...ความสุขของนักเดินทาง..ไม่ได้อยู่ที่จุดหมายปลายทาง..แต่อยู่ที่การได้เดินทาง...

Up…ล่องลอยบนท้องฟ้า คัปปาโดเจีย

ภาพยนตร์การ์ตูนของ Disney เรื่อง Up ดึงดูดใจฉันตั้งแต่เห็นโปสเตอร์ครั้งแรก รูปบ้านหลังหนึ่งที่ลอยอยู่บนท้องฟ้าด้วยลูกโป่งหลากสี และต่อมาเมื่อได้มีโอกาสชมภาพยนตร์เรื่องนี้ก็ยิ่งเกิดความประทับใจในความสนุกสนานและจินตนาการของผู้สร้าง จะรู้สึกอย่างไรน้า ถ้าได้ล่องลอยบนท้องฟ้าแบบนั้นบ้าง

......และแล้วความฝันของฉันก็เป็นจริงขึ้นมาในวันหนึ่ง....



ในการเดินทางครั้งนี้ นอกเหนือจากอีสตันบูลเมืองหลักแล้ว คัปปาโดเจีย (Cappadocia) เป็นสถานที่อีกแห่งที่เราสองคนใส่ไว้ในลิสต์ชนิดพลาดไม่ได้ โดยชั่งใจที่จะยอมตัด ปามุคาเลย์ น้ำตกหินปูนที่เริ่มจะมีน้ำน้อยลงออก ช่วยกันอ้างเหตุผลให้ตัวเองว่าเคยไปสัมผัสน้ำตกหินปูนแบบเดียวกันมาแล้วในแชงกรีล่า ถึงแม้ว่าน้ำตกหินปูนที่นี่จะมีขนาดใหญ่กว่า

คัปปาโดเจีย อยู่บริเวณตอนกลางของประเทศตุรกีในฝั่งทวีปเอเชีย ชื่อเสียงของที่นี่เกิดจากภูมิประเทศที่เป็นภูเขาหินรูปร่างแปลกประหลาด อันเกิดจากการระเบิดของภูเขาไฟเมื่อหลายล้านปีมาแล้ว ทำให้เกิดลาวา ตะกอน และเศษหิน ทับถมยกตัวขึ้นเป็นที่ราบสูงกินอาณาบริเวณกว้างใหญ่ และด้วยการกัดกร่อนของพายุและแรงลมต่อเนื่องกันมาอีกนับหมื่นนับแสนปี ก่อให้เกิดเป็นแท่งหินที่มีรูปร่างงดงามแปลกตากระจัดกระจายอยู่ทั่ว เมื่อผนวกกับความพยายามของมนุษย์ในการใช้ชีวิตอยู่ในดินแดนแห่งนี้ ด้วยการขุดโพรง สร้างถ้ำเป็นที่อยู่อาศัยนับพันๆ ปีล่วงมาแล้ว ดินแดนแห่งนี้จึงไม่พลาดที่จะถูกบันทึกอยู่ในมรดกโลกของยูเนสโกเป็นลำดับต้นๆ

เราเดินทางจากเมืองอีสตันบูลของตุรกี โดยสายการบิน Turkish Airlines ใช้เวลาเพียงหนึ่งชั่วโมงยี่สิบนาทีก็มาถึงสนามบินเนฟเชฮีร์ (Nevsehir) ซึ่งเป็นหนึ่งในสนามบินสองแห่งที่ใกล้ที่สุดในการมาเยือน คัปปาโดเจีย และนอกจากการเดินทางโดยเครื่องบินแล้วยังมี Overnight Bus นอนมาในรถจากอิสตันบูลมาถึงในตอนเช้า เป็นอีกทางเลือกที่ถูกกว่าแต่ใช้เวลาเดินทาง 10-11 ชั่วโมง




