|
12-19 กค 2553 เตาะแตะ เตาะแตะ เตาะแตะ
Create Date : 26 กรกฎาคม 2553 | | |
Last Update : 27 กรกฎาคม 2553 17:32:40 น. |
Counter : 300 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
ย่างเข้าสู่เดือนที่ห้ากับการพัฒนาการของพ่อ
ย่างสู่เดือนที่ห้า
26-28 มิย. 2553 กลับมาหาพ่ออีกครั้งห่างจากครั้งที่แล้วสิบวัน
ตลอดเวลาคิดถึงและห่วงพ่อมาก ห่วงคนเฝ้าดูแลด้วย เหตุการณ์แต่ละวันที่ผ่านไปดูเหมือนจะเหมือนๆกัน แต่จริงๆแล้วไม่เหมือนเลย ต้องคอยเฝ้าดูพ่อตลอด อาจห่วงเกินเหตุ
เราไม่รู้ว่าผู้ป่วยที่มีอาการแบบเดียวกับพ่อเป็นอย่างไร แต่สำหรับพ่อแล้ว ไม่ค่อยยอมหลับนอนและจะร้องเสียงดังทุกคืน ความเกรงใจเพื่อนบ้านก็ทวีขึ้น
อาหารการกินของพ่อ จะเป็นพวกข้าวต้ม โจ๊กมีทั้งปลาและหมู ผัก แต่พ่อจะเลือกกินโยเกิร์ตและพุดดิ้งและนมเปรี้ยว ทั้งหมดเป็นสิ่งที่พวกเรากลุ้มมาก เพราะอย่างอื่นพ่อไม่รับเลย
เรากังวลเรื่องสารอาหาร โดยเฉพาะจะเน้นโปรตีนจากปลา ถ้าเป็นเนื้ออื่นเกรงจะไปสะกิดสะเกาให้ความดันกำเริบ กลัวว่าพ่อจะติดหวาน ไม่อยากให้พ่อกลับไปนอนป่วยทรมาน อยู่บนเตียงที่โรงพยาบาลอีก
-------------------
วันที่ 26 มิย.เช้าวันเสาร์
เป็นวันที่พี่สาวพาพ่อไปพบคุณหมอภาณุเมศตามนัด ฉียจับไฟลท์ไปเชียงใหม่เช้าวันนั้น แล้วนั่งแท็กซี่เข้าศรีพัฒน์ไปหาพ่อ หมอให้ จนท เจาะเลือดพ่อเป็นลำดับแรก และเช็คการเต้นของหัวใจ จะได้ไม่เสียเวลารอคอย
วันนี้พ่ออารมณ์ดีเป็นพิเศษ ใครพูดอะไรก็จะพูดตาม(แบบขอให้ได้พูด เหมือนเด็กช่างพูด)
หมอถามว่าพ่อทานข้าวได้เองรึยัง!!!! พวกเราเกิดอาการงง เพราะตลอดเวลาเป็นความเข้าใจผิดของพวกเราโดยเฉพาะตัวฉัน ที่ต้องการเน้นพ่อให้กินอาหารที่มีปลา แต่ที่บ้านทำกับข้าวเก่งเกินไป อดเห็นใจคนป่วยไม่ได้ พ่อจึงเกิดอาการเบื่อ และลูกๆ ปราถนาดีเกินเหตุ ที่ต้องคอยป้อนพ่อตลอดเวลา
พัฒนาการพ่อจึงไปไม่ถึงไหน ไม่รู้ว่าหมอแอบผิดหวังบ้างหรือเปล่า??? แม้แต่นั่งด้วยตัวเอง หมอถามว่าพาพ่อกายภาพที่ไหน ก็ตอบหมอว่าที่สวนดอกเฉพาะจันทร์ และ พุธ
ทุกวันนี้พ่อยังหลงๆ อยู่บ้าง แต่ดีขึ้น พ่อคิดว่าตัวเองนั่งได้ เดินได้ ทำอะไรด้วยตัวเองได้ แต่เมื่อทำไม่ได้พ่อก็จะหงุดหงิด ทำอะไรไม่ได้ดั่งใจ และเกิดอาการน้อยอกน้อยใจบ่อยๆ
หมอบอกว่าผลเลือดออกมาแล้วปกติ หัวใจเต้นเร็วไปหน่อย หมอถามว่าจะนัดหมออีกเมื่อไหร่ดี เดือนหรือสองเดือน ฉันตอบสองเดือน(ฮ่า! ) เพราะพ่อมากายภาพบ่อยอยู่แล้ว
กลับจากโรงพยาบาลจึงไปซื้อโจ๊กและไก่อบที่สมเพชร ในใจภาวนาขอให้พ่อกินอาหารที่ปกติได้ ลุ้นสุดกำลัง พ่อไม่ทำให้ผิดหวัง เคี้ยวตุ้ยๆ บางครั้งก็กลืน บางครั้งก็คายออก
วันนี้พ่อถามหาของกินอย่างอื่นด้วยล่ะ พวกเราใจชื้น อย่างน้อย พ่อจะได้มีอาหารหลากหลาย พ่อถามถึงขนมเค๊ก ถามขนมอย่างอื่นอีก (ถามแต่ขนม)
................
