Two idiots in Singapore - Day 2



วันที่สองในสิงค์โปร์

มันเหมือนเป็นความไม่เข้ากันอย่างไรก็ไม่ทราบได้ เมื่อเราเตรียมตัวพกร่มออกไปด้วยใจที่
พร้อมจะใช้งานมันเต็มที่ แล้วพบว่าฝนมันไม่ยอมตกลงมาดังคาด ผมก็จำไม่ได้แล้วเหมือน
กันว่าร่มมันกลายมาเป็นสัญญาณเตือนให้กับท่านอื่นๆว่าวันนี้อาจมีฝนตกลงมานะ แต่ขอ
โทษ... มันจะไม่ตกลงมาหรอก และเมื่อคุณคิดเช่นนี้แล้ว ราวกับฟ้าฝนมันจงใจลักลั่นย้อน
แย้ง มันก็ตกซู่ลงมาแบบไม่ให้ทันตั้งตัว แล้วมันก็หยุดลงไปอย่างรวดเร็ว... นี่คือสภาพอา
กาศของวันที่สองครับ ไม่ต้องกังวลไปนะครับ วันนี้ผมไม่ได้ทำอะไรผิดพลาดจนต้องขาย
ขี้หน้าประชาชีครับ แต่ผมได้อาการปวดเมื่อยทรมานต้นขาเหนือหัวเข่าอย่างรุนแรง เพราะ
วันนี้ผมและคุณพ่อเดินกันทั้งวันครับ ลองมาเดินตามผมดูก็ได้นะครับ เป็นการบริหารขาที่
สาหัสสากรรจ์ดีจริงๆ

เริ่มต้นวันกันที่ร้านอาหารจีนฟาสต์ฟูดเดิมที่กินข้าวเย็นในวันแรก ยัดเยียดผัดซีอิ้วเข้าไป
อย่างรวดเร็วแล้วขึ้น MRT ไปสถานี Orchard เพื่อเป้าหมายสำคัญที่สุดของการเดินทาง
ครั้งนี้ นั่นคือการไปต่อวีซ่าของคุณพ่อผมที่สถานเอกอัครราชฑูตไทยประจำสิงค์โปร์ คุณ
พ่อผมเตรียมการพร้อมไปทุกอย่างเรียบร้อยหมายจะยื่นเรื่องทีเดียวเสร็จ พี่สาวพนักงาน
ตรวจสอบบอกกลับมาว่า "เราไม่ได้ใช้เอกสารรุ่นลายครามฉบับนี้มานานแล้วนะคะ" พ่อผม
ก็งงสิครับ เพราะปีที่แล้วก็เพิ่มใช้เอกสารฉบับนี้ยื่นขอวีซ่าแท้ๆ พ่อผมเลยถามต่อว่าที่นี่
เปลี่ยนรูปแบบมานานเท่าไหร่แล้ว คุณพี่สาวก็บอกว่าจำไม่ได้หรอกแต่รู้ว่านานแล้วเหมือน
กัน ผมเลยยิงมุขใส่เข้าไป "เวลา 2-3 เดือนของคนหนุ่มสาวนี่ถือว่านานแล้ว แต่สำหรับคน
