กรกฏาคม 2550

1
2
3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
14
15
16
17
18
19
20
21
23
24
25
26
27
28
29
30
31
 
 
พระอภิเนาว์นิเวศน์ : พระราชมณเฑียรในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว


พระอภิเนาว์นิเวศน์ เป็นพระราชมณเฑียรที่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้นภายในพระบรมมหาราชวัง โดยทรงเลือกบริเวณที่เรียกว่า "สวนขวา" เป็นที่จัดสร้างพระราชมณเฑียรขึ้นใหม่ พระราชมณเฑียรแห่งนี้สร้างในรูปแบบสถาปัตยกรรมของชาติตะวันตก ทั้งนี้เพื่อจะใช้เป็นที่ต้อนรับแขกบ้านแขกเมื่อและเป็นที่แสดงเครื่องบรรณาการที่ประเทศแถบยุโรปส่งมาถวาย และเป็นพระเกียรติยศของพระองค์อีกประการหนึ่ง

พระราชมณเฑียรแห่งนี้เป็นสถานที่สำคัญในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เนื่องจากใช้เป็นที่ประทับ ออกว่าราชการ และต้อนรับแขกบ้านแขกเมืองของพระองค์ เมื่อสิ้นรัชกาลแล้ว พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวก็มิได้ประทับ ณ หมู่พระอภิเนาว์นิเวศน์ ประกอบกับพระราชมณเฑียรแห่งนี้สร้างด้วยเครื่องไม้ประกอบอิฐ ปูนเป็นหลัก เมื่อเวลาผ่านไปจึงผุกร่อนจนต้องรื้อลงเกือบทั้งหมดและปรับพื้นที่เป็นสวนดังเช่นปัจจุบัน

ประวัติ
ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเป็นช่วงเวลาที่มีการติดต่อทั้งในด้านการค้าขาย และการเจริญสัมพันธไมตรีกับชาติตะวันตกมากขึ้น จึงมีการทูลเกล้าฯ สิ่งของจากชาติตะวันตกที่ไม่เคยมีภายในประเทศมาก่อน โดยการที่จะนำสิ่งของเหล่านั้นไปประดับไว้ที่พระที่นั่งที่มีสถาปัตยกรรมไทยประเพณี ก็อาจจะขัดกับสถานที่ ดังนั้น พระองค์จึงมีพระราชดำริให้จัดสร้างพระราชมณเฑียรแห่งใหม่ขึ้น โดยสร้างในสถาปัตยกรรมแบบตะวันตก เพื่อใช้เป็นสถานที่ต้อนรับแขกบ้านแขกเมือง พร้อมทั้งเก็บรักษาสิ่งของที่ได้รับการทูลเกล้าฯ จากชาวตะวันตกด้วย นอกจากนี้ ยังเพื่อเป็นพระเกียรติยศของพระองค์ ดังเช่นพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท เป็นพระเกียรติยศแด่พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช พระที่นั่งมหิศรปราสาทพุทธมณเฑียร และโรงช้างเผือกทั้ง 4 เป็นพระเกียรติยศแด่พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย และพระที่นั่งสุทไธสวรรย์ปราสาท เป็นพระเกียรติยศแด่พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว

โดยสถานที่ที่เหมาะสมในการสร้างพระราชมณเฑียรแห่งใหม่นี้ทรงเลือกบริเวณ “สวนขวา” ที่ตั้งอยู่ในทิศตะวันออกของหมู่พระที่นั่งจักรพรรดิพิมานภายในพระบรมมหาราชวัง ซึ่งเดิมเป็นราชอุทยานสำหรับพระมหากษัตริย์เสด็จประพาส โดยพระองค์แบ่งพื้นที่ออกเป็น 2 ส่วน ในส่วนแรกนั้น พระองค์ทรงกั้นพื้นที่ไว้เป็นวัดในวัง ขนานนามว่า “พระพุทธนิเวศน์” และส่วนที่เหลือโปรดให้สร้างพระราชมณเฑียรขึ้น พระราชทานนามว่า “พระอภิเนาว์นิเวศน์”

