|
ไม่ใช่ Emotional Intelligence เท่านั้น ผู้บริหารต้องมี Social Intelligence ด้วย
ในปี 1998 แดเนียล โกลแมน (Daniel Goleman) ได้เขียนเรียงความเรื่องสำคัญลงตีพิมพ์ในวารสาร Harvard Business Review (HBR) ซึ่งเป็นวารสารอันทรงอิทธิพลทางความคิดเกี่ยวกับการจัดการธุรกิจของมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด เรียงความเรื่องสำคัญนั้นชื่อ What makes a leader ซึ่งเขาเน้นความคิดที่สำคัญว่า
“ สติปัญญา (Intelligence) และความสามารถทางเทคนิค (Technical Competency) ถือว่าเป็นปัจจัยสำคัญสำหรับการเป็นผู้นำก็จริง แต่เชาวน์อารมณ์ (Emotional Intelligence) เป็นปัจจัยที่ผู้นำขาดไปไม่ได้เป็นอันขาด “ ตั้งแต่นั้นมา คำกล่าวนี้กลายเป็นสิ่งสำคัญที่คนส่วนใหญ่ยึดมั่นอยู่ตลอดมาทั้งจากผู้นำในวงการธุรกิจและทางการเมือง
หนึ่งทศวรรษผ่านไป คือปี ค.ศ. 2008 Daniel Goleman ร่วมกับ Richard Boyatzis เขียนเรียงความลงในวารสาร Harvard Business Review อีกครั้งหนึ่ง คราวนี้เป็นเรื่อง Social Intelligence and Leadership โดยต่อยอดจากความคิดเดิมในเรื่องของ Emotional Intelligence (EI) เมื่อสิบปีก่อนโน้น โดยมีการเพิ่มเติม Social Intelligence (SI) เข้าไปในโมเดลอีกองค์ประกอบหนึ่ง
เขาได้นิยาม เชาวน์สังคม (Social Intelligence) ว่า เป็นสมรรถวิสัยในการติดต่อสัมพันธ์ระหว่างบุคคลที่เกิดขึ้นมา และอยู่ในวงจรประสาทในระบบต่อมไร้ท่อของคนเรา ซึ่งจะบันดาลใจให้คนอื่นๆ ที่มีความสัมพันธ์กันอยู่นั้นทำอะไรร่วมกันให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
เมื่อดูจากนิยามที่ว่าไว้นี้แล้ว ดูเหมือนว่าจะพิกลอยู่เหมือนกันตามประสานักวิจัย เราคงจะตีความให้นำไปสู่การวัดตามนิยามนี้ยากเหมือนกัน และจะน่าจะประสบปัญหาความน่าเชื่อถือ ซึ่งผมคิดว่าคงต้องมีการถกเถียงอภิปรายกันต่อไปอย่างแน่นอน
ประเด็นที่ผมสนใจคือ เขาทั้งสองรายงานว่า มีหลักฐานอ้างอิงได้ว่า ผู้นำสามารถเรียนรู้ที่จะมี EI และ SI ได้ทุกคน และจะกลายเป็นผู้นำที่ดี สามารถนำได้ดีกว่าเดิม อย่างน้อยใน 2 ประเด็นต่อไปนี้
1. EI และ SI มีส่วนช่วยผู้นำจริงหรือ ผู้นำที่มีความเห็นใจ เข้าใจ (Empathy) และปรับตนให้เข้ากับอารมณ์ของลูกน้องได้ดีจะทำให้สารในสมอง (Brain Chemistry) ทั้งของตัวผู้นำและลูกน้องปรับตัวไปด้วยในทิศทางเดียวกัน เขาอภิปรายว่า ถ้าการผลการวิจัยเป็นอย่างนี้จริง การเปลี่ยนแปลงของสารในสมอง (Brain Chemistry) อันเกิดจากผู้นำแสดงความเห็นใจเข้าใจ จะมีอิทธิพลสำคัญที่อธิบายได้ว่า เพราะอะไรเมื่อผู้นำมีอารมณ์ดีแล้วลูกน้องที่ทำงานให้เขาจะมีทัศนคติดีไปด้วย ปฏิบัติงานได้ผลดีมากขึ้นด้วย และทำให้ผลประกอบการเป็นตัวเงินของบริษัทออกมาดีขึ้นด้วย
2. EI และ SI มีความสำคัญมากโดยเฉพาะอย่างยิ่งช่วงวิกฤติจริงหรือ โกลแมนและโบยาตซิสอ้างว่า จากการวิจัยของเขาในช่วงวิกฤติของโรงพยาบาล ผู้บริหารที่มี EI/SI ต่ำที่ทำหน้าที่บริหารพนักงานอยู่จะตอบสนองความต้องการของคนไข้ได้น้อยกว่าผู้บริหารที่มี EI/SI สูงถึง 3 เท่า และเกิดอาการหมดอารมณ์ (Emotional Exhaustion) มากกว่าถึง 4 เท่า นอกจากนั้นเมื่อไปดูที่ความเปลี่ยนแปลงในระบบฮอร์โมนพบว่า อดรีนาลินและคอร์ติซอลของพนักงานที่เป็นลูกน้องของผู้บริหารที่มี EI/SI ต่ำถูกขับออกมาใช้ในทางรบกวนการคิดและการใช้เหตุผล แตกต่างจากพนักงานที่ทำงานกับผู้บริหารที่มี EI/SI สูงที่ยังคงสามารถทำงานไปด้วยอารมณ์ดีและผลงานดีแม้ว่าจะอยู่ในช่วงที่บริษัทกำลังลดคน (Lay off) ก็ตาม