แก่ใกล้ลงฝา เวลานานๆคงต้องซัก 20-30 ปีกระมัง" ตรงกับชื่อของหนังรางวัลออสการ์ปีนี้
เลยนะครับ "No country for an old men" หรือ"ยุทธการล้างบางเฒ่าลายคราม!?" ในยุค
โลกาภิวัฒน์ 3.0 แห่งนี้ โลกแบนๆของเรามันช่างหมุนไปเร็วจริงๆ หลังจากกรอกเอกสาร
ใหม่อีกรอบ ยื่นแบบฟอร์มแล้ววางเงิน 120$ ไปแล้วเราก็ออกมาจากสถานฑูต แล้วเดินมา
เข้าห้าง Wheeler เพื่อเยี่ยมเยือนร้านหนังสือ "Border" ที่คุณพ่อผมบอกว่าเป็นร้านที่ใหญ่
ที่สุดในสิงค์โปร์ เสียเวลาเหลือบไปเหลือบมาแต่ก็ไม่ได้อะไรติดมือออกมาด้วย เราก็เหล่ไป
เห็นป้าย Apple Retail Store อยู่ที่นี่ด้วย แต่เนื่องจากเป็นวันที่ 31 มีนาคม พวกเขาปิดปรับ
ปรุงร้านครับ... เสียดายก็จริง แต่ไม่เป็นไรครับ เพราะหลังจากนั้นเราเดินไปทางตึก Nee
Ang เพื่อพบว่ามันมีป้ายร้าน Kinokuniya ใหญ่เบ้อเร่ออยู่ ผมจึงชวนคุณพ่อเข้าไปเดินใน
นั้น ซึ่งมีนทำให้คุณพ่อผมตาสว่างทันทีว่า "ถ้า border เป็นร้านใหญ่แล้ว Kino ต้องเรียก
ว่ามหึมาเลยล่ะ" ใช่แล้วครับคุณพ่อ ผมเองก็ตกใจเหมือนกันเพราะคิโนะที่นี่ใหญ่กว่าที่
Isetan ซะอีก (ใหญ่กว่ามากครับ!) ที่นี่ผมได้เจอกับไลท์โนเวล Suzumiya Haruhi ภาษา
ญี่ปุ่นเล่ม 1 ซึ่งผมเก็บไว้ไปซื้อเอาในวันที่สามแทน ทีนี้ถ้าใครจะถามผมว่าถ้าอยากไปซื้อ
หนังสือที่สิงค์โปร์ต้องไปร้านไหน ผมจะตอบโดยไม่ลังเลเลยครับว่า คิโนะคุนิยะ ในห้าง
Nee Ang ตรงถนน Orchard ไม่งั้นก็ Amazon เอาละกันนะคุณ! หลังจากนั้นเราดิ่ง MRT
ไปยัง Little India เพื่อไปหาอาหารอินเดียกินกันไปมื้อเที่ยงในศูนย์อาหาร FoodMore
เพื่อชาร์จพลังเตรียมตัวสำหรับการเดินรอบบ่าย