พระอภิเนาว์นิเวศน์ เริ่มสร้างตั้งแต่ปี พ.ศ. 2397 พระองค์โปรดให้สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาพิชัยญาติเป็นแม่กอง ต่อมา เมื่อสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาพิชัยญาติถึงแก่พิราลัย จึงโปรดให้เจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์เป็นแม่กองแทน นอกจากนี้ ยังมีพระยาเพชรพิไชยและพระยาสมาภพพ่ายเป็นนายงาน กรมขุนราชสีหวิกรมเป็นนายช่าง สร้างแล้วเสร็จเมื่อปี พ.ศ. 2402

สถาปัตยกรรม

เนื่องจากพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงตั้งพระราชหฤทัยที่จะใช้พระอภิเนาว์นิเวศน์เป็นสถานที่รับแขกบ้านแขกเมือง รวมทั้งจัดแสดงเครื่องบรรณาการที่ประเทศแถบยุโรปส่งมาถวาย ดังนั้น พระองค์จึงทรงสร้างพระอภิเนาว์นิเวศน์ด้วยสถาปัตยกรรมแบบตะวันตกเป็นหลัก และมีการตกแต่งบางส่วนด้วยสถาปัตยกรรมแบบไทยและแบบจีน อย่างไรก็ตาม พระอภิเนาว์นิเวศน์นั้น ได้ถูกรื้อลงไปตั้งแต่ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ดังนั้น สถาปัตยกรรมของพระอภิเนาว์นิเวศน์นั้นจึงอาศัยภาพถ่ายเพื่ออธิบายรูปแบบสถาปัตยกรรมเท่านั้น

สถาปัตยกรรมแบบตะวันตกที่สามารถพบเห็นได้ทั่วไปนั้น คือ รูปทรงของอาคารต่าง ๆ หลังคาจะแบนและล้อมด้วยลูกกรงประดับด้วยโคมไฟที่หัวเสาระเบียงโดยรอบ นอกจากนี้ หลังคายังเป็นแบบหน้าอุด กล่าวคือ ไม่มีการยื่นชายคาออกมาบังแดดบังฝนให้กับพระบัญชร (หน้าต่าง) ในตอนล่าง ส่วนสถาปัตยกรรมแบบจีนนั้นสามารถพบได้บริเวณหลังคา ซึ่งจะใช้กระเบื้องจีนและใช้วิธีการปั้นปูนเป็นทางยาวเชื่อมกันระหว่างแผ่นกระเบื้องและยกสันหลังคาให้สูง พร้อมทั้งเขียนลายคล้ายลายจีนด้วย และสถาปัตยกรรมแบบไทยนั้นพบได้บริเวณซุ้มพระทวาร (ประตู) และพระบัญชร (หน้าต่าง) ของพระที่นั่งอนันตสมาคม

นายเอ.บี.กริสโวลด์ ได้กล่าวถึงสถาปัตยกรรมของพระอภิเนาว์นิเวศน์ว่า "พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงเป็นนักก่อสร้างที่สำคัญ พระองค์โปรดดัแปลงสถาปัตยกรรมแบบยุโรปให้เข้ากับความต้องการของชาวไทย ที่โปรดมาก คือ อาคารปูนปั้นชั้นเดียวที่เย็นสบาย มีหลังคาเป็นริ้วและมีแนวสันอยู่ด้านหน้า อาคารแบบนี้มีลักษระคล้ายกับการฟื้นฟูสถาปัตยกรรมแบบกรีกรุ่นหลังในแค้วนคาโรไลนาตอนใต้ (South Carolina) และแคว้นหลุยเซียนา (Louisiana) ในสหรัฐอเมริกา แต่มีรูปร่างเรียบ ๆ กว่า สถาปัตยกรรมในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวตกแต่งด้วยลวดลายเครื่องประดับแบบจีนอย่างงดงาม ลวดลายแบบนี้เป็นที่นิยมกันมากในรัชการก่อน การผสมกันเช่นนี้ได้สัดส่วนและสวยงาม ไม่สู้แปลกประหลาดเหมือนดังที่อาจคาดคิด ทั้งนั้นเพราะส่วนผสมก็เป็นเช่นเดียวกับชิปเป็นเดล (Chippendale) คือ เครื่องเรือนของประเทศอังกฤษในพุทธศตวรรษที่ 23 แสดงการผสมของศิลปะหลายแบบนั่นเอง"

