รู้จักกันก่อนค่ะ [ตอนที่ 3]
ด้วยความที่ตัวเองออกจากงานมารักษาตัวที่บ้านเมื่อป๊าป่วย แม่ยี่หวาเลยใช้โอกาสนี้เรียนรู้เรื่องของโภชนาการบำบัดเรียกให้เพราะไปอย่างนั้นเอง เพราะในเวลาณ. ขณะนั้นยังไม่มีกระแส ไม่มีใครสนใจการใช้หลักโภชนาการในการดูแลคนป่วยโรคเบาหวานอย่างจริงจัง ช่วงเวลานั้น แม่ยี่หวาทำตัวเหมือนเด็กนักเรียนที่เพิ่งเริ่มต้นเรียนวิชาสุขศึกษาใหม่ ต้องนั่งท่องอาหาร 5หมู่ ว่ามีอะไรบ้าง บวกกับการเพิ่งหัดทำกับข้าวเป็นใหม่ๆ โอ้......เพิ่งรู้ว่าตัวเองมีความสุข เวลากับข้าวขึ้นโต๊ะ แล้วหมดในพริบตา เลยได้รู้ว่าตัวเองมีทักษะพิเศษในการทำอาหาร หลังจากนั้นจึงเริ่มศึกษาอาหารสมุนไพรอาหารที่เป็นยา และยาที่เป็นอาหารได้ แต่ในช่วงเวลานั้นอาการป่วยของตัวเองกลับแย่ลง จึงปรึกษากับคุณหมอที่รักษาถ้าแม่ยี่หวาจะลองออกกำลังกายดู มันจะสามารถทำให้แม่ยี่หวาแข็งแรงขึ้นมั้ยคุณหมอแนะนำมา 2 อย่างคือว่ายน้ำกับวิ่ง เอาล่ะสิเกิดมาไม่เคยได้ลงน้ำ อย่าว่าแต่ว่ายน้ำเลย ฮ่าๆ แถมกลัวน้ำอีกต่างหาก ทำไงล่ะทำไงดี แล้ววิ่งล่ะ จะไหวมั้ย แต่ไหนๆก็ไหนๆว่ะ ค่ายาจ่ายอยู่เดือนละหลายพันอยู่แล้วไม่ได้ทำงานจะเอาเงินที่ไหนมาจ่ายไม่หาย ไม่ดีขึ้นก็ให้มันตายกันไปข้างนึงให้รู้แล้วรู้รอดไปเลย แต่ไม่ไปคนเดียวค่ะตื่นตี 4 หิ้วป๊ะป๋าไปด้วย ป๊าไปเดินลูกไปวิ่ง ตอนกลางวันไปหาครูสอนว่ายน้ำที่สระว่ายน้ำใกล้บ้าน สมัครเรียนเสร็จสรรพ ชิชะ ได้เป็นลูกศิษย์ที่แก่ที่สุดของครู โอ๊ย..ต้องหัดกับเด็ก ป. 1 แล้วเด็กมันก็เก่งกว่า เอาไงดีแล้วสมองที่เฉียบแหลมของแม่ยี่หวาก็ทำงาน ฮ่าๆ อย่ากระนั้นเลยแม่ยี่หวาไม่ยอมโดนเด็กหัวเราะคนเดียวเด็ดขาด แม่ยี่หวาวิ่งไปกล่อมเจ๊ของแม่ยี่หวาค่ะ นั่งกล่อม นอนกล่อม อยู่ 2 วันก็สำเร็จ ลืมบอกไปว่าพี่สาวคนนี้ของแม่ยี่หวา เธอเป็นกระดูกสันหลังคดทับเส้นประสาทอยู่ในจุดที่ผ่าตัดไม่ได้ เพราะเป็นศูนย์รวมประสาทพอดี มาคิดๆดู ตอนนั้นแม่ยี่หวามีเจตนาไม่บริสุทธิ์นะเพราะหมอห้ามเจ๊ทำกิจกรรมทุกอย่างที่ใช้สันหลัง แล้วการว่ายน้ำก็ต้องใช้สันหลังแบบเต็มๆ แล้วๆๆๆๆๆๆ ถ้าเจ๊เป็นอะไรไป ฉันจะตกกระทะทองแดงมั๊ยนี่ โอ๊ย...