*~แม่จัดให้ PuPunch around the world~*
Group Blog
 
All blogs
 

++อยากบอกอะไรกับ Michael++



lll

ก่อนอื่นจะบอกว่า เขียนอะไรถึงไมเคิลเยอะมากๆๆๆแล้วมันหายอะ โอ้ยเสียใจมากกกกกก แงๆๆๆๆๆๆ คงไม่สามารถกลั่นอะไรออกมาได้อีกแล้ว เพราะเขียนไปหมดแล้วแต่ทำไมมันหายหละ ขอเวลาทำใจแล้วจะเข้ามาเขียนใหม่นะคะ...T-T




 

Create Date : 13 กรกฎาคม 2552    
Last Update : 13 กรกฎาคม 2552 11:41:54 น.
Counter : 574 Pageviews.  

++เสียชีวิตและงานรำลึก++



25 มิถุนายน พ.ศ. 2552 แจ็กสันล้มลงที่แมนชั่นที่เขาเช่าอยู่ที่ 100 นอร์ธคาโรลวูดไดรฟ์ เขตโฮล์มบีฮิลส์ ในลอสแอนเจลิส จากความพยายามปั๊มหัวใจโดยแพทย์ส่วนตัวของเขาแต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จ ตำรวจดับเพลิงได้รับแจ้งจาก 911 เมื่อเวลา 12:22 น. หลังจากนั้น 3 นาทีจึงถึงที่อยู่ของแจ็กสัน ได้รับการรายงานว่าเขาหยุดหายใจและได้พยายามช่วยเหลือเขาด้วยการนวดหัวใจผายปอดกู้ชีพแล้ว แต่ก็ยังคงมีการปั๊มหัวใจอย่างต่อเนื่องที่ศูนย์การแพทย์โรนัลด์ เรแกน มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ลอสแอนเจลิส จากนั้น 1 ชั่วโมงหลังถูกส่งตัวมา ในเวลา 14 นาฬิกา 26 นาที ตามเวลาท้องถิ่น หรือเวลา 4 นาฬิกา 26 นาที 26 มิถุนายน พ.ศ. 2552 ตามเวลาประเทศไทย









พิธีไว้อาลัยจัดขึ้นเมื่อ 7 กรกฎาคม ค.ศ. 2009 ที่สเตเปิลส์ เซ็นเตอร์ ในลอสแอนเจลิส โดยก่อนหน้านี้มีพิธีส่วนตัวของครอบครัวที่ฮอลออฟลิเบอร์ตีในฟอเรสต์ลอว์นเมโมเรียลพาร์ก ส่วนที่ฝังศพยังไม่ระบุจากทางครอบครัว สถานีโทรทัศน์ต่าง ๆ ทั่วโลกต่างถ่ายทอดงานพิธีอาลัยจากสเตเปิลส์ เซ็นเตอร์ โดยมีผู้ชมมากกว่า 1 พันล้านคน มีศิลปินมาร่วมงานอย่าง สตีวี วันเดอร์ ไลโอเนล ริชชี มารายห์ แครี เจนนิเฟอร์ ฮัดสัน อัชเชอร์ เจอร์เมน แจ็กสัน และชาฮีน จาฟาร์โกลี ที่ร้องเพลงในงาน ส่วนเบอร์รี กอร์ดีและสโมกี โรบินสัน กล่าวคำสรรเสริญ ขณะที่ควีน ลาติฟาห์ อ่านกลอนที่ประพันธ์โดยมายา อันเกลู บาทหลวงอัล ชาร์ปตัน ทำให้ผู้คนยืนลุกปรบมือเมื่อเขาพูดกับลูก ๆ ของแจ็กสันว่า "ไม่มีอะไรแปลกเกี่ยวกับพ่อ แต่มันแปลกที่พ่อของหนู ๆ เกี่ยวพัน" บุตรสาวของแจ็กสัน อายุ 11 ปี แพรีส แคเทอรีน ร่ำไห้และบอกกับผู้คนทั้งโลกว่า "ตั้งแต่ที่หนูเกิดมา พ่อเป็นพ่อที่ดีที่สุดเท่าที่จินตนาการได้... หนูแค่อยากจะบอกว่า หนูรักเขามากที่สุด"














RIP..MJ




 

Create Date : 12 กรกฎาคม 2552    
Last Update : 12 กรกฎาคม 2552 17:26:30 น.
Counter : 425 Pageviews.  

