Group Blog
 
All blogs
 

The Front Line หนังสงครามสนุก เนื้อหาดี และมีพระเอกทหารหล่อ (มันสำคัญตรงนี้แหละ)



ภาพ 1-16 จาก AsianWiki : The Front Line


Director: Jang Hun Writer: Park Sang-Yeon
Release Date: July 20, 2011 Runtime: 133 min.


ด้วยเหตุเป็นคนชอบหนังสงครามอยู่แล้วเป็นทุน และการที่ The Front Line ก็เป็นหนังสงครามที่พระเอกหล่อ แค่นี้ก็พอใจแล้ว ไม่ต้องการอะไรจากหนังอีกมากมาย เพราะต่อให้ความหล่อไม่ช่วยอะไรก็ยังเท่ถูกใจกับการที่พระเอกเป็นชายในเครื่องแบบทหารอยู่นั่นเอง



แต่ถึงจะไม่คาดหวังอะไร The Front Line ก็เป็นหนังเนื้อหาดี ดูสนุกกว่าที่คิด มีแอคชั่น มีดราม่าน้ำตาเล็ดแบบเกาหลีๆ ที่ก็ส่งให้หนังเรื่องนี้ได้ดีมีรางวัล ตามที่กวาดมา 10 รางวัล Best Film , Best Director , Best Screenplay ,Best production ฯลฯ จาก 3 สถาบันสัญชาติเกาหลี

48th Grand Bell Award ,
2011 Critics' Choice Awards ,
32nd Blue Dragon Film Awards



The Front Line แค่ชื่อก็บอกอยู่แล้วนะคะว่าเป็นเรื่องของ "แนวหน้า" ในฉากสงครามการสู้รบที่แนวหน้าฝั่งตะวันออกบริเวณแบ่งแยกดินแดนระหว่างเกาหลีเหนือ-เกาหลีใต้ช่วงปลายสงครามเกาหลีก่อนทั้งสองประเทศจะลงนามทำสนธิสัญญาสงบศึก



แนวชายแดนฝั่งตะวันออก มีสมรภูมิรบสำคัญอยู่ที่ภูเขาแอร๊ค (Aerok Hills) โดยกองทัพทั้งสองฝ่ายต่างต่อสู้ช่วงชิงดินแดนกันอย่างดุเดือด ผลัดกันรุก ผลัดกันรับ ผลัดการยึดพื้นพี่เรื่อยมา เพราะการรบดังกล่าวจะมีผลต่อการกำหนดเส้นเขตแดนของทั้งสองประเทศ



คัง อึนเพียว (ซิน ฮากยอน จาก Harvest Villa สาวหน้าใสกับนายแสนซื่อ) ได้รับมอบหมายจากผู้บังคับบัญชาให้ไปร่วมรบกับกองทัพแนวหน้า ที่ถูกเรียกว่า “หน่วยไอ้เคี่ยม” (หมายถึงจรเข้) เพื่อสืบหาหนอนบ่อนไส้ที่อาจเป็นไส้ศึกลอบส่งข้อมูลให้กับกองทัพเกาหลีเหนือ และอาจเป็นผู้อยู่เบื้องหลังการตายอย่างมีเงื่อนงำของนายทหารผู้บัญชาการค่ายคนก่อน เพราะจากการตรวจสอบหลักฐานพบว่าเขาตายด้วยกระสุนของฝ่ายเกาหลีใต้เอง คังอึนเพียวจึงต้องออกเดินทางไปยังแนวหน้าฝั่งตะวันออกที่เรียกว่าค่ายเคย์แมน-(แคมป์ทหารแถบภูเขาแอร๊ค) พร้อมกับผู้บัญชาการค่ายคนใหม่



ที่นั่น คังอึนเดียวได้พบกับ คิม ซูฮยอค (โกซู จาก Will it snow for Christmas อธิษฐานรัก ณ ปลายหนาว) เพื่อนสมัยเรียนและร่วมรบกันมาในปี 1950 ซึ่งขณะนั้น ซูฮยอคยังเป็นคนอ่อนแอและตื่นกลัวต่อสนามรบ กระทั่งต่อมาเขาถูกทหารเกาหลีเหนือจับตัวไป คังอึนเพียวคิดว่าซูฮยอคเสียชีวิตไปแล้ว เขาจึงทั้งดีใจและแปลกใจที่พบว่าซูฮยอคยังมีชีวิตอยู่และกลายเป็นนายทหารยศร้อยโท หรือ "ผู้กองคิม" ซึ่งเป็นระดับหัวหน้าหน่วยในการนำทหารออกสู้รบในสมรภูมิแอร๊ค



