|
....จะได้สบายยยยย
ตอนเราอยู่ประถม เขาก็บอกเราว่า... "เรียนเก่งๆ เข้าโรงเรียนมัธยมดีๆ จะได้สบายย.."
ตอนเราอยู่มัธยม เขาก็บอกเราว่า... "ขยันอ่านหนังสือหน่อย เข้ามหา'ลัย ดีๆ ได้ จะได้สบายย.."
ตอนเราเข้ามหา'ลัย ดีๆ ได้ เขาก็บอกเราว่า... "พยามอีกนิด เอา GPA ดีๆ มา เรียนจบ หางานดีๆ ทำ จะได้สบายยย...."
ตอนนี้เรียนจบนานแล้ว
แต่ดู... ตีห้าเข้าไปแล้ว กรูยังไม่ได้นอนนนเลยยยยยย
โถ่ กรู ชะตาชีวิตอนาถแท้ๆ....
( ปล. เขาคนนั้น เดินมาข้างๆ บอกว่า "ทำงานเยอะๆ เข้า ตอนแก่ๆ จะได้สบายยย..."
จะเชื่อมันดีไหมเนี่ย.. )
Create Date : 30 มกราคม 2549 |
| |
|
Last Update : 30 มกราคม 2549 5:14:11 น. |
| |
Counter : 459 Pageviews. |
| |
 |
|
|
Deconstruction Darwin
เตตระพอด ------------------------------------------------------------------------
โลกราวๆ 350 ล้านปีก่อนปลายยุคพาลีโอโซอิค มีสภาพแวดล้อมส่วนใหญ่เป็นมหาสมุทร เกือบ 95% ของพื้นที่ทั้งหมดเป็นน้ำ สิ่งมีชีวิตทั้งหมดอาศัยในทะเล ใจกลางมหาสมุทรตรงบริเวณที่เป็นมหาสมุตรแอตแลนติกในปัจจุบันแผ่นดินยกตัวขึ้นสูงขึ้นกินพื้นที่หลายล้านตารางกิโลเมตร เมื่อไม่กี่ล้านปีก่อนที่แห่งนี้ยังเป็นเพียงเกาะขนาดเล็กเท่านั้น
หากมองลงไปยังป่าชายเลนแถวสันทวีป จะเห็นขบวนอพยพของสิ่งมีชีวิตรูปร่างประหลาดคลานข้ามทุ่งกว้างจำนวนหลายแสนตัว สิ่งมีชีวิตกลุ่มนี้มีเป็นสัตว์น้ำ มีรูปร่างคล้ายปลาแต่ทว่ากลับมีระยางยืนออกมาคล้ายขาสี่ข้าง ช่วยให้มันสามารถตะกายบนบกไปข้างหน้าได้อย่างรวดเร็ว มันมีชื่อว่า "เตตระพอด"
ฤดูกาลและสภาพภูมิประเทศอันแปลกประหลาดของโลกยุคโบราณ บริเวณใจกลางทวีปจะมีฤดูแล้งที่ยาวนานถึง 6 เดือน การขาดฝนอันยาวนานทำให้หนองน้ำส่วนใหญ่เหือดแห้งจนหมด สภาพการณ์เช่นนี้บังคับให้พวก เตตระพอด ต้องอพยพจากแหล่งน้ำแห่งเก่าที่แห้งเหือดไปยังแหล่งน้ำแห่งใหม่ไกลออกไปทางแนวขอบทวีป จากแหล่งน้ำหนึ่งไปยังอีกแหล่งน้ำหนึ่ง และเมื่อฤดูหนาวมาถึงบริเวณขอบทวีปก็จะหนาวเกินกว่าที่พวกมันจะอยู่อาศัยได้ เตตระพอดจึงจำใจต้องเดินทางกลับมายังใจบริเวณใจกลางทวีปที่อบอุ่นกว่า วัฏจักรชีวิตของพวกมันดำเนินผ่านไปอย่างนี้ปีแล้วปีเล่า
ขบวนของเตตระพอดจำนวนหลายแสนตัว เคลื่อนที่ยาวหลายกิโลเมตร ยังพวกมันไม่สามารถหายใจบนบกได้แต่สามารถกลั้นหายใจได้นานเกือบครึ่งชั่วโมง ดังนั้นพวกมันจึงตะกายสุดชีวิต ทั้งเบียด เหยียบกัน ใช้อ๊อกซิเจนที่เก็บไว้ทุกๆ โมเลกุล เพื่อไปยังหนองน้ำแห่งใหม่ให้เร็วที่สุด
เตตระพอดกลุ่มที่แข็งแรงที่สุด กลั้นหายใจได้นานที่สุด เคลื่อนที่เร็วที่สุด จะรอดชีวิตไปได้เมื่อหมดฤดูกาล เตตระพอดที่รอดชีวิตมานั้นเหลือจำนวนเพียงไม่กี่พันตัว พวกมันจะเป็นพ่อพันธุ์แม่พันธุ์ ถ่ายทอดยีนชุดที่ดีที่สุดให้แก่ลูกหลานของมันต่อไป ทั้งหมดนี้เป็นไปตามกฏการคัดสรรตามธรรมชาติของ ชาร์ลส ดาวิน
ชาร์ลส ดาร์วิน ------------------------------------------------------------------------
ดาร์วินในวัย 50 ปีกำลังง่วนอยู่ในห้องทำงานของเขา กองเอกสารหนาเป็นตั้ง จำแนกตัวอย่างของซากพืช และสัตว์จำนวนมากมาย กลิ่นยาดองซากสัตว์คละคลุ้งไปทั่วห้อง แต่ทว่าเขาไม่ได้สนใจ เขาทำงานวิจัยลับๆ นี้มานานกว่า 14 ปีแล้ว หลังจากออกเดินทางสำรวจกับเรือบีเกิล เขากลับมาจากเกาะกาลาปากอสพร้อมกับตัวอย่างของซากนกกระจอกและซากสัตว์อื่นๆ อีกมากมาย วันนี้เขากำลังเตรียมตัวแถลงการณ์ผลงานของเขาต่อที่ประชุมศาสนจักร
