Group Blog
  •  
  •  
  •  
  •   
  •  
  •  
  •  
  •  
All Blog
[HAUL/REVIEW] เปิดถุงและรีวิวเบาๆจาก MAC Cosmetics
สวัสดีครับทุกท่าน วันนี้ผมจะมารีวิวและเปิดถุงของที่ไปสอยมาจาก MAC
ผมไปซื้อที่สาขา เซ็นทรัลปิ่นเกล้าครับ 


ประสบการณ์ช๊อปปิ้งกับบีเอ  MAC มันก็ไม่ได้เลวร้ายอะไร ผมว่าคนคิดกลัวกันไปเอง หรืออาจจะเพราะผมไปแบบมีความตั้งใจซื้อของอยู่แล้ว? หรือเพราะผมแต่งตัวดีๆไปเลยไม่โดนจิก อันนี้ผมไม่ทราบ
จะมีติก็แค่ซื้อยอดสี่พันกว่าบาทแต่ไม่มีอะไรแถมให้ผมกลับมาเลย (ฮ่าๆ โลภ) และมีพี่บีเอผู้หญิงที่นั่งตรงเค้าเตอร์ อยู่ดีๆเค้าถอนหายใจดังมากออกมา ผมมองแว๊บนึงและกลับมาอยู่ในโลกส่วนตัวของผมต่อ

ต่อไปผมจะรีวิวของที่ซื้อมา หลังจากที่ได้ลองใช้มาสองอาทิตย์นะครับ
เริ่มที่ แปรง 109 Contour Brush ขนแปรงทำจากขนสัตว์แท้ สีดำผ่านการย้อมมา ราคาเต็ม 1,850บาท

























เนื่องจากแปรงยังใหม่อยู่ เลยจะยังคงลีบไม่บานเหมือนท่านอื่นที่รีวิว(แปรงของพวกเค้าจะฟูบานจากการใช้งาน) เหตุผลที่ซื้อแปรงด้ามนี้ ทั้งๆที่มีแปรง Contour brush by Real Techniques
เพราะว่าผมต้องการแปรงที่มีขนาดเล็ก ปลายมนและมีความฟู ง่ายแกการเบลนสี ซึ่งแปรงของ RT
จะมีปลายที่แหลมกว่า และขนจะไม่ฟูฟุ้งเท่าของ MAC

จากที่ลองใช้
ข้อดี
๑. ง่ายต่อการคอนทัวจริงๆ เพราะขนาดไม่ใหญ่ไม่เล็กเกินไป
๒. มีความฟูฟุ้ง ทำให้เวลาคอนทัว สีจะฟุ้งๆ ไม่เป็นเส้นเป็นปื้นๆ
๓. ขนนุ่ม ไม่บาดหน้าเลยจริงๆ
๔. ด้ามไม่เทอะทะ จับถนัดมือ
๕. (เคยได้ยินว่าเอามาลงรองพื้นได้ดี แต่ผมไม่แนะนำ)

ข้อเสีย
๑. ราคาสูง
๒. สีตกนิดหน่อยเวลาล้างแปรง
๓. ขนร่วง นิดหน่อย (จริงๆราคาเท่านี้ เป็นสิ่งที่ไม่ดีเลยที่ขนร่วง แต่จากที่สังเกตุมา แปรงเค้าเตอร์ที่ทำจากขนสัตว์จะร่วงซะส่วนใหญ่ NARS  ก็ร่วง)
สรุป โดยรว แปรงMAC 109 เป็นแปรงที่เหมาะกับการคอนทัวหน้ามากนะครับ  เลือกลงสีได้ถูกจุด เบลนสีได้ฟุ้งดูเป็นธรรมชาติ ถ้าตัดเรื่องขนร่วงออกจะเพอร์เฟคเลย

ต่อไป แปรง MAC 130 Short Duo fibre brush ราคาเต็ม 1,950 บาท

ขนแปรงทำจากขนสัตว์(สีดำ) และขนไฟเบอร์ (สีขาว) เหมาะกับการลงผลิตภัณณ์เนื้อครีมทุกชนิด

ถ้าเทียบกับ MAC187 เจ้า MAC130 นี่เล็กกว่ากันมาก  วางเทียบกันเหมือนเป็นแม่ลูก
ขนของ 130 ตรงส่วนของไฟเบอร์จะสั้นกว่า และโดยรวมขนจะหนาแน่นกว่า MAC 187
ด้ามแปรงจับถนัด ดูหรูหรา มีไว้ครอบครองแล้วเหมือนมือโปร ฮ่าๆ ความชอบส่วนตัวนะครับ
ผมเอามาใช้ลงรองพื้นตามที่พี่บีเอแนะนำมา และจากที่ได้ใช้มามีความเห็นว่า
ข้อดี
๑. ลงรองพื้นได้เป็นธรรมชาติ
๒. สามารถลงรองพื้นได้แบบบาง หรือจะทำให้หนาได้ เพียงแต่เปลี่ยนวิธีลง
 (วนๆเบาๆ จะบางๆ แต่หากแตะๆแท๊บๆทิ่มๆแล้วค่อยๆเบลน จะได้ลุ๊คที่หนากว่านิดเป็น Air brush finish แต่ก็ขึ้นอยู่กับตัวรองพื้นที่ใช้ด้วย)
๓. ขนไม่บาดหน้า ไม่ทิ่มหน้า ไม่ระคายเคืองเลย

ข้อเสีย
๑. ขนาดเล็ก ใช้เวลาเกลี่ยนานกว่าปกติหากเทียบกับการลงด้วยแปรง Buffing brush ของRT
๒. ราคาสูง
๓. ขนสีดำมีร่วงบ้างนิ๊ดดดเดียว ตอนซักแปรงครับ
สรุป เป็นแปรงที่ลงรองพื้นได้ดีอีกอันหนึ่ง แต่ไม่ใช่แปรง MUST HAVE แต่อย่างใด เพราะราคาที่สูง
เอาไปซื้อแปรงลงรองพื้นของ RT จะเข้าท่ากว่า แปรงนี้เหมาะกับใคร? เหมาะกับคนบ้าแปรง(แบบผม)
คนที่มีเวลาแต่งหน้ามาก ชอบแต่งละเอียดๆ และต้องการแปรงแต่งหน้าที่ทำให้
คุณดูมีทักษะสูง
ผมชอบมันมากเหมือนกันนะ (แหงสิ มันแพงนิ) เพราะความรักในการสะสมแปรง
หากถามว่าแนะนำสำหรับมือใหม่หรือไม่ ผมไม่แนะนำครับ แต่หากคุณมีสกิลการแต่งหน้าพอสมควร และอยากลองแปรง ผมว่ามีไว้ก็ไม่เสียหายครับ ยกเว้นเรื่องทรัพย์จาง ฮ่าๆ

สุดท้ายของวันนี้ มันคือ MAC Face and Body Foundation
ผมใช้สี C3 ราคาเต็ม 1,500 บาท ปริมาณ 30ml

ปกติจะหาซื้อได้ที่ MAC Pro ที่สยามเซ็นเตอร์ แต่พอดีมันเป็น ลิมิเตดอะไรนี่แหละ
เลยออกขวดเล็กมา (ในราคาที่แพงแทบเทียบเท่าขวดใหญ่)

ขวดเป็นพล๊าสติกขนาดเล็ก เบา พกพาง่าย ฝาเกลียวหมุน เวลาใช้ควรเขย่าขวดก่อน
เนื้อรองพื้นเหลวมากเหมือนน้ำ บีบแล้วไหลย้อย เมื่อลองปาดแล้วจะพบว่าบางมาก
บางเหมือนไม่ได้ทาอะไรเลย สามารถทาซ้อนกันหลายชั้นเพื่อความปกปิดที่เพิ่มขึ้นได้
แต่ส่วนตัว หน้าผมไม่ได้มีปัญหาอะไร เลยไม่ต้องโบกซ้ำ สิ่งนึงที่พบคือเนื่องจากมันเหลวและบาง
มันต้องใช้เยอะกว่ารองพื้นเนื้อครีมปกติครับ (แต่ก็ดี เผื่อจะใช้หมดกับเค้าซักที)
ทาเสร็จจะใสๆขึ้น หน้าจะดูฉ่ำๆสุขภาพดี ดิ้วอี้ๆ และดูแทบไม่ออกว่าทารองพื้น
เพียงแค่มันปรับสีหน้าให้ดูดีขึ้น ระหว่างวันมีมันบ้าง (ผมผิวมัน) แต่ว่าถึงจะมันแต่กลับไม่รู้สึกหนักหน้าเหนอะหน้าเลย ต่างจากของบางยี่ห้อ ที่ผมทาแล้วรู้สึกอยากล้างหน้าออกมากๆ เพราะมันหนักหน้า
ข้อดี
๑. เนื้อบางเบา
๒. ใช้แล้วไม่แพ้ และยังไม่พบการอุดตัน
๓. ไม่หนักหน้า
๔. เกลี่ยง่ายมาก
๕.หน้าดูฉ่ำๆ ดิวอี้ๆ ดูสุขภาพดี

