำลังล่ามโซ่ประตูคุก ก่อนจะเดินออกไป ขุนรามเดชะ พันอิน ขัน พุฒ และขุนนางที่ต้องโทษนับสิบคนถูกขังรวมกันอยู่ในคุก แต่ละคนมีท่าทีเศร้าหมอง ท้อแท้ เพราะใกล้จะถูกประหารเต็มที
       ขุนนางคนหนึ่งร้องไห้สะอึกสะอื้นออกมาด้วยความกลัวตายจนเพื่อนต้องเข้าไปช่วยกันปลอบ
       พุฒเองก็กลัวตายเลยโมโหพาลมั่วไปหมด
       “ทำศึกย่อมต้องมีแพ้แลชำนะครานี้ก็ไม่ได้แพ้ ซ้ำพระมหาอุปราชายังสวรรคตเสียอีก เหตุใดต้องลงโทษเราถึงประหารด้วย”
       “ศึกนี้ชำนะด้วยพระบารมีแลความกล้าของพ่ออยู่หัวหาใช่ฝีมือของพวกเราไม่ ซ้ำเรายังขัดรับสั่งจนเกือบเสียทัพก็ควรแล้วที่ต้องโทษประหารเช่นนี้” พันอินพูดพลางถอนหายใจอย่างปลงๆ
       ขันหันไปด่าพุฒ
       “เพราะเจ้าทีเดียวหมื่นทรง หากไม่ใช่เพราะเจ้าเราจะถูกบั่นคอกันเช่นนี้รึ”
       พุฒโมโหชี้หน้าแล้วผลักอกขัน
       “อุบ๋า แล้วกูทำไปเพื่อใครเล่าวะ พอได้โทษ ก็โยนผิดกันเช่นนี้รึ”
       ขันโมโหจะเข้าไปเอาเรื่อง แต่ขุนรามรีบเข้ามาแยกแล้วตวาด
       “หยุดประเดี๋ยวนี้ เพลานี้ยังจะต่อตีกันอีกรึ ไม่อายบ้างหรือไร หมื่นชาญ หมื่นทรง”
       ขัน และพุฒกระฟัดกระเฟียด แต่ต่อหน้าคนจำนวนมากก็ไม่กล้ามีเรื่องกันอีก
       “เมื่อรักจักเป็นทหาร ต้องทำใจพร้อมตายทุกเพลา เราตายเพื่อรักษาความศักดิ์สิทธิ์ของอาญาศึก หาใช่เรื่องน่าอับอายไม่ พ่อขัน อย่าอาลัยแก่ชีวิตเลยเชื่ออาเถิดหลาน” ขุนรามเดชะจับบ่าขันเป็นเชิงให้กำลังใจ
       ขัน น้ำตาคลอเบ้า แม้ขุนรามเดชะจะปลอบโยนยังไงก็อดกลัวตายไม่ได้อยู่ดี

       พิณกับบรรดาทาสกำลังช่วยกันขนของของเรไรและลำภู ลงเรือเพื่อจะหลบหนี อำพันกับดวงแขเดินมาส่งเรไรและลำภูที่เรือ ลำภูร้องไห้สะอึกสะอื้นตลอดเวลาจนอำพันรู้สึกสงสาร
       “แม่ลำภูหนีไปคอยอยู่ที่ปากแม่น้ำก่อน หากโทษของท่านขุนมาไม่ถึงลูกเมีย ฉันจะให้คนไปแจ้ง แต่หากลูกเมียพลอยต้องโทษไปด้วย แม่ลำภูกับแม่เรไรจงเร่งหนีไปทางหัวเมืองตะวันออกเถิด ฉันพอมีญาติอยู่บ้างจะได้ช่วยกันฝากฝังดูแล”
       ลำภูร้องไห้สะอึกสะอื้น
       “ขอบน้ำใจแม่อำพันนัก ฉันจะไม่ลืมคุณแม่ครานี้เลย”
       ลำภูเข้าไปกอดอำพันร้องไห้ ก่อนจะเดินไปขึ้นเรือ ดวงแขจับมือเรไรไว้
       “แม่เรไรมีห่วงใดทางนี้บ้างหรือไม่ เผื่อฉันจะช่วยได้”
       เรไรหน้าเศร้าแล้วบอก
       “ถ้ากระนั้น ฝากทูลลาเสด็จพระองค์หญิงให้ฉันด้วยเถิด ฉันเหมือนคนเนรคุณนักที่หนีไปโดยไม่ได้ทูลลา”
       ดวงแขพยักหน้ารับแล้วถามหยั่งเชิง
       “ได้ซี ฉันจะทูลให้ แล้วขุนศึกไชยชาญเล่าแม่จะให้ฉันทำประการใด”
       “ไม่ต้องทำกระไรทั้งสิ้น แล้วอย่าเอ่ยชื่อนี้ให้ฉันได้ยินอีก ฉันเกลียดเหมือนจะตาย นับแต่นี้ อย่าได้พบเจอกันอีกเลย” เรไรพูดด้วยความแค้น
       “รีบไปเถิดลูก” ลำภูตะโกนเรียกแม่เรไร
       “จ้ะแม่ท่าน”
       เรไรหันมาพูดกับดวงแขด้วยสีหน้าเศร้าๆ
       “ฉันคงต้องไปแล้วหากยังมีบุญต่อกัน เราคงได้พบกันอีกนะแม่ดวงแข”
เรไรเดินเศร้าๆไปขึ้นเรือ ดวงแขมองตามแล้วอมยิ้มบางๆพอใจอยู่ในสำหรับเกมพิชิตศัตรูหัวใจ
//www.manager.co.th/Drama/ViewNews.aspx?NewsID=9550000056046&Page=4



Create Date : 22 พฤษภาคม 2555
Last Update : 22 พฤษภาคม 2555 12:12:40 น. 0 comments
Counter : 1288 Pageviews.

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

atitaya_t
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 2 คน [?]




สวัสดีค่ะ ขอร่วม gang ด้วยคนค่ะ
Friends' blogs
[Add atitaya_t's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.