สถานการณ์การสู้รบที่แอร๊ค ทำให้คังอึนเพียวได้รู้จักกับสภาพความเป็นจริงของสงครามที่ต่างไปจากประสบการณ์เคยผ่านพบ เพราะการสู้รบในแนวหน้าของสงครามมันก็เหมือนกับตกอยู่ในนรกทั้งเป็นนั่นเอง

เขาได้พบเห็นทหารเกาหลีใต้ที่ยอมสวมใส่เครื่องแบบทหารเกาหลีเหนือทับซ้อนไว้ในตัว เพื่อช่วยป้องกันความหนาวจากสภาพอากาศที่เย็นจัด หัวหน้าหน่วยไอ้เคี่ยมผู้นำระดับรองลงมาจากผู้บัญชาการค่าย เป็นนายทหารหน้าอ่อนแต่หัวใจกระด้างด้วยการแบกรับหน้าที่ตามยศร้อยเอกทั้งที่ยังมีอายุเพียงแค่ 20 ปี รองลงมาคือทหารหนุ่มใหญ่ยศร้อยโท ซูฮยอค เพื่อนเก่าที่คังอึนเพียวได้พบว่า เขาเปลี่ยนไปแล้วจากคิมซูฮยอคคนเดิมที่คังอึนเพียวเคยรู้จัก



คังอึนเพียวถูกส่งตัวมาที่แนวหน้าด้วยภารกิจสืบหาไส้ศึก แต่ในระหว่างนั้นเขาก็ต้องร่วมรบกับหน่วยไอ้เคี่ยม ผ่านความเป็นความตาย และสถานการณ์อันน่าสะเทือนใจ ที่กระทบกระเทือนต่อมโนธรรมในจิต ความศรัทธาในวิถีของชายชาติทหารที่ต้องยึดมั่นปฏิบัติตามคำสั่งของผู้บังคับบัญชา แต่สถานการณ์เข้าตาจนก็ทำให้แยกแยะได้ยากว่า สิ่งใดถูกสิ่งใดผิด สิ่งใดควรเลือกหรือไม่เลือกทำ เป็นทหารต้องปฏิบัติตามคำสั่งอย่างไม่รักตัวกลัวตาย แต่มันผิดด้วยหรือถ้าทหารจะไม่อยากตายอย่างไร้เหตุผลและพยายามจะมีชีวิตรอด



เสียชีวิตหนึ่ง ทำไมต้องมีความหมายให้อาลัยอาวรณ์นัก เสียเลือด เสียเนื้อ และหมดลมหายใจไป ก็ไม่ต่างอะไรมากกับคนที่ยังหายใจอยู่อย่างตายทั้งเป็น แล้ววันนี้พรุ่งนี้ ก็มีโอกาสจะได้ตายตามไปได้ทุกเมื่อ



ไม่สนความตายของใคร หรือแค่ไม่มีเวลาจะเสียใจ ก็แค่นั้น

ไม่ฆ่า ก็ถูกฆ่า ไม่พยายามเอาชีวิตรอด ก็จะเป็นคนตายที่เปล่าประโยชน์

จะเป็นฮีโร่ หรือฆาตกร จะรอดครึ่งหนึ่ง หรือจะตายด้วยกันทั้งหมด

ศาลทหารจะมีโอกาสตัดสินถูกผิดได้อย่างไร หากคนต้องขึ้นศาลไม่มีชีวิตรอดอยู่ไปจนถึงวันนั้น



เป็นความด้านชาของหัวใจที่เลือดเย็น หรือว่าเป็นการตัดสินใจอันเด็ดเดี่ยว

จะมัวจมอยู่กับความเจ็บปวดที่ก็ต้องสูญเสียและเจ็บปวดอยู่แล้วทุกวัน

จะมัวยึดติดอยู่กับมโนธรรมที่ถูกหรือผิดไม่ช่วยทำให้อยู่รอด

หรือจะอยู่กับความเป็นจริงที่โหดร้าย ด้วยจิตใจที่ต้องเหี้ยมเกรียม

แต่...ยังไม่ตาย (เลือกเอา)