++ช่วงบั้นปลายชีวิต++




ข่าวเกี่ยวกับปัญหาด้านการเงินของแจ็กสันเริ่มมีบ่อยขึ้นในปี 2006 หลังจากที่บ้านที่ไร่เนเวอร์แลนด์ถูกปิดเพื่อลดค่าใช้จ่าย หนึ่งในปัญหาใหญ่ของเขาคือหนี้สินจำนวน 270 ล้านเหรียญซึ่งเขาไม่สามารถชำระคืนตามเวลา หนี้ก้อนนี้ถูกปรับโครงสร้างและย้ายจากธนาคารแห่งอเมริกาไปยังกลุ่มฟอร์ตเทรสอินเวสต์เมนต์ โซนียื่นข้อเสนอซึ่งทำให้แจ็กสันสามารถกู้เงินได้อีก 300 ล้านเหรียญ และได้ลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ แลกเปลี่ยนกับการที่โซนีจะสามารถซื้อสิทธิครึ่งหนึ่งที่แจ็กสันมีต่ออัลบัมเพลงที่ทั้งสองถือร่วมกัน (ทำให้แจ็กสันเหลือสิทธิเพียงร้อยละ 25) แจ็กสันตกลงข้อเสนอปรับโครงสร้างหนี้ของโซนี แต่รายละเอียดของข้อตกลงนั้นไม่ถูกเปิดเผย อย่างไรก็ตาม ข้อมูลจากนิตยสารฟอร์บรายงานว่าแม้ว่าเขาจะมีหนี้สินเหล่านี้ แจ็กสันก็ยังคงทำเงินมากถึง 75 ล้านเหรียญสหรัฐต่อปีจากการยอดถือลิขสิทธิ์ผลงานเพลงร่วมกับโซนีเพียงอย่างเดียว
แจ็กสันได้รับรางวัลไดอะมอนด์อวอร์ดเมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน ค.ศ. 2006 จากยอดขายอัลบั้มมากกว่า 100 ล้านชุดที่งานเวิลด์มิวสิกอวอร์ดส หลังจากการเสียชีวิตของเจมส์ บราวน์ แจ็กสันเดินทางกลับสหรัฐอเมริกาเพื่อสดุดีเขา เขากับคนร่วม 8,000 คน เข้าร่ามงานศพเมื่อ 30 ธันวาคม ค.ศ. 2006 หลายปี 2006 แจ็กสันเห็นว่าเขาควรให้เดบบี โรว์ อดีตภรรยา มีสิทธิ์เลี้ยงดูลูกสองคนแรกของเขา แจ็กสันและโซนีซื้อ Famous Music LLC จากเวียคอมในปี 2007 มีข้อตกลงจะให้ลิขสิทธิ์เพลงของเอ็มมิเน็ม ชาคีร่า และเบ็ก รวมถึงอื่น ๆ



การฉลองครบรอง 25 ปีของอัลบั้ม ทริลเลอร์ โดยการออกอัลบั้มพิเศษ Thriller 25 ที่มีเพลงที่ไม่เคยออกที่ไหนมาก่อนคือ "For All Time" และรีมิกซ์หลาย ๆ เพลงร่วมกับศิลปินรุ่นใหม่ ๆ ที่มีอิทธิพลต่อพวกเขา อัลบั้มชุด Thriller 25 ยังมีดีวีดี มีซิงเกิ้ลรีมิกซ์ 2 เพลงคือ "The Girl Is Mine 2008" และ "Wanna Be Startin' Somethin' 2008" โดย Thriller 25 ติดชาร์ตขึ้นอันดับ 1 ใน 8 ประเทศในยุโรป และติดอันดับ 3 ในสหราชอาณาจักรและท็อป 10 มากกว่า 30 ชาร์ตทั่วโลก แต่ก็ไม่เข้าชาร์ตบิลบอร์ด 200 เนื่องจากไม่เป็นไปตามเงื่อนไขของชาร์ตแต่ติดอันดับ 1 ในชาร์ตป็อปแคตตาล็อก นาน 11 สัปดาห์และมียอดขายดีที่สุดในชาร์ตนี้นับตั้งแต่เดือนธันวาคม ค.ศ. 1996 ใน 12 อาทิตย์ Thriller 25 ขายได้มากกว่า 3 ล้านชุดทั่วโลก Thriller 25 ยังเป็นอัลบั้มที่ขายดีที่สุดในแคตตาล็อกอัลบั้มปี 2008 หลังจากการเสียชีวิตของแจ็กสัน อัลบั้มมียอดขายอีก 774,000 ชุดในสหรัฐอเมริกา





