...ความสุขของนักเดินทาง..ไม่ได้อยู่ที่จุดหมายปลายทาง..แต่อยู่ที่การได้เดินทาง...

เที่ยวฮานอย ลอยเรือฮาลองบก

โปรโมชั่นสายการบินที่อยู่ใน Web ตรงหน้า ทำให้เราสองคนหันมามองหน้ากัน แล้วฉันก็พยักหน้า เมื่อชายหนุ่มยิ้มเต็มหน้าพูดขึ้นว่า....ไปเวียดนามกันอีกรอบไหม?



เพราะตั๋วไปกลับกรุงเทพ – ฮานอย ที่เห็นในจอคอมพิวเตอร์ มีตัวเลขราคาที่สุดแสนยั่วใจ เมื่อลองจัดวันเดินทางเข้าไปได้ เราก็ไม่รีรอที่จะรูดการ์ดผ่านระบบออนไลน์ทันที คราวที่แล้ว เราสองคนเดินทางเข้าเวียดนามจากโฮจีมินห์ทางใต้แวะเวียดนามกลางแล้วขึ้นเหนือต่อไปยังฮานอย คราวนี้เราเลยตั้งใจจะสัมผัสฮานอยแบบผิวๆ โดยมีจุดประสงค์หลักคือไปดูนาขั้นบันไดทางตอนเหนือและเมืองมรดกโลกแถวเวียดนามกลางซึ่งคราวที่แล้วเราข้ามไป ซื้อตั๋วไปกลับภายในประเทศของสายการบินเวียดนามแอร์ไลน์เพิ่ม เท่านี้ก็แพ็คกระเป๋าเดินทางได้เลย



เรามาถึงฮานอยตอนสาย นั่งแท็กซี่จากสนามบินเข้าเมือง ราคาแท็กซี่จากสนามบินเป็นราคาตายตัว ที่พักของเราเป็นโรงแรมเล็กๆ อยู่ใจกลางเมืองไม่ไกลจาก Puppet Theatre หรือโรงหุ่นกระบอกน้ำสักเท่าไหร่ เก็บกระเป๋าเสร็จก็ออกมาโต๋เต๋ เดินดูผู้คน มีข้าวของวางขายเต็มสองข้างริมถนน ทั้งอาหารสด ผัก ผลไม้ ซึ่งส่วนใหญ่คนขายจะเป็นผู้หญิง แต่ที่ชอบคือรถจักรยานขายดอกไม้ บนถนนยังคงเต็มไปด้วย มอเตอร์ไซด์ จักรยานเหมือนเดิม แถมยังต้องเล่น “เกมวัดใจ” ทุกครั้งเมื่อข้ามถนนเหมือนเคย ต้องมั่นใจและไม่ลังเลที่จะข้าม ที่เหลือปล่อยให้คนฮานอยที่ขับขี่จักรยานและมอเตอร์ไซด์เป็นคนตัดสินใจ เขารู้วิธีหลบหลีกของเขาเอง



ก่อนมาเราติดต่อบริษัททัวร์ที่รู้จักกันซึ่งมีโปรแกรมมาเวียดนามบ่อยๆ ช่วยจองที่พักตามที่เราจะไปให้ ปรากฎว่าเขามีกรุ๊ปทัวร์ที่จะไปยังฮานอยและเมืองอื่นๆ ทางตอนเหนืออยู่พอดี เราเลยได้โอกาสขอแจม ส่วนที่เหลือเราจะตะลอนกันเองสองคน ทริปนี้เราจึงขี้เกียจได้เพราะมีตัวช่วย ไม่ต้องดั้นด้นเอาเองซะทุกเรื่องอย่างที่เคย

สถานที่ท่องเที่ยวที่เราขอร่วมกรุ๊ปไปด้วยคือ “นิงห์บินห์” (Ninh Binh) ซึ่งอยู่ห่างจากฮานอยประมาณ 100 กม. ที่นี่มีอีกฉายาว่า “ฮาลองบก” หรือ แทมก๊ก ในภาษาเวียดนาม ซึ่งเป็นพื้นที่ชุ่มน้ำกินบริเวณกว้าง โดยมีฉากหลังเป็นภูเขาหินปูนระเกะระกะ ใช้วิธีการท่องเที่ยวชมธรรมชาติโดยนั่งไปกับเรือพาย



เรามาถึงแทมก๊กในตอนแดดเปรี้ยง รถจอดที่อ่าวจอดเรือซึ่งมีเรือเหล็กท้องแบนเรียงรายเต็มไปหมด เรือแต่ละลำรับผู้โดยสารได้สองถึงสามคนและมีคนพายประจำเรือสองคน นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่เท่าที่เห็นเป็นชาวยุโรป เข้าใจว่ามีการบริหารจัดการอย่างดี เห็นได้จากการเรียงลำดับเรือตามคิวมารับนักท่องเที่ยวบริเวณอ่าวจอดเรือซึ่งสร้างไว้อย่างดี

พอเราสองคนลงไปนั่งในเรือ คนพายก็พายเรือออกจากอ่าวคอนกรีต ทิวทัศน์ที่เห็นสร้างความตื่นตาตื่นใจ คล้ายกับเรากำลังอยู่ในบึงน้ำตื้นขนาดใหญ่ มีพืชน้ำต่างๆ ขึ้นเต็มพื้นที่ โดยมีภูเขาหินปูนสลับเรียงรายโอบล้อม เรือพายไปในเส้นทางที่เหมือนกับลำคลองเล็กๆ แต่ดูแล้วคงเป็นการถอนพืชน้ำออกเพื่อใช้เป็นเส้นทางพายเรือมากกว่า เพราะดูจากพืชน้ำขึ้นเต็มไปหมดทั้งพื้นที่แสดงว่าน้ำไม่ลึกนัก ที่สวยแปลกตาคือภูเขาหินปูนที่อยู่รายรอบและพรรณพืชน้ำที่ขึ้นกระจัดกระจายอยู่ทั่ว




เรือพายไปเรื่อยๆ ครู่ใหญ่ให้เรานั่งตากแดดชมวิวไปจนถึงภูเขาที่ขวางอยู่ด้านหน้า จากนั้นก็ค่อยๆ พายลอดถ้ำใต้ภูเขาไปสิ้นสุดอีกด้าน ซึ่งเหมือนจะเป็นขอบของบึงอีกฝั่ง ที่นี่คนพายเรือได้โอกาสหยุดพัก และแม่ค้าพ่อค้าก็ได้โอกาสขายของ มีเรือมาเทียบร้องเรียกเสนอขายสินค้าเต็มไปหมด แม้แต่คนพายเรือก็ยังมีของที่ระลึกเล็กๆ น้อยๆ งัดออกมาขาย เราสองคนไม่สนใจอยู่แล้ว กะว่าถ้าไม่เรื่องมากก็จะให้ทิปนิดหน่อยขากลับเป็นค่าออกแรงพายเรือ



อาจเป็นเพราะมีนักท่องเที่ยวมาเยอะในวันนี้ พอคนขายเห็นเราไม่สนใจก็ไม่ง้อให้เสียเวลา ไปขายนักท่องเที่ยวรายอื่นแทน เราจึงไม่ต้องโดนตื้อให้เสียความรู้สึก หลบแดด พักแขนครู่หนึ่งคนพายเรือก็พาเรากลับไปตามเส้นทางเดิมที่มา สวนทางกับนักท่องเที่ยวรายอื่นๆ ที่เพิ่งมาถึงเป็นระยะๆ

เราให้ทิปตามสมควรเมื่อเรือเทียบท่า หาน้ำเย็นๆ ดื่มดับร้อนระหว่างรอคนอื่นๆ ครู่หนึ่งรถตู้ก็พาเราเดินทางกลับฮานอย เย็นนี้เราสองคนตั้งใจจะกลับไปดูหุ่นกระบอกน้ำ เพราะเคยดูแล้วชอบมากเลยอยากดูอีก




กลับมาถึงฮานอยตอนเย็น เข้าที่พักแล้วออกมาซื้อตั๋วหุ่นกระบอกน้ำ แง๊....โชคไม่ดีที่ตั๋วเต็มหมด.. เศร้าเลย ...เดินเซ็งๆ ไปหามื้อเย็นทาน อาหารการกินที่นี่เหลือเฟือ จะกินในร้านหรู หรือร้านห้องแถวสองข้างทางก็มีให้เลือกมากมาย มื้อเย็นเราเล็งเอาไว้แล้ว มีร้านอาหารเรียงรายริมถนนด้านหลังของโรงหุ่นกระบอกน้ำ ร้านอาหารที่ว่านี้ไม่ใช่ภัตตาคารหรือตึกแถวนะ แต่เป็นร้านเคลื่อนที่ริมฟุตบาท ทั้งที่เป็นหาบเร่ มีเก้าอี้พลาสติกเตี้ยๆ ให้ลูกค้านั่งสองตัว และแบบยึดพื้นที่บนฟุตบาทเป็นบริเวณกว้าง

เราเลือกร้านซีฟู๊ดเจ้าใหญ่ร้านหนึ่งที่ยึดพื้นที่ฟุตบาทหน้าตึกแถวและมีชาวฮานอยแน่นร้าน ทำตัวกลมกลืนใช้ภาษามือสั่งอาหาร ได้หอยหวาน ปูเผา ปลาหมึกปิ้งมานั่งกินบนโต๊ะเตี้ยๆ มีเก้าอี้พลาสติกตัวจิ๋ว ให้นั่ง จ๊าบออก ได้บรรยากาศของฮานอย แถมอร่อยด้วย



วันถัดมา เครื่องบินที่เราสองคนจะเดินทางต่อออกตอนบ่าย เราจึงเริ่มต้นวันด้วยการไปเดินเล่นที่สุสานก่อน ก็สุสานลุงโฮ (Ho Chi Minh’s Mausoleum) นั่นแหละ ถึงแม้ว่าจะเคยมาแล้วแต่แถวนี้ก็เป็นจุดหลักที่นักท่องเที่ยวต้องมาเยือน สุสานแห่งนี้จำลองแบบมาจากสุสานของเลนินในกรุงมอสโคว์ มีผู้คนเข้าแถวยาวเหยียดเพื่อเข้าไปเคารพศพของประธานาธิบดีโฮจิมินห์ ผู้ซึ่งเป็นวีรบุรุษที่รักยิ่งของชาวเวียดนาม



เราเลือกที่จะเดินถ่ายรูปข้างนอกแถวจตุรัสบาดิงห์ เพราะเคยเข้าไปคารวะแล้วเมื่อคราวก่อน แดดแรงจนต้องรีบเดินต่อไปยังทำเนียบประธานาธิบดี ซึ่งเป็นอาคารสีเหลืองสดใสในรูปแบบสถาปัตยกรรมฝรั่งเศสที่อยู่ไม่ไกล แล้วเดินต่อไปชมเจดีย์เสาเดี่ยว และบ้านพักลุงโฮ (Ho Chi Minh House) ซึ่งเป็นบ้านไม้ยกพื้นสูง มีข้าวของเคริ่องใช้ในสมัยที่ท่านยังมีชีวิตอยู่จัดวางไว้ให้ชม ให้เห็นถึงความเรียบง่าย สมถะของผู้นำที่ยิ่งใหญ่ ที่ไม่จำเป็นต้องใช้ชีวิตที่หรูหราฟุ่มเฟือยเหมือนผู้นำบางประเทศ

เดินเที่ยวจบกลับมาเอาเป้ที่โรงแรม กะเวลาพอดีไม่ต้องรีบเพราะเป็นสายการบินในประเทศ ที่ไหนได้เรียกแท็กซี่หน้าโรงหุ่นกระบอกน้ำไปสนามบิน แต่แท็กซี่กลับตุกติก เรียกราคาเพิ่มเมื่อเราขึ้นรถไปได้สักพัก พอเราไม่ยอมพี่แกก็จอดรถทิ้งเราหน้าตาเฉย อยู่ตรงไหนของเมืองก็ไม่รู้ ต้องเดินวนอยู่นานกว่าจะหาแท็กซี่คันใหม่ให้ไปส่งสนามบินได้ในเวลาฉิวเฉียด!