ก็เลยชอบหนังเรื่องนี้มากในแง่ของการ "ตัดสินใจ" ที่ไม่ใช่ว่าทุกคนจะกล้าตัดสินใจแบบนั้นได้ ไม่มีใครบอกได้ว่ามันถูก แต่ก็ไม่มีใครจะกล้าตำหนิว่ามันผิด และแม้จะก้ำกึ่งบอกไม่ได้ความรู้สึกที่มีก็ยังเป็นการ "ยอมรับ" แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะ "ปฏิเสธ" มโนธรรมว่าไร้ค่า มันเป็นแต่ละสถานการณ์ที่ต้องตัดสินใจ ที่ในบางครั้งมโนธรรมก็ไม่อาจจะไปด้วยกันได้

( มโนธรรม th.w3dictionary.org แปลว่า การควบคุมภายในจิตใจของบุคคล เป็นระบบความคิดและความรู้สึก ซึ่งช่วยบุคคลในการตัดสินว่าการกระทำอะไรถูก อะไรผิด อะไรควรทำและไม่ควรทำ)



แล้วก็ชอบ "มิตรภาพฝังหลุมดิน" ระหว่างทหารเกาหลีเหนือกับเกาหลีใต้ ที่ผลัดกันรุกรับ แพ้ชนะในการรบและผลัดกันครอบครองภูเขาแอร๊ค รวมถึงหลุมมิตรภาพหลุมนั้นด้วย มันได้สื่อความหมายในเชิงปรัชญาสงครามที่ยากจะอธิบายเป็นคำพูดและทำให้หนังดูดีมีสาระแบบที่เกาหลีใต้ดูได้ เกาหลีเหนือดูดี และถึงไม่ใช่เกาหลีดูแล้วก็ยังถูกใจ



แล้วก็ชอบบทเพลงเกี่ยวกับ "ค่ำคืนที่ชายแดน" มันซึ้ง มันเศร้า มันเป็นอีกหนึ่งตัวแทนมิตรภาพฝังหลุมที่ทำให้รู้สึกว่า จะทหารเกาหลีเหนือ ทหารเกาหลีใต้ พวกเราก็เป็นทหารหัวอกเดียวกัน เราไม่ได้เกลียดชังกันแต่ต้องฆ่าฟันกันตามหน้าที่ ที่ก็ไม่รู้จะเรียกว่าปกป้อง หรือ แย่งชิงดินแดน เพราะแต่เดิมมันเคยเป็นเกาหลีเดียวกัน แล้วอยู่ๆ ต้องมาแบ่งแยก มันควรจะเป็นของฝ่ายเหนือหรือฝ่ายใต้ ใครจะไปรู้ ทหารก็แค่ต้องรบเพื่อเอามันมา ตามคำสั่ง

ส่วนมิตรภาพฝังหลุมดินเป็นอย่างไรนั้น อยากให้ลองไปดูหนังเอาเอง



มีสองฉากในหนังเรื่องนี้ที่ชอบมากเป็นพิเศษ

ฉากการซุ่มโจมตีท่ามกลางความมืดมิด พร้อมกับสายฝนที่เทกระหน่ำ ตอนที่กำลังจะรุกเข้าโจมตีแล้วว่าฟ้าแลบสว่างวาบ แว่บเห็นการเคลื่อนพลของทหารเกาหลีเหนือ

ฉากการรบครั้งสุดท้ายที่เขาแอร๊ค เมื่อทหารเกาหลีเหนือใต้ประสานบทเพลง "ค่ำคืนที่ชายแดน" มันเหมือนเป็นการคร่ำครวญต่อความโหดร้ายของสงครามและไว้อาลัยแก่ชะตากรรมของทั้งสองฝ่ายที่ไม่รู้ใครจะตาย ใครจะรอด กี่ศพ และกี่คน