เพื่อฉลองอายุครบ 50 ปีของไมเคิล แจ็กสัน โซนีบีเอ็มจี ออกอัลบั้มรวมเพลงในชุดที่ชื่อ King of Pop เป็นชุดอัลบั้มที่มีเพลงต่าง ๆ ตั้งแต่เมื่อครั้งเป็นกลุ่มจนถึงเป็นศิลปินเดี่ยว เพลงเลือกจากการลงคะแนนเสียงโดยแฟนเพลง โดยแต่ละประเทศจะมีรายชื่อเพลงที่แตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับการลงคะแนนของแฟนเพลงประเทศนั้น King of Pop ติดท็อป 10 โดยมากในประเทศส่วนใหญ่ที่ออกขาย และขายได้ทั้งในรูปแบบอัลบั้มนำเข้าในหลายประเทศ

Fortress Investments ยึดทรัพย์จากการค้ำประกันของไร่เนเวอร์แลนด์ ที่แจ็กสันได้กู้เงินไปใช้มากกว่า 10 ล้านเหรียญสหรัฐ อย่างไรก็ตาม Fortress เลือกที่จะขายหนี้ของแจ็กสันให้กับ Colony Capital LLC. ในเดือนพฤศจิกายน โดยได้เปลี่ยนชื่อไร่เนเวอร์แลนด์เป็น Sycamore Valley Ranch Company LLC ที่เป็นการร่วมกันระหว่างแจ็กสันและ Colony Capital LLC. การตกลงครั้งนี้ถือเป็นการลบล้างหนี้ของเขาและมีรายงานว่ามีเงินเพิ่มอีกกว่า 35 ล้านเหรียญจากการ่วมทุนกันครั้งนี้ ในเวลาที่เขาเสียชีวิต แจ็กสันก็ยังคงเป็นเจ้าของเนเวอร์แลนด์/ไซคามอร์วัลเลย์อยู่ แต่ก็ยังไม่แน่ชัดว่ามีขอบเขตเท่าใด





ก่อนที่เขาเสียชีวิต แจ็กสัน ในเดือนมีนาคม พ.ศ. 2552 ไมเคิลได้ประกาศจะจัดคอนเสิร์ต ดิส อิส อิท ณ โอทู อารีนา กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ โดยแรกเริ่มจัดเพียง 10 รอบ แต่ด้วยแฟนเพลงที่ให้ความสนใจคอนเสิร์ตนี้เป็นอย่างมาก จึงได้เพิ่มรอบเป็น 50 รอบ โดยจะเริ่มตั้งแต่วันที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2552 โดยจะมีผู้ชมมากกว่า 1 ล้านคน จัดขึ้นที่โอทูอารีนา ในช่วงงานแถลงข่าวทัวร์คอนเสิร์ต เขาได้ถูกตั้งข้อสงสัยในความเป็นไปได้ว่าจะลามือแรนดี ฟิลิปส์ ประธานและซีอีโอ ของเออีจีไลฟ์ กล่าวว่า แค่ใน 10 วันแรกอย่างเดียว แจ็กสันก็จะได้เงินโดยประมาณ 50 ล้านปอนด์


เครดิต จากวิถีพีเดีย




 

Create Date : 12 กรกฎาคม 2552    
Last Update : 12 กรกฎาคม 2552 16:57:17 น.
Counter : 294 Pageviews.  

