เด็กผู้หญิงเกิดมาเพื่อเป็นเจ้าหญิงของใครบางคน^^
<<
กรกฏาคม 2556
 
 123456
78910111213
14151617181920
21222324252627
28293031 
 
23 กรกฏาคม 2556
 
 

ตามรอยเท้าพ่อ@Cambridge

ในที่สุดก็ได้ฤกษ์พาทัวร์เมืองเคมบริดจ์ อีกหนึ่งเมืองแห่งการศึกษาของเกาะอังกฤษและของโลก
คุณพ่อเคยมาเรียนอยู่ที่เมืองนี้ เลยเป็นแรงบันดาลใจระหว่างที่มาเรียนต่อป. โทที่อังกฤษว่ายังไงก็ต้องมาเคมบริดจ์ เมืองที่คุณพ่อเคยอยู่ให้ได้
สุดท้าย...ก็มาตั้ง 3 รอบ =_="
รอบที่1 มาเที่ยวกับเพื่อน
รอบที่ 2 มางานรับปริญญาของเพื่อน
รอบที่ 3 มาเที่ยวกับเพื่อน
วันนี้เลยขอรวมมิตรรูปทั้ง 3 ครั้งและพาเที่ยวในจุดที่เราเคยไปกัน
เริ่มแรกก็นั่งรถไฟไปสถานี Cambridge ซึ่งแต่ละรอบอาจจะใช้เวลาไม่เท่ากัน
ถ้าหากสายตรงโดยไม่จอดที่ไหนเลยก็ใช้เวลาประมาณ 45 นาทีจากสถานี London King's Cross
แต่ถ้าจอดหลายสถานีหน่อยก็ใช้เวลาถึงชั่วโมงกว่าๆ เลยก็มี
เรามาถึงเคมบริดจ์ในที่สุด เมื่อออกมายืนอยู่ที่หน้าสถานีแล้ว เราสามารถที่จะเลือกได้ว่าจะเดินทางต่อยังไง
มีทั้งแท๊กซี่ รถบัส หรือจะ เดินเท้าก็ได้
แต่ว่าครั้งแรกที่มาเราก็ขึ้นรถ Sightseeing ที่พาชมรอบเมืองกันเลย ด้วยราคานักเรียนมันก็ถูกกว่าราคาปกติค่ะ
รถนี้เราสามารถ Hop-on & Hop-off ได้ตลอดทั้งวัน เลือกลงตามจุดที่เราต้องการ และเราก็มีแผนที่ในมือด้วย
บนรถเขาก็จะแจกหูฟังเพื่อให้ฟังเทปไปตลอดทาง เทปนี้จะอธิบายเกี่ยวกับเมือง สถานที่ต่างๆและตึกต่างๆ
รวมไปถึงแต่ละ College ของ University of Cambridge
ในรูปจะเป็น Science Musuem ของเมือง แล้วก็ตึกต่างๆ
ตึกต่างๆ ของเมืองนี้จะดูคล้าย Oxford ตรงที่ตึกจะสร้างจากหินที่ออกเป็นสีเหลือง (ไม่รู้เรียกหินอะไร)
เคมบริดจ์เป็นเมืองที่ดูแล้วรู้สึกคลาสสิกอย่างบอกไม่ถูก ที่เมืองนี้จะมีคนปั่นจักรยานเยอะแยะ และรถบัสจะไม่ค่อยผ่านเข้าไปตาม College ต่างๆ เป็นเส้นถนนเล็กๆ ที่รถบัสเข้าไม่ได้
ดูแล้วเคมบริดจ์ก็เป็นเมืองเล็กๆ ที่น่ารักอีกเมืองหนึ่ง ที่ค่อนข้างจะไม่วุ่นวาย สวยและสะอาด
และอีกบรรยากาศหนึ่งที่มีโอกาสได้มาร่วม คือ งานรับปริญญาของมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์
ซึ่งเพื่อนที่เรียนกฎหมายจบใบแรกพอดี
ตึกที่เขาใช้รับปริญญาเป็นตึก Senate's House ตรงข้ามกับร้านขายหนังสือของมหาวิทยาลัยและอยู่ข้างๆ กับ
King's College (ถ้าเดินเลียบร้านหนังสือเคมบริดจ์ไปจะเป็นโซน Market square
และถัดไปก็จะเป็นโซนร้านแบรนด์เนม และร้านอาหาร ร้านขนมก็มี)
เราได้แต่รอด้านนอกเพราะว่าด้านในนั้นจะอนุญาตให้แค่นักศึกษาที่จะรับปริญญาและครอบครัวที่มีบัตรเชิญเท่า
นั้น
เมื่อเสร็จพิธีแล้ว เขาก็ออกมาถ่ายรูป เอาใบปริญญานั้นใส่กรอบอย่างหรูหราที่สนามด้านหน้า ซึ่งเราก็ยังเข้าไม่ได้อีก ต้องรอให้เพื่อนมารับเข้าไป (ที่นี่อนุญาตให้นักศึกษาของเขาและครอบครัวของนักศึกษาเข้าไป ถ้าคนนอกก็ต้องมีเพื่อนมารับเข้าไปล่ะ)
ชุดรับปริญญาของป.ตรีมีปุยๆ สีขาว ด้วย โว้ววว...Undecided
อีก 1 สถานที่ที่ก้อยต้องการจะเข้าให้ได้ (พลาดไปแล้ว 2 ครั้ง) คือ King's College ค่ะ
ช่วงที่มีสอบกันนั้น college ทั้งหมดจะถูกปิด ไม่ให้เข้าชม เพราะว่า เขาจะไม่ให้ใครเข้าไปรบกวนเด็ดขาดค่ะ
(ยกเว้นถ้ามีเพื่อนเรียนอยู่ที่นี่...ก็อาจจะเนียนๆ เข้าไปก็ได้นะ แต่ไม่เคยลอง)
การเข้าชมนั้น เราไม่สามารถเดินดุ่มๆ เข้าไปได้นะคะ ทางเข้าจริงๆ ต้องอ้อมเข้าไปทางเดินด้านหลังตึกที่เขาใช้รับปริญญานั่นแหละ แล้วก็ต้องซื้อตั๋วก่อนด้วยที่ King's college shop ที่อยู่ฝั่งตรงข้าม คนละ 7.5 ปอนด์
(ราคา Adult เพราะตอนไปเราพ้นสภาพการเป็นนักศึกษาไปแย้ว T^T)
แต่ว่าพอบอกคนขายว่า adult ก็โดนมองหน้า แล้วก็ถูกถามว่า โทษนะคะ อายุเท่าไหร่ (เค้าเข้าใจว่าเราเป็นเด็กอายุ 15 อิอิอิ)
*** หุหุหุ หน้าเด็ก ^^
เราเข้าด้านใน King's College ก็จะเป็นส่วนของ Chapel ก่อนนั่นเอง
ส่วนของ chapel จะเป็นส่วนหลักของ King's College มีสถาปัตยกรรมแบบช่วงปลายของยุคโกธิค
ขณะที่ด้านในก็เป็นสเตนกลาสสวยงามมาก (ในรูปอาจจะถ่ายมาไม่สวยเท่าของจริง แหะๆ)
มีเปิดเพลงคอรัสกึกก้องไปทั่ว chapel ให้ความรู้สึกสงบที่ใจมากๆ เลยค่ะ เคยเข้า chapel หลายที่นะคะ
แต่ที่นี่เป็นที่ที่ก้อยชอบมากที่สุด ไม่รู้เป็นเพราะว่าที่อื่นๆ นั้นนักท่องเที่ยวเยอะด้วยหรือเปล่าก็ไม่รู้
เอาล่ะค่ะ เข้าเรื่องกันดีกว่า :)
King's College chapel นั้น สร้างขึ้นในสมัยพระเจ้าเฮนรีที่ 6 และใช้เวลาสร้างนานมาก
ตามประวัติบอกว่าเป็น 100 ปีเลยล่ะค่ะ
ตามผนัง chapel จะมีสลักเป็นรูปต่างๆ ซึ่งล้วนแล้วแต่มีความหมายในตัวของมันเองค่ะ ไม่ว่าจะเป็น มังกร (Red dragon) สุนัขเกรย์ฮาวน์ (Greyhound) ดอกกุหลาบ (Red rose & Red and white rose) เสือดาวหรือสิงโต (Leopard) ซุ้มประตูเหล็ก (Portcullis) และตราดอกไอริส (Fleur De Lys)