....กลายเป็นว่ามาฮานอยคราวนี้เลยฮาไม่ค่อยออก อดดูหุ่นกระบอกน้ำ แถมเกือบตกเครื่องเพราะแท็กซี่นี่แหละ...






 

Create Date : 02 กันยายน 2553   
Last Update : 2 กันยายน 2553 23:04:36 น.   
Counter : 748 Pageviews.  

เสพศิลป์แผ่นดินโซล

...อ่านเจอมาว่า ดารา นักร้องหนุ่มสาวเกาหลีที่เห็นหล่อๆ สวยๆ น่ะ ส่วนใหญ่ผ่านฝีมือมีดหมอศัลยกรรมมาแล้วทั้งสิ้น แถมอีกว่าถ้าลูกสาว ลูกชายชาวเกาหลีที่มีสตางค์หน่อยสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ พ่อแม่ก็จะให้เงินลูกไปทำศัลยกรรม เพราะเชื่อว่าหน้าตาดีๆ จะช่วยส่งเสริมความก้าวหน้าในการทำงาน ซึ่งต่างกับบ้านเราที่ลูกเข้ามหา‘ลัยได้ พ่อแม่ก็จะซื้อรถให้

เฮ้อ...ตอนฉันสอบเข้ามหา‘ลัยได้ ไม่เห็นมีโอกาสได้อะไรทั้งสองแบบนี้เลย...ยังดีหน่อยที่รูปร่างหน้าตาพอไปวัดไปวากะเขาได้บ้าง ก็เลยยังพอมีหนุ่มๆ มาอาสารับส่งตอนเรียน มีรถแถมคนขับไม่ต้องเหนื่อยขับเอง จนเรียนจบมาถึงตอนนี้ คนขับก็ยังเป็นคนเดิม...อิ..อิ...



หนุ่มๆ สามสี่คนในสำนักงาน พอรู้ว่าฉันจะมาเกาหลีก็ฝากซื้อแฮนบิลล์ และรูปภาพนักร้องสาวคนโปรดเป็นแถว ทั้งๆ ที่เพิ่งจองบัตรราคาแพงสุดของวงเกิลส์ เจเนอเรชั่น ที่จะมาเปิดการแสดงในเมืองไทยแต่ต้องเลื่อนออกไปถึงเดือนตุลาคม เพราะการชุมนุมวุ่นวายในบ้านเราน่ะแหละ...

“ เธอจะให้ชั้นซื้อมาทำไม ในเมื่อชั้นเห็นเธอเปิดยูธูปดูอยู่ทุกวัน จนไม่เป็นอันทำงานทำการอยู่แล้ว” ฉันถาม

“ น้อยๆ หน่อย พวกผมเปิดเฉพาะตอนว่างงานน่ะ อีกอย่างมันก็ชื่นใจ ทำงานหน้าจอคอมทุกวัน มันก็ต้องดูอะไรที่สดชื่นบ้าง จะได้มีกำลังใจทำงานไง”

หนึ่งในนั้นตอบ สามคนที่เหลือสนับสนุน

“แล้วยัยนั่นก็สวยด้วยมีดหมอศัลยกรรมทั้งนั้น ไม่รู้หรือไง” ฉันพูดต่อ

“รู้...แล้วไง เธอมีปัญหาอะไร” อีกคนเริ่มกวน เพราะฉันไปกระแนะกระแหนนักร้องสาวสวยคนโปรด

“เปล่า...ฉันแค่สงสัย นักร้องสาวไทยสวยๆ ก็มีตั้งเยอะ ไม่ต้องพึ่งมีดหมอซะหน่อย” ฉันแย้ง

“ของไทยไม่ชอบทำหน้า แต่ทำอย่างอื่นน่ะสิ เธอก็น่าลองไปทำดูบ้างนะ” อีกหนุ่มพูด จ้องฉัน แถมยิ้มแบบมีเลศนัย

“บ้า...แค่นี้ฉันก็พอแล้วย่ะ”

ฉันโวย กระฟัดกระเฟียดเดินหันกลับ ยังอุตส่าห์มีเสียงหัวเราะตามมา เชอะ..ฉันพอใจอยู่แล้วกับสิ่งที่พ่อแม่ให้ติดตัวมา ไม่เห็นต้องให้มันมากไปกว่านี้ แต่พวกนี้สิ ปากแต่ละคน..พูดจนทำฉันเสียเซลฟ์....

เอ...หรือฉันควรจะไป “ยันฮี” ซะก่อน.. แล้วค่อยไปเกาหลีดีนะ..



เข้าเรื่องดีกว่า...เพราะยังคงข้องใจเรื่องราวของเกาหลี ทริปนี้จึงต้องมีภาคต่อ จริงๆ แล้ว ในโซลมีอาคารทันสมัย ห้างสรรพสินค้าและช๊อปปิ้งเซ็นเตอร์ ที่เราไปเดินดูมาหลายแห่ง ทั้งที่ มยองดง 63 Building หรือ โคเอ็กซ์มอลล์ ซึ่งโดยรวมก็คล้ายๆ บ้านเรา ส่วนตลาดคนเดินอย่างย่านทงแดมุน ที่ทัวร์ไทยชอบพาไปเดิน เราไม่ค่อยชอบซักเท่าไหร่ ต่างจิตต่างใจ ขอเลือกเริ่มต้นแต่เช้าด้วยการไปเยือนพระราชวังที่น่าสนใจอีกแห่งของเกาหลีดีกว่า

พระราชวังชางด๊อก หรือชางด๊อกคุง (Changdokgung) เป็นหนึ่งในห้าพระราชวังของเกาหลี สร้างในสมัยราชวงศ์โซซอน ใช้เป็นที่ประทับแห่งที่สองต่อจากพระราชวังเคียงบ๊อก พระราชวังแห่งนี้ถูกเผาทำลายและสร้างใหม่หลายครั้ง ปัจจุบันมีตำหนักต่างๆ ที่ยังคงสภาพสมบูรณ์อยู่มาก พระราชวังแห่งนี้ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกโดยองค์การยูเนสโกเมื่อปี พ.ศ. 2540 และยังถูกใช้เป็นสถานที่ถ่ายทำภาพยนตร์เรื่องแดจังกึมด้วย



การเข้าชมพระราชวังแห่งนี้จะถูกกำหนดเป็นรอบๆ โดยมีเจ้าหน้าที่หรือไกด์เป็นผู้นำชมภายใน ไม่เปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าชมโดยอิสระ เราใช้เวลาที่พระราชวังแห่งนี้สองชั่วโมงกว่า เดินตามไกด์และผู้คนกลุ่มใหญ่ไปตามตำหนักต่างๆ ซึ่งหน้าตาเหมือนๆ กัน เรียกว่าคุม Theme ไว้ได้หมด ที่แตกต่างจากพระราชวังอื่นคือมีสวนขนาดใหญ่ที่ร่มรื่น และมีศาลาเล็ก ศาลาน้อย ที่ดูเหมือนเก๋งจีนริมน้ำ แต่ให้สีสันเป็นเกาหลี

เดินจนครบรอบกลับมาที่หน้าประตู เกือบจะเที่ยงแล้ว แวะไปหาอะไรกินแถวอินซาดงก่อนดีกว่า มาเกาหลีทั้งทีนอกจากหมูย่างเกาหลีที่กลายมาเป็นอาหารฮิตในบ้านเรา และฉันได้ลองทานในร้านต้นตำหรับไปแล้วเมื่อวานจนหัวเหม็น วันนี้สมควรลองอาหารพื้นเมืองอื่นๆ ดูบ้าง นี่ยังดีนะที่มาเกาหลียังได้กินหมูย่างเกาหลี ไม่เหมือนไปโตเกียวแล้วหาขนมโตเกียวไม่เจอ หรือไปอเมริกาแล้วหาข้าวผัดอเมริกันไม่ได้ อย่างที่โน๊ต อุดมเล่าไว้เป๊ะในเดี่ยว 8 น่ะ.. อิ.. อิ..



ย่านอินซาดงในวันอาทิตย์เต็มไปด้วยผู้คน เพราะมีตลาดนัดขายของเก่า และงานศิลปะต่างๆ มาวางขายมากมาย ส่วนร้านอาหารแบบพื้นเมืองเกาหลีก็หาได้ไม่ยาก ตามซอยเล็กๆ ที่แยกจากถนน มีภัตตาคารและร้านน้ำชาที่ตกแต่งอย่างโบราณให้ลองแวะไปยืนดูเมนูที่อ่านไม่ออก ร้านน่ะหาไม่ยาก แต่พอเข้าไปในร้านแล้วถึงได้เจองานยาก เพราะไม่รู้จะสั่งอะไรดีสิคะ แถมไม่รู้อีกว่าอาหารในภาพที่เห็นนั้นทำมาจากอะไร เราช่วยกันจิ้มนิ้วตามภาพในเมนูที่คิดว่าน่าจะทานได้ ได้ไข่ทอดผสมผัก แล้วก็มีเครื่องเคียงสารพัดชนิดตามประสาอาหารเกาหลีมาให้ลิ้มลอง แม้รสชาติจะแปลกแตกต่างจากที่เราคุ้นเคยอยู่บ้าง



มีพลังงานแล้วก็เดินเล่นที่อินซาดงต่อ ถนนเส้นนี้ยาวเหมือนกันแต่ก็เดินได้ไม่เบื่อ มีร้านค้ามากมายแถมมีแผงลอยขายของกินเป็นระยะๆ ข้างทาง รวมถึงแพนเค๊กสอดไส้สไตล์เกาหลีที่น่าลิ้มลอง แต่ที่น่าสนใจก็คือหมอดูริมถนน ซึ่งทำเป็นคอกสี่เหลี่ยมล้อม แทบทุกซุ้มมีสาวๆ เกาหลีเข้าไปใช้บริการดูหมอ ท่าทางฮิตไม่เบา เราเดินเล่นเข้าร้านโน้นดูร้านนี้ ซื้อของที่ระลึกนิดหน่อยเป็นพวกงานกระดาษสวยๆ แล้วก็เดินกลับออกมา ตั้งใจจะขอลองไปชมวัดเกาหลีซึ่งอยู่ไม่ไกลดูบ้าง



