Group Blog All Blog
|
ครั้งหนึ่ง..ที่อัมพวา..
หวัดดีค่ะ
เมื่อศุกร์สิ้นเดือนพฤศจิฯค่ะ ไปเที่ยวอัมพวากะเพื่อน ๆ มา ไปดูหิ่งห้อยค่ะ เป็นโปรเจ็กต์ของกลุ่มอยู่แล้วค่ะว่าอยากไปเที่ยวอะไรประมาณนี้กัน.. วรรณโดดเรียนด้วย แหะแหะ ก็นัดกันที่อนุสาวรรีย์กันตอน 9 โมง แต่กว่าจะออกก็ประมาณครึ่งชั่วโมงให้หลัง..รอกันไปรอกันมา.. นั่งรถตู้ไปค่ะ แล้วก็นั่งรถสองแถวเข้าไปในโฮมสเตย์ ที่บ้านแม่อารมย์โฮมสเตย์ค่ะ บรรยากาศดี แล้วก็หาเจอง่าย เจ้าของก็ใจดีด้วย ถึงที่นั่นก็ประมาณ 11 โมงกว่าได้ มาดูรูปกันเลยดีกว่า อันนี้ในอุทยาน ร.2 ค่ะ มาถึงอัมพวา วางของ เดินตลาดนิดหน่อยก็เดินไปกันต่อเลยค่ะ อุทยานงามมาก.. ที่นั่นมีดอกไม้ และต้นไม้ประหลาด (ในสายตาเรา ซึ่งรู้เรื่องน้อยเหลือเกิน หึหึ) เต็มไปหมดเลย.. พอเริ่มเย็น ๆ ก็ออกหากิน (เป็นตัวอะไรวะเนี่ย??!) แล้วก็ตามด้วยโปรแกรมขึ้นชื่อของอัมพวา..นั่งเรือไปดูหิ่งห้อยค่ะ อันนี้เสียดายเหมือนกันที่ไม่มีให้ดูนะ เนื่องจากมันมืดมาก ถ่ายบ่ได้.. นั่งเรือไปดูกันไกลทีเดียว ลมพัด..หนาวมาก ดีใจมากที่เอาเสื้อกันหนาวมาด้วย 55+ ภาพข้างล่างนี้ก็..สภาพเพิ่งตื่นมาได้ไม่กี่ชั่วโมง แหะแหะ.. หลังจากที่หาอะไรใส่ท้องเป็นทีเรียบร้อยแล้ว..ก็ออกเที่ยวกันต่อค่ะ อันนี้ปั่นจักรยานไปเที่ยวตามแหล่งต่าง ๆ รวม ๆ แล้วก็ 8 กิโล!! เมื่อยมากมายอ่ะ แต่ว่าพอกลับมาถึงบ้านก็ยังสบายดี..แสดงว่าเราถึกใช่มั้ย?? 55+ หลังจากที่ได้รูปที่ถ่าย ๆ มา รู้สึกว่าวันนี้ตัวเองเหมือนใส่ชุดนอนมาปั่นจั๊กจริง ๆ (ก็ชุดนั้นจริง ๆ แหละ 55+) แล้วก็ปกปิดผิวหนังตัวเองดีจริง ๆ ถ้าเทียบกะเพื่อนนะ..ลมพัดมาก็หนาว..แต่แดดก็ร้อน อย่างน้อยก็ช่วยปกป้องผิวจากรังสียูวี และที่ขาดไม่ได้ค่ะ ..ของโปรด (เย้ยยย) ไปทริปนี้ก็หมดกันไปหลายก็จริง 2 วัน 1 คืนเท่านั้น ปาไปพันสี่ได้เลยอ่ะ (รวมของฝากด้วยนะ) มันไปหนักตรงค่าเดินทาง ค่าที่พัก การเที่ยว และของกินค่ะ (แล้วเที่ยวที่ไหนมันไม่ได้เสียกะตรงนี้ฟระ??) ที่เราไปพักที่บ้านแม่อารมย์ก็ห้องแอร์ล่ะ 1200 ถ้าพัดลมก็ถูกกว่านี้..แต่พอดีจองมะทัน แง่วว แนะนําค่ะ ที่นี่..บรรยากาศดีจริง ๆ ค่ะ ห้องหับอะไรก็ใช้ได้เลย นั่งเรือดูหิ่งห้อย + ปั่นจั๊กก็ไป 200 แล้วค่ะ และที่เหลือ..ของกินล้วน ๆ ของกินที่นั่นถูกมากมายอ่ะ อันนี้ไม่ได้หมายความถึงของฝากนะ.. ราคาประมาณ 10-20 บาท อาหารคาวนะคะ เช่นว่า ก๋วยเตี๋ยว ก๋วยจั๊บ ขนมจีน หอยทอด ผัดไท เครื่องดื่มอะไรงี้ เพราะมันแค่ 10 20 ตังค์เลยหมดเร็วรึเปล่า 55+ แต่ก็น่ะ นาน ๆ ที แถมมีความทรงจําดี ๆ อีกเรื่อง.. เนาะ ๆ มากกว่าแค่กลิ่น..