ถ้าผมรู้ตัวเสียแต่แรกว่าในสามชั่วโมงครึ่งต่อจากนี้ (ตามเวลาที่ออกจาก FoodMore มา)
ผมคงจะไปซื้อเครื่องดื่มบำรุงกำลังขามาเสริมสมรรถภาพก่อนแล้วล่ะครับ ว่ากันตามตรง
แล้วระยะทางจาก Little India ถึง China town มันก็ไม่ได้ไกลอะไรขนาดนั้นหรอกครับ
แต่คุณพ่อผมเป็นนักเดินท่องเที่ยวผู้มีประสบการณ์มาอย่างโชกโชน คุณพ่อผมถึงสามารถ
เดินวกไปวนมาโดยไม่ซ้ำกับเส้นทางเดิม แต่สามารถเดินได้ครบทุกอณูของสถานที่ที่แก
ต้องการจะไปเลยครับ ผมบอกกับคุณพ่อว่าต้องการท่องเที่ยว สิ่งที่ผมได้รับก็คือการเดิน
เที่ยวตะเลงจนขาแข็ง ถ้าจะมีอะไรที่ทำให้ผมเสียใจในวันนี้... คงจะเป็นความสามารถใน
การใช้กล้องถ่าบภาพสถานที่ต่างๆได้อย่างไม่ประทับใจตัวเองมาก ทั้งเบลอ ทั้งปรับค่าแสง
ไม่ตรงกับความต้องการ เฮ้อ... ฝึกต่อไปนะนายเอ๋ย เดี๋ยวผมขอเล่าสถานที่เป็นช๊อตๆไป
ละกันนะครับ เพื่อความเรียบง่าย
- Raffles Hotel : คุณพ่อเล่าให้ฟังว่าที่นี่เป็นโรงแรมแห่งแรกที่ตั้งกิจการขึ้นในสิงค์โปร์
เลย ผมสารภาพว่าไม่มีความรู้สึกว่าตัวเองกำลังเดินอยู่ในโรงแรมเลยซักนิดเดียว ผมนึกว่า
ตัวเองหลงมาอยู่ในย่านการค้าสินค้าแบรนด์เนมมากกว่าเสียอีก (ลูกค้าไม่รู้หายไปไหน)
แต่ห้องน้ำนี่แหละครับที่ได้ใจกระผมอีกแล้ว (อย่างกับราชาเลยทีเดียว)
- War memorial park : ผมสงสัยจริงๆว่าใครกันที่มันทำอนุสรณ์สถานแบบนี้ขึ้นมา?
ทำไมต้องเอา"ไห"มาอยู่ตรงกลางด้วย? ปั้นเป็นรูปบุคคลที่เกี่ยวข้องกับสงครามไม่ดีกว่า
เหรอครับ? หรือว่าในอดีตของสิงค์โปร์นี้มีการทำสงครามเขวี้ยง"ไห"ใส่กันงั้นสินะครับ
- Merlion park : สัญลักษณ์ที่โด่งดังที่สุดของประเทศเล็กๆแห่งนี้ อนุสาวรีย์สิงโตทะเลที่
สามารถพ่นน้ำออกจากปากได้เรื่อยๆไม่มีหยุดหย่อน (น่าจะเพิ่มฟังก์ชันให้การพ่นมีความ
หลากหลายมากกว่านี้) กระโดดขึ้นไปบนที่นั่งแล้วถ่ายรูปมันทันทีครับ
- Sir Stanford Raffles Monument : อนุสาวรีย์ของเซอร์สแตนฟอร์ด ราฟเฟิลส์ ชายผู้
พลิกโฉมหน้าของประเทศนี้ไปโดยสิ้นเชิง ผมคิดว่าเขาคงเป็นบุคคลที่มีความสำคัญเป็นแน่
เพราะดูได้จากขนาดของอนุสาวรีย์ที่ใหญ่คับซอยเลย แต่ท่าทางที่เฮียแกโพสท่านี้ออกแนว
เป็นผู้ดีอังกฤษชนมากครับ... หยิ่ง ยโส โอหัง ข้าเป็นที่หนึ่งไงล่ะครับ
- Boat Quay : มีแต่ร้านอาหารและผับ บาร์ ทั้งนั้นครับ ถนนเส้นนี้ แต่ที่นี่คือความเซ็งขั้น
สุดยอดของผมครับ เพราะพนักงานทุกร้านต้องเข้ามาทักผมเพื่อถามว่า "Would you
like some food? Or it could be some drink?" ผมก็ตอบกลับไปอย่างเรียบง่ายครับว่า
"No, For now it's not a time for me to swallow down anything. And for the
drinks, forget about it! If I try on some alcohol on, my hand would definitely
go shaky and it will make me do a blur~~ photo. Sorry, that would be crap.
Anyway, thank for an invitation. Maybe next time~"
ผมไม่แปลละกันนะครับว่าผมพูดอะไรไป เพราะผมต้องพูดตอบกลับไปแบบนี้ถึงสิบกว่าร้าน
กว่าจะหลุดออกมาจากซอยนั้นได้... So f**king great!
- Raffle place Station : หลังจากไปวนมาซะไกล ขาผมมันก็เริ่มออกอาการ จึงนั่งพักกัน
ที่หน้าสถานี MRT แห่งนี้ หลังจากนั้นก็เดินเที่ยวไปเรื่อยๆกันต่อ แล้วยังกับเวทมนตร์เลย
ครับ... จู่ๆเรามาโผล่หน้าซอยของโรงแรมเฉยเลย! ผมได้แต่อึ้งกับการวางแผนการเดินอัน
สุดยอดของคุณพ่อผมครับ แต่เวลาจะชื่นชมมีไม่นานหรอก ผมอยากเข้าห้องพักไปนวดเข่า
จะแย่อยู่แล้ว!