++การแต่งงานครั้งที่สองและลูก++






ในช่วงระหว่างทัวร์ HIStory World Tour ในออสเตรเลีย แจ็กสันแต่งงานกับพยาบาลผิวหนัง เดโบราห์ จีน โรว์ เมื่อ 14 พฤศจิกายน ค.ศ. 1996 มีลูกด้วยกัน 2 คน ซึ่งต่อมาเธออ้างว่าผู้เป็นพ่อที่แท้จริงไม่ใช่ไมเคิล เป็นชายนิรนามบริจาคสเปิร์ม บุตรชายคนโตชื่อ ไมเคิล โจเซฟ แจ็กสัน จูเนียร์ (หลังจากหย่า ลูกชายเปลี่ยนชื่อเป็น พรินซ์ ไมเคิล แจ็กสัน) และลูกสาวชื่อ แพรีส แคเทอรีน แจ็กสันไมเคิลและเดโบราห์พบกันครั้งแรกช่วงกลางทศวรรษ 1980 เมื่อเขาถูกวินิจฉัยว่าเป็นโรคด่างขาว เธอใช้เวลาหลายปีในการดูแลรักษาอาการป่วยเช่นเดียวกับให้กำลังใจ จนกลายเป็นเพื่อน จากนั้นแจ็กสันก็หลงรัก แรกทีพวกเขาไม่มีแผนที่จะแต่งงานกัน แต่เมื่อโรว์ตั้งครรภ์ท้องแรก แม่ของแจ็กสันก็เข้ามาและแนะนำให้พวกเขาแต่งงานกัน ทั้งคู่หย่ากันในปี 1999 แต่ยังคงเป็นเพื่อนกัน โดยโรว์ก็ได้รับสิทธิ์ดูแลเด็กให้แจ็กสัน



ในปี 1997 แจ็กสันออกผลงานอัลบั้ม Dance Floor: HIStory in the Mix ที่รวมซิงเกิ้ลรีมิกซ์เพลงดังจากอัลบั้ม HIStory และมีเพลงใหม่ 5 เพลง ออกขายทั่วโลกมียอดขาย 6 ล้านชุด (ข้อมูลปี 2007) ถือเป็นอัลบั้มรีมิกซ์ที่ขายดีที่สุด และขึ้นอันดับ 1 ในสหราชอาณาจักร เช่นเดียวกับซิงเกิ้ล "Blood on the Dance Floor" ก็ขึ้นอันดับ 1ในสหรัฐอเมริกามียอดขายระดับแผ่นเสียงทองคำขาว แต่ขึ้นชาร์ตสูงสุดเพียงอันดับ 24นิตยสารฟอร์บ ระบุรายได้ประจำปีของเขาที่ 35 ล้านเหรียญในปี 1996 และ 20 ล้านเหรียญในปี 1997

ตลอดเดือนมิถุนาย 1999 แจ็กสันมีส่วนร่วมมากมายกับงานการกุศล เขาร่วมกับลูชาโน ปาวารอตตี ในคอนเสิร์ตหาเงินในโมเดนา อิตาลี สนับสนุนโดยองค์กรไม่แสวงหาผลประโยชน์ วอร์ไชลด์ มีผู้ร่วมบริจาคนับล้านเหรียญสหรัฐให้กับผู้ลี้ภัยในโคโซโว เช่นเดียวกับงานหารายได้ให้กับเด็กในกัวเตมาลาต่อมาในเดือนเดียวกันแจ็กสันริเริ่มคอนเสิร์ต "Michael Jackson & Friends" คอนเสิร์ตหารายได้ในเยอรมนีและเกาหลี มีศิลปินมาร่วมอย่างสแลช วงสกอร์เปี้ยนส์ บอยซ์ทูเมน ลูเธอร์ แวนดรอส มารายห์ แครี เอ.อาร์. ราห์มาน Prabhu Deva Sundaram อานเดรอา โบเชลลี Shobana Chandrakumar และลูชาโน ปาวารอตตี การดำเนินการไปสู่ "Nelson Mandela Children's Fund" กาชาดและยูเนสโก