แย่แล้วฉัน ตอนนั้นได้แต่ปลอบใจตัวเองว่าเจ๊คงไม่เป็นไร เพราะเราก็โตๆกันแล้วถ้าว่ายไม่ไหวก็คงต้องเลิก แต่การณ์กลับแปรเปลี่ยนเป็นเจ๊อีฉันเธอคลั่งไคล้การว่ายน้ำเอามากๆ ปวดหลังก็ไม่สนท่าที่หมอห้ามเด็ดขาดคือท่าผีเสื้อแต่เจ๊แม่ยี่หวาเธอกลับว่ายท่านี้ได้ดีเป็นพิเศษค่ะ วันเวลาผ่านไปไวเหมือนโกหก 30 ผ่านไปมาถึงวันนี้ เจ๊แม่ยี่หวาหายจากโรคกระดูกสันหลังคดทับเส้นประสาทไปเสียแล้ว หายเมื่อไหร่ยังไม่รู้ด้วยซ้ำเพราะเธอว่ายน้ำมาตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา บางครั้งก็อุทิศตัวเป็นครูสอนให้กับเด็กๆที่ไปว่ายน้ำแบบไม่มีครูสอนพูดง่ายๆคือ ในกลุ่มว่ายเป็นอยู่คนเดียว ไอ้ที่เกี่ยวกันไปเป็นหางว่ายไม่เป็นค่ะ ทุกวันนี้เจ๊กลายเป็นคนที่มีหลังแข็งแรงมากและที่แน่ๆก็คือ แม่ยี่หวาไม่ต้องตกกระทะทองแดงแล้ว ไชโย!!!! ส่วนแม่ยี่หวาก็มีวิถีของตัวเองค่ะเพราะแม่ยี่หวาหลงใหลในการวิ่ง วิ่งเป็นบ้าเป็นหลังเอาเป็นว่า เมื่อเวลาผ่านไปแม่ยี่หวาสามารถกลับไปทำงานได้ลดจำนวนยาที่ต้องทานแต่ละมื้อ จาก 1 กำมือ เหลือไม่กี่เม็ด และจนถึงทุกวันนี้แม่ยี่หวาไม่เคยหยุดการออกกำลังกาย จนพูดได้ว่า 30 ปีที่ผ่านมาไม่มีสักวันที่จะรู้จักคำว่านอนตื่นสาย ตี 4คือเวลาตื่นของแม่ยี่หวาค่ะ และก็คงต้องตื่นเวลานี้ไปอีกนานนานจนตื่นไม่ไหวนั่นเอง 30 ปีที่แล้ว ปัจจุบัน รู้จักกันก่อนค่ะ [ตอนที่ 2]
การดูแลและบำรุงบำเรอตัวเองไม่ใช่เรื่องแปลกเพราะไม่ว่าใครๆก็อยากมีสุขภาพที่ดี ปราศจากโรคภัยและที่สำคัญคือดูอ่อนเยาว์สดใสอยู่เสมอ หนทางที่จะนำเราไปสู่จุดหมายที่มุ่งหวังมีหลากหลายวิธีค่ะทั้งการใช้ยา การทำศัลยกรรม หรือการใช้สารเคมีต่างๆทั้งกินทั้งทาแต่วิธีที่แม่ยี่หวาเลือกคือวิถีธรรมชาติค่ะ เพราะธรรมชาติให้ทั้งความปลอดภัยปราศจากผลข้างเคียงใดๆ ประหยัด หาง่าย และเปี่ยมไปด้วยคุณค่า อาจจะเป็นเพราะวัยเริ่มต้นชีวิตของแม่ยี่หวาอยู่กับธรรมชาติสายลม แสงแดด พอมีกระแสการหวนกับไปสู่ธรรมชาติฮอตฮิตขึ้นมา แม่ยี่หวาก็เลยอินเทรนก่อนใครๆค่ะเพราะใช้ชีวิตแบบที่ว่านี้มาครึ่งอายุพอดี บางครั้งก็รู้สึกขอบคุณตัวเองนะใช่ค่ะ ถ้าไม่รู้สึกขอบคุณตัวเองแล้วจะขอบคุณใคร เพราะถ้าเราไม่เริ่มต้นรู้สึกอยากดูแลตัวเองแล้ว หรือรู้สึกว่าสภาพร่างกายเราแย่แล้วเราก็คงไม่นึกอยากจะเปลี่ยนแปลงตัวเองแน่ๆไม่มีใครอยากเปลี่ยนแปลงตัวเองจากความสุขสบายและความเคยชินที่มีอยู่ในชีวิตหรอกค่ะ ลองคิดดูนะคะนอนดึก ดูหนัง แชท ไปผับหรืออื่นๆอีกมากมาย ตื่นสาย อาหารมื้อด่วนอาหารไขมันสูง เอาเป็นว่าอาหารประเภทตามใจปาก และ..........