ในรอบเย็นเรานั่ง MRT กับไปที่ Raffles Place อีกรอบเพื่อไปทานอาหารค่ำกันที่ Boat
Quay ครับ หลังจากโดนทักทุกร้านอีกรอบ สุดท้ายก็มาลงเอยที่ร้านอาหารสไตล์ไทยซะงั้น
เราสั่งไก่มะม่วง, ปลาหมึกย่าง, สันในทอดและผัดผักรวมมิตร กับข้าวคนละจานใหญ่ พ่วง
ด้วย Heineken ขวดเล็กอีกขวด (ของผมเอง) สนนราคาออกมา 125$ ครับ จากนั้นก็เดิน
ไปถึง Merlion park เพื่อถ่ายภาพสิงโตทะเลพ่นน้ำยามมืดค่ำ สวยไม่เลวเลยล่ะครับ จาก
นั้นก็เดินข้ามฝั่งแม่น้ำไปขึ้น MRT เพื่อกลับไป Chinatown แล้วก็เข้าที่พักนอนครับ

ก็จบลงไปสำหรับวันที่สองนี้ครับ วันนี้ประสบการณ์ดีๆของควาเมื่อยขาเป็นเครื่องเตือนใจให้
กับผมถึงความสนุกที่แท้จริงของการท่องเที่ยวเพื่อดูสถานที่ต่างๆ เป็นเรื่องที่ผมได้ตระหนัก
เป็นครั้งแรก แล้วมันทำไมเหรอครับ? ก็แค่อยากจะบอกว่ามันสนุกดีเท่านั้นแหละครับ

ปล. จนป่านนี้แล้วผมยังไม่ได้ซื้อหนังสือ "Audacity of Hope" ของ บารัก โอบามาเล้ย!


Create Date : 22 เมษายน 2551
Last Update : 22 เมษายน 2551 18:14:30 น. 1 comments
Counter : 383 Pageviews.

 
วันที่สองในสิงค์โปร์

มันเหมือนเป็นความไม่เข้ากันอย่างไรก็ไม่ทราบได้ เมื่อเราเตรียมตัวพกร่มออกไปด้วยใจที่
พร้อมจะใช้งานมันเต็มที่ แล้วพบว่าฝนมันไม่ยอมตกลงมาดังคาด ผมก็จำไม่ได้แล้วเหมือน
กันว่าร่มมันกลายมาเป็นสัญญาณเตือนให้กับท่านอื่นๆว่าวันนี้อาจมีฝนตกลงมานะ แต่ขอ
โทษ... มันจะไม่ตกลงมาหรอก และเมื่อคุณคิดเช่นนี้แล้ว ราวกับฟ้าฝนมันจงใจลักลั่นย้อน
แย้ง มันก็ตกซู่ลงมาแบบไม่ให้ทันตั้งตัว แล้วมันก็หยุดลงไปอย่างรวดเร็ว... นี่คือสภาพอา
กาศของวันที่สองครับ ไม่ต้องกังวลไปนะครับ วันนี้ผมไม่ได้ทำอะไรผิดพลาดจนต้องขาย
ขี้หน้าประชาชีครับ แต่ผมได้อาการปวดเมื่อยทรมานต้นขาเหนือหัวเข่าอย่างรุนแรง เพราะ
วันนี้ผมและคุณพ่อเดินกันทั้งวันครับ ลองมาเดินตามผมดูก็ได้นะครับ เป็นการบริหารขาที่
สาหัสสากรรจ์ดีจริงๆ