เดินออกจากอินซาดงเลี้ยวซ้ายไปไม่ไกล ก็มาถึงวัดโชเกชา ซึ่งเป็นวัดใหญ่เพียงแห่งเดียวที่อยู่ใจกลางเมืองโซล วัดนี้เป็นวัดพุทธนิกายโซเก ซึ่งเป็นนิกายใหญ่ที่สุดของเกาหลีใต้ เราขึ้นไปกราบพระประธานซึ่งเป็นพระพุทธรูปสำริดสีทองขนาดใหญ่สามองค์บนศาลาใหญ่ที่ยกพื้นสูง มีชาวเกาหลีแวะเวียนขึ้นมากราบพระและนั่งสมาธิอยู่ประปราย ฉันนั่งสงบจิตใจ ดื่มด่ำบรรยากาศบนศาลาอยู่ครู่ใหญ่ ได้มาวัดไม่ว่าที่ไหนๆ ก็ให้รู้สึกอิ่มเอิบใจซะทุกครา ถ้าไม่รกรุงรังด้วยพุทธพาณิชย์แล้ว นิกายไหนๆ ก็ไม่สำคัญ ทุกแห่งล้วนสืบทอดคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์ศาสดาเดียวกัน นั่งดูจิตตัวเองครู่ใหญ่ก็เดินลงไปดูรอบๆ วัด ด้านหลังมีศาลาหลังเล็ก มีผู้สูงอายุกางหนังสือนั่งสวดมนต์เป็นแถว เดินไปถ่ายรูปเจดีย์หินเจ็ดชั้นเสร็จก็เดินออก กลับสู่โลกภายนอก นั่งรถไฟใต้ดินไปเที่ยวยังหมู่บ้านนัมซานฮันอกต่อ



นัมซานฮันอก เป็นสถานที่จัดแสดงบ้านแบบเกาหลีดั้งเดิม ภายในมีบ้านเรือนขุนนางสมัยราชวงศ์โซซอน จำนวน 5 หลัง เอาไว้ให้นักท่องเที่ยวได้เห็นรากเหง้าวัฒนธรรมของเกาหลี คล้ายๆ การรวมเรือนไทยสี่ภาคบ้านเราไว้ให้นักท่องเที่ยวดูนั่นแหละ รูปแบบบ้านทั้งห้าหลังจะคล้ายคลึงกัน เป็นอาคารยกพื้นสูงชั้นเดียว หลังคามุงกระเบื้องหนาสีเทาเข้ม ประตูบานเลื่อนคล้ายกับญี่ปุ่น มีเครื่องใช้ไม้สอยในบ้านแต่ละหลังให้จินตนาการถึงการใช้ชีวิตในอดีต ริมรั้วมีโอ่งหมักกิมจิเรียงรายเป็นแถว บริเวณชานพักหน้าบ้านใหญ่หลังหนึ่ง มีหญิงสาวเกาหลีในชุดฮันบกนั่งบรรเลงซอ สร้างบรรยากาศย้อนยุคขับกล่อมนักท่องเที่ยว



ติดกับหมู่บ้านนัมซานฮันอก มี Korea House ที่นักท่องเที่ยวสามารถชมการแสดงพื้นเมืองพร้อมรับประทานอาหารไปด้วย แต่เราเลือกที่จะเดินไปโรงละครแห่งชาติที่แฝงตัวอบู่บนเนินเขานัมซาน ซึ่งมีโรงละครใหญ่น้อยหลายโรงพร้อมด้วยเวทีกลางแจ้ง และมีนาฎศิลป์แสดงโชว์ให้ดูด้วย



แต่ถ้าอยากรู้จักกับวิถีชีวิตเกาหลีแบบดั้งเดิมโบราณ ต้องไปที่ Korea Folk Village ซึ่งอยู่ที่ยงอิน แถวๆ ชายขอบของโซล นั่งรถไฟใต้ดินมาลงที่สถานีกังนัมแล้วต่อรถบัสลงหน้าหมู่บ้านเลย สะดวกมาก มีบ้านพื้นเมืองแบบชนบทของเกาหลีเรียงรายเต็มไปหมด รวมถึงมีการสาธิตการทำข้าวของเครื่องใช้แบบหัตถกรรมในครัวเรือนและการแสดงต่างๆ ให้ชม ที่นี่ใช้เป็นที่ถ่ายทำละครย้อนยุคของเกาหลีหลายต่อหลายเรื่อง รวมถึงแดจังกึมที่โด่งดังด้วย โดยจะมีป้ายติดโชว์ไว้ด้วยว่าตรงนี้ใช้ถ่ายทำฉากไหน นักท่องเที่ยวจะได้จัดท่าทางถ่ายภาพได้มุมพอดี



ที่น่าชื่นใจคือ มีการพาเด็กนักเรียนมาทัศนศึกษา ตั้งแต่ระดับอนุบาลยันมัธยมศึกษา ให้เด็กๆ ได้เห็นรากเหง้าของตัวเอง สร้างความรักและความผูกพันและเรียนรู้ศิลปะวัฒนธรรมจากนอกห้องเรียน ปลูกฝังความรักและหวงแหนสมบัติของชาติตั้งแต่เยาว์วัย โตขึ้นจะได้ไม่ต้องมาเผาบ้านเผาเมืองตัวเอง .....อยากเห็นเด็กๆ บ้านเรามีโอกาสแบบนี้บ้างจัง

สถานที่อีกแห่งที่ยอดเยี่ยมมาก แต่ทัวร์ไทยคงไม่พาไปแน่ นั่นคือ พิพิธภัณฑ์แห่งชาติเกาหลี (National Museum of Korea) ซึ่งเป็นที่เก็บรวบรวมข้าวของเครื่องใช้ สิ่งของต่างๆ ในแต่ละยุคแต่ละสมัยของเกาหลีที่ผ่านมา พิพิธภัณฑ์แห่งนี้ติดอันดับหนึ่งในสิบของพิพิธภัณฑ์ยอดเยี่ยมของโลกด้วยล่ะ



พิพิธภัณฑ์แห่งนี้มีสองชั้น แบ่งเป็นส่วนจัดแสดงนิทรรศการที่เปลี่ยนไปเปลี่ยนมา และส่วนแสดงศิลปวัตถุถาวร จัดแบ่งเป็นห้องต่างๆ สองฝั่งโดยมีโถงตรงกลาง ให้เดินชมแบบวันเวย์ตามลูกศรไปทีละห้อง แน่นอน ถ้าดูจากประวัติศาสตร์ที่ถูกยึดครองโดยญี่ปุ่นและสงครามหลายครั้ง จำนวนศิลปวัตถุโบราณย่อมมีน้อยมากเมื่อเทียบกับบ้านเรา แต่เขาสามารถแปรวิกฤติให้เป็นโอกาสได้ โดยอาศัยการจัดวางของที่มีอยู่น้อยชิ้นนั้นให้ดูโดดเด่นด้วยสเปซ หรือเล่นกับความว่างของพื้นที่ ตู้แสดงหนึ่งตู้ถูกจัดวางให้เหมือนกับ Window Display ตามห้าง ใช้แสงตกกระทบสาดส่อง มีวิธีการจัดวางที่ดูดี ใช้ Background เรียบง่าย และใช้ Graphic ช่วยเสริมให้ของที่จัดแสดงดูโดดเด่น ที่นี่ไม่มีการสร้างเรื่องราวให้ดูสนุกสนานแบบพิพิธภัณฑ์พื้นบ้านแห่งชาติเกาหลี แต่ดูโอ่อ่า ทันสมัย เดินดูได้อย่างไม่เบื่อ



วันนี้ถึงจบรายการเดินเที่ยวแล้ว แต่เวลายังไม่หมด จวนเจียนสองทุ่มก็วิ่งหน้าตั้ง เพื่อไปดูการแสดงโชว์ประกอบดนตรีในรูปแบบ Percussion ที่มีชื่อว่า Cooking’ Nanta ซึ่งเคยมาเปิดการแสดงที่พารากอน ฮอลล์ ในเมืองไทยช่วงเดือนกรกฎาคมปีที่แล้ว โชว์นี้จะเป็นการนำเครื่องไม้เครื่องมือที่อยู่ในครัว อาทิ เตาหลิว กระทะ หม้อ มีด เขียง มาเป็นเครื่องดนตรี ใช้ผู้แสดงห้าคน ชายสี่คน หญิงหนึ่งคนซึ่งใช้มีดและอุปกรณ์ทำครัวมาเป็นเครื่องดนตรี เคาะจังหวะได้อย่างสุดมัน



การแสดงชุดนี้ได้รับคำชมจากแมกกาซีนดังๆ ทั่วโลก ราคาค่าตั๋วแพงหน่อย แต่ก็คุ้มค่า เหมือนไปดูละครบรอดเวย์ที่นิวยอร์คนั่นแหละ ต้องจองตั๋วล่วงหน้าและคนเต็มแทบทุกรอบแล้วก็ห้ามถ่ายภาพ เลยถือโอกาสหยิบเอาสื่อโฆษณามาให้ดูแทน (รูปภาพทั้งสองภาพนี้จากภาพโฆษณา) เสน่ห์ของโชว์นอกเหนือจากอรรถรสความสนุกสนานแล้ว ยังผนวกกับความสามารถของนักแสดงที่ “เล่น” กับคนดูได้อย่างลงตัว ไม่มากไม่น้อยเกินไป เปิดโอกาสให้คนดูได้มีส่วนร่วมทั้งที่ตั้งใจและไม่ตั้งใจ

เปิดฉากอย่างเคร่งขรึมเมื่อผู้แสดงสี่คน แต่งกายในชุดเสื้อคลุมแบบโบราณ ถือเทียนเดินเข้ามานั่งลงบนพื้นที่มีหม้อ ไห ชุดจานชามแบบโบราณวางอยู่ ประหนึ่งจะลงมือทำครัว ด้วยท่วงท่าที่ละเมียดละไมพิถีพิถัน ทั้งสี่ค่อยๆ เคาะ จาน ชาม กระทะ ที่มีลักษณะแตกต่างกันที่อยู่ตรงหน้า ทำให้เกิดเสียงที่แตกต่างกัน จากเบาเป็นดัง จากช้าเป็นเร็วจนเป็นจังหวะที่ไพเราะและสนุกสนาน จากนั้นทั้งหมดก็สลัดชุดคลุมออก กลายเป็นชุดเชฟสีขาวที่ซ่อนอยู่ และเริ่มต้นการแสดงที่เป็นเรื่องราว

ที่ดูแล้วสนุกอีกอย่างอาจจะเป็นเพราะว่าขณะเล่นไป เช่น หั่นผัก ก็เกิดเสียงหั่น สับก็มีเสียงสับแบบสับหมูทำให้เกิดเสียงที่ผสมผสาน แล้วก็ปรุงอาหารจริงๆ บนเวที ผัด ทอด ไปพลางเล่นไปพลาง ได้ทั้งรูป เสียง และกลิ่น...ให้เล่าก็เล่าได้ไม่จบ เอาเป็นว่าสนุกดีจริงๆ และก็อย่างที่บอกไว้ว่าการเล่นดนตรีโดยการใช้เครื่องเคาะต้องใช้พลังงานและความเที่ยงตรงสูง ทำให้มีต้องมีนักแสดงสับเปลี่ยนหมุนเวียนถึงห้าชุด