ทั้งสองฉากนี้มันทำให้รู้สึกขนลุกยังไงไม่รู้



หนังยังมีความน่าสนใจตรงที่ได้แอบแฝง ความสัมพันธ์อยู่ห่างๆ อย่างโหดๆ ในระยะปลิดชีพ ที่คล้ายจะมี "ความรู้สึก" ระหว่างทหารหนุ่มเกาหลีใต้ กับทหารสาวเกาหลีเหนือ แม้ไม่เคยจะมีโอกาสได้พูดจากันสักคำ แต่ก็เหมือนจะสื่อสารถึงกันผ่านกระสุนปืน ตอนแรกคิดว่านั่นกำลังจะส่อเค้าดราม่ารักเกาหลีขึ้นมาในระหว่างรบ ซึ่งหากทำไปอย่างนั้นจะทำให้หนังเสียราคาของการเป็นนังสงครามได้เยอะเลยนะ ยิงกันอยู่เปรี้ยงปร้าง ระเบิดกันบึ้มๆ จะมารักมารันทดอะไรกันในตอนนี้

แต่หนังก็ดีกว่าที่คาดหวังอีกแล้ว เพราะมันไม่เป็นไปอย่างที่นึกกลัว ก็แค่ความเจือจางกรุ่นควันปืน ดึงดูดความสนใจไว้แต่ไม่ถึงขั้นจะติได้ว่ามันชักเว่อร์



เธอคือพลแม่นปืน หน่วยซุ่มยิงของทหารเกาหลีเหนือที่ถูกเรียกว่า "ตาเหยี่ยว" ทหารเกาหลีใต้ประณามว่าพวกตาเหยี่ยวเป็นพวกขี้ขลาดที่คอยลอบกัด ปัญหาคือแม่นเหลือเกิน ทหารจำนวนมากต้องตายอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว ตายอย่างไร้ทางสู้ และถ้าไม่อยากจะให้ทหารต้องตายลงไปมากกว่านี้ คิมซูฮยอคและคังอึนเพียวจึงต้องพาลูกน้องออกมาลาดตระเวน ล่อกระสุน เพื่อจะล่าตาเหยี่ยว แล้วใครจะตายก่อนกันต้องคอยดู



นี่เป็นอีกฉากหนึ่งที่ชอบมาก

"....ไอ้เคี่ยมวางไข่ครั้งละห้าสิบใบ มากกว่าครึ่งถูกกินโดยสัตว์อื่นๆ
ส่วนพวกที่ฟักออกมาส่วนใหญ่ ก็เสี่ยงอันตรายจากสัตว์อื่นด้วยเหมือนกัน
มีเพียงแค่หนึ่งหรือสองตัวเท่านั้นที่มีชีวิตรอด แต่พวกคุณรู้อะไรมั้ย
ไอ้เคี่ยมหนึ่งหรือสองตัว ที่เอาชีวิตรอดจากไข่ห้าสิบใบ

เติบโตขึ้น

และปกครองหนองน้ำ

นั่นแหละไอ้เคี่ยม

เราคือ โคตรไอ้เคี่ยม

ที่ปกครองสนามรบ
.....

เอาชีวิตรอดให้ได้ 12 ชั่วโมง!

เอาชีวิตรอด!

แล้วพวกเราจะได้กลับบ้าน"

ในความหมายของคำว่าไอ้เคี่ยมมันเท่ดีแต่ก็ไม่เท่าไหร่หรอกถ้าเทียบกับคำว่า "กลับบ้าน" เพราะคำๆ นี้ในหนังสงครามมันแทงใจได้ตลอด



ซิน ฮากยอน รับบท คังอึนเพียว นายทหารผู้เปี่ยมโนธรรมในจิตใจ คิดว่าบางมุมเขาก็ดูคล้าย อีริค มุน อยู่เหมือนกันนะคะ (หรืออาจจะเห็นไปเองคนเดียว) จากร่องรอยบนใบหน้าทำให้ดูมีอายุมากกว่า โกซู ผู้รับบทคิมซูฮยอคอยู่นิดหน่อย โดดเด่นทั้งคู่ แต่ส่วนตัวชอบบทของคิมซูฮยอคมากกว่า ตอนแรกๆ ที่ดูแล้วก็บอกไม่ได้ว่าร้ายหรือดี แล้วตอนหลังก็ยังตัดสินใจไม่ได้สักทีว่าตกลงผู้กองคิมเขาดีหรือร้าย เพราะจะว่าดีก็ไม่ใช่ แต่ครั้นจะว่าเลวร้ายก็ไม่เชิง อย่างที่บอกว่าการตัดสินใจบางเรื่อง ไม่ใช่ทุกคนจะกล้าทำ (อย่างไม่ลังเลอีกต่างหาก) ดังนั้นถ้าให้เลือกจะเรียกใครเป็นพระเอก ก็ต้องเลือกคิมซูฮยอคอยู่แล้ว