ถึงแม้ว่าพระอภิเนาว์นิเวศน์จะสร้างขึ้นในสถปาปัตยกรรมแบบชาติตะวันตก แต่แผนผังการสร้างพระราชมณเฑียรแห่งนี้นั้น อาศัยแบบแผนของพระราชมณเฑียรแห่งเดิมเป็นต้นแบบด้วย ซึ่งตามธรรมเนียมการสร้างพระราชมณเฑียรมักจะประกอบด้วย พระวิมาน ท้องพระโรง ส่วนรโหฐาน หอพระเจ้า และหอพระบรมอัฐิ

การสร้างพระวิมานที่บรรทมของพระมหากษัตริย์นั้น ประกอบด้วย พระมณเฑียร 3 หลัง ใช้เป็นที่เสด็จประทับในฤดูร้อน ฤดูฝน และ ฤดูหนาว ฤดูกาลละ 1 หลัง สันนิษฐานว่าทำตามคติที่เคยมีมาแต่ครั้งกรุงศรีอยุธยา ซึ่งภายในพระอภิเนาว์นิเวศน์นั้น มีพระที่นั่งบรมพิมาน พระที่นั่งภานุมาศจำรูญ และพระที่นั่งจันทรทิพโยภาส เป็นพระวิมาน 3 แห่ง โดยพระที่นั่งบรมพิมาน พระที่นั่งภานุมาศจำรูญ เป็นพระวิมานบรรทม และพระที่นั่งจันทรทิพโยภาสเป็นที่ประทับของพระมเหสี การมีพระวิมาน 3 หลังนี้ คล้ายคลึงกับพระที่นั่งจักรพรรดิพิมาน พระราชมณเฑียรในพระบรมมหาราชวัง และหมู่พระวิมานในพระราชวังบวรสถานมงคล

สำหรับท้องพระโรงซึ่งเป็นสถานที่ไว้เสด็จออกว่าราชการและต้อนรับแขกบ้านแขกเมืองนั้น ภายในพระอภิเนาว์นิเวศน์ นั่นคือ พระที่นั่งอนันตสมาคม ซึ่งเปรียบเทียบได้กับพระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัยมไหสูรยพิมานภายในพระบรมมหาราชวัง ส่วนรโหฐานซึ่งใช้เป็นสถานที่ส่วนพระองค์เพื่อให้ฝ่ายในเข้าเฝ้านั้น ได้แก่ พระที่นั่งนงคราญสโมสร ซึ่งเปรียบได้กับพระที่นั่งไพศาลทักษิณ ท้องพระโรงหน้า และท้องพระโรงหลังของหมู่พระราชมณเฑียรหลังเดิม

ส่วนหอพระเจ้า (หอพระ) และหอพระบรมอัฐิภายในพระอภิเนาว์นิเวศน์นั้นจะแตกต่างจากพระราชมณเฑียรเดิม กล่าวคือ หอพระเจ้าและหอพระบรมอัฐิของพระอภิเนาว์นิเวศน์นั้นจะอยู่บริเวณด้านบนของหมู่พระที่นั่งซึ่งมีทางเข้าจากพระที่นั่งจันทรทิพโยภาสและพระที่นั่งภานุมาศจำรูญ เมื่อเปรียบเทียบกับหมู่พระมหามณเฑียรเดิม หอทั้ง 2 นี้ ได้แก่ หอพระสุราลัยพิมานและหอพระธาตุมณเฑียร