ภูมิประเทศของ คัปปาโดเจีย กินพื้นที่กว้างใหญ่ ครอบคลุมเมืองเล็กๆ สองสามแห่ง นักท่องเที่ยวจึงสามารถเลือกได้ว่าจะไปพักที่เมืองไหน ทั้ง เออร์กุป (Urgup) เกอเรเม่ (Goreme) หรือ อุชฮิซาร์ (Uchisar) หลังจากสำรวจแผนที่จาก Google Map เราตกลงใจเลือกพักที่เกอเรเม่ เพราะอยู่ใจกลางคัปปาโดเจียและอยู่ใกล้กับ Goreme Open Air Museum และจากภูมิประเทศที่ค่อนข้างกว้างหากไม่ได้มากับกรุ๊ปทัวร์หรือใจรักแบบแบ็คแพ็คนั่งรอรถประจำทางแล้ว การท่องเที่ยวในดินแดนแห่งนี้มีสองวิธีคือ เช่ารถขับเองหรือพึ่งบริการทัวร์ท้องถิ่น ซึ่งเราเลือกประการหลัง

จากสนามบินเนฟเชฮีร์ เราจอง Shuttle Bus ไว้ล่วงหน้าทางอินเตอร์เน็ต รถแท็กซี่จะราคาแพงมากและมีน้อย นอกจากกรุ๊ปทัวร์แล้วคนส่วนใหญ่จะใช้บริการ Shuttle Bus ซึ่งจะไปส่งถึงโรงแรม ระยะเวลาเดินทางจากสนามบินถึงเกอเรเม่ใช้เวลา 40 นาที แต่ความตื่นตาตื่นใจจากภูมิประเทศที่เห็นระหว่างทางก็เหมือนเป็นการเริ่มต้น Sight seeing กลายๆ และเมื่อลงจากรถไก๊ด์ท้องถิ่นก็มารอเราอยู่แล้ว




เราเริ่มต้นทัวร์ก่อนเช็คอิน ด้วยการไปเยือน Open Air Museum ที่อยู่ไม่ไกล สถานที่แห่งนี้เป็นภูเขาหินที่ถูกเจาะโพรงเต็มไปหมดเพื่อใช้เป็นถ้ำที่อยู่อาศัย เนื่องจากหินภูเขาไฟมีคุณสมบัติที่ง่ายต่อการขุดเจาะ เมื่อมีการเผยแพร่ศาสนาคริสต์เข้ามาในคาบสมุทรอนาโตลี บรรดานักบวชก็ได้ใช้สถานที่แห่งนี้เป็นอาราม ทำให้เกอเรเม่กลายเป็นศูนย์กลางของสำนักสงฆ์และศาสนสถานระหว่างปี ค.ศ. 300 - ค.ศ. 1200 ซึ่งเราก็ได้เห็นภาพจิตรกรรมที่บอกเล่าเรื่องราวของคริสต์ศาสนาบนผนังและเพดานของถ้ำหลายแห่งที่ยังคงหลงเหลืออยู่



ยอมรับว่าอาจไม่เข้าใจเรื่องราวในทางคริสต์ศาสนาที่เขียนบนผนังถ้ำได้อย่างครบถ้วนตามที่ไกด์ท้องถิ่นพยายามอธิบาย แต่เมื่อได้เห็นสถาปัตยกรรรมในหินผาหรือที่ฝรั่งเรียกว่า Rock cut Architecture ของที่นี่แล้วก็อดเทียบกับถ้ำอะชันตาและออโลล่าในอินเดียไม่ได้ ความเหมือนในความต่างของทั้งสองแห่ง คือการสร้างสถานที่เพื่อใช้ในศาสนกิจของเหล่านักบวช เพื่อการบำเพ็ญภาวนาทางจิตวิญญาณ โดยอาศัยธรรมชาติเป็นเครื่องอยู่ แม้ต่างศาสนาและห่างไกลกันคนละซีกโลก แต่เพื่อความรู้ซึ้งถึงจิตวิญญาณและการเข้าถึงแก่นของจิตโดยอาศัยธรรมชาติเป็นองค์ประกอบสำคัญ ก็ดูจะเป็นเฉกเช่นเดียวกัน



มีนักท่องเที่ยวแบบกรุ๊ปทัวร์ค่อนข้างมากที่นี่ เราจึงต้องรอคิวในการเข้าไปดูในถ้ำต่างๆ ใช้เวลาอยู่ที่นี่ชั่วโมงเศษ ก่อนเดินทางต่อไปชมปล่องไฟนางฟ้า (Fairy chimneys) ซึ่งมีลักษณะเป็นเสาหิน ที่ดูคล้ายกับว่าบนยอดมีหินต่างสีวางเทินอยู่อีกก้อน คล้ายกับปล่องไฟหรือเห็ด รวมถึงหินรูปทรงแปลกๆ บางก้อนก็ดูคล้ายอูฐ มือ เป็ด หรือนก แล้วแต่จินตนาการของแต่ละคน