ตอนนี้ก็กําลังจะเข้าสู่เดือนพฤศจิกายนแล้ว (เดือนเกิดของข้าพเจ้า) และกําลังจะเข้าสู่หน้าหนาว (ตามปฏิทิน) ถึงแม้ว่าตอนนี้ฝนจะยังคงตกกันอย่างไม่หยุดหย่อน.. แต่ต้นไม้ก็ยังคงเติบโต และผลิบานโดยไม่สนว่าสภาพอากาศแท้จริงที่เป็นอยู่จะเป็นเช่นไร แค่ถึงเวลา ก็ทําตามหน้าที่.. เมื่อไม่กี่วันก่อน กําลังจะเดินไปเรียนที่ตึกทันตะฯ สูดลมหายใจเข้าไป และสะดุดกับกลิ่นอันคุ้นเคยในช่วงเวลาหนึ่ง กลิ่นดอกตีนเป็ด หรือที่มีชื่ออันสวนหรูว่า "สัตตบรรณ" ถึงกลิ่นจะไม่แรงติดจมูกเหมือนช่วงเวลานั้น แต่ก็ทําให้เรานึกถึงช่วงเวลาอันแสนสุขที่ผ่านมา.. ตอนปี 1 เราเรียนที่องครักษ์ ที่มอปลูกต้นตีนเป็ดไว้ทั่วมอเลยก็ว่าได้ ความเป็นจริงข้อนี้เราไม่เคยสังเกต ไม่เคยรู้มาก่อนเลย จนกระทั่งถึงช่วงหน้าหนาว และกลิ่นดอกตีนเป็ดขจรขจายไปทั่วมอ โฮ่.. จริง ๆ กลิ่นเจ้าดอกตีนเป็ดเนี่ย ดมผ่าน ๆ มันก็หอมดีอยู่หรอก (แม้จะทําให้เราสับสนว่ากลิ่นมันคล้ายกลิ่นเครื่องพะโล้ (ฮ่าฮ่า)) แต่ดมนาน ๆ มันก็เหม็น แล้วกลิ่นเจ้าดอกนี่ก็ทั่วมอ ทุกแห่งหนในมอ (จริง ๆ ) ไม่ว่าจะยืนอยู่ตรงไหน กลิ่นดอกตีนเป็ดก็จะมาทักทายระบบประสาททางกลิ่นของเรา โฮ่.. เหม็นตลอดเวลานั่นเอง แล้วเจ้าต้นที่ว่านี่ อยู่หน้าหอข้าพเจ้า สูงเด่นเป็นสง่า ดอกบานเต็มต้น แม้จะอยู่ในห้อง กลิ่นที่ว่าก็ยังหลอกหลอน.. ตอนหัวค่ำ..กลิ่นดอกตีนเป็ดจะยิ่งแรงเป็นพิเศษ.. (เพราะตอนหัวค่ำ คนอยู่หอกัน เลยไม่มีคนช่วยสูดกลิ่นด้วยรึเปล่า กลิ่นเลยแรง 55+) เป็นความทรงจําตลก ๆ อีกเรื่องนึงของชีวิต ตอนนี้ กลิ่นของเจ้าตีนเป็ดก็ไม่ได้มาหลอกหลอนเรารุนแรงเหมือนตอนนั้น แต่มันทําให้เรานึกถึงช่วงชีวิตที่องครักษ์ ทําอะไร ๆ ด้วยตัวเอง ใช้ชีวิตเป็นเด็กหอครั้งแรก ห่างพ่อห่างแม่ แต่หนูก็แฮปปี้ดี 55+ คิดถึงวันปั่นจั๊กช่วงหน้าหนาว อากาศหนาวเย็นก็จริง แต่เราไม่ค่อยรู้สึกว่าหนาวเท่าไหร่ เพราะอะไรน้า.. ^^ ..คิดถึงเธอจัง..องครักษ์.. นอทติงสเปเชียล..จิง ๆ
หวัดดีค่ะ ไม่ได้มาอัพนานมากมายยยย