การแสดงจบ เดินกลับโรงแรมด้วยความอิ่มใจ มาเที่ยวคราวนี้เป็นการทัวร์แบบ Culture Tour เป็นความชอบส่วนตัวที่ต้องการดูวัฒนธรรมมากกว่าตามรอยละครและดาราเกาหลีทั้งหลาย ช่วยไม่ได้ที่ความชอบของคนเราแตกต่างกัน แต่อย่างน้อยก็ทำให้รู้ว่า การที่เกาหลีประสบความสำเร็จในการส่งออกวัฒนธรรมของเขาสู่โลก ด้วยภาพยนตร์ซีรีส์ที่ใช้เรื่องราวประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม นำมาเสริมเติมแต่งเป็นบทละครย้อนยุค ไปถึงละครวัยรุ่นที่อาศัยหนุ่มหล่อสาวสวย ภูมิประเทศที่งดงาม เรื่องราวที่สนุกสนาน ต่อเนื่องด้วยการสร้างนักร้อง นักดนตรีวัยรุ่น ล้วนมาจากการวางรากฐานให้กับเยาวชน และการทำงานร่วมกันโดยองค์รวม สามารถสร้างให้เกิดความเชื่อมั่นในสินค้าเกาหลีตามมา ไม่ว่าจะเป็นโทรศัพท์มือถือ TVจอแบน เครื่องใช้ไฟฟ้า รวมไปจนถึงรถยนต์ แฝงอยู่ในสปอนเซอร์ของภาพยนตร์และศิลปิน สร้างให้เกิดการยอมรับสินค้าแบรนด์เกาหลีเหล่านี้อย่างไม่ขัดเขิน

.....ของดีๆ แบบนี้ น่าเลียนแบบจะตายไป...มัวแต่ไปเลียนแบบสงครามกลางเมืองอยู่ทำไมก็ไม่รู้...เศร้า!





 

Create Date : 12 มิถุนายน 2553   
Last Update : 12 มิถุนายน 2553 22:20:00 น.   
Counter : 634 Pageviews.  

“Soul in Seoul” จิตวิญญาณแห่งโซล

.....วันหนึ่งระหว่างที่เรากำลังนั่งกินหมูกระทะที่ร้านแถวบ้าน ทีวีที่เปิดอยู่ในร้านก็เปลี่ยนจากแนวเพลงเพื่อชีวิตเป็น เอ็ม วี เพลง จีส์...ของวงเกิลส์ เจเนอเรชั่น ประมาณว่าให้เข้ากับบรรยากาศร้านหมูกระทะเกาหลี เราสองคนมองหน้ากันแล้วก็เกิดความสงสัยว่า...เกาหลีมีอะไรดีนะ จึงสามารถส่งออกสินค้าทางวัฒนธรรม ทั้งซีรีส์ละครดังหนังดราม่า ผลิตกลุ่มนักร้องทั้งบอยแบนด์ และเกิลส์เจนเนอเรชั่น สร้างกระแสเกาหลีฟีเวอร์ให้วัยรุ่นไทยได้เลียนแบบ เที่ยวนี้เลยขอทำตัวเป็นนักเดินทางเชิงวัฒนธรรม เรียนรู้เกาหลีให้ถึงก้นบึ้ง...



หลังจากเคลียร์งานจนนอนตีหนึ่งกว่า แถมตื่นตีสี่เพื่อมาขึ้นเครื่องเที่ยวเจ็ดโมงเช้า สองเท้าฉันก็มาเหยียบแผ่นดินเกาหลีจนได้…..

สนามบินอินชอนดูทันสมัย วัสดุที่ใช้ดูดี ห้องน้ำกว้างขวางสะดวกสบาย ไม่ต้องมาสร้างเพิ่มแบบขาดๆ เกินๆ เหมือนสนามบินแถวหนองงูเห่า พอลงจากเครื่องเดินเงอะงะ ก็มีเจ้าหน้าที่มาชี้ทางสว่าง บอกให้เลี้ยวทางโน้นนะคะ...ขึ้นรถไฟ ไปเทอร์มินอล 1 ……ว๊าว..เริ่มต้นก็เอาความไฮเทคมาเล่นแล้ว ไม่เห็นเหมือนบ้านเราเลย ลงจากเครื่องก็มี Duty Free มาดักรอ

...ช๊อปก่อนนะค๊า..ไม่ต้องรีบร้อน...กระเป๋ายังมาไม่ถึง...นึกถึง King Power ก่อน…



ผ่าน ตม.เกาหลีมาแบบชิวๆ พร้อมกับกระเป๋าที่โหลดมาถึงไล่เลี่ยกัน เนื่องด้วยตัวสนามบินอยู่ห่างจากตัวเมืองมาก วันที่เราไปถึงรถไฟ Airport Express ยังไม่เปิดดำเนินการ วิธีการที่สะดวกที่สุดคือไปที่เคาท์เตอร์จำหน่ายตั๋วรถลีมูซีนบัส ที่อยู่ด้านนอกสนามบิน แล้วบอกเขาว่าเราจะไปไหน เขาก็จะจัดการออกตั๋วให้เสร็จสรรพ พร้อมกับบอกว่าจะต้องขึ้นรถเบอร์อะไร ที่ป้ายไหน สังเกตว่าคนเกาหลีเองก็ใช้บริการรถบัสกันซะส่วนใหญ่ แต่ใช้แท็กซี่ก็มีเหมือนกัน

ราคาค่ารถบัสจะแตกต่างกันออกไปตามระยะทาง แถมเบาะนั่งกว้างขวาง บวกน้ำเปล่าหยิบได้ตามสบายในตู้แช่ด้านหน้าก็นับว่าซื้อใจผู้มาเยือนได้อีก กระเป๋าโหลดใต้ท้อง สายนี้จอดห้าป้ายไม่ต้องกลัวลงผิด เพราะคนขับจะเช็คตลอดว่าใครลงป้ายไหน



ยอมรับเลยว่าผิดคาดจากความคิด อาจเป็นเพราะเราสองคนไม่เคยดูละครเกาหลีเลยสักเรื่องไม่ว่าจะเป็น Full House, Coffee Prince เจ้าหญิงวุ่นวายกับเจ้าชายขายชาเย็น กระทั่งแดจังกึม ถนนที่จะเข้าโซล กว้างขวาง ดูสะอาดสะอ้าน ต้นไม้สองข้างทางเขียวชอุ่ม แถมมีทางจักรยานในป่าข้างทางอีกต่างหาก รถขับผ่านสะพานที่ยาวมาก ประมาณว่าข้ามอ่าวสักอ่าว ที่เห็นได้ชัดถึงความเป็นชาตินิยมก็คือรถราต่างๆ ที่วิ่งกันขวักไขว่อยู่บนถนน ล้วนแล้วแต่เมดอินโคเรียแทบจะทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็น Hundai Kia Daewoo หรือ Sanyoung รถยุโรปนานๆ ถึงจะโผล่มาให้เห็น แล้วก็น้านนานกว่าจะมี Lexus ให้เห็นและเป็นรถสัญชาติญี่ปุ่นแบรนด์เดียวที่พบบนถนน



โรงแรมที่เราพักตั้งอยู่ในย่านที่มีชื่อว่า “มยองดง” ซึ่งเปรียบได้กับสยามสแควร์บ้านเรา มีผู้คนเดินกันขวักไขว่ ร้านค้ามากมาย พนักงานขายและ Reception ไม่รู้ไปคัดสรรมาจากไหน ส่วนมากจะสวย น่ารักทั้งนั้น พวกที่ไม่สวยมากเท่าไหร่ก็อาศัยเสื้อผ้าหน้าผม โดยรวมแล้วส่วนใหญ่ดูดีทีเดียว ร้านค้าหลายๆ ร้านจะมีสาวๆ นุ่งกระโปรงสั้น ใส่บู๊ทสูง มายืนบนเก้าอี้เตี้ยๆ ตะโกนเรียกลูกค้าเข้าร้าน แถมช่วงนี้เป็นช่วงหน้าร้อนของเกาหลีเช่นกัน สาวๆ ก็เลยนิยมนุ่งกางเกงขาสั้น รองเท้าส้นสูง อวดขาเรียวขาว แล้วหุ่นสาวเกาหลียุคนี้ก็เพรียว ขาว สวย หมวย เอ็กซ์ ตรงสเป๊กชายหนุ่มที่มาด้วย เดินไปก็ต้องบอกเขาให้กรุณาพักสายตาดูบ้านดูเมืองบ้าง

...เขาตอบว่าไงรู้ไหม...

“..อันที่จริงมันก็เป็นเรื่องของความปรุงแต่งทั้งนั้น ทุกอย่างมีเหตุปัจจัยตามหลักพุทธศาสนา ก็ในเมื่อมีสาวๆ หุ่นดี ผิวขาวๆ แต่งตัวนุ่งสั้น เดินผ่านไปผ่านมาเต็มไปหมดจะให้ละเลยว่าไม่เห็น คงเป็นไปไม่ได้ เมื่อผัสสะ คือตา กระทบรูป และ เอ้อ..ความขาว.... จิตก็ปรุงแต่ง ว่าขาวหนอ...ขาวหนอ...ผ่านไปแล้วหนอ....มาอีกคนแล้วหนอ..โอ๊ย !..จะรอดไหมน๊อ.. โอ๊ย!..”

......ฉันทุบเปรี้ยงเข้าให้แทนการติดกัณฑ์เทศน์...เฮ้อ..อีตานี่...เดี๋ยวเถอะ..