ในหนังสือชื่อ "The Origin of Species" นำเสนอแนวความคิดเรื่องการวิวัฒนาการตามหลักการคัดสรรตามธรรมชาติ กล่าวคือสิ่งมีชีวิตที่สามารถปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมได้ดีกว่า จะสามารถเอาตัวรอดได้ดีกว่า เพื่อถ่ายทอดยีนของพวกมันไปสู่ลูกสู่หลานได้ ยกตัวอย่างเพื่อให้เห็นภาพได้ง่ายๆ คือ ตัวยีราฟ ในสมัยโบราณเป็นสัตว์คอสั้น ยีราฟพยามจะยืดคอของมันเพื่อกินใบไม้ที่อยู่สูงๆ ตัวที่คอยาวกว่าจะกินใบไม้ได้เยอะกว่า จึงแข็งแรงกว่าและมีโอกาสสืบพันธุ์มากกว่า ลักษณะเด่นที่สำคัญในการอยู่รอดนี้ถูกถ่ายทอดผ่านยีนของมันไปจากรุ่นสู่รุ่น ทำให้ประชากรยีราฟในรุ่นถัดมามีคอที่ยาวขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งเป็นยีราฟในปัจจุบันซึ่งมีลักษณะที่แตกต่างจากบรรพบุรุษของมันโดยสิ้นเชิง (อันที่จริงผลงานเรื่องยีราฟนี้เป็นผลงานของ ลาร์มาร์คซ หาใช่ผลงานของดาร์วินอย่างที่หลายเข้าใจกันผิด) ดาร์วินค้นพบความจริงข้อนี้จากการสังเกตุจงอยปากของนกกระจอกที่มีลักษณะแตกต่างกันไปตามแหล่งอาศัยบนเกาะ
ทฤษฏีวิวัฒนาการนั้นชี้ให้เห็นภาพอย่างเรียบง่าย ของการเปลี่ยนแปลงลักษณะของโครงสร้างทางกายภาพของสิ่งมีชีวิต จากสิ่งมีชีวิตหนึ่งไปยังสิ่งมีชีวิตอีกรูปแบบหนึ่ง แต่ก็อธิบายจำเพาะสิ่งมีชีวิตที่มีลักษณะทางโครงสร้างละม้ายกันเท่านั้น การที่ลิงและมนุษย์มีบรรพบุรุษร่วมกัน เราะจะเห็นลักษณะร่วมได้อย่างชัดเจน เนื่องเพราะลักษณะโครงสร้างทางกายภาพส่วนใหญ่คล้ายกันเป็นอย่างยิ่ง มีเท้าสองข้าง นิ้วข้างละห้านิ้ว ตำแหน่งของอวัยวะต่างๆ หรือ ตามหลักการวิวัฒนาการชี้ให้เห็นว่าอวัยวะไหนมีการใช้งานมากก็จะมีความใหญ่โต แข็งแรงมากขึ้น อวัยวะไหนที่ไม่มีการใช้งานก็จะหดเล็กลงหรือหดหายไปในที่สุด ดังเช่นปีกของนกขนาดใหญ่อย่างนกกระจอกเทศ เป็นต้น กระทั่งให้คำอธิบายต่อการวิวัฒนาการของวาฬการเป็นสัตว์บกสู่การเป็นสัตว์น้ำ การค้นพบซากดึกดำบรรพ์ของมันชี้เห็นว่า ขาหลังของสัตว์บกเปลี่ยนสภาพกลายเป็นครีบของสัตว์น้ำได้อย่างไร แต่การเปลี่ยนจากสัตว์บกเป็นสัตว์น้ำนั้น กลับกลายเป็นคนละเรื่องกับการเปลี่ยนของสัตว์น้ำให้กลายเป็นสัตว์บก ดังเช่นกรณีปลามีปอด
ปลามีปอด ------------------------------------------------------------------------ ในกรณีตัวอย่างดังกล่าวที่ยกมานั้น เป็นการเทียบให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงของลักษณะทางกายภาพของสิ่งมีชีวิตจากอวัยวะที่มีอยู่แล้ว เช่น ขากลายเป็นปีก คอยาวขึ้น ตัวสั้นลง แต่วาฬไม่ได้เปลี่ยนระบบการหายใจของมัน มันคงอาศัยการหายใจด้วยปอด ดังเช่นบรรพบุรุษของมัน การเกิดปอดของปลานั้นเป็นการเปลี่ยนแปลงมากมายกว่าที่เกิดขึ้นในวาฬมาก
หากอธิบายกันตรงๆ ตามทฤษฏีวิวัฒนาการ การเกิดอวัยวะปอดในปลานั้น สืบเนื่องมาการวิวัฒนาการให้สามารถดำรงชีวิตอยู่บนบกได้นานๆ ของปลา อาจจะเกิดจากสาเหตุที่สภาพของโลกเปลี่ยนไป คำตอบแบบกำปั้นทุบดินเช่นนี้ให้ความกระจ่างกับเรามากพอๆ กับพูดว่ามนุษย์สืบสายพันธุ์มาจากอาดัมกับอีฟนั่นเอง
ลองจินตนาการกันดูถึงสภาพของเตตระพอดกลุ่มแรกที่ถือว่าเป็น missing link ระหว่างสัตว์บกกับสัตว์น้ำ ระหว่างที่พวกมันกระเสือกกระสนเจียนเป็นเจียนตายข้ามไปหาแหล่งน้ำแหล่งใหม่นั้น ภายในร่างกายของพวกมันก็มีก้อนเนื้อเล็กๆ ขนาดไม่กี่เซ็นติเมตร งอกขึ้นมาในช่องอก ซึ่งหาได้เป็นประโยชน์อันใดกับพวกมันไม่ พวกมันยังคงไม่สามารถหายใจผ่านก้อนเนื้อขนาดเล็กนี้ได้ จนกระทั่งผ่านไปอีกหลายร้อยรุ่น ก้อนเนื้อก้อนเดิมมีขนาดใหญ่ขึ้นมาเล็กน้อย แต่มันสามารถดึงเอาอ๊อกซิเจนในอากาศมาใช้งานได้แล้ว ถึงแม้ว่าจะไม่มากก็ตาม.....