นอกจากภูเขาที่ถูกเจาะเป็นถ้ำเพื่ออยู่อาศัยแล้ว คัปปาโดเจีย ยังมีเมืองใต้ดินสองแห่งที่ถูกขุดลงไปสำหรับใช้เป็นที่หลบภัยจากผู้รุกราน เราแวะไปที่เคย์มาลี เมืองใต้ดินขนาดใหญ่ซึ่งเปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าไปชมลึกลงไป 4 ชั้นจากทั้งหมด 8 ชั้น อุโมงค์ดังกล่าวถูกขุดเจาะเป็นห้องต่างๆ นับร้อย มีทางเดินเชื่อมต่อกันอย่างซับซ้อน ใช้เป็นที่หลบซ่อน เก็บเสบียงอาหาร ผลิตไวน์และหลบภัย และเนื่องจากไม่ใช่ที่พักอาศัยอย่างถาวร จึงไม่มีเครื่องมือเครื่องใช้หลงเหลือให้เห็นแต่อย่างใด มีการประเมินว่า อุโมงค์แห่งนี้สามารถรองรับผู้คนได้ถึง 3,500 คนในยุคนั้น ทางเดินในอุโมงค์ค่อนข้างแคบต้องเดินก้มตัวอย่างระมัดระวัง แต่ระบบการระบายอากาศของเมืองใต้ดินแห่งนี้ค่อนข้างดีมาก มีปล่องระบายอากาศอยู่เป็นระยะๆ ทำให้ไม่รู้สึกอึดอัดในระหว่างการเดินมุดอุโมงค์ไปเรื่อยๆ แต่ก็อดแวบคิดไม่ได้ว่า ถ้าเกิดแผ่นดินไหวขึ้นมาแล้วฉันจะเป็นอย่างไงล่ะเนี่ย ตุรกีเองก็เพิ่งเกิดแผ่นดินไหวสดๆ ร้อนๆ เมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านนี่เอง



มุดไปมุดมาอยู่ครู่ใหญ่เราก็กลับขึ้นมาบนพื้นโลก เดินผ่านร้านขายของที่ระลึกข้างทาง เห็นดวงตาปีศาจ (Evil eye) ซึ่งเป็นเครื่องรางที่เชื่อกันว่าจะสะท้อนสิ่งไม่ดีและปกป้องผู้ครอบครองจากสิ่งเลวร้ายต่างๆ วางขายเป็นแถว หลายคนบอกว่าเป็นของยอดฮิตของที่นี่ แต่เราก็ไม่ได้ซื้อหรอกนะ มาเที่ยวคราวนี้แทบไม่ได้ซื้ออะไรกลับไปให้รกบ้านเลย เพราะขนาดภาพเขียนบนปาปิรัสจากอิยิปต์ ซื้อมาเป็นปีแล้วยังม้วนอยู่ในกระบอกอยู่เลย ไม่ได้เอามาใส่กรอบซะที

สถานที่อีกแห่งที่เราแวะไปชมคือ Pigeon Valley หรือหุบเขานกพิราบ ที่ซึ่งมีนกพิราบเยอะมากคนที่นี่เจาะภูเขาใช้เป็นที่เลี้ยงนก จุดนี้วิวพานอราม่าเลย แถมมีต้นไม้ที่ห้อยตาปีศาจเต็มต้นอยู่ด้วย มองจากจุดนี้จะเห็น อุชฮิซาร์ คาสเซิล (Uchisar Castle) ได้อย่างชัดเจน ซึ่งเราก็ไม่พลาดที่จะไปแวะวนเวียนดู อุชฮิซาร์ คาสเซิล ป้อมปราการธรรมชาติที่ถูกขุดเจาะตกแต่งเป็นปราการสูงสำหรับใช้เป็นที่สังเกตุการณ์ในยุคโบราณ โดยไม่ได้ขึ้นไปข้างบน จากนั้นก็เดินทางกลับเข้าเกอเรเม่ ไปยังโรงแรมที่พัก