อีกคนที่ต้องเอ่ยถึงคือ ลีจีฮุน (Lee Je Hoon) รับบท ผู้กองชินอิลยอง นายทหารยศร้อยเอกอายุ 20 ปี ที่จะมอมแมมยังไงก็ยังหน้าตาเป็นสามเณรด้วยหัวเกรียนๆ กับผิวหน้าอันเกลี้ยงเกลา ตอนเห็นในตัวอย่างหนังคิดว่าหน้าใสๆ อย่างจีฮุนจะรับบทเป็นตัวแทนทหารหนุ่มน้อยที่ถูกเกณฑ์มารบแต่เยาว์วัยซะอีก ไม่คิดว่าจะเป็นบทหัวหน้าหน่วยไอ้เคี่ยมสุดอึดที่ทั้งดุดัน เด็กหนุ่มที่ต้องเป็นผู้นำทั้งที่ยังมีอายุแค่ 20 ปี จึงไม่ยอมแสดงความอ่อนแอใดๆ ไม่ว่าจะทางกายที่พกมอร์ฟีนไว้ใช้ปิดกั้นความเจ็บปวด หรือกระทั่งทางจิตใจที่ใช้ความดุดันแข็งกร้าวเป็นเปลือกห่อหุ้ม ความกล้าได้กล้าเสียที่ไม่รู้จะเรียกกล้าหาญหรือว่าแค่เป็นความบ้าบิ่น อะไรก็ช่าง เพราะมันสำคัญอยู่ที่เขาเป็นผู้นำที่ได้รับการยอมรับเหมือนดั่งเป็นสัญลักษณ์ของความอุ่นใจ ถ้ายังมีอิลยองเป็นหัวหน้าพวกเขาจะมีโอกาสรอด เพราะอิลยองจะไม่ยอมปล่อยให้ลูกน้องต้องไปตายง่ายๆ

แม้จะเกลียดลีจีฮุนเข้าไส้ กับผลงานนักธุรกิจหน้าใสไฮโซแต่นิสัยเลวร้าย (พอๆ กับพระเอกของเรื่อง) ในซีรีย์ Fashion King เพราะแสดงดีเกินเหตุ ความเกลียดจึงยังคงตราติดอยู่ที่หน้า แต่ถึงจะเกลียดก็ยอมรับนะว่า หนังเรื่องนี้จีฮุนก็เล่นได้ดี และคิดว่าเป็นเพราะหนังเรื่องนี้ที่จีฮุนได้รับรางวัล Best new actor บวกกับความโดดเด่นในซีรีย์ Fashion King ส่งผลให้ตอนนี้จีฮุนกำลังขายดีด้วยหนัง 4 เรื่องติดกันไปจนถึงปีหน้า



แต่บทหนุ่มน้อยทหารเกณฑ์ที่ว่า ก็มีอยู่ด้วยเหมือนกันคือ นัมซองชิค รับบทโดย Lee Da-Wit ทหารหนุ่มอ่อนที่ถูกเกณฑ์มาจากกรุงโซล ทั้งต้องต่อสู้กับความกลัวในสนามรบ ทั้งต้องปรับตัวเข้ากับทหารเก๋ากร้านสงคราม และนัมซองชิคก็จำเป็นต้องเรียนรู้ที่จะฆ่า

ดูหนังสงครามสัญชาติเกาหลีเรื่องนี้แล้ว ก็ทำให้รู้สึกว่าหนังเกาหลีที่ปกติไม่ค่อยได้เลือกดูนัก ก็เป็นหนังคุณภาพที่ทำได้สนุกดีเหมือนกัน และคงจะหันมาสนใจหนังเกาหลีมากขึ้น อย่างเช่นที่มี วอนบิน อยู่ในสต๊อกตอนนี้ แต่คงจะเรียกไม่ได้เต็มปากว่าเป็นเพราะหนังเกาหลีดี ต้องเรียกว่าเป็นเพราะพระเอกเกาหลีหน้าตาดีมากกว่า (555)