มีพระราชวังอยู่สามสี่แห่งที่น่าสนใจในโซล แต่พระราชวังที่อยู่กลางเมืองที่สุดคือ พระราชวังด็อกซูกุง ( DeoksuGung ) ซึ่งตั้งอยู่บริเวณ City Center ขึ้นจากสถานีรถไฟใต้ดินถึงประตูทางเข้าวังเลย ตำหนักต่างๆ ที่นี่ส่วนใหญ่สร้างขึ้นมาใหม่เลียนแบบของเก่า เพราะถูกทำลายช่วงสงครามหลายครั้ง พระราชวังแห่งนี้มีตำหนักไม่กี่หลัง ถึงจะดูไม่ยิ่งใหญ่ โอ่อ่า แต่ก็ร่มรื่นด้วยต้นไม้ สถาปัตยกรรมเกาหลีได้รับอิทธิพลมาจากจีนและญี่ปุ่นเป็นส่วนใหญ่ แต่การใช้สีสันจะแตกต่างออกไป ไม่สดใสเหมือนจีน แต่ก็ไม่เคร่งขรึมเท่าญี่ปุ่น



ตัวตำหนักแต่ละหลังจะคล้ายๆ กัน มีการใช้ประตูหน้าต่างแบบเป็นช่องเล็กๆ กรุด้วยกระดาษสา ชวนให้นึกถึงหนังซามูไร ประเภทนินจาแฝงตัวเข้ามาแล้วเอานิ้วจิ้มเพื่อเจาะรูแอบดู เดินไปรอบๆ ก็เห็นรูที่ถูกนิ้วจิ้มแบบนี้ตามหน้าต่างหลายๆ บานของแต่ละตำหนัก อิ..อิ.. คิดไว้ไม่ผิดเลย

นอกจากตำหนักแบบตะวันออกแล้ว ยังมีอาคารแบบตะวันตก เป็นตึกสองชั้นเสากลมแบบโรมันหน้าตาคล้ายทำเนียบขาว แต่ทาสีปูนแห้ง ดูแปลกแยกอยู่ด้วยหนึ่งหลัง อ่านในแผ่นพับที่ได้มาพร้อมตั๋ว บอกว่าเป็นอาคารที่สร้างในยุคจักรวรรดิเกาหลี (Korean Empire) เมื่อร้อยปีที่แล้ว เพื่อรับแขกบ้านแขกเมืองจากยุโรป นัยจะบ่งบอกว่าข้าก็ศิวิไลซ์เหมือนกัน แต่เห็นแล้วอดเปรียบเทียบกับของเราไม่ได้



พระบรมมหาราชวังของเราซึ่งมีพระที่นั่งหลายองค์ สมัยพระพุทธเจ้าหลวงรัชกาลที่ห้า ก่อนหน้าจักรวรรดิเกาหลีเกือบ 50 ปี เมื่อเราต้องรับมือกับมหาอำนาจจากตะวันตกในยุคล่าอาณานิคม เราก็สร้างพระที่นั่งจักรีมหาปราสาทขึ้นเพื่อรับแขกบ้าน- ศัตรูเมือง ให้ชาติตะวันตกรับรู้ว่าเราเป็นประเทศที่เจริญเท่าเทียมกันนะ ตัวอาคารเป็นตึกแบบตะวันตก แต่หลังคาซึ่งถ้าจะเลียนแบบต้องเป็นยอดโดม หรือปาดเรียบ กลับถูกออกแบบให้เป็นยอดปราสาทแบบไทย ให้รู้ว่าเจริญนะ...แต่เป็นตัวของตัวเอง แล้วก็สร้างออกมาได้งามหยดอย่างที่เห็น ผสมผสานศิลปกรรมไทยและยุโรปอย่างลงตัว อันนี้ต้องบอกว่าเราเจ๋งกว่า ขอกราบขอบคุณบรรพชน แม่กองสถาปนิกยุคนั้นไว้เลยค่ะ




เดินเล่นถ่ายรูปอยู่ราวชั่วโมงก็ไปต่อ จุดหมายคือพระราชวังเคียงบกคุง (GyeongbokGung) พระราชวังที่ใหญ่ที่สุดในเกาหลี ความจริงต้องเรียกว่า พระราชวังเคียงบก เพราะคำว่าคุง ในภาษาเกาหลีแปลว่าวัง ซื้อตั๋วพร้อมจ่ายค่า Audio Guide กำลังจะเดินเข้าไปก็พอดีเป็นช่วงเปลี่ยนเวรทหารยาม สีสันสดใสของชุดแบบโบราณพร้อมอาวุธประเภทหอก ดาบ ธนู และธงทิวผืนใหญ่กับเสียงกลอง ดึงดูดนักท่องเที่ยวให้มามุงดูและถ่ายรูป พิธีการนี้จะว่าไปก็เป็นการสร้างเรื่องราวขึ้นมานั่นแหละ โดยอาศัยบันทึกในประวัติศาสตร์สมัยกษัตริย์เยจง ซึ่งมีการเปลี่ยนเวรทหารองครักษ์ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1469 ทหารที่มาแสดงอยู่นี้ก็ไม่ใช่ทหารอาชีพ ไม่แน่ใจว่าวันหนึ่งมีกี่รอบ แต่ก็ทำให้การเข้าชมพระราชวังมีชีวิตชีวา

นี่แหละคือเสน่ห์ของเกาหลี ทุกคนร่วมแรงร่วมใจกันทุ่มเท ขุดของเก่าเอามาทำใหม่ สร้างเรื่องราว ใส่สีสันทำให้เกิดเสน่ห์ ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมนักท่องเที่ยวจึงแห่มากันตรึม...ของเขาขายประเทศ...ของเราขายชาติ!!...เย้ !!



ผ่านประตูหน้าเข้าไปด้านใน เลย์เอาท์คล้ายๆ พระราชวังต้องห้ามของจีน มีลานหินทอดยาวไปยังตัวตำหนักหลังใหญ่ที่ใช้เป็นท้องพระโรงว่าราชการสำหรับกษัตริย์สมัยโน้น เชื่อมต่อกับฝ่ายในโดยมีประตูและกำแพงกั้น ตัวอาคารหรือตำหนักต่างๆ มีสีสันและลวดลายคล้ายๆ กันไปหมด ตอนแรกก็ตั้งใจดู แต่ดูนานๆ ก็เฉยๆ เพราะเหมือนกันจนแยกไม่ค่อยออก



เดินเลยเข้าไปด้านในซึ่งมีพื้นที่กว้าง มีตำหนักเล็ก ตำหนักน้อยหลายหลัง ที่โดดเด่นคือตำหนัก “เคียงโฮรุ” ซึ่งมีลักษณะเหมือนศาลาทรงสูงยื่นไปในสระน้ำขนาดใหญ่ ใช้เป็นที่จัดเลี้ยงรับรองแขกบ้านแขกเมืองในสมัยนั้น เราเดินดูตำหนักแต่ละหลังจนเกือบทั่ว ยกเว้นบางส่วนที่ปิดซ่อม แล้วก็เดินเลยไปยังพิพิธภัณฑ์พื้นบ้านแห่งชาติเกาหลี (The National Folk Museum of Korea) ที่นี่แหละของดีที่ไม่ควรพลาด



พิพิธภัณฑ์แห่งนี้ เป็นพิพิธภัณฑ์ที่มีชีวิตชีวามาก เพราะมีการนำเทคโนโลยีมัลติมีเดีย มาช่วยในการบอกเล่าวิถีชีวิตและความเป็นมาของชนชาติ ตั้งแต่ยุคดึกดำบรรพ์จนถึงปัจจุบัน มุมจัดแสดงแต่ละส่วนนอกเหนือจากวัตถุที่ตั้งแสดงแล้ว จะมีทั้งเสียงและภาพหรือองค์ประกอบที่เคลื่อนไหว มีการเว้นจังหวะและระยะเวลาที่ทำให้ต้องตั้งใจดู ไม่ใช่แค่เดินผ่าน และส่วนประกอบเหล่านั้นก็เป็นแค่องค์ประกอบที่มิได้รบกวนสาระหรือสิ่งของหลักที่จัดแสดงเลย ตอนแรกคิดว่าจะดูเดี๋ยวเดียว แต่กลับกลายเป็นว่าใช้เวลานานมากที่นี่



ภายในพิพิธภัณฑ์จัดแบ่งเป็นสามโซน มีโซนประวัติศาสตร์ โซนวิถีชีวิต โซนศิลปหัตถกรรมและเครื่องใช้ต่างๆ มีทั้งโมเดลขนาดเล็กที่จำลองให้เห็นภาพกว้าง ทั้งตุ๊กตาคุณยายตัวเล็ก ท่าทางอารมณ์ดีในสังคมหมู่บ้านชนบท หุ่นจำลองขนาดจริงที่เหมือนจะยกบ้านมาไว้ทั้งหลัง จำลองการเรียนการสอนภาษาให้เด็กๆ โดยมีเสียงเป็นองค์ประกอบ และอื่นๆ อีกมากมายหลายหลาก ที่ทำให้ยิ่งดูยิ่งเพลิน นอกจากนั้นยังมีพิพิธภัณฑ์เด็ก ให้เด็กได้รู้จักการละเล่นสมัยโบราณ การได้ล้วงมือสัมผัสกับข้าวเปลือก ข้าวสาร เมล็ดข้าวโพด เพื่อแยกความแตกต่างด้วยผิวสัมผัส การเรียนรู้การสร้างบ้านแบบโบราณ การทำกิมจิ และอื่นๆ แบ่งพื้นที่ให้เด็กๆ ได้ความสนุกสนานควบคู่ไปกับความรู้ เห็นแล้วน่าชื่นใจ



ที่ถูกใจข้าน้อยที่สุด ก็คือมีการแสดงดนตรีและนาฏศิลป์ต่างๆ ให้นักท่องเที่ยวได้ชมฟรี อาทิตย์ละหนึ่งรอบทุกวันเสาร์หรืออาทิตย์ วันเสาร์ในออดิทอเรี่ยมหรู แต่ถ้าเป็นวันอาทิตย์จะเป็นกลางแจ้งสลับกัน จังหวะพอดีที่การแสดงครั้งนี้คือ Percussion Ensemble จากเมือง Techeon เราเลยพักขาเข้าไปนั่งรับแอร์เย็นฉ่ำแทน ผู้เล่นดนตรีเป็นหญิงสี่ชายสาม แต่งกายในชุดโบราณและใช้เครื่องดนตรีพื้นบ้านของเกาหลี

ดนตรีพื้นเมืองเป็นของโปรดอยู่แล้ว แถมเมื่อเจอกับการเคาะจังหวะอย่างสนุกสนาน จากผู้เล่นทั้งเจ็ดคน ทั้งกลองสองหน้าและหน้าเดียว และฉาบอีกคู่ บอกได้คำเดียวว่าสุดยอด ทั้งๆ ที่คนตีกลองคือผู้หญิงสี่คน แต่เล่นได้อย่างใส่อารมณ์มาก เฉพาะเพลงแรกก็เล่นรวดเดียวสิบห้านาทีในจังหวะที่อ่อนช้อยราวกับเสียงแห่งเม็ดฝนที่ค่อยๆ โปรยปรายตอนเริ่มต้น และจบลงด้วยความมันประหนึ่งพายุที่พัดถาโถมเข้าใส่ในช่วงท้าย ใช้เวลาเล่นดนตรีทั้งสิ้นหนึ่งชั่วโมง ชอบมาก....ไม่ใช่เพราะดนตรีที่เล่นได้ดีอย่างเดียว แต่การที่ได้เห็นผู้เล่นมีอาการ “อิน” ขณะเล่น ก็ยิ่งรู้สึกสนุกสนานตามไปด้วย การเล่นกลองและเพอร์คัสชั่น ต้องใช้พลังและความแม่นยำอย่างมาก เพราะอาศัยจังหวะ หนัก – เบา ของการเคาะหรือตี แทนเมโลดี้แห่งเสียง ผู้หญิงทั้งสี่คนที่ตีกลองใช้พลังของเธออย่างมีจังหวะ...ปรบมือให้แบบสุดๆ ไปเลย



จากสูจิบัตร ครั้งนี้เป็นการจัดในออดิทอเรี่ยมครั้งที่ 557 ส่วนการแสดงกลางแจ้งจัดน้อยกว่า เพราะจัดไป 232 ครั้งเท่านั้น....โอ๊ย..อิจฉาคนเกาหลีมากที่ได้มีโอกาสดูศิลปวัฒนธรรมของตัวเองฟรีทุกๆ อาทิตย์...แล้วก็พลอยทำให้นึกถึงบ้านเรา มีไหม...ที่รัฐบาลสุดที่รักจะมอบสิ่งเหล่านี้ให้ประชาชนอย่างสม่ำเสมอบ้างโดยไม่ต้องรอเทศกาล หรือต้องรอให้มีพิธีเปิดงานใดงานหนึ่งที่ต้องมีผู้ใหญ่มากล่าวสุนทรพจน์อย่างยืดยาวก่อนถึงจะได้ดู