ข้อเสีย
๑. ไม่ค่อยปกปิด (หากใครต้องการการปกปิด บอกผ่าน หรือไม่ก็ใช้คอนซีลเลอร์ช่วยครับ)
๒. ต้องใช้ปริมาณมากกว่าปกติในการเกลี่ยทั่วหน้า
๓. ไม่คุมมัน
๔. หาซื้อได้ยากกว่าปกติ ถึงแม้จะมี MAC Online แล้ว แต่หากคุณไม่เคยใช้มาก่อน จะทราบสีได้อย่างไร? อย่างผม สีที่บีเอแนะนำมา พอมาลองจริงๆกลับเหลืองไป ต้องลองเอง

สรุป ตั้งแต่ใช้'รองพื้น'มาไม่กี่ตัว เจ้า MAC  face and body foundation เป็นรองพื้นที่ชอบที่สุด
เหมาะกับผู้ที่ไม่ค่อยมีปัญหาเรื่องผิว ผู้หญิงใช้ได้ ผู้ชายใช้ดี ด้วยความที่มันบางเบามากๆจนเหมือนไม่ได้ทาอะไร ซึ่งเป็นสิ่งที่ดีสำหรับผมนะ บางคนอาจจะไม่ชอบ แต่ผมหลงรัก
ติอย่างเดียวเลยจริงๆคือ ถ้าของหมดผมต้องไปสยามเลยหรอ? หรือไม่ก็คงต้องสั่งจากเว็ปเอา
ใครสนใจ แนะนำให้ไปลองสีก่อนซื้อนะครับ

 เอาละ อ่านรีวิวแล้วใครใคร่สอย ตั้งสติก่อนสอย
ใครใคร่ลอง ต้องลองนะครับผม
ขอบคุณที่เข้ามาอ่านรีวิวของผม พบกันใหม่รีวิวหน้า ขอบคุณครับ สวัสดีครับผม




Create Date : 20 กุมภาพันธ์ 2557
Last Update : 20 กุมภาพันธ์ 2557 12:54:51 น.
Counter : 2039 Pageviews.

5 comment
Review Eye Shadow Chanel Maybelline THREE ETC ของคุณอั้ม ภัช-ชราภาพ
สวัสดีครับ วันนี้ผมจะมารีวิวEye Shadow ที่มีซื้อมาใช้ในพักหลังๆนี้
เม้าก่อนเข้าเรื่อง....
คุณคิดเหมือนผมป่าวครับ ว่าอายแชโด้วเป็นสินค้าหลอกกิเลสและเป็นหนึ่งในผลิตภัณฑ์ที่ใช้ไม่คุ้มที่สุด
เพราะมันมีสีมากมาย หลายเนื้อ มากTEXTURE สีนั้นยังไม่มี สีนี้ก็อยากได้
ถามว่าเคยใช้หมดซักอันรึเปล่า? สำหรับคุณอั้มละน้อยมากที่จะใช้หมด ถึงขั้นกล้าพูดเลยว่าใช้ไม่เคยหมด
การรีวิวในครั้งนี้ ไม่ได้รับการว่าจ้าง รีวิวจากประสบการณ์การใช้สินค้าจริงๆ ดีว่าดี ไม่ดีก็บอกว่าไม่ดี พูดกันตรงๆ และสินค้าทุกชิ้น " ซื้อเองทุกชิ้น" ไม่มีใครส่งมาให้ลองทั้งสิ้น

หากพูดถึงการทาอายแชโด้วแล้ว สิ่งนึงที่ขาดไม่ได้เลย นั่นคืออะไรครับ?
ถูกต้อง มันคือ   eye primer
ในท้องตลาด มีให้เลือกหลายยี่ห้อ จากถูกไปแพง แล้วแต่คุณภาพ เป็นสิ่งที่ควรค่าแก่การลงทุน
เพราะนอกจากมันจะช่วยให้สีตาติดทนแล้ว มันเป็นอะไรที่ทาทุกวันหากคุณแต่งตา
เพราะฉะนั้นซื้อมา ได้ใช้แน่
กรุคุณอั้มนั้น มีสองตัวครับ
ตัวแรกนั่นคือ MAC Painterly Paintpot (จำราคาไม่ได้ครับ ขออภัย) อันนี้ใช้มานานมากแล้วครับ

น่าจะกระปุกที่สองหรือสามแล้วละ เพราะเมื่อก่อนใช้ทุกวัน (สังเกตการใช้past tense)
มันมาเป็นกระปุกแก้วที่ต้องปาดๆเหมือนพวก Tattoo color by Maybeline  แต่ราคาต่างกัน
ผมจำราคาไม่ได้แล้วครับ
ข้อดี
๑. ช่วยให้สีอายแชโด้วติดทนทั้งวัน ไม่เละ
๒. ช่วยให้สีอายแชโด้วชัดขึ้น
๓. สามารถซื้อได้ที่ไทย

ข้อเสีย
๑. หากไม่ได้ใช้นาน จะแห้งเกลี่ยยาก (พอเกลี่ยมากอาจทำให้หนังตาเหี่ยวย่นได้)
๒. หากใช้ในปริมาณมากไป จะหนา แต่ไม่น่าเกลียดนัก เพราะเป็นสีเนื้อ
สรุป ชอบมากเหมือนกันครับ แต่ชอบที่มีในกรุนั้น แห้งหดจนเกลี่ยลำบากมาก เพราะไม่ได้ใช้เป็นเวลานาน หากใครที่ไม่อยากพรีออเดอร์ หรือเสี่ยงซื้อพวก Urban decay  ทางเน็ต เจ้า MAC Paintpot ตัวนี้ก็เป็นตัวเลือกที่ใช้ได้ทีเดียว

ตัวต่อไป มันคือ อายไพรเมอร์อันโด่งดัง ที่หลายๆคนรู้จัก
นั่นคือ Urban Decay Primer Potion เจ้าตัวนี้ พี่สาวซื้อให้คุณอั้มจากอเมริกา ไม่ทราบราคาเช่นกันครับ


เจ้านี่คือสาเหตุที่ทำให้คุณอั้มไม่ได้ใช้ paintpot เพราะมันใช้ง่าย ใช้ดี อย่างที่หลายๆคนยกยอมันว่ามันเป็นหนึ่งในสุดยอด Eye primer จริงๆนั่นแหละ จากประสบการณ์ที่ใช้
ข้อดี
๑. ช่วยให้สีอายแชโด้วติดทนทั้งวัน ไม่เละ
๒. ช่วยให้สีอายแชโด้วชัดขึ้น
๓. เนื้อเกลี่ยง่าย

ข้อเสีย
๑. เนื่องจากอยู่ในบรรจุภัณฑ์จิ้มจุ่มแบบนี้ หากมันใกล้หมด อาจจะใช้ไม่หมดทุกหยดแบบคุ้มค่าจริงๆ(งก)
๒. หากเกลี่ยไม่ทั่ว เกลี่ยไม่ดี สีอายแชโด้วจะด่างๆครับ (อันนี้เป็นบ่อยเพราะคุณอั้มมักรีบ)
๓. ยังไม่มีเค้าเตอร์ในไทย (ได้ข่าวว่าปีนี้จะมาแล้ว รอๆ)

มาต่อกันที่ Cream Eye Shadow  ดีกว่า เพราะมีไม่กี่อัน

ตัวแรกในหมวดนี้ นั่นคือ Shiseido Shimmering Cream Eye Color (สีBK912)

หากจำไม่ผิด ราคาจะอยู่ที่ 900ปลายๆ เป็นครีมอายแชโด้วแบบมีชิมเมอร์
ผมเลือกซื้อสีดำมาเพื่อเอามาเป็นฐานในการทาสีเข้มที่หางตาถึงเบ้าตา
เจ้านี้เป็นสีดำแต่มีชิมเมอร์สีเขียวเล็กๆสวยดีครับ
ใช้ไม่บ่อยเท่าไรนักเพราะพักหลังนิยมแต่งอ่อนๆให้คุณอั้มครับ