หมู่พระที่นั่งและหอในพระอภิเนาว์นิเวศน์

พระอภิเนาว์นิเวศน์ที่สร้างขึ้นใหม่นี้ ประกอบด้วย พระที่นั่ง 8 องค์ และหอ 3 หอ รวมทั้งหมด 11 หลัง โดยได้นับรวมพระที่นั่งสุทไธสวรรย์ปราสาทและพระที่นั่งไชยชุมพลเข้ามาเป็นหมู่พระที่นั่งเดียวกันด้วย นอกจากนี้ นามของหมู่พระอภิเนาว์นิเวศน์นั้นยังได้ตั้งให้สอดคล้องกัน ดังนี้ ไชยชุมพล ภูวดลทัศไนย สุทไธสวรรย์ฯ อนันตสมาคม บรมพิมาน นงคราญสโมสร จันทรทิพโยภาส ภานุมาศจำรูญ มูลมณเฑียร เสถียรธรรมปริตร ราชฤทธิ์รุ่งโรจน์ โภชนลีลาศ และ ประพาสพิพิธภัณฑ์ โดยมีรายละเอียดของพระที่นะั่งและหอแต่ละแห่ง มีดังนี้

พระที่นั่งไชยชุมพล
พระที่นั่งไชยชุมพล เป็นพระที่นั่งที่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดให้สร้างขึ้นบนกำแพงพระราชวัง ตรงกับพระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม ฝี่งถนนสนามไชย เป็นพระที่นั่งชั้นเดียว หันไปทางถนนกัลยาณไมตรีอันเป็นทางตรงไปสู่เสาชิงช้า เพื่อใช้เป็นที่ประทับในการทอดพระเนตรกระบวนแห่พระยาชิงช้าในพระราชพิธีตรียัมปวาย และเพื่อทอดพระเนตรตรวจตราการฝึกทหารด้วย

นอกจากนี้ ยังเคยใช้เป็นที่สังเวยพระสยามเทวาธิราชในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวอีกด้วย พระที่นั่งองค์นี้ยังคงปรากฏอยู่จนถึงปัจจุบัน



พระที่นั่งภูวดลทัศไนย
พระที่นั่งภูวดลทัศไนย ตั้งอยู่หน้าในสวนหน้าพระพุทธนิเวศน์ เป็นพระที่นั่งมีความสูง 5 ชั้น โดยด้านบนสุดมีนาฬิกาติดอยู่ทั้ง 4 ด้าน โดยพระองค์มีพระราชประสงค์ให้ใช้เป็นหอนาฬิกาหลวง เพื่อทำหน้าที่บอกเวลามาตรฐาน ดังปรากฏในประกาศรัชกาลที่ 4 ฉบับที่ 306, พ.ศ. 2411 ว่า

"...จะเป็นเหตุให้เขาหัวเราะเยาะเย้ยได้ว่าเมืองเรา ใช้เครื่องมือนับทุ่มโมง เวลาหยาบคายนักไม่สมควรเลย เพราะเหตุฉะนี้ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงพินิจพิจารณาตรวจตราคำนวณความดำเนินพระอาทิตย์ ให้ฤดูทั้งปวงสอบกับนาฬิกา ที่ดีมาหลายปีทรงทราบถ้วนถี่ทุกประการ แจ้งในพระราชหฤทัยแล้ว..."

โดยพระองค์ทรงกำหนดเส้นแวง 100 องศา 29 ลิปดา 50 ฟิลิปดา ตะวันออก เป็นเส้นแวงหลักผ่านพระที่นั่งภูวดลทัศไนย พร้อมทั้ง จัดให้มีพนักงานตำแหน่งพันทิวาทิตย์ มีหน้าที่เทียบเวลากลางวันจากดวงอาทิตย์ และตำแหน่งพันพินิตจันทรา ทำหน้าที่เทียบเวลากลางคืนจากดวงจันทร์ ดังนั้น ประเทศไทยจึงนับได้ว่าเป็นมีเวลามาตรฐานอย่างถูกต้องตามหลักดาราศาสตร์เป็นชนชาติแรกของโลก พระที่นั่งองค์นี้ได้ถูกรื้อลงในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว

พระที่นั่งสุทไธสวรรย์ปราสาท
พระที่นั่งสุทไธสวรรย์ปราสาท สร้างขึ้นในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก โดยตั้งอยู่บนกำแพงพระบรมมหาราชวังด้านทิศตะวันออก มีลักษณะเป็นพลับพลาโถง หลังคาไม่มียอด เป็นเครื่องไม้ทั้งหมด ต่อมา พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้รื้อพระที่นั่งองค์นี้ แล้วสร้างขึ้นใหม่โดยการก่ออิฐ พร้อมทั้งมีการยกยอดปราสาทขึ้น และพระราชทานนามว่า "พระที่นั่งสุทธาสวรรย์" เมื่อถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงบูรณะซ่อมแซม และพระราชทานนามพระที่นั่งใหม่ว่า "พระที่นั่งสุทไธสวรรย์" พร้อมทั้ง รวมพระที่นั่งองค์นี้เข้าเป็น 1 ในหมู่พระอภิเนาว์นิเวศน์

พระที่นั่งอนันตสมาคม


พระที่นั่งอนันตสมาคม เป็นพระที่นั่ง 2 ชั้น โดยมีมุข 3 มุข ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออก หลังพระที่นั่งสุทไธสวรรย์ปราสาท มุขกลางยาว 3 ห้อง ใช้เป็นท้องพระโรงสำหรับเสด็จว่าราชการ และประกอบพระราชพิธีต่าง ๆ มุขเหนือและมุขใต้เป็นโถงห้องเดียว ใช้เป็นที่เฝ้าของพระบรมวงศานุวงศ์และข้าราชการ

พระที่นั่งอนันตสมาคมนี้ใช้เป็นสถานที่ในการออกรับคณะทูตที่เดินทางมาทำหนังสือเจริญสัมพันธไมตรี ซึ่งถ้ารับแบบเต็มยศจะเรียกว่า "ออกใหญ่" แต่ถ้ารับแบบครึ่งยศจะเรียกว่า "ออกกลาง" ตามธรรมเนียมที่มีมาตั้งแต่ต้นรัชกาล

นอกจากนี้ เมื่อพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่ทรงพระประชวรและเสด็จสวรรคตนั้น พระที่นั่งองค์นี้ยังใช้เป็นที่รอเฝ้าฟังพระอาการประชวรของพระบรมวงศานุวงศ์ และข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ และยังเป็นสถานที่ที่ใช้ประชุมหารือกันในการถวายสิริราชสมบัติแด่สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าจุฬาลงกรณ์ กรมขุนพินิตประชานาถ และแต่งตั้งพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้ายอดยิ่งยศ กรมหมื่นบวรวิไชยชาญ ขึ้นเป็นกรมพระราชวังบวรสถานมงคลอีกด้วย

ต่อมา ในช่วงปลายรัชยสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวนั้น พระที่นังองค์นี้อยู่ในสภาพชำรุดผุพังเป็นอันมาก ไม่เหมาะสมกับการใช้เป็นที่ประกอบพระราชพิธีเพราะเกรงว่าจะพังลงมา และการบูรณะซ่อมแซมนั้นก็ต้องใช้เงินจำนวนมาก ดังนั้น จึงโปรดให้รื้อพระที่นั่งองค์นี้ลง แต่พระองค์ก็โปรดให้นำนามพระที่นั่งองค์นี้ไปเป็นนามพระที่นั่งที่สร้างขึ้นใหม่บริเวณพระราชวังดุสิต นั่นคือ '''พระที่นั่งอนันตสมาคม''' ในปัจจุบัน