วันต่อมา 27
พวกเราทานเส้นหมี่ผักบุ้งปลาหมึก เราเลยหยอดเส้นหมี่เข้าปาก พ่อเคี้ยวอย่างเอร็ดอร่อย แถมถามหาน้ำจิ้ม ก็เลยเอาน้ำจิ้มที่เจือน้ำซุปไม่ให้รสจัดเกินไป แต่ผิดคาด พ่อสั่งให้เติมเกลือ เติมพริก เติมมะนาว พ่อเอานิ้วจิ้มน้ำจิ้มไปแตะลิ้นจนพอใจ ปรากฏว่าพ่อทานเส้นหมี่ ผักบุ้งไปชามย่อมๆ
ฉันเตรียมทิชชูให้พ่อเช็ดปากทำความสะอาดตัวเอง พ่อทำได้ดีทีเดียว
เสียดายที่ว่าวันที่ 28 ฉันต้องกลับกรุงเทพ แต่เลือกไฟลท์เย็น จะได้อยู่เป็นเพื่อนพ่อทำกายภาพ แต่ก็ได้ชำผักบุ้งที่หน้าบ้านไว้จำนวนหนึ่ง วันนั้นหมอปกรณ์ให้พ่อไปวัดขาที่ช่วยซัพพอร์ตน่องช่วยในการยืน กว่าจะเสร็จก็เกือบบ่ายสาม จึงตัดสินใจให้พ่อกลับบ้าน แวะซื้อก๋วยเตี๊ยว โจ๊ก ไก่อบให้พ่อและแม่
พี่สาวขับรถมาส่งที่สนามบินประมาณบ่ายสาม แต่บินหกโมง หาร้านนั่งจิบกาแฟรอนกแอร์เปิดเคาร์เตอร์ให้เช็คอิน
ได้เวลาก็ขึ้นไปรอเครื่องที่เกท ไม่บอกก็รู้ว่ามีคนหน้าตาขี้เหร่นั่งสัปหงก(หูย ทำไปได้) นับเป็นหนที่สองที่ฉันมีความสามารถนั่งสัปหงกต่อหน้าสาธารณชน ขณะคิดว่า เฮ่ย นั่งสัปหงกไปได้ อายเขา ไม่ทันจบประโยค หัวก็สัปหงกอีก
ไม่เป็นไรหรอกนะ เพราะตลอดเวลาเราอาสานั่งเฝ้าพ่อตลอดคืน คอยคุยและพยามโน้มน้าวไม่ให้พ่อส่งเสียงร้องกลางดึกดื่น ปล่อยให้พี่ๆ นอนพักผ่อนให้เต็มที่ เพราะเขาจะได้พักก็ตอนที่ฉันมาเยี่ยมนี่แหละ
สภาพก็ซอมบี้เห็นๆ
เพื่อพ่อ ขี้ย้าบ่หวั่น น่อป้อน่อ
|
Create Date : 29 มิถุนายน 2553 | | |
Last Update : 29 มิถุนายน 2553 23:14:56 น. |
Counter : 322 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
รักและทะนุถนอมสุดหัวใจ
ได้โทรศัพท์พูดคุยกับพี่สาวตลอดเวลา บ่อยเท่าที่จะบ่อยได้ รู้อาการพ่อทุกอย่าง พ่อร้อง พ่อกิน ไม่กิน พ่องอแง พ่ออารมณ์ดี พ่อเจ็บ พ่อยิ้ม พ่อออกกำลังกาย พ่อดุลูกที่มัวแต่ขำคำพูดของพ่อ
สิ่งที่เราเป็นทุกข์คือ พ่อเบื่ออาหาร ไม่ยอมทานข้าวหรือโจ๊กหรือข้าวต้ม ทุกวันอาศัยโยเกิร์ต นมเปร้ยว พุดดิ้ง
วันที่ 29 พค. 2553 เป็นวันเสาร์ คือวันที่ต้องพาพ่อไปหาหมอเช็คสุขภาพดูแลโดยตรง เดิมนัดช่วงเย็น แต่ขอเลื่อนนัดเป็นช่วงเช้า (เพราะคราวก่อนกลับบ้านดึกมากเกือบห้าทุ่มสำหรับ ผู้หญิงสองคนและผู้ป่วย และเส้นทางดึกสงัด)