กอ ทอ มอ เคยเคยจัดดนตรีในสวนลุมบ้างแต่ก็ไม่ต่อเนื่อง ส่วนเกาหลีนะเหรอ นอกเหนือจากการโชว์และสนับสนุนดนตรีและนาฏศิลป์อันเป็นรากเหง้าของตัวเองแล้ว ยังมีเวทีสำหรับวัยรุ่นโดยเฉพาะให้ได้ออกมาวาดลวดลายดนตรีสมัยใหม่ ทั้งแร๊ป ร๊อค เห็นตั้งแต่ที่สนามบินมีเวทีให้วัยรุ่นไปประกวด ในย่าน “มยองดง”แถวโรงแรมที่พักตอนกลางคืนก็มีเวทีให้ขาโจ๋ขึ้นไปวาดลวดลาย คนดูเพียบ ก็สนุกสนานกันไปตามวัย ส่วนอีกที่หนึ่งซึ่งกำลังจะหาโอกาสไปดู มีชื่อว่าแทฮัคโน เป็นแหล่งชุมนุมของโรงละครขนาดเล็กกว่า 40 โรง ที่เปิดโอกาสให้บรรดานักศึกษาและมือสมัครเล่น ได้มาร้อง มาเล่น มาแสดงออก

เข้าใจแล้วว่าทำไมจึงมีศิลปินแนว K Pop เกิดขึ้นมากมายและโด่งดังไปทั่วโลกด้วย ก็บ้านเขาสนับสนุนให้แสดงออก มีเวทีให้กับคนทุกรุ่นทุกวัย ทั้งศิลปินพื้นบ้านและขาโจ๋ ซึ่งพัฒนากลายมาเป็นสินค้าส่งออกทางวัฒนธรรมที่หนุ่มๆ ในที่ทำงานฉันติดกันงอมแงม ทั้ง Wonder Girls, Girl’ Generation, After School จนถึง เรน คนโปรดของสาวๆ ไทย

วันนี้พอแค่นี้ก่อนดีกว่า พรุ่งนี้จะไปดูโชว์ Cooking’ Nanta การแสดงโชว์ประกอบดนตรีในรูปแบบ Percussion ที่เคยมาเปิดการแสดงที่เมืองไทย มาเกาหลีเที่ยวนี้ขอดู Percussion ทั้งแบบโบราณและสมัยใหม่ ให้ถูกอกถูกใจอิ่มหนำสำราญซักครั้ง เรื่องเล่าจากเกาหลีจึงยังไม่จบง่ายๆ เอาไว้ต่อตอนหน้าละกัน

… ฮันนยองฮิ เคเซโย.....







 

Create Date : 09 มิถุนายน 2553   
Last Update : 10 มิถุนายน 2553 8:05:27 น.   
Counter : 1582 Pageviews.  

นครวัด อัปสรา สุดสัปดาห์ใกล้ๆ บ้าน

“หนึ่งในบรรดาวิหารเหล่านี้ อาจถือได้ว่าเป็นคู่แข่งของวิหารที่สร้างโดยกษัตริย์โซโลมอนผู้ยิ่งใหญ่ สิ่งก่อสร้างเหล่านี้ น่าจะสร้างโดยไมเคิล แองเจโล ในสมัยโบราณ และควรได้รับการยกย่องว่าเป็นสถานที่ที่มีเกียรติ เฉกตึกรามบ้านเรือนที่สวยงามทั้งหลายของพวกเรา มันยิ่งใหญ่กว่าสิ่งใดๆ ที่ชาวกรีกและชาวโรมันสร้างไว้ ในบรรดาอนุสรณ์สถานทั้งหลายที่คนโบราณทิ้งไว้ให้อนุชนรุ่นหลังนั้น นครวัด นครธม ถือเป็นสิ่งที่สวยงามที่สุด และได้รับการรักษาไว้อย่างดีที่สุด......มันทำให้นักเดินทางอย่างข้าพเจ้าหายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้ง ในจิตใจเต็มไปด้วยความเบิกบาน ราวกับคนเดินทางในทะเลทราย ได้พบโอเอซิสก็ไม่ผิดนัก...”

อองรี มูโอต์
นักเดินทางผู้ยิ่งใหญ่ชาวฝรั่งเศส
(บางตอนจากหนังสือ “การเดินทางสู่อินโดจีน” ปี พ.ศ. 2406)



See Angkor Wat and Die (ยลนครวัดก่อนวันสิ้นใจ) ข้อความที่ อาร์โนลด์ ทอยน์บี นักประวัติศาสตร์ชาวอังกฤษได้กล่าวไว้ ได้กลายเป็นการจุดประกายให้คนทั้งโลกต้องเปิดแผนที่ตามหานครลึกลับแห่งนี้กันจ้าล่ะหวั่น

เราสองคนก็เช่นกัน และด้วยเวลาที่รวดเร็วกว่าขับรถติดๆ จากบ้านไปทำงานตอนเช้า สายการบินบางกอกแอร์เวย์ก็พาเราลัดฟ้ามาถึงเสียมเรียบ เมืองอารยธรรมแห่งอาณาจักรขอมโบราณ อากาศที่นี่ไม่ต่างจากบ้านเรา แถมยังเหมือนอยู่เมืองไทยอีกต่างหาก เพราะทั้งสนามบินเต็มไปด้วยคนไทยที่มาท่องเที่ยวในช่วงวันหยุด ขนาดสถานการณ์ระหว่างประเทศของสองประเทศไม่ค่อยจะราบเรียบสักเท่าไหร่ เราแบกเป้ขึ้นบ่า มาเขมรแค่นี้มีเป้คนละใบก็พอ เอาเป้ไปทิ้งไว้ในโรงแรมแล้วโดดขึ้นรถที่รออยู่...ปราสาทหินนครวัด คือเป้าหมายหลักของทริปนี้




ปราสาทหินนครวัดเป็นปราสาทหินทรายอายุกว่า 1,000 ปี สร้างขึ้นในรัชสมัยพระเจ้าสุริยวรมันที่ 2 หรือราวพุทธศตวรรษที่ 15 (ก่อนสุโขทัยราว 300 ปี) ด้วยจุดประสงค์เพื่อให้เป็นทิพยวิมานของพระวิษณุ และเป็นพระราชสุสานของพระองค์เอง ในใจกลางเมืองเสียมเรียบนั้น พระองค์กำหนดให้เป็นศูนย์กลางแห่งจักรวาล ด้วยในเพลานั้นอาณาจักรขอมเรืองรองและเกรียงไกรไปทั่วทุกทิศทาง

นักโบราณคดีสันนิษฐานว่า ในการสร้างนครวัดบนพื้นที่กว้าง 85,000 ตารางเมตร จะต้องใช้หินรวมกันเป็นปริมาตรกว่า 6 แสนลูกบาศก์เมตร ใช้ช้างในการลำเลียงหินมาถึง 4 หมื่นเชือก ใช้แรงคนนับแสนในการทุบและขนหินจากพนมกุเลน ซึ่งอยู่ไกลจากนครวัดออกไปประมาณ 50 กิโลเมตร

ถ้าคำนวณการสลักเสลาหินเป็นนางอัปสราหรือเทพอัปสร ผู้พิทักษ์เทวสถานกว่า 1,500 องค์ กับภาพแกะสลักเรื่องราวในมหากาพย์รามายณะและมหาภารตยุทธ ก็น่าจะต้องใช้ช่างฝีมือด้านประติมากรรมกว่า 5,000 คน นั่งกินนอนกินเพื่อทำงานเหล่านี้กว่า 40 ปี รวมเวลาแล้ว กว่าที่อังกอร์จะงดงามประหนึ่งทิพยวิมานตามพระราชประสงค์ของคิงชัยวรมันต์ที่สอง ก็น่าจะใช้เวลาประมาณ 100 ปี นั่นก็หลังจากพระองค์เสด็จสวรรคตนานแล้ว



ตัวปราสาทสร้างด้วยหินทรายมีระเบียง 3 ชั้น มีภาพจำหลักหินรายรอบระเบียง ที่เด่นที่สุดคือภาพจำหลักของนางอัปสราจำนวน 1,635 องค์ ที่ไม่ซ้ำกันเลย เรียงรายล้อมรอบปราสาทตั้งแต่ระเบียงชั้นนอกสุดจนถึงชั้นใน ว่ากันว่านางอัปสราทุกภาพ มีเค้ามาจากนางสนมของพระเจ้าสุริยวรมัน ที่มีอยู่นับพันคน...

....ว่าแต่ว่า...พระองค์เอาเวลาที่ไหนไปทำการเมืองนะ ถ้าการบ้านพระองค์ทรงมีจำนวนเยอะอย่างนี้

พระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 ทรงแปลคำว่า “อัปสร” แบบตรงตามศัพท์ว่า “ผู้กระดิกในน้ำ” นั่นก็เพราะเหล่าอัปสรเกิดจากการกวนเกษียรสมุทร เมื่อคราที่พระวิษณุกวนเกษียรสมุทรเพื่อให้ได้น้ำอมฤตมาหล่อเลี้ยงโลกให้อุดมสมบูรณ์ ก่อนที่จะได้น้ำอมฤต มีเหล่านางอัปสราผุดขึ้นมานับหมื่นนับแสนองค์

นางอัปสราเหล่านี้เป็นหญิงรูปงาม ประดับด้วยเครื่องถนิมพิมพาภรณ์ล้วนแล้ววิจิตร ทว่าอับโชค เพราะไม่มีเทวดาหรืออสูรตนใดรับไปเป็นคู่ครองเลย นางเหล่านี้จึงต้องตกเป็นของกลางมีนามว่า “สุรางคนา” แปลว่า เมียเทวดาทั่วไป หรือ “สุมทาตมชา” แปลว่า หญิงผู้มัวเมา...เวรจริง!