ข้อขัดแย้งคือก้อนเนื้อที่ไร้ประโยชน์นั้นจะสามารถพัฒนาขึ้นมาเป็นอวัยวะที่สลับซับซ้อนได้อย่างไร หากมันสามารถใช้งานได้ไม่ต่างจากก้อนหูด ก้อนสิว และตามระบบการคัดสรรตามธรรมชาติแล้วอะไรที่ไม่มีประโยชน์ก็มีแนวโน้มว่าจะหดหายหรือสูญหายไป แต่ในทางตรงกันข้ามอวัยวะที่ว่ากลับมีขยายขนาดของมันมากขึ้น มากขึ้นในแต่ละรุ่นที่ผ่านไป จนกระทั่งวันหนึ่งอวัยวะที่ว่านี้กลายเป็นปอดในที่สุด
หากการวิวัฒนาการมีแนวโน้มเป็นดังย่อหน้าข้างต้น ก็เหมือนกับว่ามีใครบางคนเขียนพิมพ์เขียวสำหรับอวัยวะใหม่รอให้สัตว์เหล่านี้อยู่แล้ว โดยที่ไม่เกี่ยวข้องกับสภาพแวดล้อม และไม่สนใจความสามารถในการอยู่รอด อวัยวะที่ว่านี้รู้ตัวเองเสมอจะพัฒนาไปเป็นอะไร และใช้ทำงานอะไร และหากเป็นเช่นนั้นจริงก็เท่ากับว่าวิทยาศาสตร์ได้ยอมรับเอาแนวความคิดแบบเทวนิยม เรื่องของพระผู้สร้าง เสียแล้ว และถ้ามันไม่ได้ค่อยๆ พัฒนาทีละเล็ก ละน้อย จากรุ่น สู่รุ่น แต่หากมันงอกขึ้นมาเบียดบังอวัยวะอื่น แล้วเอาอาหารจากเลือดไปเรื่อยๆ แบ่งตัวแบ่งเซลล์พัฒนา จนมีความสลับซับซ้อนมากขึ้นๆ ลักษณะการพัฒนากรเช่นนี้ทำให้นึกถึงเซลล์อีกประเภทหนึ่งที่รู้จักกันดีนั่นคือ "มะเร็ง"
มะเร็ง ------------------------------------------------------------------------ มะเร็ง คือ กลุ่มของโรคที่เกิดขึ้นจากการแบ่งเซลล์ที่ไม่สามารถควบคุมได้ และการที่เซลล์เหล่านี้เข้าไปทำลายเนื้อเยื่ออื่น ๆ อาจโดยการที่เซลล์เจริญเติบโตเข้าไปยังเนื้อเยื่ออื่น ๆ หรือการกระจายเซลล์ไปยังที่อื่น ๆ การเจริญเติบโตที่ไม่สามารถควบคุมได้นี้ อาจเกิดจากการกลายพันธุ์ของดีเอ็นเอภายในเซลล์ ทำให้ข้อมูลทางพันธุกรรมที่ควบคุมการทำงานของเซลล์สูญเสียไป
แล้วมะเร็งมีประโยชน์อะไรกับสิ่งมีชีวิต ทำไมมันจึงยังคงมีอยู่ในสิ่งมีชีวิตเกือบทุกประเภท เกิดได้เกือบในทุกอวัยวะ หากมันเป็นลักษณะพันธุ์กรรมด้อย ทำไมมันจึงไม่ถูกกำจัดออกไประยะเวลาหลายล้านปีที่ผ่านมา เว้นแต่ว่า ยีนมะเร็งนั้นไม่ใช่ยีนด้อยนั่นเอง
ลองนึกถึงเซลล์มะเร็งในฐานะห้องทดลองในการสร้างอวัยวะใหม่ของธรรมชาติ เป็นส่วนหนึ่งของระบบการสร้างความหลากหลายทางพันธุ์กรรม ภาพของตัวเตตระพอดกระเสือกกระสนล้มตายนับหมื่นตัว บางตัวมีก้อนเนื้องอกอัปลักษณ์น่าเกลียด บางตัวเกิดมาพิกลพิการ บางตัวเกิดมาพร้อมกับระยางมากถึงหกอัน บางตัวมีสองหัว สัตว์พิการเหล่านี้ก็กระเสือกกระสนเอาตัวรอดไปในทางเดียวกันกับเตตระพอดตัวอื่น แต่น่าเสียดายความพิการส่วนใหญ่ทำให้มันล้มตายอย่างรวดเร็ว แต่บางตัวก็ไม่เป็นเช่นนั้น
เตตระพอด ------------------------------------------------------------------------ ฤดูแล้งมาเยือนฝูงเตตระพอดฝูงเดิมอีกครั้ง แต่ในครั้งนี้พวกมันกับมีท่าทางเอื่อยเฉื่อย ส่วนใหญ่ของฝูงมานอนเกยตื้นบริเวณริมหนองน้ำ อาบแดดเพื่อเพิ่มอุณหภูมิให้แก่ร่างกาย และหายใจเอาอ๊อกซิเจนผ่านปอดอันแข็งแรงทั้งคู่ของมัน เตตระพอดตัวที่ใหญ่สุดเป็นจ่าฝูง ตะกายขึ้นมาจากหนองน้ำ ส่งเสียงร้องสั้นๆ เป็นสัญญาณการอพยพฝูง มันเริ่มออกเดินนำไปเป็นตัวแรก ส่วนที่เหลือของฝูงเริ่มออกเดินตาม ภาพฝูงอพยพเป็นเส้นระนาบตามนอนตัดกับสีแดงฉานของพระอาทิตย์ยามอัสดง.