ปรากฏว่าความดันพ่อต่ำ (เราระมัดระวังเรื่องความดันสูงอย่างเดียว) หมอจึงให้น้ำเกลือ อยู่จนถึงห้าโมงเย็นน้ำเกลือยังไม่หมด แต่หมอก็บอกว่า ถ้าจะกลับก็กลับได้ไม่ต้องรอจนหมดขวด หนนี้หมอไม่ได้ให้ยาพ่อมาทาน
ส่วนหมอกายภาพ ได้ประเมินพ่อว่าถ้าพ่อได้ทานยาที่หมอกายภาพให้ก็จะดีกว่านี้ พวกเรารึ ก็เถรตรง นำยาทุกชนิด ทุกตัวยาไปให้คุณหมอ ที่ดูแลการรักษาอาการหลักของพ่อโดยตรงวินิจฉัย เขา...ทำนองกำกวมไม่เห็นด้วย ไอ้เราจะบอกไปตรงๆ ก็กลัวหมอจะเขม่นกัน(คิดแทนหมออีกแล้วว)
พวกเราเองกลัวอาการพ่อจะกำเริบ ความดันสูง เส้นเลือดในสมองแตกอีกครั้ง จึงเลือกตัดสินใจ งดยาที่หมอกายภาพให้มา เป็นการตัดสินใจยากดีแท้!!!!! เลยทำให้ร่างกายฟื้นตัวได้ช้ามากๆ
-----------------------
12-17 มิย. 2553 ได้กลับมาเยี่ยมพ่อ นาทีแรกใจหาย พ่อผอมลงมาก แก้มตอบ
กล้ามเนื้อขามีแต่กระดูก พุงกะทิพ่อยุบลง
สีหน้าพ่อสดชื่น ค่อยใจชื้นหน่อย พ่อจำลูกทุกคนได้ จากที่พูดคุยทางโทรศัพท์ทุกวันรู้ว่า ตลอดเวลาที่คุยพ่อจะหลงตลอด เป็นหน้าที่ของเราที่พูดเออ-ออ กับพ่อ ราวกับรู้เรื่องที่พ่อพูดคุย
หลานสาวช่วยคอยกระตุ้น และกระตือรือร้นพาพ่อไปกายภาพ ได้เห็นความพยายาม"ทำ" ก็รู้สึกอิ่มใจ น้าๆ บางอารมณ์ก็มีท้อบ้างเป็นบางเวลา แต่ยัยนี่อึด ในการติดต่อเจ้าหน้าที่ กับการกว่าจะได้สิทธิ์บางอย่างจากเจ้าหน้าที่รัฐ
ได้เห็นหลานกระเตงพ่อ อุ้มพ่อ กระตุ้นพ่อ ขยับเขยื้อนให้อวัยวะภายในพ่อได้เคลื่อนตัว พยามพยุงตัวพ่อ กระตุ้นคอยแหย่พ่อ และป้อนอาหารพ่อโดยไม่รู้สึกท้อหรือเบื่อ และทนที่จะรอจนกว่าพ่อจะพร้อมอ้าปากกินข้าว
--------------------
ถึงพ่อซูบผอม แต่หน้าตาพ่อสดชื่นขึ้น พยามมองในแง่บวกว่า ถือเป็นความสะดวกสำหรับคนดูแล
พ่อเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้น พูดคุยรู้เรื่องเดียวกันมากขึ้น ยาวขึ้น เรียกว่า"หลง"น้อยลง หรือว่าถ้าหลง ก็หลงเป็นเรื่องราวซีรีส์ได้ยาว ไม่กระท่อนกระแท่นเหมือนที่ผ่านมา
สิ่งที่เหมือนเดิมคือ พ่อยังร้องเพลงเล่นคอนเสิร์ตตอนกลางคืน อารมณ์บางคราวที่หงุดหงิด และพ่อชอบฝัน