ข้อดี
๑. เนื้อนุ่ม นิ่ม creamy ทำให้เกลี่ยง่ายมาก หากจะทำเป็นฐานแต่ง สโม๊คกี้อายละก็เยี่ยมเลย แต่คงต้องเซ็ทด้วยอายแชโด้วแบบฝุ่น เพราะเนื้อลักษณะนี้ หากไม่เซ็ท จะหลุดเลือนเลอะได้ครับ
๒. ใช้นิดเดียว สีชัดสีเข้ม
ข้อเสีย (จริงๆจากประสบการณ์ที่ใช้ยังไม่พบข้อเสีย แต่ถ้าให้พูดนั้น...)
๑. หากไม่เซ็ทด้วยอายแชโด้วแบบฝุ่น อาจจะเลอะเปลือกตาได้ครับ แต่คุณอั้มยังไม่เคยประสบ
๒.ราคาสูงตามสไตล์ เค้าเตอร์แบรนด์

ตัวต่อไปในหมวดครีม นั่นคือสิ่งดีเป็นกระแสดังมาก แรงมากอยู่ช่วงหนึ่ง

เพราะกระแสแรง ผมเลยไปสอยมาลองเมื่อปลายปีที่แล้ว (ล้าหลังเนอะ)
นั่นคือ Maybelline New York Color Tattoo นั่นเอง

ราคาที่ผมซื้อมารู้สึกว่าจะ300ต้นๆบาท แน่นอนว่าราคาถูกกว่าพวกที่เกล่ามาข้างต้น
ซื้อมาสามสีครับ ซึ่งแต่ละสีให้ความรู้สึกต่างกัน ขอรีวิวแยกสีนะครับ
สีแรก 05 Too Cool เป็นสีขาวมุก


สีนี้เป็นสีแรกที่ซื้อ และเป็นสีที่ชอบน้อยที่สุด เพราะว่าเนื้อเกลี่ยยาก ขนาดตอน Swatch ให้ดูยังเป็นก้อนบ้างเลยครับ ต้องเกลี่ยย้ำๆซ้ำๆให้สีสม่ำเสมอกัน
อีกอย่างคือ หากนำไปทาที่หัวตา สีมันจะเด่นชัดมากเกินไป ยิ่งถ้าเอาไปทำเป็นอายเบสให้สีแบบฝุ่นติดทนละก็ สีอายแชโด้วแบบฝุ่นที่ลงทับจะยังคงเห็นความสว่างของสีขาวมุกอยู่ ซึ่งดูไม่จืดซะเลย
แต่ผมหาวิธีใช้ใหม่ คือเอามาเขียนเหนือหางEye liner  บนเส้น Wing นิดนึงเพื่อให้ลุ๊คแต่งหน้านั้นๆ
ดูมีดีเทลที่แปลกตา เพราะเวลากระพริบตาจะเห็นสีขาวมุกแว๊บๆดูน่ารักน่าค้นหา(หาอะไร)

สีต่อไป คือสี Tough as Taupe


เนื้อแมท ไม่เหมือนสีอื่นๆเค้า สีจะเป็นน้ำตาลเทาๆหม่นๆตุ่นๆอมม่วงนิดๆ หากชอบแต่งตาสีหม่นๆ น่าจะชอบครับ ตัวนี้ผมใช้ไม่บ่อยเท่าไหร่
เพราะสีมันแน่นมากเคยลองเอามาคัดเบ้า สีก็เข้มเกิน ครั้นจะเอามาลองคอนทัว ก็หนืดเกินและเข้มมากๆ
เอาไปทำเป็นฐานแต่งตาสีน้ำตาลธรรมดาๆนั่นละดีแล้วฮ่าๆ สีนี้แต่งแบบ Everyday look ได้ เพราะเป็นสีสุภาพ

สีสุดท้ายของเมเบอลีน นั่นคือ 25 Bad To The Bronze  สีน้ำตาล Metallic

(เปิดเอ๊ฟเฟคเสียง ฮาาาา เลลูยะ แบบโอเปร่า)
มันต้องอย่างงี้ซี้ สีนี้เด็ดสุด แต่งง่ายสุด และสวยสุดในสามสีที่สอยมาเลยครั
มันแต่งง่ายมาก แต่งเดี่ยวๆสีเดียวเขียนตา ปัดมาสคาร่า ปัดแก้มทาปากจบ!!
เนื่องจากสีนี้มันมีดราม่าของมันในตัวแล้วจึงไม่ต้องอะไรกับมันมากนักก็ได้
เวลาใช้ผมจะใช้แปรงแบนๆขนแน่นๆที่แข็งหน่อยทาและเกลี่ยนให้ฟุ้งขึ้นเป็นสโม๊คกี้
ขึ้นตอนนี้ทำแบบง่ายและเร็วมาก จริงๆครับ จะจบแค่นี้ก็ไหว แต่ส่วนมากจะไม่จบ
เพราะหากมีเวลาเยอะ ก็ชอบเนรมิตรคุณอั้มให้แปรงร่างจากป้าแก่ เป็นนางพญาบ้าง
โดยการเสริมสีอื่น เพิ่มทักษะบลาๆ แต่โดยรวม ชอบสีนี้สุด
บางทีวันไหนรีบจะคว้าอันนี้มาทาๆเกลี่ยๆเร็วๆ ฟาดสีอ่อนที่หัวตา ฟากสีเข้มที่หางตา คัดเบ้าด้วยสีน้ำตาลอ่อนนิดหน่อย สวย Safe แบบเร่งรัด สีนี้แนะนำเลยครับ ถูกและดีมันมีจริงๆนะ
ขอสรุปข้อดีข้อเสียโดยรวมของ Maybelline Color Tattoo นะครับ
ข้อดี
๑. ราคาไม่แพง
๒.หาซื้อง่าย
๓.มีหลายสี
๔.ติดทนมากถึงมากที่สุด (พอมันเซ็ทตัวแล้วเอานิ้วถู สีไม่มีเคลื่อน)

ข้อเสีย
๑. เนื้อแอบมีแห้งบ้าง
๒. บางสียังไม่เวิ๊ค
๓. เนื่องจากเนื้อมันเซ็ทตัวเร็ว คุณควรรีบเกลี่ยให้ไว ไม่งั้นจะเกลี่ยไม่ไป ย้ำว่าเกลี่ยให้ไว
โดยรวมเป็นอะไรที่ยอดเยี่ยมในความคิดผมนะ แนะนำครับ

มาต่อกันที่อายแชโด้วแบบฝุ่นกันมั่ง
หากพูดถึงสีทาตาที่ทุกคนควรมี ผมกล้าตอบเลยนะว่ามันคือสีน้ำตาลเนื้อแมท
มันคือสีกันตาย ทาได้ทุกวัน ส่วนมากผมจะเอามาคัดเบ้าและเบลนสีที่หางตาให้ดูซ๊อฟลง
ที่ผมใช้หลักๆมีสามยี่ห้อ นั่นคือ Urban Decay Naked1-2,MAC, และ NARS
สามยี่ห้อที่ขึ้นชื่อเรื่องเครื่องสำอางละเนอะ naked 1-2 มันจะมีสีน้ำตาลแมทมาให้ในแพเลทอยู่แล้ว
ถือว่าสะดวก
ส่วนของ MAC ผมใช้สีที่ชื่อว่า Cork เป็นเนื้อ Satin คือถ้าไปแล้วไม่วิ้ง แต่ก็ไม่ได้แม๊ทแมทอะไร
ของ Nars จะเป็นสีที่ชื่อว่า Blondie จะเป็นน้ำตาลตุ่นๆ สามารถนำมาเขียนคิ้วได้ด้วยนะครับ
ทั้งสามยี่ห้อนี้ที่กล่าวมา ในสีโทนนี้ "ใช้ดีเหมือนกันหมด" จะต่างกันตรงราคาสินค้า ตามทุนของท่านเลยครับว่าจะเลือกยี่ห้อไหน แต่ควรจะมีติดกรุเอาไว้จริงๆ

ช่วงหลังๆมานี้ บ้านผมเป็นสาวก Chanel  จนได้สอย quadra eye shadow มาครับ
เป็นพาเล็ทเล็กๆที่มีอายแชโด้วแบบฝุ่นอยู่ 4  สี ราคาประมาณ 2,300 บาท บวกลบ

มีหลายเฉดสีให้เลือก แล้วแต่รสนิยมของแต่ละบุคคลว่าคุณชอบแต่งสีโทนไหน
คุณอั้มสอยมาสองครับ คือเบอร์   36 INTUITION เป็นสีโทนน้ำตาลทอง