เพื่อให้ได้บรรยากาศการมาเยือนคัปปาโดเจีย โรงแรมที่เราจองไว้จึงเป็นโรงแรมเล็กๆ แบบ Family run ซึ่งเจ้าของดัดแปลง“ถ้ำ” ที่เคยใช้เป็นที่พักอาศัยให้กลายเป็นห้องพักแขก คล้ายๆ B&B (Bed & Breakfast) ที่มีอยู่ทั่วไปในยุโรปนั่นแหละ โรงแรมนี้มีห้องพักที่เป็นถ้ำทั้งหมด 8 ห้อง แต่มีเครื่องอำนวยความสะดวกอย่างดี แถมมีไวน์ขวดเล็กๆ ให้ด้วย ตั้งอยู่ใจกลางกลุ่มแท่งหินติดกับบริเวณ Goureme Open Air Museum และไม่ไกลจากใจกลางเมือง เดินไปหาอะไรทานมื้อเย็น พร้อมเดินชมเมืองเล็กๆ แห่งนี้เป็นการย่อยอาหารไปในตัว ก่อนจะกลับมายังที่พักนั่งชมวิวบนระเบียงและพักผ่อนแบบสบายๆ ปล่อยเวลาให้หมุนไปเรื่อยๆ...

....เพราะจุดมุ่งหมายสำคัญของการเดินทางมาที่นี่อยู่ในตอนเช้าของวันถัดมา....



รถของบริษัทบอลลูนมารับเราตั้งแต่หกโมงเช้าพาออกมาแถบที่โล่งนอกเมือง ภาพที่เห็นก็เริ่มสร้างความตื่นตาตื่นใจให้กับเราไม่น้อย บอลลูนขนาดใหญ่เมื่อเทียบกับตอนที่มองเห็นมันลอยอยู่บนท้องฟ้านับสิบลูก กำลังค่อยๆ ถูกทีมงานเป่าลมเข้าไป ด้วยพัดลมขนาดใหญ่สลับกับเปลวไฟ เพื่อสร้างมวลอากาศร้อนให้ไหลเข้าสู่ลูกบอลลูน เห็นวิธีการทำงานก็ค่อนข้างทึ่ง ทีมงานต้องตื่นตั้งแต่ตีสาม มาทำหน้าที่เตรียมความพร้อม ตรวจสอบ เตรียมการและดูแลด้านความปลอดภัยในการขึ้นบินแต่ละครั้งอย่างเคร่งครัด



เราใช้คำว่า “ขึ้นบิน” เพราะบอลลูนแต่ละลูกจะมี “นักบิน” เป็นผู้ขับเคลื่อนและพาเราขึ้นสู่ท้องฟ้า นักบินทุกคนต้องผ่านการฝึกบิน ทดสอบ และต้องมีใบอนุญาตโดยเฉพาะ เพราะเมื่อขึ้นสู่ท้องฟ้า ชีวิตของผู้โดยสารทุกคนในบอลลูน ขึ้นอยู่กับความรับผิดชอบของนักบินแต่เพียงผู้เดียว



ระหว่างรอ เราเดินไปหยิบเครื่องดื่มที่มีบริการไว้สำหรับยามเช้า แล้วเดินไปถ่ายภาพการทำงานของทีมงาน บอลลูนแต่ละลูกเริ่มปรับตั้งจากที่แฟบกองอยู่บนพื้น เหมือนลูกโป่งที่เติมลมเรียบร้อย ทีมงานเริ่มยึดตะกร้าด้วยถุงทรายเพื่อถ่วงน้ำหนักไว้ก่อน เช่นเดียวกับที่ค่อยๆ เปลี่ยนระนาบการเป่าลมร้อนจากแนวนอนเป็นแนวตั้ง