แล้วก็จุดประสงค์อีกอย่างที่มาที่นี่ คือ ว่าจะมาเซ็น GuestBook ซะหน่อย
เพราะคุณพ่อเคยเซ็นเอาไว้เมื่อ 1986 (หนูยังไม่เกิด~)
แต่ปรากฏเข้าไปก็ไม่เห็นมี (สงสัยเค้าไม่เอามาวางไว้ให้เซ็นซะแล้ว)
ดูด้านในเสร็จแล้วก็เลยเดินออกมาข้างนอกดีกว่า
และอีก 1 กิจกรรมที่เรียกว่าเป็นสิ่งที่มีชื่อเสียงประจำเมือง และนักท่องเที่ยวจะต้องมาคือ
Punting
หรือ
การถ่อเรือ
ที่นี่จะมีทัวร์ล่องเรือให้เลือกหลายเจ้า แต่ว่าเราใช้บริการของบ. Scudamore ซึ่งน่าจะเป็นทัวร์ที่เป็นที่รู้จักในแถบนี้เหมือนกัน
มีให้เลือกหลายแพ็คเกจ Public Tour เรือจุ 12 คน หรือจะถ่อเรือเอง (อันนี้เรือจะเล็กหน่อย)
หรือจะจองเป็นเฉพาะของตัวเอง
สามารถจองตั๋วทางเว็บไซต์ได้ และได้ราคาถูกกว่าไปซื้อข้างหน้า
อันนี้ที่เลือกจะเป็น College Back Tour ดู College ของมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ไปตาม River Cam
Punter หรือคนถ่อเรือ อาจจะเป็นนักเรียน หรือไม่ก็แล้วแต่ดวงค่ะ อิอิอิ
บางที่ก็เป็นศิษย์เก่าจาก Oxford มาถ่อก็มี :)
เราผ่านจะผ่าน Mathematics bridge โดย เซอร์ ไอแซค นิวตัน
(คุณพ่อเคยเล่าว่า จริงๆ แล้วมันเป็นสะพานที่สร้างโดยไม่ใช้น็อตซักตัว
แต่วันหนึ่งมีนักศึกษานึกพิเรนทร์ไปถอดเล่น คราวนี้เลยต่อกลับไม่ได้ ต้องใช้น็อตกู้สะพานคืนมา เหอๆๆ)
แล้วเราก็พายผ่านด้านหลัง King's College & King's College Chapel
ผ่านทั้งห้องสมุด แล้วก็ Bridge of Sigh หรือสะพานถอนหายใจ
ที่จำลองมาจากเวนิซ เขาเล่าว่าจริงๆ แล้ว original ที่อิตาลีเป็นสะพานที่เป็นสะพานข้ามระหว่างคุกกับสถานที่ตัดสินโทษ นักโทษที่เดินข้ามสะพานนี้ก็มักจะถอนหายใจก่อนที่จะข้ามไปอีกฝั่งหนึ่ง
* คนที่อ่านการ์ตูนเรื่อง Aria ก็น่าจะนึกออกเช่นเดียวกันนะคะ :)
ทัวร์นี้จะใช้เวลาไปกลับประมาณ 45 นาทีค่ะ แต่ว่าการได้คนถ่อดีนี่ก็เป็นโชคเหมือนกัน
บางคนก็ไม่ค่อยจะ entertain ลูกค้านัก เรือจะเงียบๆ แต่ถ้า entertain คุยสนุก เรือนั้นก็จะครึกครื้น
ก้อยโดนมา 2 แบบแล้วค่ะ :)
และมีร้านอาหารท้องถิ่นที่เพื่อนพาไปกิน และแนะนำว่าเป็นร้านเก่าแก่และเป็นร้านต้นตำรับของ Scone ที่ Cambridge ค่ะ ร้านนี้ชื่อว่า 'The Orchard'
จากตัวเมืองเราก็เกาะรถแท๊กซี่กันไปที่จุดหมาย เพราะร้านนี้ตั้งห่างจากตัวเมืองพอสมควร
ถามคนแถวนั้นก็บอกว่าเดินก็ได้ ก็ซักประมาณ 40-45 นาที (เอิ่ม -_-" แล้วใครจะไปเดินล่ะ)