เริ่มจากสีไฮไลท์จะออกเป็นสีขาวมุกเหลือบชมพูอ่อนมากๆ
ตามด้วยสีทอง สีน้ำตาลเข้ม และสีน้ำตาลทอง ทั้ง4 สีจะวิ้งมากๆ จจะมีกลิ๊ตเตอร์เล็กๆอยู่เต็มไปหมด
โดยเฉพาะสีทองและสีน้ำตาลเข้ม จากการ Swatch ให้ดู ผมไม่ได้ทาไพรมเมอร์อะไรเลย จะเห็นได้ว่าสีที่ได้ค่อนข้างอ่อน
จากที่ลองใช้ดู สีสวยดูไฮโซ (แหงละ สีโทนนี้เป็นสีที่เบสิคสุดๆ คุณอั้มแต่งแล้วรอดทุกครั้ง)

กลิ๊ตเตอร์เยอะมาก ทาไม่ดีมาร่วงใต้ตา ส่วนตัวผมไม่ได้โปรดปรานอะไรกับเซ็ทนี้เท่าไหร่ แต่คุณอั้มชอบครับเพราะเธอชอบอะไรวิ้งๆๆปิ๊งๆ
อีกสีนึง คือสี 31 ROSE ENVOLEE เป็นโทนชมพูม่วง

ตอนอยู่ที่เค้าเตอร์ ลองปาดแล้วหลงรัก เพราะว่ากำลังอยากได้โทนชมพูวิ้งๆเยอะๆแบบนี้พอดี
แต่ว่า.....พอมาลองแต่งจริง มันไม่เวิ๊คเลยครับ หรือผมเข้าใจอะไรผิดเองรึเปล่า
สีไม่ชัดเลยครับ สีจะอ่อนม๊ากกกก สงสัยจะเหมาะกับคนที่แต่งตาแบบใสๆอ่อนๆ

สีนี้ผิดหวังที่สุด เสียดายเงินที่สุด ทั้งๆที่หลงรักทุกสิ่งของ Chanel
ส่วนตัวจากทั้งสองพาเล็ท ผมคิดว่าอายแชโด้วของแชแนลมีดีตรงที่มีกลิ๊ตเตอร์เล็กๆสวยดีครับ
แต่เรื่องเนื้ออายแชโด้วแล้ว สู้ยี่ห้ออื่นไม่ไหว เพราะมันจะอารมณ์แข็งๆ สากๆบอกไม่ถูก คงเพราะมีกลิ๊ตเตอร์มาก
แล้วถามว่าสิ่งที่ได้กับราคาที่จ่ายไป บอกตรงๆ เอาไปซื้อ  Naked3 คุ้มกว่าอีก ได้สีมากกว่าและได้สีที่มีพิ๊กเม้นท์ชัดกว่าด้วย
บ๊าย ถึงแม้จะรักตั้งแต่น้ำหอม ลิป สกินแคร์ เม๊คอัพอื่นๆ แต่อายแชโด้วนี่ เราขอลาจากกัน เราเลิกกันนะ

หลังจากที่เสียใจผิดหวังกับแชแนล ที่ไม่สามารถให้สีชมพูกลิ๊ตเตอร์วิ้งๆอย่างที่อยากได้ได้แล้วนั้น
เลยไปสอยเจ้าตัวนี้อย่างไม่ได้เจตนาไว้ตั้งแต่ต้น มันคือ THREE ครับ เป็นอายแชโด้วแบบผง

หรือจะเรียกว่า Pigment ก็ได้ ราคา 1,400+- บาท ผมจำไม่ค่อยได้ แพงทีเดียว แต่ว่าใช้ได้นานอยู่
ตอนลองที่เค้าเตอร์ ตะลึงกับความวิ้งของมันมากครับ สีที่เลือกมาชื่อว่า Angel Mine เป็นสีชมพูกลิ๊ตเตอร์เล็กๆคล้ายของแชแนล แต่มากันแบบเน้นๆ

(ผมพยายามถ่ายหลายครั้งมาก แต่กล้องทุกตัวไม่สามารถจับสีของมันได้ ของจริงจะเป็นกลิ๊ตเตอร์สีชมพู ม่วง เงิน ผสมๆกันมา ทุกครั้งที่ขยับผิว สีจะวิบวับแบบว่าสวยมากกกกกกก )
(ซ้ายป้ายเดี่ยวๆ ขวาทาทับอายเบสสีมุกๆ)
ในกล้องนี่ไม่เหมือนของจริงเลยครับ
แนะนำให้ไปลองเทสสีดูที่เค้าเตอร์แล้วคุณจะหลงรัก นี่แหละที่ต้องการ
เพียงแต่มันมาในฟอร์มของแบบผง ซึ่งเวลาใช้มันใช้ลำบาก หากเปิดพัดลม กลิ๊ตเตอร์แสนแพงจะปลิวไปตามลม หากแตะมากไป ก็จะวิ้งเกิน ต้องใช้แต่พอดี เคาะแปรงก่อนทา
ขอหักคะแนนตรงนี้ แล้วก็เรื่องราคาด้วย แต่ด้วยความสวยของมัน ถือว่าเป็นที่พอใจ

สิ่งสุดท้ายที่จะมารีวิวนั่นคือ Eye Shadow ของ Catrice ที่มีขายตามร้าน Boots Watson
รุ่นนี้หลงรักตั้งแต่แรกเห็นมันตั้งโชว์ ไม่เคยพบเจออะไรแบบนี้มาก่อน มันสะดุดตา มันตราตรึง

ชื่อรุ่น Liquid Metal Eye Shadow ราคา 215 บาทโดยประมาณ
มาในแพ๊คเกจจิ้งพลาสติกใสเห็นสีด้านใน (ชอบ) และเค้าทำลายเป็นเหมือนหนังงู 3D มันดูน่าสะสม
น่าซื้อเก็บ ใช้ไม่ลง ปราณีตดีครับ สีแรกชื่อสี 020 Gold n' Roses
ดูจากถาด จะเป็นสีชมพูทองๆสวยงามสุดพลัง  พอปาดจริงสีจะไม่ชมพูเท่าในถาดครับ
แต่ว่าเนื้ออายแชโด้วจะนุ่มๆ ที่สีชัดมากกกกก วิ้งมากกกกกก
เทียบให้ดูนะครับ ผมปาดเจ้านี่ทีเดียวไม่ได้ย้ำ และปาดแชแนลเมื่อกี้ทีเดียวไม่ย้ำเช่นกัน
ออกมาตามภาพครับ
เป็นอะไรที่แนะนำมากหากคุณชอบอายแชโด้วที่วิ้งๆ และที่สำคัญ มันถูกมากกกก
ข้อเสียของมันคือ มีสีไม่มากเท่าไหร่ ทุกสีเป็นเเนื้อชิมเมอร์ และบางสาขาไม่มี
คือผมซื้อจากสาขานอกเมือง แต่พอจะไปสอยเพิ่มที่วัตสันสาขาปิ่นเกล้า มันไม่มีอ่ะ มันดูร้าง ดูเหมือนโดนรุมทึ้ง แล้วเป็นซากที่หลงเหลือ
วันนี้ผมขอจบการรีวิวเอาไว้เท่านี้ พบกันใหม่ตอนหน้าครับ ขอบคุณครับสวัสดีครับ





Create Date : 18 กุมภาพันธ์ 2557
Last Update : 18 กุมภาพันธ์ 2557 14:46:46 น.
Counter : 1779 Pageviews.

2 comment
Review UPDATE แปรงแต่งหน้าในกรุ และอุปกรณ์นิดหน่อย Part 3
ต่อไปเป็นแปรงที่ไม่ได้คิดจะซื้อเลยครับ เพราะได้ยินเสียงลือเสียงเล่าอ้างมามาก
ว่าแปรงยี่ห้อนี้ดีมาก และ แพงมากก (เอาจริงๆ บางด้ามไม่ได้แพงเลย)
มันคือ Hakuhodo ครับ
บังเอิญได้ไปเจอบู๊ทฮาขุโฮโดะที่ Isetan สาขาชินจุกุ
รีบพุ่งตัว สิ่งนึงที่ชอบห้างญี่ปุ่นคือเค้าจะมีราคาบอกไว้ข้างๆที่โชว์ผลิตภัณฑ์นั้นๆเลย
ทำให้เรารู้ราคาของ และดูกำลังทรัพย์ของเรา
ตอนไปสอย พวกเราอยู่ในช่วงใกล้กลับไทย คือทุนจะหมดแล้ว ช๊อปมากไม่ได้ แต่มันอดไม่ได้
จ้องดูตาแป้วๆ สัมผัส และสั่งซื้อ
ได้มาสี่อย่างครับ ของผมเองขอชิ้นเดียว อีกสามเป็นของคุณอั้ม
ด้ามแรกของ ฮาขุโฮโดะที่จะพูดถึงคือ แปรงแต่งตา