พวกเราแซวพ่อบ่อยว่าจะเอาฝันของพ่อ จุกระป๋องไปขาย เพราะฝันได้ฝันดี ขณะที่คุยๆ กัน พ่อก็โพล่งมาว่า เอ้อ พ่อฝัน...อะไรก็ว่าไปแล้วแต่จินตนาการ
---------------
23 มิย 2553 พี่สาวพาพ่อไปกายภาพที่สวนดอกเชียงใหม่ วันนี้พ่อไม่ให้ความร่วมมือเท่าไหร่ นั่งเป็นไก่เหงามากกว่า ขากลับ แย่งพวงมาลัยรถอีกต่างหาก
เรียกร้องอยากกินลาบ(เห็นเรียกร้องบ่อยแต่ไม่เคยกินซักที) แต่เป็นครั้งแรกตั้งแต่ออกจากโรงพยาบาล ที่พ่อกินอาหารที่มีรสชาติ
ต้องคอยดูต่อไป
แต่วันนี้ได้ยินพ่อพูดเจื้อยแจ้วให้พวกเราได้หัวร่องอหายทั้งวัน
|
Create Date : 24 มิถุนายน 2553 | | |
Last Update : 24 มิถุนายน 2553 23:40:46 น. |
Counter : 304 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
ด้วยรักและ..ทุลัก ทุเล
ระหว่างนี้ พี่และหลานเห็นพ้องกันว่า ควรจะพาพ่อฝึกกายภาพทั้งที่บ้านและที่โรงพยาบาล แต่การจะพาพ่อไปโรงพยาบาลที่เชียงใหม่ บอกได้ว่าไม่ง่าย
แม้ที่ห้องนอนของพ่อที่บ้านเอง ทีเล็กและคับแคบ (โครงการทีจะไปปลูกบ้านในสวนต้องพับชั่วคราว)
แขนขาซ้ายพ่อเริ่มขยับได้นิดๆ ยิ่งเป็นแรงกำลังใจให้ทุกคนพาพ่อไปกายภาพ โดยจะพาไปกายภาพที่โรงพยาบาลลำพูน และ รพ.สวนดอก(ใช้สิทธิ์บัตรทอง)
------------------------
30 เมย. 2553 กลับไปเยี่ยมพ่อ เพราะวันที่ 1 พค.หกโมงเย็น ต้องพาพ่อไปพบแพทย์ตามใบนัด ซึ่งเป็นครั้งแรก ได้รับบัตรคิวที่ 53 คนรอหมอเยอะทีเดียว
พ่อนั่งเก้าอี้เข็น พ่อไม่เหมือนผู้ป่วยเลย แต่คงนั่งรอนานเกินไป(มาก่อนเวลา) พ่ออยากถ่าย จึงพาพ่อไปห้องน้ำ เจ้าหน้าที่ชายมาพบ และช่วยอุ้ม และแนะนำวิธีอุ้มคนป่วยให้
กลับจากห้องน้ำ เจ้าหน้าที่ช่วยลัดคิวให้(ขอบคุณค่ะ) คืนนั้นพวกเราไม่ต้องกลับดึกดื่น แต่ก็สามทุ่มค่ะ ถ้าไม่ลัดคิวให้คงเที่ยงคืน
คุณหมอปรับยาให้พ่อลดลงเหลือ 2 ตัวยา พ่ออาการดีขึ้นเรื่อยๆ แต่ยังทรงตัวเองไม่ได้(นั่ง)
-------------
วันเดียวกันนั้น ข้ามไปซื้อเตียงผู้ป่วยตรงข้ามโรงพยาบาล เลือกเตียงสามท่อนธรรมดา ราคาหมื่นเจ็ด(สมาชิก) ถือว่าพอเหมาะพอเจาะ ถ้าเป็นเตียงไฟฟ้าต้องปวดหมองเห็นๆ เพราะตั้งแต่วันนั้นจนวันนี้ พ่อทั้งร้องเพลงและออกเล่นคอนเสิร์ตทุกคืนเลย