เริ่มต้นวันกันที่ร้านอาหารจีนฟาสต์ฟูดเดิมที่กินข้าวเย็นในวันแรก ยัดเยียดผัดซีอิ้วเข้าไป
อย่างรวดเร็วแล้วขึ้น MRT ไปสถานี Orchard เพื่อเป้าหมายสำคัญที่สุดของการเดินทาง
ครั้งนี้ นั่นคือการไปต่อวีซ่าของคุณพ่อผมที่สถานเอกอัครราชฑูตไทยประจำสิงค์โปร์ คุณ
พ่อผมเตรียมการพร้อมไปทุกอย่างเรียบร้อยหมายจะยื่นเรื่องทีเดียวเสร็จ พี่สาวพนักงาน
ตรวจสอบบอกกลับมาว่า "เราไม่ได้ใช้เอกสารรุ่นลายครามฉบับนี้มานานแล้วนะคะ" พ่อผม
ก็งงสิครับ เพราะปีที่แล้วก็เพิ่มใช้เอกสารฉบับนี้ยื่นขอวีซ่าแท้ๆ พ่อผมเลยถามต่อว่าที่นี่
เปลี่ยนรูปแบบมานานเท่าไหร่แล้ว คุณพี่สาวก็บอกว่าจำไม่ได้หรอกแต่รู้ว่านานแล้วเหมือน
กัน ผมเลยยิงมุขใส่เข้าไป "เวลา 2-3 เดือนของคนหนุ่มสาวนี่ถือว่านานแล้ว แต่สำหรับคน
แก่ใกล้ลงฝา เวลานานๆคงต้องซัก 20-30 ปีกระมัง" ตรงกับชื่อของหนังรางวัลออสการ์ปีนี้
เลยนะครับ "No country for an old men" หรือ"ยุทธการล้างบางเฒ่าลายคราม!?" ในยุค
โลกาภิวัฒน์ 3.0 แห่งนี้ โลกแบนๆของเรามันช่างหมุนไปเร็วจริงๆ หลังจากกรอกเอกสาร
ใหม่อีกรอบ ยื่นแบบฟอร์มแล้ววางเงิน 120$ ไปแล้วเราก็ออกมาจากสถานฑูต แล้วเดินมา
เข้าห้าง Wheeler เพื่อเยี่ยมเยือนร้านหนังสือ "Border" ที่คุณพ่อผมบอกว่าเป็นร้านที่ใหญ่
ที่สุดในสิงค์โปร์ เสียเวลาเหลือบไปเหลือบมาแต่ก็ไม่ได้อะไรติดมือออกมาด้วย เราก็เหล่ไป
เห็นป้าย Apple Retail Store อยู่ที่นี่ด้วย แต่เนื่องจากเป็นวันที่ 31 มีนาคม พวกเขาปิดปรับ
ปรุงร้านครับ... เสียดายก็จริง แต่ไม่เป็นไรครับ เพราะหลังจากนั้นเราเดินไปทางตึก Nee
Ang เพื่อพบว่ามันมีป้ายร้าน Kinokuniya ใหญ่เบ้อเร่ออยู่ ผมจึงชวนคุณพ่อเข้าไปเดินใน
นั้น ซึ่งมีนทำให้คุณพ่อผมตาสว่างทันทีว่า "ถ้า border เป็นร้านใหญ่แล้ว Kino ต้องเรียก
ว่ามหึมาเลยล่ะ" ใช่แล้วครับคุณพ่อ ผมเองก็ตกใจเหมือนกันเพราะคิโนะที่นี่ใหญ่กว่าที่
Isetan ซะอีก (ใหญ่กว่ามากครับ!) ที่นี่ผมได้เจอกับไลท์โนเวล Suzumiya Haruhi ภาษา
ญี่ปุ่นเล่ม 1 ซึ่งผมเก็บไว้ไปซื้อเอาในวันที่สามแทน ทีนี้ถ้าใครจะถามผมว่าถ้าอยากไปซื้อ
หนังสือที่สิงค์โปร์ต้องไปร้านไหน ผมจะตอบโดยไม่ลังเลเลยครับว่า คิโนะคุนิยะ ในห้าง
Nee Ang ตรงถนน Orchard ไม่งั้นก็ Amazon เอาละกันนะคุณ! หลังจากนั้นเราดิ่ง MRT
ไปยัง Little India เพื่อไปหาอาหารอินเดียกินกันไปมื้อเที่ยงในศูนย์อาหาร FoodMore
เพื่อชาร์จพลังเตรียมตัวสำหรับการเดินรอบบ่าย