Create Date : 10 ธันวาคม 2548 |
| |
|
Last Update : 10 ธันวาคม 2548 0:42:00 น. |
| |
Counter : 569 Pageviews. |
| |
|
|
|
เรื่องจริงของเรื่องโกหก
A truth about lies เบื้องล่างของหุบเขาแห่งนี้เป็นทุ่งหญ้ากว้างใหญ่ไปจรดแนวผา มีกองหินผาที่แตกทลายลงมาตามธรรมชาติกระจายอยู่ทั่วไป จึงเป็นที่ซ่อนตัวเป็นอย่างดีของสัตว์จำพวกหนูและกระต่าย สัตว์สองจำพวกนี้เป็นสัตว์ที่มีสายตาเลวร้ายมากแต่ทว่ามีประสาทการรับกลิ่นและเสียงที่ดีเป็นพิเศษ พวกมันตอบสนองต่อเสียงผิดปรกติเล็กน้อยโดยการวิ่งไปซ่อนตัวด้วยความเร็วเท่าจรวด
กระต่ายป่าสีเทาตัวหนึ่งใช้จมูกสูดดมกลิ่นของรากไม้ตามผิวดิน ในฤดูแล้งอย่างนี้ปริมาณของอาหารลดจำนวนลงอย่างรวดเร็ว ทำมันต้องออกมาหาอาหารไกลจากรังของมันมากกว่าปกติ
สูงขึ้นไปบนท้องฟ้าสามร้อยฟุต เหยี่ยวฟอลคอน (Falcon) หนุ่มตัวหนึ่งบินร่อนอยู่กลางอากาศ มันกำลังจับตามมองกระต่ายสีเทาข้างล่าง ปีกขนาดใหญ่สองข้างที่กว้างกว่าสามฟุตกางออกเพื่อต้านกระแสลมร้อนที่ลอยขึ้นมาจากหุบเขาด้านล่าง ด้วยวิธีการนี้มันสามารถลอยอยู่อย่างนั้นได้เป็นชั่วโมงโดยไม่ต้องกระพือแม้แต่ครั้งเดียว และมันอดทนบินร่อนอยู่อย่างนี้มานานสี่ชั่วโมงแล้ว เพื่อที่จะให้แน่ใจว่าเหยื่อของมันออกห่างจากที่ซ่อนมาไกลพอ
ทันใดนั้นเองเจ้าเหยี่ยวฟอลคอนหุบปีก ปักหัวดิ่งลงสู่พื้นดินเบื้องล่างอย่างรวดเร็ว รูปทรงแบบแอโรไดนามิค ทำให้มันร่วงลงสู่พื้นในอัตราเร่งเกือบ 8 เมตรต่อวินาที กระต่ายสีเทาได้ยินเสียงของอันตรายแหวกอากาศมาจากด้านบน มันหันหลังกลับเตรียมวิ่งสู่รัง เหยี่ยวฟอลคอน แผดเสียงร้องออกมา เสียงสะท้อนหุบเขากลับมาด้านที่เป็นรังของกระต่าย มันชะงักเท้าค้างเพราะมันคิดว่าผู้ล่าของมันจะบินมาจากด้านหน้า และความลังเลเพียงชั่วขณะในธรรมชาติอันโหดร้ายแห่งนี้หมายถึงชีวิต กรงเล็บอันทรงพลังของเหยี่ยวฟอลคอนจิกทะลุหนังเข้าไปในเนื้ออันอ่อนนุ่ม เลือดอุ่นๆ ไหลทะลักย้อนรอยแผลออกมา ร่างของมันถูกยกขึ้นไปในอากาศ พื้นโลกดูเหมือนจะลอยออกห่างไปอย่างรวดเร็ว.....