ทั้งหมดที่เคยทำคุณจะต้องหยุดทำ แล้วปรับเปลี่ยนเป็นชีวิตที่มีวินัย นอนหัวค่ำตื่นเช้า ออกกำลังกายรับอากาศบริสุทธิ์ ทานอาหารที่มีประโยชน์ถูกหลักโภชนาการ แทนอาหารตามใจปาก ซึ่งสำหรับคนบางคนถือเป็นเรื่องที่ถึงขั้นทรมานเลยทีเดียว แต่คุณรู้มั้ยว่าแค่การตื่นเช้า รับอาการบริสุทธิ์ และออกกำลังกายสามารถเปลี่ยนแปลงสุขภาพร่างกายของคุณได้มากขนาดไหน และการดูแลด้านอาหารการกินของคุณเองมีประโยชน์กับตัวคุณเองมากแค่ไหนเพราะอาหารไม่ใช่แค่สิ่งที่ทำให้เราอิ่มท้องหรือทำให้ร่างกายเจริญเติบโตเท่านั้น แต่ยังดูแลทั้งภายในภายนอกอาหารบางสำรับสามารถบำบัดบรรเทาหรือรักษาโรคบางโรคได้และทำให้รู้สึกอ่อนเยาว์ขึ้นได้อีกครั้ง วันที่ตัวแม่ยี่หวาลุกขึ้นเปลี่ยนแปลงตัวเองนั้นแม่ยี่หวาไม่ได้ทำเพื่อตัวเองค่ะ อาจมีปฐมบทจากการป่วยของตัวเองจนต้องหยุดทำงานเพื่อรักษาตัวแต่ตัวแปรสำคัญคือเป็นช่วงเวลาที่ป๊าเริ่มเป็นเบาหวานเริ่มรับการรักษาและต้องควบคุมอาหารค่ะ แล้วป๊าของแม่ยี่หวาเป็นพ่อครัวชั้นเทพทีเดียวส่วนฝีมือของแม่ก็ชิดซ้ายไปตามระเบียบ เมื่อป๊าทำอาหารเก่ง อร่อย แล้วป๊าก็เป็นคนกินเก่ง การต้องคุมอาหารของป๊าจึงเป็นอะไรที่แม่ยี่หวาแทบประสาทเสียตัวเองก็ทำไม่เป็นสักอย่าง หุงข้าวยังไม่เป็นเลย เมื่อป๊าป่วย จะตกหนักอยู่ที่แม่ แต่แม่ยี่หวาก็ทนให้แม่ทำกับข้าวให้คนทั้งบ้าน แล้วยังต้องแยกสำรับของป๊าอีกไม่ได้ เลยขออาสาหัดทำกับข้าวให้ทุกคนแทนแม่ ก็....เมื่อป๊าต้องกินอาหารที่ไม่อร่อยแล้วพวกเราทุกคนในบ้านก็ต้องทนกินอาหารที่ไม่อร่อยเหมือนกันสินั่นคืออาหารจากแม่ครัวหัดใหม่อย่างแม่ยี่หวาเองค่ะ ฮ่าๆๆตอนที่ 1 รู้จักกันก่อนค่ะ
สวัสดีทุกๆคนที่หลงเข้ามาในBlog นี้ค่ะ เข้ามาเขียนเพราะแรงยุของลูกสาวและน้องๆหลายคน กับคำถามที่ว่า
ดูแลตัวเองยังไงไม่ให้แก่ ก็ไม่เชิงว่าไม่แก่นะเพียงแต่แม่ยี่หวายังรู้สึกสดชื่นกับชีวิตอยู่อย่างมากๆจนลืมไปเลยว่าตัวเองแก่แล้ว
เอาเป็นว่าแม่ยี่หวามีนิยามชีวิตว่า จะแก่อย่างสบาย จะตายอย่างสงบค่ะ
แม่ยี่หวาเป็นแม่ของเด็กผู้หญิงคนนึงที่จริงก็ไม่เด็กแล้ว แต่เนื่องจากว่าเธอไม่ยอมโต แม่ยี่หวาเคยถามว่าทำไม? กลัวแม่แก่ กลัวแม่ตายคำตอบที่เสียดแทงใจค่ะ ชิชะ..ฉันยังออกเด้งมาหาว่าฉันแก่ แต่ในความจริงของชีวิตอายุมันไม่เคยหยุดรอใครนะ ต่อให้เราไม่ยอมรับมันยังไง เช้อะ..มันก็ไม่เคยยอมไปจากเรา(หน้าด้านนิ) แต่เอาเป็นว่ายังไงๆก่อนแก่ ก่อนตายแม่ยี่หวาก็จะขอยื้อ ยื้อและยื้อค่ะ ก็เพราะยังอยากอยู่เป็นเพื่อนลูก