นอกจากภาพนางอัปสราแล้ว ยังมีภาพจำหลักหินที่รายล้อมระเบียงอีก โดยเฉพาะชั้นนอกสุด เป็นภาพมหาภารตะยุทธหรือรามเกียรติ์ ภาพการกวนเกษียรสมุทร และภาพที่คนไทยพลาดไม่ได้ คือภาพการเดินทัพของกองทัพเสียมกุกหรือสยาม ที่ดูเหมือนจะเดินทัพกันอย่างสบายๆ แบบไทยๆ

จากระเบียงชั้นในขึ้นสู่ปราสาทหลังกลาง มีบันไดยาวแต่หน้าแคบๆ และชัน ทอดขึ้นสู่ปราสาท สถาปนิกสมัยโบราณเข้าใจออกแบบนะ ต้องค่อยๆ วางเท้าด้านข้างถึงจะขึ้นลงได้ ทำให้ต้องค่อยๆ ก้าว ช้าๆ ทีละขั้น คงจะต้องการให้เป็นการเคารพต่อสถานที่ไปในตัว ใครขืนวิ่งขึ้นวิ่งลงตรงๆ มีหวังได้ร่วงลงไปกองอยู่ข้างล่าง ยิ่งถ้าดูจากการแต่งกายของนางอัปสราที่นุ่งผ้ายาวกรอมเท้าก็น่าจะต้องค่อยๆ ย่างเยื้องชำเลืองเดินเยี่ยงที่ฉันกำลังทำอยู่นี้



ยิ่งแดดร่มลมตกคนก็ยิ่งเยอะ เราเลยถ่ายรูปสวยแบบเต็มๆ ไม่ค่อยจะได้ เปลี่ยนเป็นเดินเล่นชมอัปสราและภาพจำหลักไปเรื่อยๆ กะว่าพรุ่งนี้เช้าจะมาตั้งแต่ไก่ยังไม่โห่เลยเอ้า เดินจนเมื่อยก็ออกมาจากปราสาทนครวัดไปยังยอดเขาพนมบาเค็งที่อยู่ไม่ไกล นั่งดูพระอาทิตย์ดวงเดียวกับที่เห็นที่กรุงเทพฯ ตกดิน เฮ้อ...ก็แปลกนะ พระอาทิตย์ในเขมรนี้ดูสวยกว่าในกรุงเทพฯ แถมเวลาตกก็ค่อยๆ ตก ไม่เหมือนในกรุงเทพฯ ตกตอนไหนก็ไม่รู้ ยังทำงานไม่เสร็จเลย




รุ่งขึ้น ยังไม่ทันเช้า เราก็พร้อมแล้ว ตั้งใจมาเก็บภาพนครวัดยามเช้าอีกครั้ง โอ้...พระเจ้าจอร์จ เอ๊ย! พระเจ้าสุริยะ - วร - มัน...ยอดมาก! คนเป็นร้อยแห่กันมาชมพระอาทิตย์ขึ้นที่นี่ จะตั้งกล้องมุมไหนก็เห็นแต่ คน ค้น คน เลยเก็บกล้อง สองเรานั่งดูพระอาทิตย์ขึ้นพร้อมกับผู้คน เลยไม่มีภาพสวยๆ ดังใจคิดเอามาอวดกัน

นั่งดื่มด่ำกับบรรยากาศอยู่พักใหญ่ พอแดดจ้าก็แว่บไปหาอะไรรองท้อง แล้วนั่งรถต่อไปยังนครธมหรือปราสาทบายนซึ่งอยู่ห่างนครวัดไปไม่กี่กิโลเมตร รถจอดได้แค่ด้านนอก ต้องเดินข้ามสะพานที่ขนาบข้างด้วยอสูรยุดนาค ที่ซุ้มประตูทางเข้ามีพักตร์บายนกำลังจ้องมองลงมา เหมือนจะถามว่าเจ้าจะเข้าไปข้างในแน่หรือ ครั้นพอผ่านซุ้มประตูเข้าไป ก็ขนลุกซู่กับภาพเบื้องหน้า รู้สึกเหมือนถูกจับจ้องด้วยสายตาที่มองลงมาจากเบื้องบน




นครธมหรือปราสาทบายน มีอายุราว 700 ปี เป็นปราสาทที่แสดงให้เห็นถึงความยิ่งใหญ่ของพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 มหาราชแห่งอาณาจักรขอม ซึ่งเรืองอำนาจอยู่ในราวปี พ.ศ. 1724-1761 ก่อนอาณาจักรสุโขทัยเล็กน้อย

ปราสาทบายน ซึ่งหมายถึงภาพแกะสลักหน้าคน ถูกสร้างขึ้นโดยมีจุดประสงค์ให้เป็นเทวสถานและศูนย์กลางของจักรวาลเช่นเดียวกับนครวัด ต่างกันตรงที่เทพเจ้าของคิงชัยวรมันที่ 7 ไม่เหมือนกับบรรพบุรุษของพระองค์ที่เดินตามรอยคติพราหมณ์ เพราะพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ทรงเลื่อมใสศรัทธาในพระพุทธศาสนานิกายมหายาน พระพักตร์หรือบายนที่ปรากฏ คือพระพักตร์ของพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร ภาคหนึ่งของพระพุทธเจ้า ซึ่งมีความหมายว่า ผู้ที่มองลงมาจากเบื้องบนด้วยความเมตตากรุณา ซึ่งปรากฏอยู่บนยอดปรางค์ปราสาท 54 ปรางค์ แต่ละปรางค์มีพระพักตร์จำหลักอยู่ทั้ง 4 ทิศทาง รวมได้ถึง 216 พระพักตร์ มีความสูงขนาดเท่าตัวคนตั้งแต่ 1.75 เมตร ไปจนถึง 2.50 เมตร




รอยแย้มโอษฐ์เปี่ยมเมตตากรุณานี้ เรียกกันว่า “รอยยิ้มแห่งบายน” นักปรัชญาโบราณคดีตีความว่านี่คือสัญลักษณ์แทนความหมายถึงพรหมวิหารสี่ ที่พึงมีในพุทธศาสนิกชน ได้แก่ เมตตา กรุณา มุทิตา และอุเบกขา แต่ศาสตราจารย์จอร์จ เซเดย์ ผู้เชี่ยวชาญด้านประวัติศาสตร์ศิลปะขอม เขียนหนังสือไว้ตอนหนึ่งว่า...พระพักตร์พระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร สลักเสลาขึ้นตามเค้าพระพักตร์ของพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 แสดงถึงอิทธิปาฏิหาริย์ของพระโพธิสัตว์ และแสดงถึงพระราชอำนาจอันเกรียงไกรของพระเจ้าแผ่นดินขอมที่มีอยู่ทุกแว่นแคว้นในราชอาณาจักรอันกว้างใหญ่ของพระองค์ ด้วยพระองค์ทรงเป็นอวตารของพระโพธิสัตว์บนโลกมนุษย์นั่นเอง…





เราสองคนค่อนข้างชอบปราสาทแห่งนี้ในหลายมิติ ทั้งจากความเกี่ยวเนื่องกันของพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ซึ่งสืบเชื้อสายจากมหิธรปุระ เมืองใหญ่แห่งลุ่มน้ำมูลแถบพิมาย ซึ่งเกี่ยวพันกับปราสาทหินพิมาย ปราสาทหินพนมรุ้ง และปราสาทหินเมืองต่ำของไทย มีการขุดพบรูปปั้นพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ที่งดงามในท่านั่งสมาธิที่ถือว่าเป็นหนึ่งเดียวกับพระโพธิสัตว์ และทรงสร้างปราสาทอีกหลายแห่งในเขมร อาทิ ปราสาทตาพรม ปราสาทตาแก้ว ปราสาทพระขรรค์ เป็นต้น อีกทั้งพระองค์ยังเปลี่ยนศาสนาจากพราหมณ์หรือฮินดู มาเป็นพุทธ ทำให้เกิดพระพุทธรูปปางนาคปรกเขมรอันงดงามยิ่งอีกด้วย



เราใช้เวลาเดินถ่ายภาพที่นี่ก่อนจะไปแวะชมปราสาทตาพรหม และปิดท้ายด้วยปราสาทบันทายสรี ปราสาทหินทรายสีชมพูที่แกะสลักได้อย่างละเอียดยิบ งามหยดจนต้องดูแล้วดูอีก จนใกล้ค่ำก็กลับเข้าเก็บของที่ฝากไว้ในโรงแรมที่พัก ก่อนเดินทางกลับกรุงเทพฯ

ความยิ่งใหญ่ของมหาปราสาททั้งสองสะท้อนถึงศรัทธาหรือความเชื่อ ที่ผู้ครองแผ่นดินในเวลานั้นเป็นทั้งผู้ปกครองและผู้นำทางจิตวิญญาณ ทำให้ประชาชนมีส่วนในการสถาปนาความยิ่งใหญ่ได้ถึงเพียงนี้

เป็นอันว่าเราได้มา See Angkor Wat แล้ว......ส่วน and Die คงต้องรอสักพัก…

…..ยังต้องไปอีกหลายที่เพื่อ...see ก่อน die…..




 

Create Date : 19 พฤษภาคม 2553   
Last Update : 19 พฤษภาคม 2553 11:01:23 น.   
Counter : 2875 Pageviews.  

จากเวียงจันทน์ถึงวังเวียง

...เสียงล้อรถไฟกับเสียงเอี๊ยดอ๊าดของตู้โดยสาร ทำให้ฉันรู้สึกตัวตื่นขึ้น พยายามทบทวนตัวเองว่าอยู่ที่ไหนตอนนี้ ก่อนจะนึกได้ว่า ตัวเองกำลังนอนอยู่ในตู้นอน บนขบวนรถด่วนสายกรุงเทพฯ-หนองคาย ปฐมบทของการเดินทางไปวังเวียงของเราในครั้งนี้...



ขบวนรถด่วนมาถึงสถานีหนองคายเกือบสิบโมงเช้า แน่นอน...ช้ากว่าเวลาที่ระบุในตารางเกือบหนึ่งชั่วโมง แบกเป้ใบเล็กขึ้นบ่า ทริปนี้ไม่ต้องมีสัมภาระเยอะ ทำตัวเป็น Backpackerได้ ของหนักๆ ก็ฝากไว้กับเป้ของชายหนุ่มที่มาด้วย มาประเทศนี้มาม่าไม่ต้องพกมา ของกินมีเพียบ

ลงมาโต๋เต๋อยู่บนชานชลาได้เดี๋ยวเดียว หนุ่มที่มาด้วยหายแว๊บ ก่อนกลับมาด้วยตั๋วรถไฟในมือ โอ้..นี่ฉันกำลังจะเดินทางข้ามประเทศโดยรถไฟ ! ว๊าว...เหลียวหา Immigration โน่น ตรงโน้น มีใบกรอกขาออกเช่นเดียวกับที่สุวรรณภูมิ หยิบมากรอกแล้วเดินไปประทับลงตราพาสปอร์ต ฉันกำลังจะไปเมืองนอกแล้ว!



นี่เป็นครั้งที่สามในการมาเยือนเวียงจันทน์ แต่ถ้านับรวมลาวใต้แถวปากเซกับหลวงพระบางด้วย ก็มา สปป.ลาวครั้งที่ห้าแล้ว แต่คราวนี้เป็นครั้งแรกที่เราสองคนจะได้เดินทางข้ามประเทศด้วยรถไฟ ขบวนรถหนองคาย - ท่านาแล้ง มีฝรั่งกลุ่มใหญ่ร่วมขบวนไปกับเราด้วย รถไฟแล่นข้ามขัวมิดตะพาบ (สะพานมิตรภาพ) ใช้เวลาเดี๋ยวเดียวก็มาหยุดที่สถานีปลายทาง เดินลงไปกรอกเอกสารเข้าเมืองลาวพร้อมจ่ายค่าเหยียบแผ่นดิน ก็เป็นอันว่าผ่านเข้ามาอยู่ใน สปป.ลาว อย่างสมบูรณ์



ทริปนี้ฉันมีเพื่อนร่วมทางจากที่ทำงานมาด้วยอีกสามรวมเป็นห้า โทษฐานที่เคยมาเวียงจันทน์หลายครั้งจึงโดนเพื่อนๆ บังคับให้มาเป็นทัวร์ลีดเดอร์ในวันช่วงวันหยุดยาว ดีนะที่ใช้ภาษาไทยได้สบายในประเทศนี้ จึงไม่ต้องห่วงลูกทัวร์ เราพากันเดินไปที่คิวรถแท็กซี่ซึ่งอยู่ด้านซ้ายของสถานี ต่อรองราคาได้รถตู้ เหมาพาเที่ยวในนครหลวงเวียงจันทน์ รวมไปกลับวังเวียงด้วยเลย

อ้าย..ขึ้นรถโลด..!