เมื่อพร้อมแล้ว เราก็ก้าวขึ้นไปอยู่ในตะกร้าซึ่งทำด้วยหวายสาน บอลลูนหนึ่งลูกบรรทุกผู้โดยสารได้ 16 คน บวกนักบินอีกหนึ่ง แบ่งช่องสำหรับผู้โดยสาร 4 ช่อง ช่องละ 4 คน ขวา 2 ช่อง ซ้าย 2 ช่อง โดยมีช่องตรงกลาง สำหรับนักบิน ถังแก๊ส 4 ถัง หัวพ่นไฟ และอุปกรณ์ที่ใช้ในการบินรวมทั้ง GPS พออธิบายให้ทุกคนทราบถึงวิธีการอยู่ในบอลลูนและขั้นตอนต่างๆ ในทำนองเดียวกับการที่เราต้องรับฟังข้อบังคับต่างๆ บนเครื่องบินก่อนเครื่องขึ้นเป็นที่เรียบร้อย ถุงทรายที่ถ่วงตะกร้าก็ถูกปลดออก นักบินเพิ่มความร้อนใส่ในลูกบอลลูน ต่อจากนั้นบอลลูนก็ค่อยๆ ลอยขึ้นสู่ท้องฟ้าอย่างนุ่มนวล



เสียงกดชัตเตอร์ของแต่ละคนดังขึ้น ภาพบอลลูนหลากสีที่ทะยอยกันลอยขึ้นสู่ท้องฟ้าในเวลาไล่เลี่ยกันดูงดงามละลานตา โดยมีแสงสีทองของขอบฟ้ายามเช้าที่ค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสีฟ้าสดใสเป็นฉากหลัง อากาศข้างบนค่อนข้างเย็นสบาย และเมื่อมองลงไปยังเบื้องล่าง ทิวทัศน์รูปทรงแปลกตาของภูมิประเทศที่ปรากฏให้เห็นในมุมมองพานอรามาก็ยิ่งสร้างความตื่นตาตื่นใจและรอยยิ้มให้กับทุกคนที่อยู่บนบอลลูน เสียงหัวเราะ ชี้ชวนให้ดูบอลลูนลูกอื่นๆ ควบคู่กันไป นักบินพาบอลลูนลอยขึ้นสูงโดยการเพิ่มความร้อนเป็นระยะๆ จนลอยขึ้นมาสูงกว่าลูกอื่นๆ จากนั้นก็พาลอยลงต่ำชนิดแทบจะสัมผัสยอดหญ้าบนภูเขา บินเลียบเคียงผนังแท่งหินที่โผล่ขึ้นมาอย่างน่าหวาดเสียว เห็นได้ชัดว่านักบินมีความชำนาญมาก ทราบทีหลังว่าขับเคลื่อนควบคุมบอลลูนมาสิบกว่าปีแล้ว



บอลลูนทัวร์ที่นี่จะมีเฉพาะตอนเช้าเท่านั้น เพราะอากาศค่อนข้างโปร่ง ทัศนวิสัยดีและลมไม่แรงจนเกินไป ท้องฟ้าเริ่มสว่างสดใสตัดกับสีสันของบอลลูนนับสิบลูก ผนวกกับสีของภูเขาหินเบื้องล่างที่เป็นชั้นๆ กับรูปทรงแปลกตาของภูมิประเทศที่เปลี่ยนไปเปลี่ยนมาตามการเคลื่อนที่ของบอลลูน อากาศที่เย็นสบายทำให้การเดินทางบนท้องฟ้าแบบโล่งๆ เช่นนี้ ดูไม่น่ากลัวเลยสักนิด แม้ว่าจะลอยสูงอย่างดูน่าเสียวไส้ หรือบินเฉียดภูเขาให้ตื่นเต้น นักบินเองก็ตอบคำถามต่างๆ อย่างเป็นกันเองและสนุกสนาน ประเภท กฏข้อที่หนึ่ง ห้ามออกไปจากตะกร้าขณะลอยอยู่บนฟ้าโดยไม่ได้รับอนุญาต รวมถึงมุกขำๆ เกี่ยวกับการบินของนักบิน