พวกเราเรียกการที่พ่อร้องโอดโอยทุกคืนเป็นการร้องเพลง เรียกการที่พ่อใช้มือใช้เท้าเขย่าเหล็กกั้นว่าออกคอนเสิร์ต
เกรงใจชาวบ้านรอบข้างมากที่สุด เพราะไม่รู้จะทำอย่างไร คนที่เคยมีประสบการณ์เกี่ยวกับผู้ป่วยก็เข้าใจ คนที่ไม่เคย ก็มองว่ารบกวนเวลาพักผ่อน
ไปหาพ่อวันที่ 30 เมษ.-4 พค. กลับกรุงเทพแล้ว คิดถึงพ่อมากที่สุด
|
Create Date : 25 พฤษภาคม 2553 | | |
Last Update : 24 มิถุนายน 2553 22:41:34 น. |
Counter : 371 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
กลับบ้านจ๊ะพ่อ
วันที่ 31 มีค. 2553
หลังจากคุณหมอหลายท่านอนุญาติให้พาพ่อ กลับมารักษาตัวต่อที่บ้าน กว่าจะกลับถึงบ้านก็สองทุ่มกว่า ทุลักทุเลพอสมควรสำหรับบ้านที่มีแต่ผู้หญิง
ถึงพ่อไม่ใช่คนรูปร่างสูงใหญ่ ถึงพ่อจะรักษาอยู่โรงพยาบาลเดือนเศษๆ ถึงพ่อจะซูบนิดๆ แต่ก็ไม่ได้ผอมมากมาย พุงพ่อยังใหญ่เหมือนเดิมเพราะเป็นคนกินเก่ง น้ำหนักพ่อใช่เล่น
คืนนั้นคนข้างบ้านมาช่วยกันอุ้มพยุงพ่อเข้าห้อง และวันต่อๆ ไปล่ะ พวกเราพี่น้องก็คุยกันว่าจะช่วยตัวเองมากที่สุด เว้นการรบกวนคนอื่น และลูกผู้หญิงของพ่อก็ทำได้สำเร็จ
เราได้แต่บอกซึ่งกันและกันว่าต้องดูแลปรนนิบัติพ่ออย่างดีที่สุด เพราะฉะนั้นคำว่า "อดทน" เราไม่ต้องคอยย้ำซึ่งกันและกัน มันอยู่กับพวกเรามานานตั้งแต่เกิดและเติบโตมา
------------------------
ตั้งแต่พ่อป่วยอยู่โรงพยาบาล และมาอยู่เฝ้าพ่อทุกครั้ง แต่ไม่เคยได้แวะเข้าบ้านนอกจากโทรติดต่อบ่อยๆ ด้วยเหตุผลที่ได้เขียนเล่าไปแล้ว
ช่วงนี้ต้องคอยเช็คว่าทางบ้านขาดเหลืออะไรมั๊ย และคอยจัดการหาซื้อมาเติม แต่ไม่ได้ซื้อเตียงสำหรับคนป่วย เพราะของพ่อก็มีเตียงไม้เดี่ยวอยู่แล้ว ไปซื้อฟูก ซื้อหมอน แต่ฟูกกลับใช้ไม่ได้ ก็เลยกลับไปใช้ที่นอนยัดนุ่นเดิมที่พ่อเคยนอน แต่เปียกง่าย โชคดีที่ในหมู่บ้านมีช่างทำเบาะส่งให้ตามโรงพยาบาล จึงให้ช่างทำเบาะมาทำเบาะนอนให้พ่อ
เหตุผลอีกอย่างที่ไม่ได้ซื้อเตียงผู้ป่วย แต่ก็ได้ไปเลียบๆเคียงๆ ร้านหน้าสวนดอกไว้แล้ว เพราะไม่แน่ใจอาการของพ่อ คิดว่า ช้าสุดก็หลังจากพาพ่อกลับมาหาหมออีกครั้งหนึ่งเดือน นับจากวันที่พ่อออกจากโรงพยาบาล