พระที่นั่งบรมพิมาน
พระที่นั่งบรมพิมาน เป็นพระที่นั่งสูง 3 ชั้น ตั้งอยู่ระหว่างพระที่นั่งอนันตสมาคมและพระที่นั่งนงคราญสโมสร เป็นพระที่นั่งที่มีความสูงมากกว่ารพระที่นั่งอื่น ๆ ในหมู่พระอภิเนาว์นิเวศน์ โดยชั้นล่าง เป็นเป็นส่วนที่ยกพื้น หรือที่เรียกว่า ใต้ถุน ชั้นที่ 2 นั้น เป็นส่วนท้องพระโรงซึ่งใช้เป็นที่ต้อนรับแขกบ้านแขกเมืองเป็นการส่วนพระองค์ ส่วนชั้นที่ 3 เป็นพระวิมานที่บรรทมภายใต้พระมหาเศวตฉัตร ซึ่งพระที่นั่งองค์นี้ยังเป็นที่ประดิษฐานพระบรมอัฐิพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวตามที่พระองค์ทรงมีพระราชดำริไว้ ตราบจนหมู่พระอภิเนาว์นิเวศน์ได้ถูกรื้อลงในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว

ต่อมา พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวสร้างโปรดให้สร้าง "พระที่นั่งภานุมาศจำรูญ" ขึ้นเพื่อพระราชทานแก่ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ สยามมกุฎราชกุมาร แต่เจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ สิ้นพระชนม์เสียก่อน จึงพระราชทานให้เป็นที่ประทับของ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราวุธ สยามมกุฎราชกุมาร หลังจากเจ้าฟ้ามหาวชิราวุธทรงครองสิริราชสมบัติแล้วได้มีพระบรมราชโองการเปลี่ยนนาม "พระที่นั่งภานุมาศจำรูญ" เป็น '''พระที่นั่งบรมพิมาน''' เพื่อเชิดชูพระเกียรติคุณพระบรมอัยกาธิราช

พระที่นั่งนงคราญสโมสร
พระที่นั่งนงคราญสโมสร เป็นพระที่นั่ง 2 ชั้น อยู่ถัดจากรพระที่นั่งบรมพิมาน โดยใช้เป็นท้องพระโรงฝ่ายใน และเป็นที่เสวย ซึ่งพระที่นั่งองค์นี้เรียกได้ว่า เป็นที่ส่วนพระองค์โดยเฉพาะ มักใช้ประกอบพระราชพิธีที่สำคัญ ๆ อาทิเช่น พระราชพิธีเฉลิมพระราชมณเฑียร พระราชพิธีโสกันต์สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าจุฬาลงกรณ์ ก็เริ่มต้นที่พระที่นั่งองค์นี้ อย่างไรก็ตาม พระที่นั่งองค์นี้ก็ได้ถูกรื้อลงในภายหลัง

ในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว มีการสร้างท้องพระโรงขึ้นในบริเวณวังสวนสุนันทา เมื่อปี พ.ศ. 2457 ซึ่งใช้เป็นท้องพระโรงส่วนกลาง นาม "พระที่นั่งนงคราญสโมสร" จึงมาปรากฏ ณ วังสวนสุนันทา โดยพระที่นั่งองค์นี้ใช้สำหรับพระราชวงศ์พระองค์ใดจะทรงใช้ในการบำเพ็ญพระกุศลหรือจัดงานรื่นเริง ปัจจุบัน อยู่ในความดูแลของกรมการปกครอง

พระที่นั่งจันทรทิพโยภาส
พระที่นั่งจันทรทิพโยภาส เป็นพระที่นั่งมีความสูง 2 ชั้น ชั้นล่างเป็นส่วนยกพื้นเช่นเดียวกันกับพระที่นั่งบรมพิมาน หลังคาแบน มีทางขึ้นไปยังหอพระบรมอัฐิ ตั้งอยู่ทางด้านทิศตะวันตกเฉียงใต้ จึงได้รับลมประจำในฤดูร้อน เดิมใช้เป็นที่ประทับของพระนางเธอ พระองค์เจ้ารำเพยภมราภิรมย์ พระมเหสีในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว แต่ต่อมาพระองค์ได้ย้ายประทับที่ "พระตำหนักหอ" พระที่นั่งองค์นี้ได้ถูกรื้อลงในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว

พระที่นั่งภานุมาศจำรูญ
พระที่นั่งภานุมาศจำรูญ เป็นพระที่นั่งสูง 2 ชั้น มีลักษณะเด่นเช่นเดียวกับพระที่นั่งจันทรทิพโยภาส คือ มีหลังคาที่แบน และมีทางขึ้นไปยังหอพระเจ้า ซึ่งประดิษฐานพระพุทธรูปที่ทรงบูชา และชั้นบนเป็นพระวิมานที่บรรทม ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ ซึ่งจะได้รับลมประจำในปลายฤดูฝนและต้นฤดูหนาว โดยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จสวรรคต ณ พระที่นั่งองค์นี้ ต่อมา พระที่นั่งองค์นี้ก็ได้ถูกรื้อลง

ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระองค์ทรงสร้างพระที่นั่งองค์ใหม่เพื่อพระราชทานเป็นที่ประทับของสมเด็จพระบรมโอรสาธิราส สยามมกุฏราชกุมาร พระองค์ได้นำชื่อ "พระที่นั่งภานุมาศจำรูญ" มาตั้งเป็นชื่อพระที่นั่งองค์นี้ ซึ่งภายหลังพระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เปลี่ยนนามพระที่นั่งใหม่เป็น '''พระที่นั่งบรมพิมาน''' ดังเช่นปัจจุบัน

พระที่นั่งมูลมณเฑียร
พระที่นั่งมูลมณเฑียร เป็นพระตำหนักเดิมของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวที่เคยประทับเมื่อยังทรงพระเยาว์ พระองค์โปรดให้รื้อพระที่นั่งองค์นี้มาสร้างขึ้นใหม่ภายในหมู่พระอภิเนาว์นิเวศน์ โดยเปลี่ยนจากตำหนักไม้มาเป็นพระที่นั่งตึก ซึ่งตั้งอยู่ระหว่างพระที่นั่งภาณุมาศจำรูญกับพระพุทธนิเวศน์

ต่อมาในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดให้รื้อพระที่นั่ง แล้วนำมาปลูกไว้ที่วัดเขมาภิรตาราม ซึ่งในปัจจุบัน พระที่นั่งองค์นี้ใช้เป็นห้องสมุดของโรงเรียนวัดเขมาภิรตาราม

หอเสถียรธรรมปริตร
หอเสถียรธรรมปริตร ตั้งอยู่ริมกำแพงพระอภิเนาว์นิเวศน์ ณ มุมตะวันออกเฉียงเหนือของพระที่นั่งอนันตสมาคม สร้างขึ้นตามธรรมเนียมในการสร้างพระราชมณเฑียร เพื่อใช้เป็นสถานที่ให้พระสงฆ์รามัญทำพิธีสวดพุทธมนต์พระปริตรคาถา เพื่อทำน้ำพระพุทธมนต์สำหรับถวายสรงและประพรมโดยรอบพระราชมณเฑียร

หอราชฤทธิ์รุ่งโรจน์ หอราชฤทธิ์รุ่งโรจน์ ตั้งอยู่ต่อจากหอเสถียรธรรมปริตรทางด้านตะวันตก สร้างขึ้นเพื่อใช้เป็นหอเก็บเครื่องพิชัยสงคราม

หอโภชนลีลาศ
หอโภชนลีลาศ ตั้งอยู่บริเวณมุมตะวันออกเฉียงใต้ของพระที่นั่งอนันตสมาคม ใช้เป็นสถานที่จัดเลี้ยงพระราชทาน โดยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงได้รับแนวคิดมาจากพระนารายณ์ราชนิเวศน์ จังหวัดลพบุรี ที่มีสถานที่จัดเลี้ยงต้อนรับแขกเมืองเช่นกัน