จำเบอร์ไม่ได้ครับ
เพราะที่ด้ามไม่มีเบอร์เขียนอยู่เหมือนยี่ห้อทั่วๆไป
เป็นรุ่นด้ามไม้สีดำธรรมดาๆ ด้ามสั้น ทำจากขนแท้ (จำไม่ได้ว่าขนอะไร)
แต่ว่า นุ่มครับ ด้ามนี้  1,500เยนครับ ตกแล้ว  480  บาท
แปรงลักษณะแบนสั้น เหมาะสำหรับลงสีเปลือกตา ขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่ไป
หากไม่ลงสีตา จะเอามาไล้ดั้งก็ได้ครับ แต่ผมเอามาลงสีตาคุณอั้มครับ
คุณอั้มยังบอกเลยว่านุ่ม ไม่บาดตา สบายมาก เอาจริงๆผมว่าไม่แพงเท่าไหร่
คงเพราะซื้อที่ญี่ปุ่นด้วยมั้ง รุ่นแพงจะเป็นรุ่นด้ามสีส้มที่มีตัวยึดทำจากทอง
บางรุ่นที่แพงมาก ทำจาก blue squirrel ที่จะนุ่มมากกกก และแพง
ข้อเสียของแปรงด้ามนี้หรอ? อย่างเดียวเลยคือ ด้ามสั้น(แบบพกพาอีกแล้ว)

ด้ามต่อมาขอฮาขุโฮโดะ เป็นแปรงเบลนดิ้ง


ที่ผู้ที่แต่งตาต้องมี เป็นอะไรที่ Essential มาก
คล้ายๆ แปรงเบลนดิ้งของMAC แต่มาในแบบด้ามสั้น ทำจากขนแท้(จำไม่ได้อีกแล้วว่าขนอะไร)
เอามาเบลนสีได้ดี ขนนุ่ม ไร้ที่ติ ไร้ที่ติ ราคาเท่าอันบนครับ ตกแล้ว 480 บาท อะไรจะคุ้มแบบนี้

ชิ้นถัดมา เป็นแปรง คาบูกิ เนื่องจากงบที่จำกัด เลยเลือกอันเล็กมาแทนครับ


จริงๆมีรุ่นลิมิเตด ด้ามสีชมพู ทำจากขนBlue Squirrel   แต่แพงกว่ากันมาก
แต่ว่ามันนุ่มมาก เพราะแพงเลยไม่ได้เอามา
รุ่นนี้ด้ามก็ยังคงเป็นไม้ตามสไตล์ยี่ห้อนี้นะครับ ขนจะเป็นลักษณะเป็นโดมมน
คือว่า.... ถึงแม้ไม่ใช่ขนกระรอกฟ้าอะไรนั่น แต่อันนี้ก็นุ่มมากกกกกกกกก
แบบว่ามันนุ่มลื่น ไม่บาดหน้า รู้สึกฟิน อิจฉาคุณอั้มมาก
และขนไม่มีการเสียทรง มีการเด้งตัวดี ไม่บานแบะออก ราคาอันนี้อยู่ที่ 10,000 เยน
หรือประมาณ 3,200 บาท แพงมากนะผมว่า แถมขนาดมันเล็กด้วย ถ้าใหญ่กว่านี้อีกนิดจะฟิน
ถามว่ามันดีรึเปล่า ตอบเลยว่าดีมากครับ นุ่มจริงอะไรจริง ฟินจริงอะไรจริง
และแพงจริงอะไรจริง
คือหากทุนมาก ผมแนะนำนะครับ แต่หากทุนไม่มาก ยี่ห้ออื่นก็ใช้ได้ครับ มันแพงจริงๆ

ชิ้นสุดท้ายของยี่ห้อนี้มันคือ fan brush

เอ้ะ เรียกแบบนี้รึเปล่า
ที่สอยอันนี้มันเพราะลักษณะที่แปลกตากว่าอันอื่นๆ
และส่วนตัวยังไม่เคยมีอะไรแบบนี้ เลยสอยมาในราคา 3,600 เยน หรือประมาณ 1,152 บาท
เป็นแปรงรีๆขนเป็นขนแท้สีขาว ลักษณะมนหนา ขนนุ่มไม่บาดหน้าเลย



เอามาลงแป้ง ลงบรอนเซอร์ ได้หมดครับ คือมันให้ความรู้สึกหรูหรา
แต่ถามว่าจะเป็นรึเปล่า ตอบว่า ไม่จำเป็น เพราะใช้แปรงอย่างอื่นลงแป้ง ลงบรอนเซอร์ก็ได้
แต่เพราะผมบ้าแปรงเลยสอยมาไว้ในกรุ ชอบนะครับ แต่ผมว่าไม่ใช่แปรง MUST HAVE

ต่อไปมันคือแปรงสัญชาติญี่ปุ่นอีกอัน
หลายๆคนคงไม่รู้จักยี่ห้อนี้ นั่นคือ  Yojiya  

ซึ่งโลโก้เป็นรูปหน้าผู้หญิง (ที่ทุกครั้งที่เห็น มันทำให้ผมนึกถึงหนังโหดเรื่อง ​SAW อ่ะ ฮ่าๆ)
ยี่ห้อนี้เค้าดังเรื่องกระดาษซับหน้ามัน ที่เค้าทำมาตั้งแต่สมัยที่ผลิตเอาไว้ซับหน้าเกอิชา (โอ้โหหหห)
ในสนามบินนาริตะมีเค้าเตอร์ครับ ถูกกว่าร้านข้างนอกด้วยเพราะไม่เสียภาษี
ด้ามนี้คือ  Yachiyo brush เบอร์ใหญ่สุด (เค้ามีใหญ่ กลาง เล็ก)

รูปร่างเค้าคล้ายของ Nars Yachiyo  เลยครับ ต่างกันตรงปลายของแปรงที่ของยี่ห้อนี้จะมนกว่า ส่วนของ Nars จะออกtapered แหลมกว่า  ด้ามนี้ผมจำราคาไม่ได้แล้วครับ
พันปลายๆเยน หรือเท่าไหร่นี่แหละ ขออภัยไว้ในจุดนี้นะครับ
คุณสมบัติเหมือน ​Nars Yachiyo เลยครับ ขนนุ่ม (แต่ก็ไม่ได้นุ่มเท่าฮาขุโฮโดะนะฮ่าๆ)
ยังคงมีความกระด้างอยู่นิดหน่อยไม่ระคายเคืองนัก เพื่อการจิกสีที่ดี
สอยมาเพราะชอบดีไซน์แปรงล้วนๆ มันเหมือนพู่กันวาดภาพ แถมเป็นขนสีขาวด้วย
เอามาปัดแก้มได้ดีครับ แค่แตะสี และมา แตะๆตบๆที่แก้ม ไม่ต้องบัฟๆวนๆอะไรเท่าไหร่ สีก็ออกมาสวยแล้ว
จะลงแป้งก็ได้ เพราะขนาดที่ไม่ใหญ่ ทำให้ลงได้ตามซอกซอนต่างๆได้ง่าย
ข้อเสียของมันคือ ใช้ไปนานๆขนจะบาน (เหมือนของNars) ถ้าไม่ได้ไปญี่ปุ่นแล้วอยากได้
ให้ไป counter Nars แทนครับ เหมือนๆกัน แค่แพงกว่ากัน


ชิ้นสุดท้ายแล้วครับ

มันไม่ใช่แปรง แต่ก็เป็นอุปกรณ์ในการแต่งหน้าเหมือนกัน ได้ยินชื่อเสียงมานาน

เลยไปลองสอยมาใช้บ้าง มันคือ

Is'sie Magic blender ฟองน้ำรูปไข่นั่นเอง

ราคารู้สึกจะ 800+ กว่าบาทครับ หาซื้อได้ง่ายครับ ผมซื้อจาก Boots 

มีสองสี ชมพูและสีเบจ เนื้อแน่นและเนียนมากครับ 

เวลาใช้ ต้องเอาไปแช่น้ำให้มันฟูพองเบิ้ลขนาดเป็นอีกเท่าตัวของมันก่อนครับ

เพราะเป็นการประหยัดเนื้อผลิตภัณฑ์ที่จะใช้ เวลาใช้ก็เอาด้านก้นของมันมาเกลี่ยๆ กดๆ วนๆทั่วหน้า

ส่วนด้านแหลมเหมาะมากกับการลงตามซอกต่างๆ ทั้งข้างจมูก ใต้ตา เวิร์คคคคมากกกก

เทคนิคที่ชอบอย่านึงคือ ผมมักจะเอาด้านแหลมไปจิ้มๆคอนซีลเลอร์ แล้วเอามาทาๆเกลี่ยๆใต้ตา