The Front Line เรื่องนี้ โกซู แม้จะมอมแมมก็ยังอุตส่าห์หล่อได้อีก จะมีหนังสงครามสักกี่เรื่องกันที่พระเอกทหารหน้าตาหล่อ เท่าที่นึกได้ก็มี Black Hawk Down ที่ก็จำไม่ได้ว่าดูไปกี่รอบ Jarhead ที่เนื้อเรื่องไม่ดีเท่าไหร่กแต่ก็มี เจค จิลเลนฮาล มินิซีรีย์ Band of Brother ไม่แน่ใจว่าดูกี่รอบพราะชอบเนื้อหาและชอบ Medic Eugene แพทย์ทหารที่มีแต่คนเรียกหาท่ามกลางห่ากระสุนปืน ไหนจะปืน ไหนจะกระเป๋าเครื่องมือแพทย์ ไหนจะหอบหิ้วคนป่วย หัวซุกหัวซุนและพะรุงพะรัง แม้ไม่ใช่พระเอกแต่ก็ชอบหมอยูจีนมากถึงมากที่สุด ว่าแล้วก็นึกถึงมินิซีรีย์อีกเรื่องของ HBO เรื่อง The Pacific ที่ทำต่อจาก Band of Brother มีแผ่นนานแล้วแต่ยังดองอยู่ในกรุมาถึงป่านนี้ อีกเรื่องที่จะลืมไม่ได้ก็ต้องสงครามเกาหลีอีกเช่นกัน Taegukgi เรื่องของทหารสองพี่น้องในสงครามที่ได้สองหล่อจางดองกันและวอนบินมาเป็นจุดขาย ว่าแล้วก็อยากจะหามาดูอีกสักรอบ

นานๆ จะดูหนังเกาหลีสักที พอเห็นเรื่องนี้ทำให้เพิ่งรู้ว่างานโปรดักชั่นของหนังเกาหลีนั้นดูจะพัฒนาคุณภาพไปได้ไกลโขแล้วเหมือนกัน

ยังมีอีกไหม หนังสงครามชาติไหนก็ได้ ที่สนุก เนื้อหาดี และมีพระเอกหล่อ
(ไม่ค่อยจะโลภเลยนะ) ถ้าใครรู้จักหนังแบบนั้น โปรดช่วยชี้แนะ จะขอบคุณมาก











































































ชอบโปสเตอร์หนังมาก




 

Create Date : 19 กันยายน 2555    
Last Update : 31 ตุลาคม 2555 23:16:14 น.
Counter : 29045 Pageviews.  

Paradise Kiss เส้นทางรักนักออกแบบ



ตามประสาผู้ไม่ค่อยศึกษาข้อมูลก่อนดูหนัง

สิ่งเดียวที่เลือกดูหนังเรื่องนี้คือ "คิตางาว่า เคียวโกะ"

เริ่มจากตกหลุมรักเธอใน Buzzer Beat ยังรักเธอดีอยู่ใน Tsuki no Koibito (Moon Lover) แล้วจากนั้นรักก็จืดจางห่างกันไปเพราะเธอไม่เคยแสดงอยู่ในพลอตเรื่องที่อยากดูอีกเลย



เรื่องนี้ก็เห็นชื่อเรื่องออกจะแหววไปหน่อยก็ไม่เรียกร้องความสนใจเท่าไหร่ ทั้งที่เมื่อก่อนนั้นมักถามหาเรื่องแนวความรัก น่ารัก หวานโรแมนติก เดี๋ยวนี้ไม่รู้เป็นอะไรเริ่มทนความหวานไม่ได้ แต่เริ่มถามหาของหวานแทน อยากจะกินแต่อะไรหวานๆ เย็นๆ ซึ่งเพื่อนได้ชี้แจงแถลงไขว่านั่นเป็นอาการของคนแก่ (ซึ่งถ้าเราแก่ มันหรือจะรอด)



แต่เพราะไม่มีอะไรจะดู ก็ดูเรื่องนี้แหละ พลอตเรื่องท่าทางจะเบาสมอง เพราะเป็นแนวรักวัยรุ่นใสๆ ที่สาวเคย์โกะคงจะได้แสดงความน่ารักสวยใสสมวัยสาว