ตอนนี้ก็ขึ้นมาเป็นเด็กปี 3 มาได้ เอ่อ 3 เดือนกว่าแล้ว สอบกลางภาคไปเป็นที่เรียบร้อย เวลานี่ผ่านไปเร็วจริง ๆ นะ เหมือนว่าแต่ก่อนชั้นยังลันล้าที่องครักษ์เป็นเด็กปี 1 เมื่อไม่นานนี้เอง.. อีกไม่นานก็จะจบแล้ว เหมือนยังไม่มีวางแผนอะไรในชีวิตซักเท่าไหร่ เรื่อย ๆ เอื่อย ชิวกันไปเรื่อย ๆ แค่ปีกว่า ชั้นต้องไปออกไปเผชิญโลก ทํางาน หาตังค์อะไรจริง ๆ แล้วใช่มั้ยเนี่ยยยย ยังไม่รู้ว่าจะเอาไงกะชีวิตเรย ต่อไปกรูจะทํางานอะไร ก็พอรู้นะว่าตัวเองชอบอะไร แต่ไม่รู้จะไปถึงตรงนั้นยังไง ดูโง่ ๆ มะ? ง่ะ ฝึกงานตอนซัมเมอร์ก็ยังไม่รู้จะไปไหน อยากทํางานกับพวกสํานักพิมพ์นะ แต่ที่อยากรับมานไม่รับนิสิตฝึกงานอ่า เห็นทีคงต้องเบนเป้าไปที่อื่นแหละ บางทีก็รู้สึกว่าอยากจะจบเร็ว ๆ อยากออกไปทํางาน ไม่ต้องพึ่ง หรือเป็นภาระใคร แต่หลาย ๆ ครั้งก็รู้สึกขี้เกียจ ยังไงวะเนี่ยกรู หลายวันก่อน สํานักพิมพ์เพิร์ลที่เราเคยไปทํางานโทรมาตามให้ไปทํางานตอนงานหนังสือเดือนตุลาแหละ ดีใจนะ ว่าอย่างน้อยการทํางานของเราก็ยังเข้าตาใคร อิอิ แต่ปัญหาหญ่ายยยย คือว่ายังหาที่พักมิได้เรย คราวก่อนค้างที่ออฟฟิศตั่วเจ้ แต่ตอนนี้ตั่วเจ้ออกแล้วอ่ะ เลยไม่รู้จะไปอยู่กับผู้ใด อยู่บ้านตัวเองมันก็ไกล ไกลมากนะ แล้วเราก็มั่นใจมากว่าคงไม่มีใครไปรับเรากลับแน่ ๆ เห็นทีรอบนี้อาจจะได้แค่นั่งเซ็งอยู่ที่บ้านช่วงปิดเทอม เศร้า ๆ นางสาวกุ้งชวนให้พาไปสมัครงานที่นี่แหละ ก็ไม่รู้ว่ามันจะติดรึเปล่า จะได้ค้างที่บ้านมันเลย 55+ แต่เราต้องให้คําตอบกับสํานักพิมพ์ก่อนที่จะรู้ว่ากุ้งติดรึเปล่าด้วยซํา ง่า ทํางาน ได้ตังค์ ดีกว่านั่งอยู่เฉย ๆ นะ เดือนใหม่ที่กําลังจะเข้ามานี่ มีงานให้ต้องทําต้องส่งเยอะใช้ได้เรยย จริง ๆ อ.ให้งานมาตั้งนานแล้ว แต่ถ้าไฟไม่ลนก้นก็ไม่ทํา เมื่อไหร่จะถ่ายหนังกันล่ะเพื่อน ๆ ช่วงนี้แอบรู้สึกว่าตัวเองติดไฮ่ห้านะนี่ ไม่ได้ตามไปเม้นท์ให้ชาวบ้านร้อก แค่อยากดูว่ามีใครเม้นท์ให้รึเปล่า 55+ วันนี้กลับบ้านคนเดียวอีกวันนึง เนื่องจากมีหมาน้อยบางตัวไปกินเหล้าฉลองชํ้า (ไม่ใช่แชมป์นะ! ) เออ แต่ก็พอเข้าใจฟีลนะ อารมณ์แบบที่ 1 มาตลอด ไม่เคยแพ้ใคร ดั๊นมาแพ้รอบตัดเชือก อดแชมป์มา 2 ปี จะแก้ตัวอีกทีก็ปีหน้า อืม ๆ ตอนนี้คงแฮงค์อยู่ ปล่อยไปก็แล้วกัน สองปีหนึ่งเดือนกะอีกสองเดือนแล้วนะนังหอยหลอดดดดดด ขายหนังสือในงานหนังสือของเด็กหาตังค์ซื้อหนังสือ #2