คุณลักษณะอะไรบ้างที่ถือว่าเป็น EI/SI Competencies สมรรถวิสัย (Competencies) ของคนที่มี EI/SI ตามโมเดลของโกลแมนและโบยาตซิส มีรายละเอียดดังนี้คือ
1. Self Awareness ในด้านที่เกี่ยวกับอารมณ์ คือมีความรู้ตัว มีสติเกี่ยวกับอารมณ์ของตน
2. Self Management ซึ่งมีปัจจัยให้พิจารณา 4 ประการด้วยกันคือ
2.1 Achievement Orientation มีความมุ่งมั่นที่แสวงหาความสำเร็จ 2.2 Adaptability มีความสามารถปรับตนได้ดี 2.3 Emotional Self-control มีความสามารถในการควบคุมอารมณ์ของตน 2.4 Positive Outlook มีท่าทีปรากฏต่อสายตาคนข้างนอกในทางบวก
3. Social Awareness ด้านที่เป็นความรู้ตัวเกี่ยวกับสังคมรอบตัว
3.1 Empathy มีความเข้าใจเห็นใจคนอื่น 3.2 Organizational Awareness มีความรู้ตัวเกี่ยวกับสถานการณ์ของสังคมที่ทำงาน
4. Relationship Management ความสามารถในการจัดการกับความสัมพันธ์ระหว่างกัน
4.1 Conflict Management มีความสามารถจัดการกับปัญหาขัดแย้ง 4.2 Coaching and Mentoring มีความสามารถในการสอนแนะและการอุปถัมภ์ 4.3 Influences มีความสามารถในการกระตุ้นอารมณ์ 4.4 Inspirational Leadership มีความเป็นผู้นำที่สามารถสร้างความบันดาลใจ 4.5 Teamwork มีความสามารถในการทำงานเป็นทีมได้ดี
ถ้าเราต้องการที่จะทำให้สถานที่ทำงานเป็นสถานที่อีกแห่งหนึ่งที่จะนำความสุขมาสู่ผู้ทำงาน เราน่าจะให้ความสนใจสร้าง EI/SI Competencies ในตัวผู้บริหารทุกระดับ เพราะจากหลักฐานที่โกลแมนและโบยาตซิสพบจากการวิจัยของพวกเขาสรุปได้ว่า ผู้บริหารที่มี EI/SI Competencies สูงจะทำให้ลูกน้องมีทัศนคติดีต่อการทำงาน ทำงานเป็นทีมดีขึ้น ตอบสนองลูกค้าได้ดี แม้ว่าขณะนี้อาจจะยังไม่มีหลักฐานยืนยันด้วยผลการวิจัยอย่างชัดเจนด้วยวิธีการทางวิทยาศาสตร์ตามคำอ้างที่ว่า คุณสมบัติเหล่านี้เป็น Brain Chemistry ของผู้นำ แต่โดยสามัญสำนึก (Common Sense) เราอ่านคุณลักษณะทั้งหมดที่กล่าวมาแล้ว น่าจะเป็นสิ่งที่ผู้บริหารควรจะต้องมีอยู่แล้ว
Create Date : 02 กรกฎาคม 2553 |
Last Update : 2 กรกฎาคม 2553 21:53:24 น. |
|
4 comments
|
Counter : 742 Pageviews. |
|
|
|
|
โดย: คงเดช IP: 125.24.42.61 วันที่: 4 กรกฎาคม 2553 เวลา:19:08:43 น. |
|
โดย: สมศักดิ์ศรี IP: 58.9.139.227 วันที่: 8 กรกฎาคม 2553 เวลา:10:39:05 น. |
|
โดย: Yui IP: 125.24.208.145 วันที่: 17 กรกฎาคม 2553 เวลา:16:01:30 น. |
|
โดย: อนุรัตน์ IP: 124.121.86.242 วันที่: 5 สิงหาคม 2553 เวลา:5:51:42 น. |
|
|
|
|
sithichoke |
|
|
|
|
จริงดังที่อาจารย์ว่า ประเด็นเหล่านี้เหมือนจะเป็นสามัญสำนึกของคนเราอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่การพิสูจน์จริงในทางวิทยาศาสตร์ แต่ผมก็เชื่อนะครับว่า ด้วยเทคโนโลยีในปัจจุบัน นักวิทยาศาสตร์น่าจะสามารถตรวจวัดกระบวนการเคมีในสมองได้ง่ายขึ้น เพียงแต่อาจจะหา Subject มายากสักหน่อย เพราะถ้าจะให้ตรงประเด็น ก็ต้องขออาสาสมัครเป็นระดับผู้บริหารเลยทีเดียว