เรื่องย่อหลังปก DVD
Paradise Kiss ผลงานเด่นอีกเรื่องหนึ่งของ อาจารย์ไอ ยาซาว่า เรื่องราวของ ยูคาริ ฮายาซากะ หรือ แคโรลีน (เคย์โกะ คิตางาว่าจาก เซเลอร์มูน) นักเรียนมัธยมปีสุดท้ายที่เหน็ดเหนื่อยกับชีวิตประจำวันของเธอเพราะเธอต้องเตรียมสอบเข้ามหาวิทยาลัย วันหนึ่งเธอพบกับ จอร์จ (โอซามุ มุคาอิ จาก Honey and Clover , Nodame Cantabile) สมาชิกคนหนึ่งของ "Paradise Kiss" ให้ก้าวเข้าสู่ชีวิตในวงการนางแบบ โดยขอให้เธอไปเป็นนางแบบในงานออกแบบเสื้อผ้าของพวกเขา จากจุดนี้ ยูคาริ พบอีกด้านในตัวเธอ โดยผ่านการเป็นนางแบบ เธอพบกับความรู้สึกเป็นอิสระ และความตื่นเต้นในชีวิต



ขอขยายความสักนิด อาจารย์ยาซาว่า ไอ นี่ก็ใครไม่รู้ ไม่รู้มาก่อนสาวเคย์โกะ แสดงหนังบ๊องแบ๊วแนวเซลเลอร์มูน การ์ตูนที่ไม่ชอบดู แม้จะมีคุณหน้ากากทักซิโด้ทำเท่อยู่ก็เถอะ มุคาอิ โอซามุ เพิ่งรู่ว่าเล่น Honey and Clver และ Nodame Cantabile เพราะเพิ่งรู้จักกับเขาไม่นาน ผ่านตาเพียงซีรีย์ Hungry หนังเรื่อง Hanamizuki , BECK และ Paradise kiss เรื่องนี้



ที่บอกว่าจอร์จพระเอกของเรื่องเป็นสมาชิกคนหนึ่งของ "Paradise Kiss" เพราะนี่เป็นชื่อทีมของนักเรียนออกแบบที่กำลังเตรียมการออกแบบเสื้อผ้าเพื่อร่วมแสดงแฟชั่นโชว์อันเป็นขั้นตอนการสอบสุดท้ายเพื่อจบการศึกษาวิชาดีไซเนอร์ และหลังจากเรียนจบพวกเขาตั้งใจจะทำธุรกิจขายเสื้อผ้าด้วยกันโดยใช้ชื่อนี้เป็นแบรนด์



สมาชิกในทีม Paradise Kiss ที่มีจอร์จเป็นผู้นำประกอบด้วย

อาราชิ (คาคุ เคนโตะ) มิวาโกะ (อายะ โอมาซะ) อิสเบลล่า (อิงาราชิ ชุนจิ) ผู้ที่หลงเข้าใจผิดอยู่ตลอดว่าเป็น มิอุระ โชเฮ เพราะเดิมก็รู้สึกว่าหน้าตาคล้ายกันอยู่แล้ว พอมาสวมวิกผมแต่งหน้าเข้มรับบทตัวชายหัวใจหญิง ยิ่งดูไม่ออก พอเข้าใจว่าเป็นโชเฮ ก็เข้าใจอยู่อย่างนั้นจนจบเรื่อง (เซ่อจริงจัง)



ทางฝ่ายยูคาริ ที่โรงเรียนเธอแอบชอบเพื่อนร่วมชั้นที่เป็นหนุ่มหล่อนักกีฬาหน้าตาดี ฮิโรยูกิ (ยามาโมโตะ ยูสุเกะ) ผู้มีความหลังครั้งเยาว์วัยกับความสัมพันธ์เราสามคนกับอาราชิและมิวาโกะ



ยูคาริเป็นเด็กเรียนไม่เก่ง แต่ก็ถูกเคี่ยวเข็ญให้เรียน เรียน และเรียน จนเธอสามารถผลักตัวเองมาอยู่โรงเรียนชั้นดีได้ และเตรียมตัวจะสอบเข้ามหาวิทยาลัยตามความต้องการของแม่ พวกนักเรียนออกแบบเสื้อผ้าเป็นนักเรียนสายอาชีพ ที่เตรียมจบออกไปสร้างงานทำ อันเป็นนักเรียนอีกพวกที่แตกต่างกับเธอ จะมาเข้าใจอะไรกับความกดดันที่ต้องมานะบากบั่นเพื่อจุดหมายในการสอบเข้ามหาวิทยาลัย