ถ้าผมรู้ตัวเสียแต่แรกว่าในสามชั่วโมงครึ่งต่อจากนี้ (ตามเวลาที่ออกจาก FoodMore มา)
ผมคงจะไปซื้อเครื่องดื่มบำรุงกำลังขามาเสริมสมรรถภาพก่อนแล้วล่ะครับ ว่ากันตามตรง
แล้วระยะทางจาก Little India ถึง China town มันก็ไม่ได้ไกลอะไรขนาดนั้นหรอกครับ
แต่คุณพ่อผมเป็นนักเดินท่องเที่ยวผู้มีประสบการณ์มาอย่างโชกโชน คุณพ่อผมถึงสามารถ
เดินวกไปวนมาโดยไม่ซ้ำกับเส้นทางเดิม แต่สามารถเดินได้ครบทุกอณูของสถานที่ที่แก
ต้องการจะไปเลยครับ ผมบอกกับคุณพ่อว่าต้องการท่องเที่ยว สิ่งที่ผมได้รับก็คือการเดิน
เที่ยวตะเลงจนขาแข็ง ถ้าจะมีอะไรที่ทำให้ผมเสียใจในวันนี้... คงจะเป็นความสามารถใน
การใช้กล้องถ่าบภาพสถานที่ต่างๆได้อย่างไม่ประทับใจตัวเองมาก ทั้งเบลอ ทั้งปรับค่าแสง
ไม่ตรงกับความต้องการ เฮ้อ... ฝึกต่อไปนะนายเอ๋ย เดี๋ยวผมขอเล่าสถานที่เป็นช๊อตๆไป
ละกันนะครับ เพื่อความเรียบง่าย
- Raffles Hotel : คุณพ่อเล่าให้ฟังว่าที่นี่เป็นโรงแรมแห่งแรกที่ตั้งกิจการขึ้นในสิงค์โปร์
เลย ผมสารภาพว่าไม่มีความรู้สึกว่าตัวเองกำลังเดินอยู่ในโรงแรมเลยซักนิดเดียว ผมนึกว่า
ตัวเองหลงมาอยู่ในย่านการค้าสินค้าแบรนด์เนมมากกว่าเสียอีก (ลูกค้าไม่รู้หายไปไหน)
แต่ห้องน้ำนี่แหละครับที่ได้ใจกระผมอีกแล้ว (อย่างกับราชาเลยทีเดียว)
- War memorial park : ผมสงสัยจริงๆว่าใครกันที่มันทำอนุสรณ์สถานแบบนี้ขึ้นมา?
ทำไมต้องเอา"ไห"มาอยู่ตรงกลางด้วย? ปั้นเป็นรูปบุคคลที่เกี่ยวข้องกับสงครามไม่ดีกว่า
เหรอครับ? หรือว่าในอดีตของสิงค์โปร์นี้มีการทำสงครามเขวี้ยง"ไห"ใส่กันงั้นสินะครับ
- Merlion park : สัญลักษณ์ที่โด่งดังที่สุดของประเทศเล็กๆแห่งนี้ อนุสาวรีย์สิงโตทะเลที่
สามารถพ่นน้ำออกจากปากได้เรื่อยๆไม่มีหยุดหย่อน (น่าจะเพิ่มฟังก์ชันให้การพ่นมีความ
หลากหลายมากกว่านี้) กระโดดขึ้นไปบนที่นั่งแล้วถ่ายรูปมันทันทีครับ
- Sir Stanford Raffles Monument : อนุสาวรีย์ของเซอร์สแตนฟอร์ด ราฟเฟิลส์ ชายผู้
พลิกโฉมหน้าของประเทศนี้ไปโดยสิ้นเชิง ผมคิดว่าเขาคงเป็นบุคคลที่มีความสำคัญเป็นแน่
เพราะดูได้จากขนาดของอนุสาวรีย์ที่ใหญ่คับซอยเลย แต่ท่าทางที่เฮียแกโพสท่านี้ออกแนว
เป็นผู้ดีอังกฤษชนมากครับ... หยิ่ง ยโส โอหัง ข้าเป็นที่หนึ่งไงล่ะครับ
- Boat Quay : มีแต่ร้านอาหารและผับ บาร์ ทั้งนั้นครับ ถนนเส้นนี้ แต่ที่นี่คือความเซ็งขั้น
สุดยอดของผมครับ เพราะพนักงานทุกร้านต้องเข้ามาทักผมเพื่อถามว่า "Would you
like some food? Or it could be some drink?" ผมก็ตอบกลับไปอย่างเรียบง่ายครับว่า
"No, For now it's not a time for me to swallow down anything. And for the
drinks, forget about it! If I try on some alcohol on, my hand would definitely
go shaky and it will make me do a blur~~ photo. Sorry, that would be crap.
Anyway, thank for an invitation. Maybe next time~"
ผมไม่แปลละกันนะครับว่าผมพูดอะไรไป เพราะผมต้องพูดตอบกลับไปแบบนี้ถึงสิบกว่าร้าน
กว่าจะหลุดออกมาจากซอยนั้นได้... So f**king great!
- Raffle place Station : หลังจากไปวนมาซะไกล ขาผมมันก็เริ่มออกอาการ จึงนั่งพักกัน
ที่หน้าสถานี MRT แห่งนี้ หลังจากนั้นก็เดินเที่ยวไปเรื่อยๆกันต่อ แล้วยังกับเวทมนตร์เลย
ครับ... จู่ๆเรามาโผล่หน้าซอยของโรงแรมเฉยเลย! ผมได้แต่อึ้งกับการวางแผนการเดินอัน
สุดยอดของคุณพ่อผมครับ แต่เวลาจะชื่นชมมีไม่นานหรอก ผมอยากเข้าห้องพักไปนวดเข่า
จะแย่อยู่แล้ว!