มันจะทำให้คอนซีลเลอร์ไม่หนาจนเกินไปครับ เรื่องการเบลนรองพื้น มันทำได้เยี่ยมยอดจริงๆเช่นกัน

หน้าออกมาเนียน ไม่เป็นเส้นด้วย ไม่บดหน้าไม่ระคายเคือง ข้อดีเพียบ

แต่ข้อเสียของมันคือเวลาใช้มันยุ่งยากครับ ต้องไปเอาจุ่มน้ำทำให้เปียก แล้วพอใช้เสร็จต้องล้างทันที 

ไม่งั้นจะสกปรก อีกเรื่องคือ ราคาครับ ผมว่าแอบแพงนะ

 

เอาละ ยาวเลยฮ่าๆ หวังว่าข้อมูลทั้งหลายจะเป็นประโยชน์กับเพื่อนๆ ช่วยในการตัดสินใจเลือกแปรงแต่งหน้านะครับ ถ้ามีคำถามอะไร หากผมพอรู้คำตอบ ผมจะแนะนำให้นะครับ
ขอบคุณมากๆครับผม พบกันใหม่เร็วๆนี้ครับ





Create Date : 08 กุมภาพันธ์ 2557
Last Update : 8 กุมภาพันธ์ 2557 14:49:20 น.
Counter : 2048 Pageviews.

0 comment
Review UPDATE แปรงแต่งหน้าในกรุ และอุปกรณ์นิดหน่อย part 2
ต่อไปครับ เป็น Set ครับ ชื่อว่า Starter Set ซื้อมาใช้แต่งตาให้คุณอั้มภัช-ชราภาพของผม
ตัวเซ็ท ประกอบด้วยแปรง 5 ด้าม มาพร้อมกระเป๋าแปรง(ที่ไม่ได้ใช้ฮ่าๆ)
เริ่มจากตัวที่ชอบน้อยที่สุดของที่สุดในเซ็ท นั่นคือ
Pixel Pointer Eyeliner Brush

ทำไมถึงไม่ชอบหน่ะหรอ
เพราะมันใหญ่ครับ ปกติใช้ของแม๊ค มันเล็ก ให้เส้นที่คมกริบดีกว่า
แต่ปัจจุบันเลิกใช้แปรงอายไลน์เนอร์เพราะหันมาเขียนตาคุณอั้มด้วย Lifeford ถูกและดี ไม่แพงและสะดวกกว่า แปรงของเจ๊แซมด้ามนี้เลยประดับบนแท่นเสียบแปรงเอาไว้ นานๆจะเอามาแตะอายแชโด้วมาทาตรงขอบตาล่าง ย้ำว่านานๆที (นี่ไม่เอาไปใช้วาดภาพส่งอาจาร์ยศิลปะก็ดีแค่ไหนละหึ๊)

ด้ามต่อมา Accent Brush

เป็นแปรงทาตาที่มีขนาดเล็กมากครับ
เพราะกับการลงหัวตา หรือการแต่งตาที่มีดีเทลสูงๆ แต่คงเพราะขนาดที่เล็กมากๆของมัน ทุกครั้งที่เห็น
ผมชอบคิดว่ามันคือแปรงแต้มไฝ ฮ่าๆ (ใครแต้ม และแต้มตอนไหน?)
ไม่ค่อยได้ใช้เท่าไหร่ครับ แต่เร็วๆนี้เพิ่งซื้อพิ๊กเม้นท์ของยี่ห้อ THREE มา สวยมากครับ เดี๋ยวมารีวิวนะ
ผมเอาแปรง Accent Brush เนี่ยแหละแตะผงพิ๊กเม้นท์ แล้วมาแทะๆที่ตาคุณอั้ม ด้วยความที่ขนาดเล็ก และขนแน่นไม่ฟุ้ง การลงอะไรแบบนี้ จึงเหมาะมาก เพียงแต่เล็กไปนิดนึง แต่ก็โอเคครับ ได้หยิบมาใช้

ด้ามต่อไป เป็น ​ Brow Brush

แปรงปัดคิ้วที่มีขนาดค่อนข้างใหญ่กว่าทั่วๆไป
คงเพราะเจ๊แซมแกต้องการ  Differentiate ตัวเองออกจากคู่ต่อสู้ ความเห็นส่วนตัว ผมคิดว่ามันใหญ่ไปนิดนึง และมันมีความหนามากกว่าปกติ เวลาเขียนจึงจะได้เส้นที่ใหญ่กว่า  จึงไม่ค่อยได้ใช้เขียนคิ้วเท่าไหร่ครับ นานทีจะเอามาเขียนตาแบบลวกๆโดยการแตะอายแชโด้วสีดำแล้ววาดเส้นตรงหางตา เวลาขี้เกียจเขียนอายไลน์เนอร์ให้คุณอั้ม

สามในห้า เป็นแปรงที่ไม่ค่อยถูกใจเท่าไหร่นัก คือมันไม่ค่อยจำเป็นสำหรับผมเท่าไหร่
ด้ามต่อไป เริ่มเข้าสู่ยุคสว่างละ มันคือ Base Shadow Brush 

แปรงนี้ใช้ดีครับ นุ่ม ใช้เบลนสีตาได้
เนื่องจากแปรงมีความฟูฟุ้ง สีที่ได้จะไม่ค่อยแน่นนัก หากต้องการลงสีตาให้มีความคมเข้มมากๆ แปรงนี้ยังไม่ตอบโจทย์ แนะนำแปรงที่มีความแน่นของขนมากกว่านี้ดีกว่า ถามว่าชอบรึเปล่า? ตอบเลยว่า ใช้ดีนะ แต่เฉยๆครับ ไม่รัก ไม่หลง แต่ก็ไม่ได้เกลียด เพราะด้วยความฟูและขนาดของแปรง ทำให้เวลาลงสีมันจะกินเนื้อที่กว้างเกินไป ค่อนข้างผิดหวังกับเซ็ทนี้ในภาพรวม เอ้อ เคยเห็นเจ๊แซมเค้าเอาแปรงนี้มาเกลี่ยคอนซีลเลอร์ใต้ตาด้วยนะครับ น่าจะเวิ้ค แต่ส่วนตัวยังไม่เคยลอง ใครมีลองแล้วเป็นไงบบอกผมด้วยนะครับ ฮ่าๆ

มาถึงด้ามสุดท้ายของเซ็ทแปรงสีม่วงนี้ นั่นคือ Deluxe Crease Brush

(ยืมรูปจากGoogle นะครับ ผมดีลืมถ่ายมาซะอย่างงั้นอ่ะ)
เป็นแปรงขนแน่น ลักษณะกลมๆครับ เอาไว้คัดเบ้าตา หรือลงสีทั่วๆตา แต่ชอบเอามาคัดเบ้ามากกว่า ในเซ็ทนี้ บอกเลยว่าด้ามนี้ใช้ดีที่สุด (มายก๊อต หนึ่งใน5 น้ำตาจะไหล ซับน้ำตาแป๊บนะครับ) ถึงแม้ว่าขนาดจะใหญ่ แต่พอเอามาคัดเบาคุณอั้ม มันกลับพอดิบพอดี ความนุ่มที่เป็นจุดเด่นของยี่ห้
อนี้อยู่แล้วก็ยังไม่ทำให้ผิดหวัง
ที่ผมใช้ประจำคือ ใช้กับสีน้ำตาลอ่อนเนื้อ Matte แล้วทาลงตรงเบ้าตา ทาถูๆเหมือนใบปัดน้ำฝนไปมาๆ
แล้วเอาแปรงเบลนกับสีที่ทาตรงหางตาอีกนิด ให้สีกลืนกัน ออกมาสวยมากครับ สวยแบบไม่ต้องมีทักษะขั้นสูงก็ทำได้ แนะนำเลยครับ

สรุป Real Techniques Starter Set นะครับ
หากคุณมีแปรงแต่งตาที่ดีอยู่แล้ว ผมว่าไม่จำเป็นต้องซื้อเซ็ทนี้
เพราะมีอย่างอื่นที่ดีกว่าครับ (แปรง Deluxe Crease Brush นั่นใช้แปรง Blending brush  ที่หัวฟูๆขนนุ่มๆยี่ห้องอื่นแทนกันได้ครับ)