ลูกคนที่ 3 ของแจ็กสันชื่อ พรินซ์ ไมเคิล แจ็กสันที่ 2 (หรืออีกชื่อว่า แบลงเคต) เกิดในปี 2002แจ็กสันไม่เปิดเผยว่ามารดาของลูกคนนี้เป็นใคร แต่เขาก็พูดว่าเด็กคนนี้เป็นผลจากการผสมเทียมจากหญิงอุ้มบุญ โดยสเปิร์มของเขาเองในเดือนพฤศจิกายนปีนั้นเอง แจ็กสันนำลูกชายที่ยังแบเบาะมาที่ระเบียงห้องในโรงแรมแอดรอนในเบอร์ลิน โดยมีแฟนเพลงยืนรออยู่ข้างล่าง จากนั้นก็อุ้มทารกด้วยแขนขวา หย่อนตัวทารกห้อยลงนอกระเบียงสูง 4 ชั้น โดยทารกมีผ้าปิดหน้าอยู่ เป็นเหตุทำให้สื่อติเตียนต่อการกระทำครั้งนี้ของเขา แจ็กสันออกมาขอโทษภายหลังกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นโดยบอกว่า "ถือเป็นความผิดพลาดอันใหญ่หลวง"โซนีออกผลงานรวมเพลงฮิตของแจ็กสันทั้งซีดีและดีวีดี อัลบั้มมียอดขายระดับแผ่นเสียงทองคำขาวจากการรับรองของอาร์ไอเอเอ ในสหราชอาณาจักรมียอดขายไม่น้อยกว่า 1.2 ล้านชุด

เครดิต จากวิถีพีเดีย




 

Create Date : 12 กรกฎาคม 2552    
Last Update : 12 กรกฎาคม 2552 16:44:20 น.
Counter : 5451 Pageviews.  

++การแต่งงานครั้งแรก++

ขอข้ามเกี่ยวกับเรื่องของการละเมิดต่างๆออกไป เพราะถือว่าไม่ใช่สาระสำคัญอะไรนัก เรามาดูชีวิตรักของ MJ กันดีกว่าว่าเห็นขี้อายอย่างนี้ก็มีความรักกับเค้าเหมือนกันน้า






เดือนพฤษภาคม ค.ศ. 1994 แจ็กสันแต่งงานกับนักร้อง-นักแต่งเพลง ลิซา มารี เพรสลีย์ บุตรสาวของเอลวิส เพรสลีย์ ทั้งคู่พบกันครั้งแรกในปี 1975 ในช่วงที่ครอบครัวแจ็กสันทำงานอยู่ที่เอ็มจีเอ็มแกรนด์โฮเทลแอนด์คาซิโน และได้มาติดต่อกันอีกครั้งผ่านเพื่อนของทั้งคู่ในต้นปี 1993 ทั้งคู่ติดต่อกันทุกวันทางโทรศัพท์ จากกรณีการลวนลามทางเพศกับเด็กเป็นเรื่องราวใหญ่โต แจ็กสันก็มาระบายอารมณ์ความรู้สึกกับลิซา มารี เธอยังเป็นห่วงเกี่ยวกับสุขภาพและปัญหาการติดยากของเขา ลิซา มารีอธิบายว่า "ฉันเชื่อว่าเขาไม่ได้ทำอะไรผิดและเขาถูกใส่ร้ายและใช่ ฉันก็เริ่มตกหลุมรักเขาแล้ว ฉันต้องการปกป้องเขา ฉันรู้สึกว่าฉันควรทำอย่างนั้น"จากนั้นไม่นาน เธอพยายามโน้มน้าวแจ็กสันให้ตกลงกันนอกศาลและเข้ารับการบำบัดยา ซึ่งเขาก็ทำตามนั้นทังสองอย่าง แจ็กสันพูดคุยกับลิซา มารีทางโทรศัพท์ในช่วงฤดูใบไม้ร่วงปี 1993 ว่า "ถ้าฉันจะขอเธอแต่งงาน จะได้มั๊ย?" เพรสลีย์และแจ็กสันแต่งงานกันที่สาธารณรัฐโดมินิกันเป็นการส่วนตัว ในเวลานั้น แท็ปลอยด์ก็คาดเดาต่าง ๆ เกี่ยวกับงานแต่งงานมีขึ้นเพื่อลบล้างภาพลักษณ์การละเมิดทางเพศ แจ็กสันและเพรสลีย์หย่าร้างกันในอีก 2 ปีต่อมา แต่ยังคงเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน

ชอบรูปนี้อะ



ความรักของทั้งคู่ไม่ใช่การโปรโมท หลังจากที่ MJ ตาย ลิซ่าได้เขียนคำไว้อาลัยและความรู้สึกถึงคู่ชีวิตเก่าไว้ในบล็อคของเธอและพูดในสิ่งที่เธอไม่เคยพูดมาก่อน

Friday, June 26, 2009

He Knew.