ในรอบเย็นเรานั่ง MRT กับไปที่ Raffles Place อีกรอบเพื่อไปทานอาหารค่ำกันที่ Boat
Quay ครับ หลังจากโดนทักทุกร้านอีกรอบ สุดท้ายก็มาลงเอยที่ร้านอาหารสไตล์ไทยซะงั้น
เราสั่งไก่มะม่วง, ปลาหมึกย่าง, สันในทอดและผัดผักรวมมิตร กับข้าวคนละจานใหญ่ พ่วง
ด้วย Heineken ขวดเล็กอีกขวด (ของผมเอง) สนนราคาออกมา 125$ ครับ จากนั้นก็เดิน
ไปถึง Merlion park เพื่อถ่ายภาพสิงโตทะเลพ่นน้ำยามมืดค่ำ สวยไม่เลวเลยล่ะครับ จาก
นั้นก็เดินข้ามฝั่งแม่น้ำไปขึ้น MRT เพื่อกลับไป Chinatown แล้วก็เข้าที่พักนอนครับ

ก็จบลงไปสำหรับวันที่สองนี้ครับ วันนี้ประสบการณ์ดีๆของควาเมื่อยขาเป็นเครื่องเตือนใจให้
กับผมถึงความสนุกที่แท้จริงของการท่องเที่ยวเพื่อดูสถานที่ต่างๆ เป็นเรื่องที่ผมได้ตระหนัก
เป็นครั้งแรก แล้วมันทำไมเหรอครับ? ก็แค่อยากจะบอกว่ามันสนุกดีเท่านั้นแหละครับ

ปล. จนป่านนี้แล้วผมยังไม่ได้ซื้อหนังสือ "Audacity of Hope" ของ บารัก โอบามาเล้ย!


โดย: Two idiots in Singapore - Day 2 IP: 125.24.127.224 วันที่: 7 เมษายน 2552 เวลา:6:37:29 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

suckoja
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




ตัวเรานั้นเป็นเพียงเศษละอองแห่งดวงดาว...
เล็กกระจิ๋วเมื่อเทียบกับสากลโลก...
แต่เศษละอองนี้จะเปลี่ยนแปลงโลกได้...
ด้วยศรัทธา...

Thomas Clover's Facebook profile

Suckoja Updates

    Group Blog
     
    All Blogs
     
    Friends' blogs
    [Add suckoja's blog to your web]
    Links
     

     Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.