ทุลักทุเลค่ะ การที่จะพลิกตัวพ่อให้นอนตะแคงซ้าย ขวา นั่ง หรือแม้แต่ประคองพ่อให้ลุกนั่ง ซึ่งพ่อยังนั่งด้วยตัวเองไม่ได้ต้องมีหมอนพิง หรือคนคอยประกบ
กลางคืนพ่อจะไม่ค่อยนอน ร้องตลอด ลำบากและเหนือยทั้งคนป่วยและคนดูแล (ลำบากคนดูแลหมายความว่า ถึงคนดูแลสู้ขาดใจ แต่ขาดประสบการณ์ เก้ๆ กังๆ ตัวเล็กอีกต่างหาก)
ตลอดเวลาได้แต่ลุ้นและให้กำลังใจพี่ๆ รู้ว่าต้องเหนื่อยแน่ๆ แต่ต้องกลับ กทม วันที่ 6
------------------------
ระหว่างนี้ ให้หลานสาวกลับมาช่วยดูแลพ่ออีกแรงหนึ่ง ถือว่าช่วยได้มาก ความอ้วนมีประโยชน์ตรงจุดนี้เอง แต่ก็ไม่อยากให้หลานอ้วนหรอกเพราะจะพ่วงด้วยสุขภาพ แต่ที่บอกว่ามีประโยชน์เพียงแค่แหย่คั่นความล้าของทุกคน
พ่อยังไม่สามารถช่วยตัวเองได้ เพราะซึกซ้ายของพ่อไม่มีความรู้สึกเลย ปากเบี้ยวนิดๆ (ปัจจุบันไม่เบี้ยวแล้ว)
ทั้งพี่และหลานช่วยกันพลิกพ่อนอนตะแคงข้าง เรียนรู้และลองผิดลองถูก พ่อมีแผลกดทับ สงสารพ่อมาก (ปัจจุบันแห้งแล้ว)
ช่วยกันกายภาพพ่อที่บ้าน ยกแขน ยกขา นวดตัว เพราะการจะพาพ่อไปโรงพยาบาล เรียกว่าสงสารทั้งพ่อ สงสารทั้งพี่และหลาน
แต่เมื่อกำลังใจทุกคนยังเยี่ยม และอยากให้พ่อหาย (มีแต่เรากลัวพ่อเจ็บ กลัวพ่อเหนื่อย) พ่อโอ๊ย ก็จะโอ๊ยตาม โอ๊ยมากกว่าพ่อเสียอีก
ใหม่ๆ ที่เคลื่อนย้ายพ่อประสาน้าหลาน ทั้งสองเกือบทำพ่อตกหลายครั้ง เพราะคนอุ้มหมดแรงกลางคัน บางครั้งก็รีบวางพ่อลง และยกต่อ
ช่วงนี้ บอกได้ว่าพ่อน่ารักมาก ทั้งที่พ่ออยู่ในสภาวะที่หลง..เป็นอย่างมาก แต่บางครั้งสติพ่อก็เยี่ยม ก็จะให้กำลังใจลูกๆ หลานๆ พ่อมักจะให้พรคนรอบข้าง ลูกหลานจะคอยแหย่ แต่คนที่แหย่พ่อบ่อยสุดทางโทรศัพท์ก็คือฉัน บางทีไม่มีเสียงตอบรับจากปลายทาง แต่ก็จะเพียรพยายามคุยกับพ่อ คล้อยไปกับเรื่องราวพ่อพูด พ่อมักมีคำพูดเด็ดๆ ให้ลูกๆ ได้หัวเราะเสมอ
|
Create Date : 25 พฤษภาคม 2553 | | |
Last Update : 25 พฤษภาคม 2553 22:50:41 น. |
Counter : 280 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
| |
|
|
| | |
| |