เขารู้ตัวมาก่อนหน้านี้แล้วล่ะ

Years ago Michael and I were having a deep conversation about life in general.

เมื่อก่อนฉันกับไมเคิลได้สนทนากันเกี่ยวกับเรื่องชีวิตของเรา

I can't recall the exact subject matter but he may have been questioning me about the circumstances of my Fathers Death.
จำไม่ได้เหมือนกันว่าพูดอะไรกันไปบ้าง แต่เหมือนว่าเขาจะถามถึงเหตุการณ์ตอนที่พ่อของฉัน(เอลวิส)ตาย

At some point he paused, he stared at me very intensely and he stated with an almost calm certainty, "I am afraid that I am going to end up like him, the way he did."
เขาอึ้งไปพักหนึ่ง จ้องเขม็งมาทางฉันแล้วบอกฉันด้วยใบหน้าอันสงบว่า “ผมรู้สึกว่าผมจะต้องพบจุดจบเหมือนกับพ่อของคุณนั่นแหละ” (ในช่วงสุดท้ายของชีวิต เอลวิสมีปัญหาทั้งทางร่างกายและจิตใจอย่างเรื้อรัง สุดท้ายก็กินยาเกินขนาดตาย คล้ายๆกับไมเคิลในตอนก่อนที่จะเสียชีวิตนี้)

I promptly tried to deter him from the idea, at which point he just shrugged his shoulders and nodded almost matter of fact as if to let me know, he knew what he knew and that was kind of that.
ฉันก็พยายามจะเปลี่ยนความคิดบ้าๆนี้ของเขา แต่เขาก็ได้แต่ยักไหล่ และก็ทำเหมือนกับว่าเขาก็รู้แล้วแหละ และก็เป็นงั้นเอง

14 years later I am sitting here watching on the news an ambulance leaves the driveway of his home, the big gates, the crowds outside the gates, the coverage, the crowds outside the hospital, the Cause of death and what may have led up to it and the memory of this conversation hit me, as did the unstoppable tears.
สิบสี่ปีต่อมากฉันก็นั่งอยู่ที่นี่ ดูข่าวที่รถพยาบาลขับออกไปจากบ้านของเขา เห็นประตูบานใหญ่ ฝูงชนมากมายออกันอยู่ที่นอกประตู ตามกันไปจนถึงนอกโรงพยาบาล สาเหตุของการตาย และอะไรๆที่ทำให้ฉันนึกถึงการสนทนาครั้งนั้นกับเขา แล้วน้ำตาของฉันก็พรั่งพรูออกมา....


A predicted ending by him, by loved ones and by me, but what I didn't predict was how much it was going to hurt when it finally happened.
จุดจบที่ทุกคนก็รู้ว่าจะต้องลงเอยอย่างไร ไม่ว่าจะตัวเขาเอง คนที่รักเขา และฉัน แต่สิ่งที่ฉันไม่ได้คาดหวังก็คือความเจ็บปวดที่ฉันจะได้รับเมื่อสุดท้ายมันเ กิดขึ้นจริงๆ

The person I failed to help is being transferred right now to the LA County Coroners office for his Autopsy.
ผู้ชายคนนั้นที่ฉันไม่อาจจะช่วยไว้ได้ กำลังถูกส่งตัวไปห้องชันสูตร

All of my indifference and detachment that I worked so hard to achieve over the years has just gone into the bowels of hell and right now I am gutted.
ความสงบเยือกเย็นและการปล่อยวางที่ฉันพยายามสร้างมันขึ้นมาในช่วงหลายปีนี้ มันเหมือนกำลังถูกดันลงไปในกระเพาะและฉันกำลังจะขย้อนมันออกมาก

I am going to say now what I have never said before because I want the truth out there for once.
ฉันกำลังจะพูดในสิ่งที่ฉันไม่เคยพูดมาก่อนเพราะอย่างน้อยฉันก็อยากให้ทุกอย่ างมันกระจ่างขึ้นมาเสียที