************************************* คำว่า "โกหก" ตามความหมายของราชบัณฑิตยสถาน แปลว่า "คำปด คำเท็จ ไม่จริง" (ปด แปลว่า โกหก, เท็จ และส่วนเท็จท่านแปลว่า โกหก, ปด - ทดลองหาดูได้//rirs3.royin.go.th/rithdict/lookup.html) ในข้อห้ามของศาสนาทุกศาสนานั้น การ "โกหก" นั้นเป็นความผิดพื้นฐาน เราพบข้อห้ามในศีลห้าของศาสนาพุทธ พบในบัญญัติสิบประการ พบในพระคัมภีร์ต่างๆ การ "โกหก" เป็นข้อห้ามร้ายแรงที่วางกันถัดต่อมาจากการห้ามฆ่าสัตว์ ห้ามลักขโมยทีเดียว แต่ถึงจะห้ามกระนั้นก็ตาม การ "โกหก" กลับกลายเป็นความผิดที่กระทำได้ง่ายดายที่สุดในบรรดาข้อห้ามทั้งหมด เพราะการโกหกนั้นเป็นพื้นฐานของธรรมชาตินั่นเอง หนอนผีเสื้อหางนกนางแอ่น (swallowtail caterpillars) เมื่อมีศัตรูมาเข้าใกล้ ก็จะรวมตัวกันเป็นกลุ่มคล้ายเปลือกต้นไม้ หนอนไม่ใช่เปลือกไม้ มันโกหกศัตรูของมันว่ามันเป็นเปลือกไม้ เพื่อเอาตัวรอด, กิ้งก่าคาเมเลี่ยนเปลี่ยนตัวตามลำตัวได้ตามสภาพแวดล้อมที่มันอยู่, แม่กาเอาไข่ตัวเองใส่ไว้ในรังกาเหว่า เพื่อให้พ่อแม่นกกาเหว่าดูแลลูกให้, ตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดอาจจะเป็นเสียงร้องของเหยี่ยวฟอลคอน มันร้องเพื่อโกหกกระต่ายเกี่ยวกับตำแหน่งของมัน
การโกหกนั้นเป็นเฟืองตัวสำคัญเพื่อให้ธรรมชาติดำเนินไป เป็นองค์ประกอบในการวิวัฒนาการ ในระบบแห่งการล่าและเอาตัวรอด และหากเป็นเช่นนั้นแล้วเราจะกล่าวได้หรือไม่ว่าการโกหกเป็นความผิด? และหากมันไม่ผิด ทำไมเราจึงชิงชังการถูกหลอกนัก การโกหกยิ่งพัฒนาสลับซับซ้อนมากในสังคมมนุษย์ เด็กตัวเล็กๆ มักโกหกพ่อแม่ว่าอิ่มข้าวแล้วเพียงเพราะเขาอยากกินขนมมากกว่า, ผู้ชายร่างผอมใส่เสื้อลายขวางเพื่อให้ดูอ้วนขึ้น, สามีที่แสนดีชมภรรยาเพิ่งที่ตื่นนอนว่าสวยเป็นบ้าเลย,ในประเทศที่เจริญแล้วอย่างอเมริการหรือในยุโรป 1 เมษายนของทุกๆ ปี ยกให้เป็นวันแห่งการโกหก คุณสามารถโกหกใครก็ได้ โดยไม่มีใครถือสา,
ลองนึกถึงสถานการณ์ที่โลกทั้งโลกแสดงความจริงต่อกัน เมื่อแฟนสาววัยไม้ใกล้ฝั่งถามคุณ ฉันยังสวยอยู่ไหม แล้วคุณตอบว่า คุณแก่มากๆ เลยที่รัก, ผู้นำศาสนาบอกว่าพระเจ้าไม่มีจริง, กิ้งก่าไม่สามารถเปลี่ยนสีไปตามธรรมชาติ, ม้าลายไม่มีลายขวาง เสือดาวไม่มีลายจุด ปลาตาเดียวดูเด่นสิ้นดีใต้ท้องทะเล
ไม่ว่าเราจะชอบหรือไม่ก็ตาม โลกของเรามีการโกหกเป็นแรงขับเคลื่อนไป การโกหกเป็นส่วนหนึ่งของสัญชาติญาณการเอาตัวรอด เพื่อซ่อนความจริง เพื่อลวงเหยื่อให้หลงกล วัตถุประสงค์ของการโกหก ก็เพื่อหักเห เบี่ยงเบนการรับรู้ของเหยื่อไปในทางที่เราต้องการ โดยส่วนใหญ่แล้วมักกระทำกับสิ่งอื่น ตัวอื่น คนอื่น อาจจะมีก็แต่เฉพาะในมนุษย์เราก็เป็นที่มีความสามารถหลอกตัวเอง การโกหกบางอย่างได้รับการต่อต้าน และบางอย่างได้รับการยอมรับ หนึ่งในพฤติกรรมโกหกที่ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางอีกทั้งได้รับการยกย่อง นั่นคือ "โฆษณา" สำหรับในโลกธุรกิจปัจจุบันแล้ว