พระที่นั่งประพาสพิพิธภัณฑ์
พระที่นั่งประพาสพิพิธภัณฑ์ ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของพระที่นั่งอนันตสมาคม ใกล้ ๆ กับหอโภชนลีลาศ โดยมีสวนคั่นระหว่างกลาง เป็นพระที่นั่งสำหรับเก็บเครื่องราชบรรณาการจากประเทศต่าง ๆ ที่นำมาทูลเกล้าฯ ถวาย ซึ่งอาจจะถือได้ว่าเป็นพิพิธภัณฑ์แห่งแรกของประเทศ ต่อมา ในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระที่นั่งองค์นี้อยู่ในสภาพชำรุดมาก จึงโปรดฯ ให้รื้อลง และได้สร้างพระที่นั่งองค์ใหม่ขึ้นในตำแหน่งเดิม เมื่อปี พ.ศ. 2421พร้อมทั้งพระราชทานนามพระที่นั่งว่า "'''พระที่นั่งศิวาลัยมหาปราสาท'''"

เหตุการณ์สำคัญ
(อยู่ในระหว่างจัดทำ)

หนังสืออ้างอิง
* แน่งน้อย ศักดิ์ศรี,หม่อมราชวงศ์, พระอภิเนาว์นิเวศน์ พระราชนิเวศน์ในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว, สำนักพิมพ์มติชน, 2549 ISBN 974-323-641-4
* แน่งน้อย ศักดิ์ศรี,หม่อมราชวงศ์, พระราชวังและวังในกรุงเทพฯ (พ.ศ. 2325-2525), โรงพิมพ์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 2525



Create Date : 22 กรกฎาคม 2550
Last Update : 13 กรกฎาคม 2551 13:41:00 น.
Counter : 3481 Pageviews.

7 comments
  


ขอบคุณที่นำมาลงไว้ค่ะ

ซื้อหนังสือเล่มนี้มาอ่านหลายปีแล้วค่ะ

โดย: ป้าแอ๊ด (addsiripun ) วันที่: 22 กรกฎาคม 2550 เวลา:16:12:34 น.
  
ขอบคุณสาระความรู้ดีๆที่แบ่งปันค่ะ

แอบสงกะสัยว่า คุณจขบ นี่เรียนอยู่ภาคประวัติศาสตร์อักษรฯรึเปล่าคะเนี่ย .. เพื่อนข้าพี่เจ้าก้เรียนอยู่ล่ะ
โดย: กรุ่นกลิ่นแก้ว(ไม่ได้ล๊อกอินค่า) IP: 58.9.246.98 วันที่: 23 กรกฎาคม 2550 เวลา:18:56:23 น.
  
เปล่าน้า เรียนสายวิทยาศาสตร์อะครับผม ^_
^
โดย: Antares Kung วันที่: 25 กรกฎาคม 2550 เวลา:1:20:30 น.
  
ตอนนีอยู่ ม.2 อีกหลายปีถึงจบ แต่อยากรู้ว่าต้องสอบเข้าไหม เพราะเป็นความหวังสูงสุด ในการใช้ชีวิตศึกษาระดับมหาวิทยาลัย
โดย: แนน IP: 58.10.171.207 วันที่: 23 สิงหาคม 2550 เวลา:13:58:44 น.
  
จริงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงง
โดย: แนน IP: 58.10.171.207 วันที่: 23 สิงหาคม 2550 เวลา:14:00:31 น.
  
พี่มีรูปพระที่นั่งมูลมณเฑียรบ้างหรือเปล่ากำลังทำย้อนรอยพระที่นั่งอยู่นะค่ะ(ถ้ามีช่วยลงไว้ด้วยนะคะขอบคุณค่ะ
โดย: ไวท์ IP: 124.121.24.28 วันที่: 7 ธันวาคม 2550 เวลา:20:09:00 น.
  
โดย: แนท IP: 117.47.119.83 วันที่: 27 มกราคม 2551 เวลา:15:06:41 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

อยากขอบใจสักครั้งหนึ่ง
Location :
กรุงเทพ  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]