Our relationship was not "a sham" as is being reported in the press. It was an unusual relationship yes, where two unusual people who did not live or know a "Normal life" found a connection, perhaps with some suspect timing on his part. Nonetheless, I do believe he loved me as much as he could love anyone and I loved him very much.
ความสัมพันธ์ของเราไม่ได้ “เสแสร้ง” อย่างที่เป็นข่าวหรอกนะ ถ้าจะบอกว่ามันเป็นความสัมพันธ์ที่ประหลาดล่ะก็ใช่อยู่หรอก มันก็เป็นการที่คนประหลาดสองคนซึ่งไม่ได้ใช้ “ชีวิตที่ปกติ” มาสร้างสัมพันธภาพกัน แม้ว่าบางทีเวลาเราอาจจะไม่ตรงกันเท่าไรก็ตาม ถึงกระนั้น ฉันก็ยังคงเชื่อว่าเขารักฉันเท่าๆกับที่เขาสามารถรักใครๆและฉันเองก็รักเขาม าก

I wanted to "save him" I wanted to save him from the inevitable which is what has just happened.
ฉันเคยต้องการที่จะ “ช่วยเขา” ฉันเคยต้องการที่จะช่วยเขาจะเหตุการณ์ที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่เพิ่งจะเกิดขึ้ นนี้

His family and his loved ones also wanted to save him from this as well but didn't know how and this was 14 years ago. We all worried that this would be the outcome then.
ครอบครัวของเขาและคนที่รักเขาทุกคนต่างก็ต้องการที่จะช่วยเขาจากเหตุการณ์นี ้ทั้งนั้นแต่ต่างคนก็ไม่รู้ว่าจะต้องทำอย่างไร และเรื่องนี้ก็เกิดขึ้นตั้งสิบสี่ปีที่แล้ว ตอนนั้นเราต่างกังวลว่าเหตุการณ์แบบนี้จะเกิดขึ้นสักวัน...

At that time, In trying to save him, I almost lost myself.
ในช่วงเวลานั้น ในความพยายามที่จะช่วยเขา ฉันเกือบจะสูญเสียตัวเอง

He was an incredibly dynamic force and power that was not to be underestimated.
เขาเป็นคนที่มีพลังขับเคลื่อนอย่างเหลือเชื่อซึ่งไม่สามารถจะมองข้ามไปได้เล ย

When he used it for something good, It was the best and when he used it for something bad, It was really, REALLY bad.
เมื่อใดที่เขานำพลังนั้นมาใช้ในการทำสิ่งที่ดี มันจะเป็นสิ่งที่ดีที่สุด แต่เมื่อใดที่เขาทำตรงกันข้าม มันจะเป็นสิ่งที่แย่...แย่มากๆ

Mediocrity was not a concept that would even for a second enter Michael Jackson's being or actions.
ความธรรมดาไม่เคยอยู่ในสายตาของไมเคิล แจ็คสันเลยแม้แต่เสี้ยววินาที ไม่ว่าเขาจะทำอะไร

I became very ill and emotionally/ spiritually exhausted in my quest to save him from certain self-destructive behavior and from the awful vampires and leeches he would always manage to magnetize around him.
ฉันกลายเป็นคนป่วยและสูญเสียพลังชีวิตไปอย่างมากมายในการที่ฉันพยายามจะช่วย เขาให้ออกจากความคิดและการกระทำที่ทำร้ายตัวเองแบบนั้น และช่วยเขาจากผีดูดเลือดและเหล่าเหลือบปลิงที่เกาะกินชีวิตเขาอยู่

I was in over my head while trying.
ฉันแทบบ้า ในตอนที่ฉันพยายามช่วยเขาอยู่นั้น

I had my children to care for, I had to make a decision.
ฉันมีลูกๆที่ฉันต้องดูแล และฉันจะต้องตัดสินใจอะไรบางอย่าง

The hardest decision I have ever had to make, which was to walk away and let his fate have him, even though I desperately loved him and tried to stop or reverse it somehow.
เป็นการตัดสินใจที่ยากที่สุดในชีวิต ซึ่งก็คือการเดินจากไปและปล่อยให้เขาผจญกับชะตาชีวิตของเขาเอง แม้ว่าฉันจะรักเขาอย่างมากมายเพียงใดและจนบางทีฉันเองก็อยากที่จะรักเขาให้น ้อยลง

