เมื่อไบอัสตรง led จะเปล่งแสง (ถ้ามันไม่พัง) มันเป็นไดโอด ดังนั้นกระแสจึงไหลผ่านได้ทางเดียวในทิศจาก A ไปยัง K วิธีสังเกตง่าย ๆ คือให้ดูรอยบากตัด (flat) ซึ่งจะตัดทางขา K (นิยมใช้เป็นขาสั้น ดู 1.ค) เราสามารถตรวจสอบ led ได้โดยต่อวงจรดังรูปที่ 2
Fig. 2
Fig. ตัวอย่างการลงอุปกรณ์บน proto-board
led ธรรมดาโดยทั่วไปนั้น มีแรงดันตกคร่อมประมาณ 2 V และรองรับกระแสไบอัสตรงได้ประมาณ 20 mA จึงต้องต่อตัวต้านทานดังรูปเพื่อจำกัดกระแส สามารถคำนวณได้ง่าย ๆ ตามกฏของโอห์ม จากตัวอย่าง Fig. 2
R = (Vdc-VF)/IF = (9-2)/0.02 = 350 อาจเลือกใช้ 390
หลักการทำงานของ led แสดงดังรูปที่ 3 เมื่อไบอัสตรง อิเล็กตรอนข้ามจากแดน n สู่แดน p และจับกับโฮล (recombination process) ปลดปล่อยโฟตอนออกมามีความถี่ในย่าน IR หรือแสงที่ตามองเห็น กระบวนการดังกล่าว เรียก electroluminescence เช่นแสงสีแดง ความยาวคลื่น 700 nm เกิดจากโฟตอนซึ่งถูกปลดปล่อยออกมาด้วยพลังงาน 1.77 eV, คำนวณจากสมการ E = hf เมื่อ h คือ ค่าคงที่ของ Planck เท่ากับ 6.626 x 10-34 J-s, f คือ ความถี่ หน่วย Hz หาได้จากอัตราเร็วแสง (3 x 108 m/s) หารด้วยความยาวคลื่น และ E คือ พลังงาน หน่วย J (1 eV = 1.602 x 10-19 J)
Fig. 3
led จึงสามารถเปล่งแสงได้หลายสี ขึ้นอยู่กับการออกแบบให้พลังงานที่ประจุพาหะปล่อยออกมาเป็นแสงย่านความถี่ใด ทั้งหมดนี้ขึ้นอยู่กับคุณสมบัติของสารกึ่งตัวนำ เช่น AlGaAs สำหรับสีแดง และ IR, AlGaP สำหรับสีเขียว, GaP สำหรับสีแดง เหลือง และเขียว, C สำหรับ UV
เราสามารถต่อตัว led ได้ทั้งแบบอนุกรม ขนาน และผสม
มีข้อควรระวังในการต่อขนานนิดเดียว ถ้าเราต่อ led ขนาน ควรใช้ตัวต้านทานแยกกัน ไม่ควรเป็นดังรูปที่ 4 เพราะถ้าหาก led ทั้ง 2 ตัวไม่ identical กระแสจะไหลผ่าน led ตัวหนึ่งมากจนมันพัง จากนั้นจึงทำลาย led อีกตัว การต่อแบบนี้นอกจากจะไม่มีประโยชน์แล้ว ราคาตัวต้านทานก็ถูกแสนถูก คำนวณแยก led 1 ดวงต่อ R 1 ตัวเป็นดีที่สุด