วันติวหนังสือ ติวงานน่ะแหละ เราก็ยังคงไว้ซึ่งมาตรฐานเดิมของตัวเองคือสายได้สาย สายเป็นประจํา
สายไปประมาณ 15 นาที แอบรู้สึกผิด เหะเหะ มาถึงวันที่ทํางานเลยดีกว่า ข้ามช็อตไปเลยก็แล้วกัน เด็กมศว มาทํางานบูธเพิร์ลเยอะใช้ได้เลย มีมธ. จุฬา มหิดล ราม เกษตร และน้องมอปลาย (ที่กําลังรอคะแนนเอเน็ตโอเน็ตในขณะนั้น) มาทํางานกันด้วย วันแรกที่ยืน เหนื่อยและเมื่อยมาก ๆ ยืนทั้งวันนะคุณ 10 กว่าชั่วโมงน่ะ วันแรก ๆ บีซี่มากมาย ลูกค้าเยอะมาก ๆ รุมบูธกันเลยทีเดียว แต่ก็หนุกดีนะ ได้พูดตะล่อมลูกค้า "พี่ เล่มนี้ขายดี สนุกมากเลย" ว่ากันไป เรายืนตรงหนังสือแนว Chic Read อ่ะ หนังสือผู้หญิงอ่ะจ้ะ รัก ๆ กุ๊งกิ๊ง ๆ การ์ตูนรักเกาหลีก็มีนะ (ไอ่ตั๊กบอกว่าเข้ากับหน้าดี เอิ๊กกก) หนังสือแนวชิครีดมาใหม่แค่เล่มเดียว ที่เหลือที่ขายจะเป็นหนังสือที่ออกมาตั้งแต่งานก่อน ๆ แล้ว ซึ่งก็ยังเป็นหนังสือใหม่ของเราอยู่ดี เราก็มีหน้าที่เก็บข้อมูลกันไป เล่าเรื่องคร่าว ๆ ให้ลูกค้าฟังได้ บางเล่มเป็นไฮไลท์ของบูธเมื่องานคราวก่อนด้วยนะเคอะ พอผ่านไปหลาย ๆ วัน เวลาลูกถามว่าเรื่องนี้เกี่ยวกับอะไร รู้สึกอยากได้วิทยุซักตัว ที่อัดเสียงไว้ แล้วเปิดให้ลูกค้าฟังแทนการพูดเอง รู้สึกคอแห้ง ๆ ด้วยอ่า.. เล่าจนจําได้ขึ้นใจเลยเขอะ เรื่องนี้จะเป็นแนวน่ารัก กุ๊กกิ๊ก โรแมนติกค่ะ ส่วนอันนี้จะเป็นตลกมากกว่า อันนี้ก็แล้วแต่พี่ว่าพี่ชอบแนวไหนอ่ะค่ะ อันนี้จะเกี่ยวกับสาวมั่นคนนึงที่เชื่อว่าชั้นมีความสามารถ... พี่ สองเล่มนี้ขายดีคู่กันเลยนะ.. ก็ว่ากันไป..^^ ระหว่างงาน ช่วงที่ลูกค้าไม่ค่อยเข้า (ตลาดวาย) เราก็มักจะยืนอ่านหนังสือของบูธเนี่ยแหละ "เก็บข้อมูล" เถอะ!! จะได้เล่าให้ลูกค้าถูกไง (ไหลได้) อ่านกัปตันกางเกงใน (หนุกนะ ถึงมันจะสําหรับเด็กประถมก็เหอะ!) เพราะรัก 1+2 จบแล้ว การ์ตูนเกาหลีน่ะ ยอมรับว่าเรื่องนี้อ่านแล้วอมยิ้มอ่ะ มันไม่ใช่แนวซึ้งนํ้าตาไหลพรากกกกอ่ะนะ ไดอะรี่ของP Pan แนวรักการ์ตูนเกาหลีอีกเช่นกัน รูปน่ารักมาก ๆ เรื่องก็รัก ๆ น่ะแหละ ชอบเค้า ตามดูตลอด พอเป็นแฟนกัน ก็งอน ๆ กันบ้าง แล้วก็ดี แล้วก็ความรู้สึกที่ตอนนี้ไม่มีเธอแล้ว อืมมมม บางทีก็ไปเดินแรดที่บูธอื่น แต่ต้องแอบเจ้าของสํานักพิมพ์นะ (คงน่าประทับใจทีเดียวถ้าไปเดินจ๊ะเอ๋กับเจ้าของบูธ ขณะที่เรากําลังเดินซื้อหนังสือบูธอื่นเนี่ย!) ที่ทํางานขายหนังสือก็ได้อะไรเหมือนกันนะ เจอคนเยอะขึ้น เจออะไรแปลก ๆ รับมือกับอะไรแปลกที่ไม่คิดว่าจะเจอ อืม สนุกใช้ได้ พบว่าตัวเองพอมีความสามารถในการเชียร์หนังสือลูกค้า เอิ๊กกก แต่อันนี้มันก็แล้วแต่ตัวลูกค้าด้วยแหละ ก็ประสบการณ์น่ะแหละนะ ^^ กลับบ้านดึกทุกวันเลย ให้เจ๊ตั่วกะพี่กุ้งมารับทุกวันเลย ขอบคุณมา ณ ที่นี้ค่ะ ขายหนังสือในงานหนังสือของเด็กหาตังค์ซื้อหนังสือ #1
หวัดดีค่ะ 21/4/07
ปิดเทอมมาเดือนกว่าได้แล้ว เดือนเมษาปีนี้ก็ยังคงร้อนไม่ต่างจากปีที่แล้วเลย ขนาดอยู่บ้านเฉย ๆ วัน ๆ ไม่ทําอะไรนอกจากอ่านหนังสือ นั่ง ๆ นอน ๆ หาไรกิน ใช้ชีวิตเยี่ยงคุณหนู ตัวยังเหนียวเลย ปิดเทอมนี้ได้ออกไปหางานทําด้วย หลังจากที่ร้างลาวงการงานพาร์ทไทม์มาจะ 2 ปีแร้ววว ไปสมัครขายหนังสือในงานหนังสือมาค่ะ ของเพิร์ล พับลิชชิ่ง พอดีว่ามีเพื่อนที่เค้าเป็นเด็กเก่าอยู่แล้ว กะเพื่อนอีก 3 คน+อิชั้นลากเด็กเก่าให้พาไปสมัครให้หน่อย เพื่อนก็ยอมพาไปแต่โดยดี ขอบคุณมันมา ณ ที่นี้ค่ะ ^^ ที่ตั้งของเพิร์ลอยู่ใกล้มอ (มศว) เราด้วย (สุขุมวิท 33) เรื่องการเดินทางไม่ค่อยเป็นปัญหาเท่าไหร่ แต่ติดที่ว่าเนื่องจากสํานักพิมพ์ตั้งอยู่ในซอย เข้าไปได้ แต่ออกลําบากนิดนึง แท๊กซี่ที่อยู่แถวนั้นก็มักจะมีผู้โดยสารติดรถมาอยู่แล้ว เหอเหอ แต่ช่างมันเต๊อะ เออ ก็ไปกรอกไปสมัคร ติดรูป รอสัมภาษณ์ (อยากบอกว่าวันที่ไปสัมภาษณ์นี่ อิเดี๊ยนแต่งตัวโลสุด ๆ หัวนี่ยุ่งได้อีก แต่แปลกนะ ตอนก่อนออกจากบ้านมองว่ามันเป็นศิลปะ) คนที่สัมภาษณ์คัดเด็กก็เป็นเจ้าของสํานักพิมพ์เลยค่ะ ตอนสัมภาษณ์ซีเรียสใช้ได้เลยแหละ คือพี่เค้าดูเหมือนว่าคิดอะไรตลอดเวลา เราดูอารมณ์เค้าไม่ออกเลย รู้สึกแป้ก ๆ ยังไงไม่รู้เวลาที่เราพูดอะไร แล้วเราก็หัวเราะเอง แต่พี่เค้าไม่ขําอ่ะ ซีดเลย.. คําถามที่เค้าถามก็ประมาณว่า.. - เรียนที่ไหน เอกอะไร - คิดว่าตัวเองเป็นคนยังไง (คําถามนี้เราตอบได้ประมาณ 30 วิ แล้วก็เงียบเลย นึกไม่ออกแล้ว เงียบนานเลยแหละ เงียบจนรู้สึกกดดันตัวเองง่ะ จนพี่เค้าเปลี่ยนคําถามใหม่) - มีข้อเสียอะไรบ้าง (ชัดเลย คําถามนี้) - พนักงานขายที่ดีควรจะเป็นยังไง (ตอบเหมือนท่องมาเลยอ่ะข้อนี้) - มีประสบการณ์การขายอะไรมาก่อนมั้ย (เคยเป็นพนักงานขายแมคยีนส์กะดัลมาติเนอร์ค่ะ) - ที่บ้านขายอะไรรึเปล่า - แล้วคิดว่าประสบการณ์ที่มีมาก่อนแล้ว จะช่วยในการขายได้มั้ย (โอ้ กรูตอบแบบโพสสิทีฟสุด ๆ ) - จากที่เรียนมา (เอกจิตวิทยา) ช่วยอะไรกับการขายได้มั้ย (โอ ดูบอดี้แลงเกวจเขอะ!! ถ้าเค้าไม่ซื้อเราก็อย่าบังคับเค้าให้รู้สึกอึดอัด และการจบการสนทนาด้วยรอยยิ้มเขอะ!!) - คิดว่าตัวเองเป็นคนมีไหวพริบมั้ย เรียนรู้ไวรึเปล่า (เช่นกัน กรูก็โพสสิทีฟกันสุด ๆ ถึงแม้ว่าความจริงก็รู้ตัวเองว่าไม่ฉลาดมากนักร้อก เอิ๊กก) ก็มีพรีเซนต์หนังสือด้วย เราก็ควักไม้ตาย "วิญญาณสีม่วง" (เฮ้..ไม่ใช่วิญญาณเกย์นะจร๊ะ) ที่เคยยืมไอ่กิ๊ฟอ่านตอนม.6 มาพูดเลย (ซึ่งมันก็เป็นหนังสือเล่มเดียวของสํานักพิมพ์นี้ที่เราเคยอ่านมาก่อนในเวลานั้น นี่พูดจริง ๆ นะ) สิ่งหนึ่งที่สังเกตจากการสัมภาษณ์ของตัวเองคือว่า..ใช้ภาษาโคตรจะไม่ทางการเลย ชิวมาก ๆ เหมือนคุยกับคน ๆ นึง ธรรมดา ๆ เนี่ยแหละ แต่เราก็ไม่รู้ว่าเค้ารับเข้าทํางานเพราะข้อดีตลก ๆ อันนี้รึเปล่า แหม่ ก็เป็นกันเองไง อิอิอิ ก่อนจบสัมภาษณ์เค้าถามว่าปกติเป็นคนพูดน้อยรึเปล่า เราก็รับเลย อ่า ใช่ค่ะ ถ้าเทียบกับในกลุ่ม หนูเป็นคนพูดน้อยสุดแล้วค่ะ (ถึงแม้ว่าตอนสัมภาษณ์อิเดี๊ยนพูดไม่หยุด ถ้าไม่ติดว่าคิดไม่ออกนะ ตอบเหมือนจะดูขัด ๆ กับที่พูดแหละ) สัมภาษณ์กันเสร็จ ก็แยกย้ายกันกลับบ้าน และรอผลการสัมภาษณ์ว่าเค้าจะรับรึเปล่า ช่วงที่ประกาศผลตรงกับช่วงที่เอกดิชั้นบายเนียร์ที่ทะเลพอดี ถ้าติดก็ต้องรีบถ่อจากเพชรบุรีมากรุงเทพฯเพื่อติวหนังสือ อิชั้นอยากไปทะเลมากเขอะ เล่นนํ้าให้ตัวดําเล่น ลําสักนํ้าเล่น (แต่ชอบนะ) แต่ว่าที่บ้านคนเฝ้าร้านน้อยไป เลยต้องอยู่บ้าน ทั้ง ๆ ที่ก็อยากไปทะเล i_i แต่ก็มองโลกในแง่ดีว่า ถ้าติดจะได้ไม่ต้องถ่อจากเพชรบุรีเข้ากรุง จากบ้านได้เลย) ก่อนวันประกาศผล พี่ที่สํานักพิมพ์โทรมาบอกว่ารับเราทํางานค่ะ ดีใจ ยกพระเสี่ยงทายที่ศาลหลักเมืองเป็นจริงค่ะ วรรณยกพระขึ้นนะ ถึงจะลอยไม่กี่นิ้วจากที่วางพระก็เหอะ ดีใจ |
thE_Little_Uki
Rss Feed Smember ผู้ติดตามบล็อก : 7 คน [?] Friends Blog
Link |