การจัดจำหน่ายสินค้าในวงกว้างโดยปราศจากการโฆษณาประชาสัมพันธ์แล้วไม่เจ๊งนั้น มีมากพอๆ กันกับการกระโดดตึกสี่ชั้นลงมาแล้วไม่ตาย โฆษณาที่ดีนั้นช่วยเพิ่มยอดขายสินค้าได้มากอย่างเห็นผลได้ชัด แต่สิ่งผู้บริโภคละเลย มองข้าม หรือชินชา ไปนั้นคือ ส่วนใหญ่ของเนื้อหาโฆษณานั้นเป็นเรื่องโกหก ยกตัวอย่างเช่น เครื่องสำอางค์ยี่ห้อหนึ่งใช้พรีเซนเตอร์เป็นดาราสาวสวยครีมที่ใช้แล้วผิวขาวขึ้น แน่นอนดาราคนนี้ย่อมไม่เคยใช้ครึมชนิดนี้มาก่อน (ก็สินค้าเพิ่งถูกผลิต), โฆษณาบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปภาพในจอเป็นบะหมี่พร้อมผักหมูไก่กู้ง แต่ของจริง มีแต่เส้นกักันเครื่องปรุง 1 ซอง หรือโฆษณาโทรศัพท์มือถือชิ้นหนึ่งเป็นเรื่องของงานปาร์ตี้ที่มีคนมาเต้นกันอย่างเมามัน แต่ทันใดนั้นเองเสียงโทรศัพย์ก็ดังขึ้น เสียงดนตรีหยุด ตอนท้ายโฆษณาชิ้นนี้เฉลยว่าเสียงดนตรีในปาร์ตี้มาจากโทรศัพท์เครื่องจิ๋วนี่เอง แต่โดยข้อเท็จจริงแล้ว เสียงเพลง MP3 จากโทรศัพท์ราคาหลักหมื่นปัจจุบันนั้น มีคุณภาพดีกว่าเสียงทรานซิสเตอร์รุ่นยายนิดหน่อยเท่านั้นเอง ไม่มีทางจะเสียงดังคึกคักอย่างในโฆษณาแต่อย่างใด แต่ผู้บริโภคส่วนใหญ่ทราบแต่ก็เต็มใจยอมรับกับเรื่องโกหกเหล่านี้ นักโฆษณาอาจจะเรียกเรื่องเหล่านี้ว่า "เทคนิกในการสร้างความน่าสนใจ โดยใช้หลักการ Exaggerate และผู้บริโภคเข้าใจว่ามันคือโฆษณาไม่ใช่สารคดี" ซึ่งนั่นอาจจะคิดได้ว่า เรื่องโกหกอาจจะไม่นับว่าโกหกถ้าเรารู้ว่าเรื่องนั้นโกหกอยู่ตั้งแต่แรกแล้ว และ อาจจะไม่มีใครโกหกเรานอกจากตัวเราเอง ในภาพยนต์เรื่อง "Life is beautiful" Roberto Benigni รับบทเป็นพ่อชาวยิวที่ถูกนาซีคุมขังในค่ายกักกันสมัยสงครามโลกครั้งสอง แต่ต้องพยามโกหกลูกทุกๆ อย่างเพื่อให้ลูกไม่รู้สึกว่าอยู่ในค่ายกักกัน โดยบอกลูกว่าทุกๆ อย่างที่เค้าเห็นเป็นการเล่นเกมกัน ตอนสุดท้ายตัวพ่อถูกเรียกไปประหารชีวิต แต่ก็ยังมีแก่ใจโกหกลูกชายให้เล่นเกมต่อไปจนจบ พร้อมกับเดินอย่างสนุกสนานร่าเริงไปแดนประหาร ภาพยนตร์เรื่องนี้ทำผู้ชมอมยิ้มและหัวใจสลายในเวลาเดียวกัน... อาจบางทีการโกหก จะไม่ใช่เรื่องที่ผิด เจตนาการนำไปใช้ต่างหากที่ทำให้มันผิด มีวลีหนึ่งจากภาพยนตร์เรื่อง "Waterboy" บอกว่า "โกหกบริสุทธิไม่ทำร้ายใคร"
วันนี้คุณโกหกใครแล้วหรือยัง?
Create Date : 03 ธันวาคม 2548 |
| |
|
Last Update : 7 ธันวาคม 2548 1:32:34 น. |
| |
Counter : 496 Pageviews. |
| |
|
|
|
ยิ่งแก่ยิ่งโง่ ยิ่งโตยิ่งเซ่อ
ครั้งหนึ่งปรมจารย์ตั๊กม้อ (โพธิธรรม) ได้เข้าเฝ้าจักพรรดิแห่งราชวงศ์เหลียง จักพรรดิได้ทรงปรารภให้ท่านฟังถึงวัดวาอารามทั้งหลายที่ท่านทรงสร้าง และทรัพย์สินที่ท่านบริจาคเป็นทาน ครั้นแล้วก็ถามว่า "บุญที่สะสมมานี้ จะส่งผลเช่นไรต่อเรา" "ทั้งหมดหาใช่กุศลไม่!" ท่านตั้กม้อตอบโดยฉับพลัน และด้วยท่วงทำนองที่ห้วนแล้วไม่สุภาพ จักพรรดิถามต่อไปด้วยความงงงวยในพระทัยว่า "ถ้าเป็นเช่นนั้น จะมิขัดต่อคำสอนอันศักดิสิทธิ์ดอกหรือ?"
- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - เคยมีคนกล่าวถึงความเชื่อ วัยและการศึกษาไว้น่าสนใจอย่างนี้ เมื่อครั้งฉันเยาว์ ฉันเชื่อพ่อแม่ เมื่อครั้งฉันเด็ก ฉันเชื่อครูบา เมื่อครั้งฉันวัยรุ่น ฉันเชื่อเพื่อนฝูง เมื่อครั้งฉันผู้ใหญ่ฉันเชื่อตำรา เมื่อครั้งฉันกลางคน ฉันเชื่อตัวเอง เมื่อครั้งฉันชรา ฉันไม่เชื่ออะไรเลย ! เมื่อครั้งผมเริ่มเรียนปีหนึ่งคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ และได้รับโจทก์เป็นการออกแบบบ้านเป็นครั้งแรก ผมถามคำถามมากมายแก่อาจารย์ เช่น มันจะออกมาแพงมากไหม? มันจะก่อสร้างลำบากหรือเปล่า? อะไรที่ทำไม่ได้บ้าง และผมได้รับคำตอบว่า "ตอนนี้เธอสามารถทำอะไรก็ได้ เธอสร้างบ้านที่มีเสาไม่ครบต้นก็ยังได้ อย่าไปคิดถึงเรื่องที่เธอถามตอนนี้ และเมื่อเธอฉลาดขึ้นเธอก็จะรู้เองว่าเธอทำอะไรไม่ได้บ้าง" เป็นคำตอบที่สร้างความงงงวยแก่คนที่สมองมีลอนหยักเล็กน้อยอย่างผม "ถ้าฉลาดขึ้น ก็น่าจะทำอะไรได้มากขึ้นสิ" แต่บ่อยครั้งในชีวิตที่เมื่อเวลาผ่านไปเมื่อเราได้เรียนรู้มากขึ้นกลับพบว่า ความคิดความเชื่อที่เราเคยยึดถืออยู่นั้นกลับกลายเป็นสิ่งที่เปล่าประโยชน์ ยึดติดไม่ได้ ความรู้ใหม่ที่เราได้ค้นพบหักล้างกับความเชื่อเดิม กลับทำให้เราได้พบว่าความจริงนั้นเราไม่รู้อะไรเลย ในการบรรยายทางวิทยาศาสตร์ครั้งหนึ่งเกี่ยวกับเรื่องโลกและจักรวาล สตรีชราคนหนึ่งโพล่งขึ้นมาว่า "ไม่จริง ความจริงโลกแบนต่างหาก" นักวิทยาศาสตร์ยิ้มอย่างเอ็นดูแก่สตรีผู้ไม่รู้อะไร "ถ้าอย่างนั้นโลกจะตั้งอยู่บนอะไรละครับ?" "ก็ตั้งอยู่บนหลังเต่าน่ะสิ" สตรีผู้นั้นตอบอย่างมั่นใจ "ถ้าอย่างนั้นเต่ายืนอยู่บนอะไรครับ?" นักวิทยาศาสตร์ถามต่อ สตรีชราอึ้งไปพักใหญ่ "เธอฉลาดมากพ่อหนุ่ม... เต่าก็ยืนอยู่บนเต่าอีกตัวน่ะสิ" 2000 ปีก่อนพระคัมภีร์บอกว่าโลกแบนและวางอยู่บนหลังเต่ายักษ์, 500 ปีก่อนเรารู้ว่าโลกกลมและเป็นศูนย์กลางของจักรวาล, 400 ปีก่อนกาลิเลโอ บอกว่าโลกโคจรรอบดวงอาทิตย์และไม่ได้เป็นศูนย์กลางของจักรวาล, 300ปีก่อนนิวตั้นบอกว่าแสงเดินทางเป็นเส้นตรง และเวลาเป็นเอกภาพ, 50 ปีก่อน ไอสไตน์บอกว่าแสงเดินทางเป็นเส้นโค้งได้และเวลาของแต่ละจักรวาลเดินไม่เท่ากัน แต่เอกภพคงอยู่นิรันดร, ไม่กี่สิบปีก่อน ฮอว์คิง บอกว่าเอกภพไม่ได้อยู่นิรันดร แต่มีจุดเริ่มละจุดจบ และไม่กี่เดือนก่อนฮอว์คิงคนเดิมบอกว่า ทฤษฏีของเขาอาจจะผิด..... คำถามคือ เราได้คำตอบอะไรที่ดีไปกว่าสตรีชราคนนั้นหรือเปล่า หากเราตั้งคำถามเช่นเดียวกันก็อาจจะพบได้ว่า เราไม่เองไม่ได้รู้อะไรมากไปเท่าไหร่เลย...ราวกับว่าเราเรียนไปเพื่อที่จะกลายเป็นคนโง่..เราอ่านมากกันมากขึ้นเพื่อที่จะรู้ว่าเรายังไม่รู้อะไรอีกมาก...และด้วยเหตุผลนี้อาจจะบางทีทำให้คนส่วนใหญ่ปฏิเสธที่จะเรียนรู้สิ่งใหม่ เพราะมันอาจจะไปทำลายคิดความเชื่อที่เคยยึดมั่นถือมั่นอยู่ เช่นเดียวกับสตรีชรา.. - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - ท่านตั๊กม้อตอบพระจักพรรดิ "มันมีแต่ความว่างเปล่า ไม่มีอะไรศักดิสิทธิ" จักพรรดิทรงอดทนถามอย่างมีเหตุผลและด้วยความรู้สึกขมขื่นในพระทัยว่า "เมื่อเป็นเช่นนั้น ผู้ที่ยืนอยู่ต่อหน้าเราเป็นใคร?" "อาตมาไม่รู้" เป็นคำตอบของท่านตั๊กม้อ