ต่อไปเป็นแปรง  Drug Store หาซื้อได้ที่  Watsons
ขอพูดพร้อมกันทั้งสองด้ามเลย เพราะเหมือนๆกัน ต่างกันที่ขนาดเท่านั้น
ยี่ห้อ Marionnaud ครับ ผมซื้อตามคนที่เคยมารีวิวในพันทิปห้องแป้งครับบอกตรงๆ
เพราะอ่านแล้วน่าสอยมาก ราคาไม่แพง ขนาดใหญ่
ที่ผมมีคือ No1 Powder Brush กับ No2 Powder Brush

แปรงทาแป้งขนาดใหญ่และกลาง
อันใหญ่เอาไว้ลงแป้งฝุ่น อันกลางเอามาลงบรอนเซอร์ (จริงๆลงแป้งก็ได้ เพราะใหญ่อยู่)
ขนแปรงมันก็นุ่มนะครับ แต่ไม่ได้นุ๊มนุ่มเวลาปัดทั่วหน้ามีบาดหน้า รู้สึกระคายเคืองนิดหน่อยพอทนได้

มันยังไม่ฟินเท่าไหร่ และบางทีขนร่วง  อันใหญ่ก็ใหญ่ได้ใจ เหมาะกับการนำมาปัดแป้งส่วนเกินมากกว่า

เอาจริงๆ ชอบ ELF studio powder brush มากกว่ามากครับ(เทียบในเรื่องราคาและคุณสมบัติของขนแปรง)

แอบเสริมรูป ELF  นิดนึงและกัน


ต่อไปนี้เป็นแปรงที่เพิ่งซื้อมาใช้ไม่นานครับ ปลายปีที่แล้วได้ไปเที่ยวญี่ปุ่
หลังจากอ่านรีวิวในเน็ตมามาก เราผู้บ้าคลั่งเรื่องแปรง มีรึจะพลาดแปรงชิเซโด้อันโด่งดั
นั่นคือ แปรง Shiseido 131 นั่นเองครับ





หลายคนบอกว่ามันเล็กมาก
ซึ่งพอผมเห็นของจริง (ตอนเห็นนี่เหมือนเจอดาราอ่ะ) มันเล็กอย่างที่เค้าว่าจริงๆ
รีบสอยมาแบบไม่คิด ดูราคา 1,300 นิดๆเยน ลักษณะเป็นแปรงด้ามสั้น หัวตัดเฉียง
ทำจากขนสังเคราะห์ ขนาดมินิขนาดนี้ พกพาสะดวก (พกไปไหน?)
หลังจากที่ลองใช้นะครับ มันดีอย่างที่เค้าว่ากันจริงๆ ไม่เสียใจที่ซื้อนะครับ
จากประสบการณ์ที่ใช้มา
ข้อดี
1 แปรงมีลักษณะเฉียง เข้ากับรูปหน้า
2 ถึงแม้แปรงมีขนาดเล็ก แต่เกลลี่ยรองพื้นได้เนียนมาก
3 สามารถเข้าถึงซอกมุมได้ง่าย ใต้ตาเอย ข้างจมูกเอย
4 ขนไม่ร่วง (สำคัญมาก)
5 ขนแปรงไม่บาดหน้า

ข้อเสีย

1 ขนาดด้ามสั้น ส่วนตัวผมชอบด้ามยาวๆมากกว่า แต่ไม่เป็นไรครับ หยวนๆ
2 แอบกินเนื้อผลิตภัณฑ์ ซึ่งหากปล่อยไว้จะล้างยากมากถึงมากที่สุด
3  ใช้เวลาลงมากกว่าแปรงที่ใหญ่กว่า (RT buffing brush)
4 ไม่แน่ใจว่าที่ Counter ไทยมีขายรึเปล่า แต่ถึงมีก็คงแพงกว่าอยู่แล้วเนอะ

เรื่องกินเนื้อผลิตภัณฑ์ ที่ผมรู้เพราะว่าพอใช้เสร็จ วันต่อๆมา จะเห็นว่ามีเนื้อครีมติดเป็นปื้นๆที่ด้านในแปรง พอจะเอาไปล้าง ล้างยากมากครับ (ผมใช้กับ Chanel CC Cream) คือล้างแล้วเหนียวมาก แปรงอื่นไม่เห็นเป็น เลยหาข้อมูล มีคนบอกให้ล้างด้วยน้ำมันมะกอก ซึ่งมันเป็นความผิดที่ร้ายแรงมากๆ
นอกจากจะไม่ได้ช่วยให้ล้างออกหมดจดแล้ว มันยังทิ้งความมันเอาไว้ในแปรง ที่ผมต้องล้างเป็นสิบๆรอบ สิบๆรอบจริงๆ วิธีแก้คือ
1  ทุกครั้งที่ใช้เสร็จ ให้เช็ดแปรงด้วยทิชชู่ แล้วถูกับทิชชู่ที่ฉีดน้ำยาล้างแปรง แล้วเช็ดให้แห้งอีกที
2  พอจะล้าง deep clean ให้ล้างด้วยออยล้างหน้า แพงแต่เวิ๊คกว่า มันใช้นิดเดียว
ถามว่าแนะนำรึเปล่า must have ไม๊ ผมว่าถ้าไปญี่ปุ่นละก็ อย่าได้พลาด ฮ่าๆ
แต่ถ้าไม่ได้ไป เอาแปรงที่หาซื้อง่ายๆแทนกันได้นะ


Continue Part 3




Create Date : 08 กุมภาพันธ์ 2557
Last Update : 8 กุมภาพันธ์ 2557 14:41:33 น.
Counter : 2161 Pageviews.

0 comment
Review UPDATE แปรงแต่งหน้าในกรุ และอุปกรณ์นิดหน่อยpart 1
สวัสดีครับ ห่างหายหน้าไปนาน วันนี้ผมจะมารีวิวแปรงแต่งหน้าในกรุ ที่ซื้อมาเพิ่มและใช้มาเป็นเวลาหนึ่งนะครับ 
แปรงแต่งหน้า เป็นสิ่งที่ควรค่าแก่การลงทุนจริงๆ ผมเองก็หลงไหลในการสะสมแปรงนะ
เพราะมันเหมือนได้ซื้อพู่กันระบายสีอันใหม่มาระบายสี ฮ่าๆ
โอเค ก่อนจะเริ่มรีวิวแปรง ขอบอกก่อนเลยนะครับว่า
"ทุกอย่างที่รีวิว ไม่ได้รับการว่าจ้าง หรือรับมาจากบริษัท ทุกชิ้นซื้อเองทั้งสิ้นครับ"


ก่อนรีวิวแปรง รอรีวิวสิ่งสิ่งนึงที่ออกแบบมาสำหรับคนที่รักแปรงแต่งหน้า ใช้แปรงแต่งหน้าบ่อย

นั่นคือ Sigma Dry'n Shape

มันคืออะไร? ง่ายมากเลย มันก็คือตัวที่ช่วยทำให้แปรงแต่งหน้าของเราแห้งไวขึ้นเวลาเราล้าง
และพิเศษกว่านั้นคือ มันจะช่วยรักษาทรงของแปรงด้วยครับ
อันนี้ ผมสั่งจากในเว็ปที่เป็นตัวแทนซิกม่า (ซื้อมานานแล้ว ผมเองก็จำเว็ปไม่ได้) แต่มีหลายร้านเลยครับที่มีเครื่องหมายตัวแทนซิกม่า ราคาพันกว่าบาท

หน้าตาเป็นแบบนี้ครับ เป็นคล้ายๆกระเป๋าหนัง ดูทนทาน ไม่ก๊องแก๊งไก่กาอาราเล่

(แน่ละ ถ้าราคาแบบนี้แล้วก๊องแก๊งนะ ผมมีสาปส่ง)
ด้านใน พอเปิดออกมา จะเป็นช่องๆเหมือนกระเป๋าใส่แปรงครับ

มีช่องทั้งหมด 12 ช่อง โดยแบ่งตามขนาด
ช่องใหญ่สุด 2ช่อง  ใหญ่รองลงมา 3   ช่องกลาง 3   ช่องเล็ก 2    ช่องเล็กสุด 2

how to use? ง่ายๆเลย หลังจากที่ล้างแปรงของคุณเสร็จแล้ว ก็เอาแปรงใส่ช่อง จากบนลงล่าง โดยด้านบนที่เป็นยางยืดจะทำหน้าที่บีบรัดและดูดซึมน้ำและความชื้นในแปรงออก และบีบกระชับรูปทรงแปรง
ใส่แปรงแล้วเป็นแบบนี้