มาดูความจริงกันค่ะ แม่ยี่หวาอายุ50++++ แล้ว น้องหนูอายุ16 ก็ไม่แปลกเนอะ ถ้าลูกจะกลัวแม่หลีกลี้หนีหน้าไปเสียก่อน แต่เดี๋ยวๆๆ แม่ยี่หวาไม่แก่นะคะขอบอกแม่ยี่หวายังมีความรู้สึกเหมือนดอกบานไม่รู้โรยอยู่ค่ะ
แม่ยี่หวาเป็นนักสู้ชีวิตค่ะ(ไม่ใช่แบกข้าวสารนะคะ) มีโรคประจำตัวหลายอย่างแบบว่าแบกติดตัวมาตั้งแต่ลืมตาดูโลกมั้ง แล้วมันก็รักษาไม่หายอาจจะเพราะว่าเกิดมาในตอนที่ป๊าแม่อายุมาก สุขภาพไม่ได้แข็งแรงแล้วแต่ไม่เคยโทษใครนะ เพราะแค่ได้เกิดมาเป็นลูกพ่อกับแม่นี่ ถือว่าบุญสุดๆแล้ว แม่ยี่หวาเป็นเด็กไม่แข็งแรงค่ะป่วยมันตาปีตาชาติ แต่โชคดีค่ะ ป๊าแม่รักมาก ก็มันขี้โรคไง มีชีวิตแบบ ป่วยก็นอนหายก็ซน เกือบตายก็หลายครั้ง โตมาได้แบบทุเรศทุรังค่ะ แต่มีป๊ากับแม่คอยบำรุงบำเรอด้วยสารพัดยาบำรุงก็ไม่คิดหรอกนะคะว่าทุกอย่างที่ได้รับ จะซึมซับมาอยู่ในตัวแม่ยี่หวา
เอาเป็นว่าวันนี้แม่ยี่หวาเป็นคนเจ็บที่ไม่ป่วยลั๊ลลาไปได้เรื่อยๆ มีความสุขกับการถ่ายทอดสารพัดความรู้ที่มีในด้านดูแลสุขภาพให้ลูกค่ะ เข้าครัวทำอาหารที่ลูกอยากทาน ออกกำลังกาย ในรูปแบบที่ตัวเองชอบ อ่านหนังสือที่อยากอ่าน ดูหนังฟังเพลงจากนักร้องคนโปรด และทำงานที่ตัวเองยังต้องทำอยู่ค่ะ
ถ้าใครสนใจblog แม่ยี่หวา กับความรู้ที่คนแก่จะมีให้ หรือมีคำถาม แม่ยี่หวายินดีตอบนะคะวันนี้สวัสดีค่ะ |
สาวเอยจะบอกให้
Rss Feed Smember ผู้ติดตามบล็อก : 16 คน [?] แม่ยี่หวาเป็น สว. คนหนึ่ง ที่เคยทุกข์ทรมานเนื่องจากสุขภาพที่ย่ำำแย่มาตลอดตั้งแต่เด็กจนถึงวัยสาว เสียเวลาและเงินทองมากมาย แล้ววันหนึ่งแม่ยี่หวาก็ุลุกขึ้นมาปฏิวัติตัวเอง มาเป็นนักกีฬาค่ะ วิ่ง วิ่งและวิ่ง หลังจากนั้นชีวิตก็เปลี่ยน เลิกกินยา เลิกป่วย แต่กว่าจะเป็นอย่างนี้ก็ต้องใช้เวลานะคะ นอกจากออกกำลังกายแล้ว อีกสิ่งหนึ่งที่อยากจะบอกคือ การใช้หลักโภชนาการ ในการดูแลสุขภาพควบคู่กันไปด้วยค่ะ บล็อกที่เขียนส่วนหนึ่งเป็นการเล่าเรื่องชีวิตและประสบการณ์ของตัวเอง กับการใช้อาหารเป็นยา การใช้สมุนไพรในการดูแลตัวเองเบื้องต้น หวังว่าจะมีคนเข้ามาอ่านและนำไปใช้บ้าง ไม่รังเกียจที่จะูถูกเรียกว่า พี่ ป้า หรือ ยาย ค่ะ
Link |