Create Date : 25 พฤศจิกายน 2548 |
| |
|
Last Update : 25 พฤศจิกายน 2548 5:41:31 น. |
| |
Counter : 683 Pageviews. |
| |
|
|
|
ฟิสิกส์ของกรรม
หลังจากไปดูหนังเรื่อง "อหิงสา จิ๋กโก๋มีกรรม" รอบพิเศษ 80 บาทที่ EGV มาก็มีเหตุให้ได้ยินมาเสียงโทรศัพท์จากเพื่อนคนเดิมดังขึ้นมา มันเองก็เพิ่งไปดูหนังเรื่องเดียวกันนี้มา แล้วครั้งนี้มันก็เอาประเด็นจากหนังมาถกด้วย
"มึงเชื่อเรื่อง กรรม ไหม?" มันเปิดประเด็นถามผมแบบไม่ให้ตั้งตัว
"ฮึ ไม่ค่อยเชื่อหรอก เรื่องกรรมคนโบราณเค้ามีไว้หลอกให้คนทำดีไม่ใช่เหรอ? สังคมมันจะได้สงบเรียบร้อย" ผมแย้งตามประสาพวกคนขวางโลก
"อันที่จริงกรรมน่ะเป็นวิทยาศาสตร์นะ จัดอยู่ในหมวดเดียวกะฟิสิกส์" มันรู้ว่าผมเป็นพวกเด็กสายวิทย์
"ตลกตายห่าล่ะ" ผมว่าถ้าเป็นวิทยาศาสตร์ก็คงเป็นพวกวิทยาศาสตร์เทียมเหมือนกับทายหวยดูดวงด้วยหลักสถิตินั่นล่ะ
"ไม่ได้ตลกนะ ถ้ากูจะว่าอย่างนี้ ล่ะ แอ็คชั่นแอนด์รีแอ็คชั่น" มันเริ่มวางเหยื่อล่อให้ผมสนใจ
"อ้า นิวตั้น แล้วมันเกี่ยวอะไรด้วยล่ะ" ผมถาม
"ยกตัวอย่างเช่น ถ้ากูด่ามึง มึงก็ด่ากูกลับถูกไหม อันนี้ก็แอ็คชั่น รีแอ็คชั่น" มันยกตัวอย่าง
"อันนั้นเค้าเรียกว่า กรรม แล้วเหรอ?" ชักเริ่มงงกับมันแล้ว
"แน่นอนสิวะ แต่ว่าเป็นกรรมแบบเบาๆ" มันอธิบาย
"แล้วแบบหนักๆ ล่ะ ต่างกันไหม?" ผมถามมัน
"ถ้ายิงคนตาย ก็ติดคุกไม่ก็โดนยิงเป้า" มันแย้ง
"ฮ่าๆๆ อันนี้กูแย้งเต็มที่เลย ยิงคนตายไม่ติดคุกครับ อันนี้ตัวอย่างมีให้เห็น"
น้ำเสียงมันกระหยิ่ม "ที่มึงพูดมานี่แหละประเด็นที่กูค้นพบ คือกูสงสัยมานานแล้ว ว่าคนทำเลวมากๆ ทำไมกรรมไม่ตามสนองมันสักที แต่พวกทำเลวนิดหน่อยเช่น ขโมยของ กลับโดนจับเร็วมาก"
"ก็เพราะว่าพวกลักขโมยน้อย มักเป็นคนฉลาดน้อยเลยโดนจับง่าย ส่วนพวกคอรัปชั่นขโมยสมบัติชาติคราวละมากๆ มักฉลาดมาก เหลี่ยมจัด เลยจับกันยาก" ผมยกเหตุผล
"ไม่ใช่! จากข้อสังเกตุที่กูค้นพบ มึงรู้ไหมว่า กรรมก็มี โมเมนตัม ด้วย กล่าวคือ หากมึงทำเลวน้อย กรรมก็จะตามมาไว เช่นมึงไปชกหน้าเค้า เค้าก็ชกกลับ อันนี้ใช้เวลาไม่นาน เหมือนขว้างบูมเมอแรงด้วยกำลังเล็กน้อย บูมเมอแรงก็จะวกกลับมาในเวลาอันรวดเร็ว" มันพูดเริ่มลื่น "ตานี้หากมึงทำเลวหนักๆ เช่นไปโกงเงินภาษีประชาชนมา ตั้งตัวเป็นมาเฟียรีดไถ อันนี้เป็นกรรมหนัก เหมือนกับการขว้างบูมเมอแรงไปสุดเหนี่ยว มันจะไม่กลับมาทันที แต่อาจจะกลับมาในอีกสิบปี ยี่สิบปีข้างหน้า เช่นบางคนโดนยึดทรัพย์ตอนแก่ บางคนก็โดนอริมาลอบยิงตอนนั่งตำหมาก นานหน่อยกว่าจะมา แต่ก็มา" เออ มันก็หาเหตุผลมาจนได้
"รู้สึกเหตุผลมันแปลกๆ อยู่นะ"
"กูรู้ว่ามึงเป็นพวกกาลามสูตรสิบอย่าง ดังนั้นเอางี้ พรุ่งนี้มึงก็ลองไปปล้นธนาคารดูสิ แล้วมาดูกันว่านานไหมกว่าตำรวจเค้าจะวิสามัญมึง ฮ่าๆๆ"
"ส้นตีนแน่ะ มึงก็ไปเองสิ" เอ้อออ ผมละกลุ้ม
Create Date : 07 พฤศจิกายน 2548 |
| |
|
Last Update : 8 พฤศจิกายน 2548 12:11:25 น. |
| |
Counter : 435 Pageviews. |
| |
|
|
|
| |
|
 |
you_are_what_you_read |
|
 |
|
|