ทำให้เวลาแปรงแห้ง จะไม่บานออกครับ ถนอมแปรงได้ดีเลยทีเดียวนะ
ทางแบรนด์เค้าบอกว่ามันจะทำให้แปรงแห้งภายใน 6 ชั่วโมง แต่เอาจริงๆ ผมไม่ได้มานั่งจับเวลาอะไรขนาดนั้น
แค่ทิ้งเอาไว้ 1 วันมันก็แห้งแล้วครับ สะดวกดีนะ จากที่ปกติผมจะเอาแปรงวางกับโต๊ะแล้วเอาพัดลมเป่าจ่อเบาๆไว้
จากประสบการณ์ที่ใช้มา
ข้อดี
๑.สะดวก แค่เอาแปรงมาใส่ตามช่องแล้ววางไว้
๒.ช่วยให้แปรงแห้งไว
๓.ช่วยรักษาทรงของแปรง โดยเฉพาะแปรงใหญ่ๆ และแปรงแพงๆ (ข้อนี้สำคัญมากเลย)

แน่นอนมันมีข้อเสียนะ 
๑. ช่องเล็กที่เอาไว้ใส่แปรงเล็กๆมันให้มาเยอะเกินไป มันไร้ประโยชน์สำหรับผมที่ไม่ค่อยมีแปรงเล็กๆ
อีกอย่าง แปรงเล็กๆ ไม่ค่อยจำเป็นที่จะเอามาทำให้แห้งเร็วเท่าไหร่ เพราะขนาดที่เล็ก มันแห้งไวอยู่แล้ว
๒.หากท่านมีแปรงที่หลากหลายยี่ห้อในกรุของคุณและแปรงของคุณมีรูปทรงประหลาด (เช่น real techniques) มันจะลำบากในการเอาด้านฐานแปรงเข้าช่องมาครับ!
๓. ราคาที่ค่อนข้างสูง 
สินค้านี้เหมาะกับใคร?
-คนที่ชอบล้างแปรงบ่อยๆ
-คนที่ชอบรักษาและถนุถนอมแปรงแต่งหน้า
-และจะยิ่งเหมาะกับคนที่มีแปรงเป็นเซ็ทด้ามยาวๆ เช่นซิกม่า แม๊ค เพราะจะไม่มีปัญหาในการใส่แปรงเข้าช่องเท่าไหร่นัก
-----------------------------------------------------------
อ่ะเข้าเรื่องแปรงซักที
ขอเริ่มจากแปรงเล็กๆก่อนนะครับ
ด้ามแรกเป็นของ Muji   


เป็นแปรง อายแชโด้ว ขนนุ่มลื่ม ไม่ทิ่มไม่บาดหน้า ผมมันเอาไว้ใช้ไล้ดั้ง
ตัวด้ามทำจากไม้ มีน้ำหนักเบามากๆ Design แบบ minimal พกพาสะดวกเพราะด้ามสั้น แต่อาจจะจับลำบาก ผมจำราคาไม่ได้นะครับ น่าจะไม่เกิน 500
เป็นอีกหนึ่งแปรงที่แนะนำเพราะว่าหาซื้อง่าย และคุณภาพเยี่ยม ผมแนะนำครับ

ต่อไป เป็นเซ็ทแปรงอันโด่งดังจาก Real Techniques by Samantha Chapman

เนื่องจากใช้แล้วชอบเลยมีการซื้อมาเพิ่มเติมจากเดิม เมื่อก่อนเคยรีวิว Core Collectionไปแล้ว
วันนี้จะมาพูดถึง ตัวอื่นของเค้าบ้าง เริ่มด้วย Expert Face Brush


แปรงด้ามนี้เป็นแปรงเดี่ยวๆที่สามารถซื้อแยกได้นะครับ
จำราคาไม่ได้เช่นเคย ด้ามนี้ฝากพี่สาวซื้อจากอเมริกา เลยไม่แพงมาก
อ่านรีวิวจากบล็อคเกอร์ฝรั่ง มีคำชมต่างๆนาจนทำให้ผมมีกิเลสอยากสอยมาลอง
ซึ่งลองแล้วถามใช้ดีไม๊? ตอบเลยว่าใช้ดีครับ
ไม่บาดหน้าตามสไตล์ของเค้า เกลี่ยผลิตภัณฑ์ ไม่ว่าจะเป็นรองพื้น บีบีครีม เบส หรือจะเป็นครีมบรัช
ทำได้เยี่ยมมาก มันจะให้ลุ๊คที่หนากว่า Buffing brush ของเจ๊แซมนิดนึงนะครับ เพราะความที่ขนแปรงของเจ้า expert face brush เนี่ย มันมีความแน่นกว่า และขนาดขนแปรงโดยรวมเล็กกกว่ากัน


เวลาลงผลิตภัณฑ์จะใช้เวลานานกว่าหน่อย แต่จะละเอียดกว่าครับ เพียงแต่ว่าความเห็นส่วนตัวของผม ผมชอบ buffing brush มาก เลยใช้เจ้าบัฟฟิ่งบรัชบ่อยกว่า
หากถามว่าเสียดายเงินไม๊ คุ้มที่ลงทุนรึเปล่า? กล้าตอบว่าไม่เสียด้ายตัง และคุ้มที่ลงทุน เพราะราคาไม่แพง เทียบกับคุณภาพแล้ว คุ้มซะยิ่งกว่าคุ้ม
ข้อเสียที่ผมขอติคือ ดีไซน์ของแปรง (ซึ่งเป็นรสนิยมส่วนตัวที่ผมไม่ชอบสีแปรงสดใสซักเท่าไหร่) นอกจากนั้น บางคนอาจจะชอบที่แปรงตั้งได้ แต่เอาจริงๆ ผมแทบไม่ได้ตั้ง นอกจากมันจะกินที่เวลาใส่ในถ้วยเก็บแปรงแล้ว เวลาจะใส่แปรงลงเจ้า Sigma Dry'n Shape เนี่ยสุดแสนจะลำบาก แต่ก็หยวนๆครับ เพราะแปรงเค้าดีจริงๆ

ด้ามต่อไปของ Real Techniques  ที่ได้สอยมาเพิ่มนั่นคือ Blush brush


ซื้อมาพร้อมกันกับอันข้างบน คือว่า ขนแปรงเค้านุ่มมากกกกครับเจ้าBlush brushด้ามนี้
นุ่มขนาดไหน? นุ่มกว่า Nars Yachiyo (1,700+-บาท) แต่เจ้านี้ สี่ร้อยกว่าบาท โอ้แม่เจ้า
แต่ต้องเจ้าใจว่ามันมีข้อดีข้อเสียที่ต่างกัน บางคนอาจจะคิดว่าผมเวอร์รึเปล่า
ทำไมถึงรู้ว่านุ่มกว่ายาชิโยหน่ะหรอ พอดีวันนั้นผมแต่งหน้าให้พี่สาวไปงานแต่งงาน
เค้าไม่รู้จักแปรง ใดๆทั้งสิ้น วันนั้นใช้ทั้งสองแปรง ทั้งยาชิโย และทั้งบัฟฟิ่งบรัช แลแปรงปัดแก้ม
พี่สาวบอกเลยว่าทำไมแปรงสีดำแข็งวะ? แป่ววว มันบอกว่าแปรงด้ามสีๆอ่ะนุ่มกว่
แปรงนี้สามารถเอามาทั้งลงแป้งก็ได้ หรือจะลงบรอนเซอร์ หรือจะปัดแก้มตามจุดประสงค์หลักของมันก็ได้


สังเกตว่าขนแปรงจะไม่แน่นมาก ทำให้ลงผลิตภัณฑ์แล้วจะฟุ้งๆ อ่อนๆ
ถ้าปัดแก้ม จะเหมาะกับบรัชที่มีพิ้กเม้นท์ที่จัดจ้าน เพราะขนแปรงฟู ทำให้ลงสีได้ฟุ้ง
ข้อดี
๑.ราคาไม่แพง
๒.เป็นขนสังเคราะห์ที่นุ่มและไม่บาดหน้า
๓.สามารถประยุคใช้ได้
ข้อเสีย
๑.ฐานแปรงกว้าง (ที่ทางแบรนด์บอกว่าเป็นข้อที่ที่สามารถตั้งได้ หลายๆคนชอบ แต่ผมไม่ค่อยชอบอ่ะ)
๒. ถ้าใช้กับบรัชออนที่เนื้อแข็ง จะต้องปวนแปรงหลายรอบหน่อยไม่งั้นสีจะไม่ค่อยออก ถ้าชอบทาแก้มสีเข้มๆ จะต้องปัดหลายๆรอบ


Continue Part2






Create Date : 08 กุมภาพันธ์ 2557
Last Update : 8 กุมภาพันธ์ 2557 14:34:59 น.
Counter : 1322 Pageviews.

1 comment
1  2  3  4  

can you bring high fashion
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 5 คน [?]