After the Divorce, I spent a few years obsessing about him and what I could have done different, in regret.
หลังจากหย่ากัน ฉันใช้เวลาอีกหลายปีเผ้าแต่คิดเรื่องของเขาซ้ำไปซ้ำมา และรู้สึกผิดที่ฉันควรจะทำอะไรได้ดีกว่านั้น

Then I spent some angry years at the whole situation.
หลังจากนั้นฉันก็โกรธตัวเองมาเป็นเวลาหลายปี

At some point, I truly became Indifferent, until now.
พอมาถึงจุดหนึ่ง ฉันก็ปล่อยวาง จนกระทั่งบัดนี้

As I sit here overwhelmed with sadness, reflection and confusion at what was my biggest failure to date, watching on the news almost play by play The exact Scenario I saw happen on August 16th, 1977 happening again right now with Michael (A sight I never wanted to see again) just as he predicted, I am truly, truly gutted.
ในตอนที่ฉันนั่งอยู่ที่นี่ โดยถูกรุมล้อมด้วยความเศร้า ความสะท้อนใจ และความสับสนเกี่ยวกับความล้มเหลวครั้งยิ่งใหญ่ในชีวิตของฉัน นั่งดูข่าวฉากต่อฉาก ภาพเดิมที่เคยเกิดขึ้นเมื่อ 16 สิงหาคม 2520 มันเกิดขึ้นอีกครั้งกันไมเคิล (ภาพที่ฉันไม่อยากจะเห็นมันอีกเหมือนกับที่เกิดกับพ่อของฉัน) อย่างที่ตัวเขาเองทำนายไว้...
ความรู้สึกมันท่วมท้น...

Any ill experience or words I have felt towards him in the past has just died inside of me along with him.
ความรู้สึกไม่ดีที่ฉันเคยได้รับมาจากเขาได้ตายตามเขาไปหมดแล้ว..

He was an amazing person and I am lucky to have gotten as close to him as I did and to have had the many experiences and years that we had together.
เขาเป็นคนที่มหัศจรรย์และฉันเองก็รู้สึกโชคดีที่ได้ใกล้ชิดเขาอย่างที่ฉันเค ยและได้สัมผัสประสบการณ์หลายอย่างในช่วงหลายปีที่เราอยู่ด้วยกัน

I desperately hope that he can be relieved from his pain, pressure and turmoil now.
ฉันหวังเป็นอย่างยิ่งว่า ในที่สุดเขาก็ถูกปลดปล่อยจากความเจ็บปวด ความกดดัน และความสับสนวุ่นวาย

He deserves to be free from all of that and I hope he is in a better place or will be.
เขาควรจะได้รับอิสระจากสิ่งเหล่านั้นและฉันหวังว่าเขาจะได้ไปอยู่ในที่ๆดีกว ่านี้

I also hope that anyone else who feels they have failed to help him can be set free because he hopefully finally is.
ฉันหวังว่าทุกคนที่รู้สึกผิดที่ไม่สามารถช่วยเขาไว้ได้จะไม่โทษตัวเอง เพราะนี่ก็เป็นจุดจบที่เขาหวังไว้เอง

The World is in shock but somehow he knew exactly how his fate would be played out some day more than anyone else knew, and he was right.
โลกกำลังอยู่ในภาวะช็อคแต่อย่างไรก็ดีเขาก็รู้ดีว่าพรหมลิขิตของเขานั้นควรจ ะเป็นอย่างไรมากกว่าใครๆ

I really needed to say this right now, thanks for listening.
ฉันต้องการจะพูดแค่นี้แหละ ขอบคุณที่รับฟัง

LMP

~LMP

จาก //www.myspace.com/lisamariepresley

เครดิต บางส่วนจาก จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี




 

Create Date : 12 กรกฎาคม 2552    
Last Update : 12 กรกฎาคม 2552 16:25:28 น.
Counter : 299 Pageviews.  

1  2  

Puri~Pirun
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]









Friends' blogs
[Add Puri~Pirun's blog to your web]
Links
 

MY VIP Friend

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.