ตามโปรแกรม เราจะเที่ยวในเวียงจันทน์ก่อนช่วงเช้า หม่ำข้าวเที่ยงแล้วตรงดิ่งไปวังเวียง ค้างสองคืน แล้วกลับมากินแหนมเนืองที่ร้านแดงหนองคาย สุดท้ายบิน Air Asia กลับจากอุดร แต่ขอโทษนะ โปรแกรมนี้ตามใจฉัน เพราะฉะนั้นอาจปรับเปลี่ยนได้โดยไม่สนใจใคร อิ อิ



จุดแรกเลยที่แวะไปคือพระธาตุหลวง ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญคู่บ้านคู่เมืองลาว ว่ากันว่าสร้างขึ้นพร้อมๆ กับนครเวียงจันทน์ และมีความสำคัญอย่างยิ่งถึงขนาดปรากฏในตราแผ่นดิน เราเข้าไปกราบองค์พระธาตุด้านใน เดินเวียนรอบแล้วออกมาถ่ายรูปด้านนอก ซึ่งมีอนุสาวรีย์ของสมเด็จพระไชยเชษฐา ผู้สถาปนากรุงศรีสัตนาคนหุตแห่งอาณาจักรล้านช้าง อยู่ด้านหน้า เราเอ้อระเหยซื้อขนมกินแล้วเดินทางต่อไปถ่ายรูปกับประตูชัย แต่ฉันไม่ได้ขึ้นไปข้างบนนะเพราะเคยขึ้นไปแล้ว แดดตอนเที่ยงเริ่มแรง เราอยู่ที่นี่ไม่นานก็นั่งรถไปหามื้อกลางวันทาน

คนขับรถตู้พาเราแวะร้านอาหารเจ้าดังในเวียงจันทน์ ร้านนี้คนเยอะทีเดียว ระหว่างนั่งในร้าน ฉันเหลือบมองข้างฝาเห็นปฎิทินลาวแขวนอยู่ ลุกขึ้นเดินไปถือวิสาสะเปิดดู อ้อ..ปฎิทินเบียร์ดังของลาว “เบยลาว” เป็นรูปแม่หญิงลาว แต่งชุดประจำชาติที่ดูงดงามแตกต่างกันไปในแต่ละเดือน เห็นแล้วอดนึกถึงปฏิทินเบียร์ลีโอของไทย ที่ตั้งอยู่บนโต๊ะหนุ่มๆ ในที่ทำงานฉันไม่ได้ ......ของเขาแม่หญิงลาวนุ่งซิ่น ของเราแม่เสือสาวบอดี้เพนท์!



ท้องอิ่มก็ทัวร์เวียงจันทน์ต่อ เราไปที่หอพระแก้ว ซึ่งสร้างขึ้นเพื่อใช้เป็นที่ประดิษฐานพระแก้วมรกตที่อัญเชิญมาจากล้านนา ซึ่งต่อมาได้ถูกอัญเชิญมายังกรุงเทพฯ ปัจจุบันหอพระแก้วกลายเป็นพิพิธภัณฑ์จัดแสดงวัตถุโบราณจำนวนหนึ่ง เราเดินดูโดยรอบแล้วข้ามฟากไปยังวัดสีสะเกด ซึ่งเจ้าอนุวงศ์ทรงโปรดให้สร้างขึ้น จุดเด่นของวัดนี้คือ การเจาะช่องเล็กๆจำนวนมากบนผนังด้านในของระเบียงคดที่ล้อมรอบอุโบสถ เพื่อบรรจุพระพุทธรูปเล็กๆ ช่องละ 2 องค์ รวมๆ แล้วกว่า 2,000 องค์ และจุดสุดท้ายของการทัวร์เวียงจันทน์คือ วัดศรีเมืองซึ่งเป็นที่ตั้งของเสาหลักเมืองประจำนครเวียงจันทน์ เราเข้าไปกราบพระประธานและเสาหลักเมือง จากนั้นก็เริ่มการเดินทางไปยังวังเวียง



จากเวียงจันทน์ไปวังเวียง ใช้เวลาเดินทางสามชั่วโมง ชมวิวสองข้างทางบ้าง หลับบ้าง ก็มาถึง ที่พักเราอยู่ติดริมแม่น้ำซองทางใต้ของตัวเมือง ห้องพักมีระเบียงริมน้ำ บรรยากาศดี เก็บข้าวของแล้วนั่งเล่นสบายๆ อยู่ที่พักจนเย็นจึงค่อยเริ่มออกเดินชมเมือง มีรถเข็นขายโรตี บาเก็ต (ขนมปังฝรั่งเศส) ข้างทาง ให้เราแวะชิมไปเรื่อยๆ



วังเวียง เริ่มมีชื่อเสียงขึ้นมาเมื่อประมาณสิบปีที่แล้ว ในฐานะเมืองเล็กๆ ริมน้ำซองที่เงียบสงบ สายน้ำใสไหลเอื่อย นักท่องเที่ยวและนักเดินทางที่ชื่นชอบธรรมชาติและความน่ารักแบบชนบท จึงพากันมาฝังตัวอยู่ที่นี่คราวละหลายๆ วัน และเมื่อความนิยมเพิ่มขึ้น วังเวียงกลายเป็นสถานที่ยอดฮิตของ Backpacker ทั้งฝรั่งและสารพัดนักท่องเที่ยว ทำให้เจ้าของบ้านต้องปรับตัว สร้างสิ่งอำนวยความสะดวกและสิ่งบันเทิง เพื่อเอาใจและเอาเงินผู้มาเยือนมากหน้าหลายตา

กิจกรรมยอดฮิตของที่นี่คือการเล่น “กงเบ่ง” หรือการล่องห่วงยาง ซึ่งมาจากยางในรถยนต์เหมือนบางแสนบ้านเรา โดยจะมีรถพาไปส่งทางเหนือน้ำ แล้วล่องห่วงยางตามน้ำมาขึ้นที่ท่าในตัวเมืองวังเวียง เราไม่ได้เล่นแต่เลือกที่จะนั่งเรือหางยาว ขึ้นล่องชมวิวทิวทัศน์สองฝั่งในเช้าวันรุ่งขึ้นแทน เรือแล่นผ่านตัวเมืองขึ้นไปทางเหนือ สวนทางกับนักท่องเที่ยวฝรั่งกรุ๊ปใหญ่ ที่พายเรือคายัคล่องลงมาตามลำน้ำ ผ่านแหล่งเล่นน้ำ ซึ่งมีการสร้าง “สไลเดอร์” พื้นบ้านในแบบต่างๆ เห็นแล้วก็อดขำไม่ได้ สายน้ำที่ไหลเอื่อย ภูเขาสลับซับซ้อน บวกกับสายลมเย็นและต้นไม้เขียวริมฝั่ง ให้ความรู้สึกผ่อนคลาย ลืมความวุ่นวายในกรุงเทพฯ ไปได้ชั่วขณะ



ก่อนมาวังเวียง เราหาข้อมูลกันล่วงหน้า ก็เลยทำใจไว้แล้วว่า “วังเวียง” ปัจจุบัน คงไม่ใช่อย่างที่เราสองคนอยากมาเมื่อหลายปีก่อน เมื่อเราไม่ได้คาดหวัง เราจึงไม่รู้สึกผิดหวังแต่อย่างใด เมื่อได้เห็นวังเวียงที่แปรเปลี่ยนจากเมืองเล็กๆ ที่สงบเงียบริมน้ำ เป็นเมืองที่มีฝรั่งเดินหัวแดงเป็นแถว ร้านค้าต่างๆ มีสภาพไม่ต่างกับเมืองท่องเที่ยวที่ถูก “สปอย” โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “ย่านฝรั่งบ้า” ที่เปิดเพลงดังลั่นคุ้งน้ำ มีฝรั่งเต้นโยกไปตามจังหวะเพลง กระโดดน้ำ โหนเชือก เล่นห่วงยางล่องไปตามลำน้ำ ส่งเสียงโหวกเหวกโวยวาย ด้วยความสนุกสนานผสานฤทธิ์ L.ก.ฮ. ดูแล้วให้สงสารวังเวียงจับใจ และเราคงไม่อยากเห็นบ้านเรามีสภาพเช่นนี้ เทียบกับปาย ที่เริ่มจะพลุกพล่าน หรือเมืองน่าน ที่ยังคงเอกลักษณ์ของตัวเองไว้ได้อย่างดี



กิจกรรมท่องเที่ยวอีกอย่างของวังเวียง คือการไปเที่ยวถ้ำต่างๆ เราเหมารถสองแถวคันเล็ก ไปเที่ยวถ้ำซึ่งอยู่อีกฝั่งของลำน้ำซองทางตอนเหนือของวังเวียง รถจอดริมแม่น้ำ ต้องเดินข้ามสะพานและใช้บริการคุณลุงไกด์ท้องถิ่นพาเราเดินลัดเลาะนาข้าว ข้ามทุ่งไปยังภูเขาหินที่อยู่ห่างออกไป พาทัวร์ถ้ำสามแห่ง ใช้เวลาสี่ชั่วโมง แล้วนั่งรถกลับไปเดินลุยน้ำเล่นแถวโรงแรมที่พัก ตบท้ายด้วยการชมแสงสียามราตรี บนถนนหลักของวังเวียง ก่อนเดินทางกลับในวันรุ่งขึ้น



มาวังเวียงคราวนี้ มีทั้งธรรมชาติที่งดงาม ควบคู่กับความเจริญทางวัตถุที่ฉุดไม่อยู่และยากที่จะควบคุม ต้องยอมรับว่า บางครั้งดัชนีการเติบโตของ GDP ก็สวนทางกับดัชนีความสงบสุขของชีวิต อย่างที่เห็นได้ที่วังเวียงนี้




 

Create Date : 15 พฤษภาคม 2553   
Last Update : 15 พฤษภาคม 2553 21:37:13 น.   
Counter : 580 Pageviews.  

1  2  

world not wide
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




บันทึกการเดินทางของเขาและเธอ
ที่ใช้ชีวิตคู่กับการเดินทาง
155 เมือง 34 ประเทศ ใน 5 ทวีป...




*รูปภาพทั้งหมดที่ปรากฏบน Blog นี้ ถ่ายด้วยตนเองทั้งสิ้น และไม่หวงห้ามแต่ประการใด หากมีผู้ต้องการนำไปใช้
[Add world not wide's blog to your web]