ลูกบอลลูนลอยเคลื่อนที่ไปตามทิศทางลม นักบินจะทำหน้าที่หันลูกบอลลูนซ้ายขวา สูงต่ำ โดยใช้เชือกที่มีสีต่างกันเป็นตัวช่วยในการปิดเปิดช่องอากาศ เราใช้เวลาบนท้องฟ้าประมาณเกือบชั่วโมง แต่รู้สึกว่าเวลาผ่านไปเดี๋ยวเดียว จากนั้นนักบินก็เริ่มวิทยุติดต่อกับภาคพื้นดินเพื่อหาจุดที่จะร่อนลง ซึ่งทุกครั้งที่ทำการบิน ทีมงานจะไม่สามารถกำหนดจุดที่จะร่อนลงอย่างแน่นอนก่อนขึ้นบินได้ ต้องดูทิศทางลมและอาศัยการประสานงานระหว่างนักบินและเจ้าหน้าที่ภาคพื้นตลอดการบิน เมื่อบอลลูนพร้อมที่จะร่อนลง ทีมงานภาคพื้นจะขับรถพ่วงตามบอลลูนไปเรื่อยๆ และนักบินก็จะค่อยๆ บังคับบอลลูนให้ลอยต่ำลง ก่อนจะทิ้งเชือกให้กับทีมงานภาคพื้นช่วยดึง และค่อยๆ ปรับหมุนบอลลูนทีละนิดๆ และโดยประสบการณ์การทำงานอย่างรู้มือระหว่างนักบินกับคนขับรถพ่วงและทีมงานภาคพื้น บอลลูนก็ลอยลงมาบนรถพ่วงอย่างพอดิบพอดี..สุดยอด!



ทีมงานเตรียมแชมเปญไว้ให้กับทุกคน พร้อมประกาศนียบัตรที่เซ็นชื่อโดยนักบินสดๆ เดี๋ยวนั้น ท่าทางทุกคนมีความสุขมากที่ได้สัมผัสประสบการณ์ลอยฟ้าในอีกรูปแบบหนึ่ง เราสองคนก็เช่นกัน การท่องเที่ยวโดยบอลลูนแบบนี้มีในสถานที่ท่องเที่ยวหลายแห่งทั่วโลก แต่ที่คัปปาโดเจีย มุมมองเบื้องล่างที่แตกต่างและแปลกตาดูจะเป็นจุดขายที่ทำให้การมาขึ้นบอลลูนทัวร์ที่นี่เป็นที่นิยมอันดับหนึ่ง และเป็นจุดยอดฮิตจุดหนึ่งของโลก จ่ายไป 150 ยูโรต่อคน เอาน่า...ถือเป็นประสบการณ์ที่หาไม่ได้ในบ้านเรา กลับไปก็ทำงานหาเงินที่จ่ายคืนเอาเองก็แล้วกัน

เรากลับมาเก็บของ ทานอาหารเช้าที่โรงแรม ซึ่งเจ้าของน่ารักมาก เตรียมอาหารร้อนๆ มาเสิร์ฟให้ต่างหากนอกเหนือจาก Cold breakfast ที่วางเตรียมไว้แล้ว จากนั้นรถก็มารับเราไปสนามบินตามที่จองไว้ล่วงหน้า เป็นการปิดท้ายคัปปาโดเจียอย่างสมบูรณ์แบบ

....เอ....อยู่บนฟ้านี่ก็ดีแฮะ.. คราวหน้าเปลี่ยนไปลองเล่นแฮงไกล์เดอร์บ้างท่าจะดี..




Create Date : 29 เมษายน 2553
Last Update : 1 พฤษภาคม 2553 21:02:49 น. 3 comments
Counter : 1296 Pageviews.  

 


โดย: thanitsita วันที่: 29 เมษายน 2553 เวลา:15:06:00 น.  

 
ใช่เวลาบนฟ้านานเท่าไหรคะ (อยากไปมั่งจัง ^^)


โดย: marzo วันที่: 30 เมษายน 2553 เวลา:16:00:37 น.  

 
แวะมาทักทายครับ

ไม่ได้ไปปามุกคาเล่หรือครับ ไม่เป็นไรเดี๋ยวผมจะรีวิวไปฝาก


โดย: adept วันที่: 1 พฤษภาคม 2553 เวลา:16:53:23 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิกช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

world not wide
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




บันทึกการเดินทางของเขาและเธอ
ที่ใช้ชีวิตคู่กับการเดินทาง
155 เมือง 34 ประเทศ ใน 5 ทวีป...




*รูปภาพทั้งหมดที่ปรากฏบน Blog นี้ ถ่ายด้วยตนเองทั้งสิ้น และไม่หวงห้ามแต่ประการใด หากมีผู้ต้องการนำไปใช้
[Add world not wide's blog to your web]