นั่งรถก็ประมาณ 15-20 นาที แต่ทางไม่ค่อยจะเหมาะกับการเดินเท่าไหร่
เพราะว่าไม่มีทางเท้าสำหรับคนเดิน คงจะอันตรายเรื่องรถราวิ่งเฉี่ยวไปมา
แนะนำรถแท๊กซี่ ถึงที่แน่นอน
เมื่อมาถึงก็จะเห็นเป็นบ้านชั้นเดียวที่มีบรรยากาศร่มรื่นล้อมรอบตัวร้าน
ที่นี่มีให้เลือกกินทั้งในร้านและนอกร้าน (ชมวิวไปด้วย)
แต่พวกเราเลือกที่จะกินกันในร้าน (มันเย็น T_T)
ที่นี่มีสไตล์การจัดการที่ดูโล่งตา ไม่ดูเกะกะแต่อย่างใด ที่นั่งชั้นสองค่อนข้างว่าง และสถานที่ก็อำนวยความสะดวกให้กับผู้พิการด้วยล่ะค่ะ d(^_^)b
และมาดูเมนูกัน
ที่นี่มีเมนูแบบอังกฤษ ไม่ว่าจะเป็น High Tea (Afternoon Tea) กินกัน 3 ชั้น
เป็นจานๆ มีน้ำ มีขนมเค้กให้เลือกสรรตามใจชอบ
แต่มาถึงนี่ก็ต้องเลือก Scone ค่ะ หยิบ Scone ใส่จานมาแล้วก็เลือก แยม
มีทั้งแยมสตรอเบอร์รี่ แยมส้ม แยมแบล็กเบอร์รี่
และก็ต้องเลือก Clotted cream
เมื่อเลือกแล้วก็มาหาอาหารจานหลัก ก้อยเลือก Quich (อ่านว่า คีช)
เป็นอาหารคล้ายๆ พาย แต่ที่นี่จะทำเป็นพายกรอบบางๆ ซึ่งข้างในมีไส้อยู่ ในรูปจะเป็นไส้เห็ด
รองเอาไว้ด้วยผักสลัด และมันฝรั่งหั่นชิ้นเล็กๆ คลุกน้ำสลัด
คีชจะต้องกินร้อนๆ ถึงจะอร่อย ไม่อย่างนั้นจะเลี่ยน (และอิ่ม)
แล้วเมนูคีชนี้ แต่ละร้านจะทำไม่เหมือนกัน บางร้านทำเป็นแป้งพายหนา แต่ชิ้นไม่ใหญ่มาก
หรือบางทีก็เห็นทำเป็นอารมณ์คล้ายๆ ไข่เจียวหนาๆ
โดยส่วนตัวแล้วชอบ คีช ร้านนี้ เป็นเหมือนกับพายกรอบ ชิ้นไม่ใหญ่ ไม่เล็กค่ะ
แต่ Scone เมื่อเทียบกับร้านอื่นๆ
ก้อยจะรู้สึกชอบร้านที่ Windermere (Lake district) มากกว่า (ร้านคาเฟ่ใน The world of Beartrix Potter คนแต่ง Peter Rabbit : กระต่ายน้อยสีน้ำตาลที่สวมเสื้อคลุมสีฟ้า ;; คงจะได้มารีวิวกันในอนาคตสำหรับที่นี่ :))
ที่ Orchard จะมีเนื้อแป้งอันนี้จะร่วนๆ แข็งๆ แต่ร้านที่ Windermere จะเนื้อแป้งที่นุ่มกว่า




 

Create Date : 23 กรกฎาคม 2556
0 comments
Last Update : 23 กรกฎาคม 2556 9:11:49 น.
Counter : 1083 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

 

Amitnas
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Amitnas อ่านว่า อะ-มิท-นาส
มาจากไหนอ่ะเหรอ...คิดจากชื่อจริงแล้วก็นามสกุลเนี่ยล่ะค่ะ ท่าทางอ่านยากดีมั้ยล่ะคะ ^^"

เรียก "ก้อย" ก็ได้ค่ะ ^^1
[Add Amitnas's blog to your web]

 
pantip.com pantipmarket.com pantown.com
pantip.com pantipmarket.com pantown.com