แต่กระนั้น การพบกันกับพวกเขา และยูคาริ ถูกขอร้องให้มาเป็นนางแบบเสื้อผ้า แต่ก็ทำให้ ยูคาริ มีทัศนคติที่เปลี่ยนไป จากที่ปฏิเสธคำขอให้เธอไปเป็นนางแบบเสื้อผ้าของเขาในตอนแรก มันเกิดเป็นแรงผลักดันที่ต้องการพยศต่อชีวิตเด็กเรียนของตัวเอง ความสัมพันธ์ของเขาและเธอจึงเริ่มต้นขึ้น



เรื่องนี้ มุคาอิ โอซามุ มีคาแร็คเตอร์ที่อาจจะร้องได้ว่า "โอ้ว พระเจ้าจอร์จ นายเว่อร์มาก" สูง หล่อ มีพรสวรรค์ แต่งตัวเก๋ ขับรถเท่ และรวย .. ส่วนคิตางาว่า เคย์โกะ สวยงามสมกับที่จะเป็น "นางแบบ" ของเรื่อง



ดูเอาความสวยของเคย์โกะเป็นใหญ่ เพราะความน่ารักถูกใจในคาแร็คเตอร์ยังไม่โดน และช่วงแรกๆ ของหนังน่าจะดัดแปลงให้เธอดูมีความแตกต่างก่อนการแปลงโฉมเป็นนางแบบสักหน่อย ตามบทเธอเป็นนักเรียนธรรมดา แต่เธอดูไม่ธรรมดาแต่แรกแล้วด้วยสีผมและรูปร่างหน้าตาที่สวยเกินเหตุ



เป็นหนังฟีลกู๊ด ที่ดูแล้วไม่เบื่อ เนื้อเรื่องก็ใช้ได้ แม้ไม่มีอะไรจับใจเป็นพิเศษ มีความโรแมนติก มี Kiss สมชื่อเรื่อง Kiss scene ที่เกือบจะดูไม่สมดุลด้วยส่วนต่างความสูงตั้ง 22 ซม. แต่งานนี้ส้นสูงช่วยได้

มุคาอิ โอซามุ ก็ได้กำไรจากริมฝีปากงามๆ ของเคย์โกะไปตามคาด
























อ้างอิงข้อมูล : Asianwiki




 

Create Date : 30 สิงหาคม 2555    
Last Update : 31 สิงหาคม 2555 13:00:40 น.
Counter : 22872 Pageviews.  

BECK (The Movie) ปุปะจังหวะฮา - หนังแนวดนตรี เท่และดีทุกอย่าง แต่ ..............



Movie: Beck Genre: Youth / Music Director: Yukihiko Tsutsumi
Writer: Harold Sakuishi (manga) Cinematographer: Satoru Karasawa
Release Date: September 4, 2010 Runtime: 145 min.

ข้อมูลและภาพบางส่วนจาก : //asianwiki.com/Beck


ที่มา : //asianwiki.com/Beck


ยังคงขอยืนยันว่าอะไรที่เกี่ยวกับดนตรีและกีฬามันเท่
BECK ก็เป็นอีกหนึ่งหนังฟอร์มวงดนตรีที่ไม่ขาดความเท่

แต่ .........


ที่มา : //asianwiki.com/Beck


เรื่องย่อ BECK

เรียบเรียงจาก //www.sisterme.net/3461 + การดูหนัง

ทานากะ ยูกิโอะ หรือชื่อเล่น โคยูกิ เด็กนักเรียนธรรมดาที่เบื่อหน่ายการใช้ชีวิตไปวันๆ ของตัวเอง จนกระทั่งวันหนึ่งที่เขาได้พบกับหมาหน้าตาประหลาดที่กำลังถูกกลุ่มจิ๊กโก๋รังแก เขาพยายามจะช่วยมัน (อย่างปวกเปียกเต็มที) นั่นจึงเป็นเหตุทำให้ได้พบกับเจ้าของหมา "มินามิ ริวสุเกะ" การได้พบกับริวสุเกะจึงเป็นการเปิดโลกของดนตรีให้โคยูกิได้รู้จักกับวงการเพลง Indies การแสดงสดที่ไลฟ์เฮ้าส์ และวง Dying Breed ซึ่งเป็นวงที่มีอิทธิพลต่อวัยรุ่นอเมริกามากที่สุด นับจากนั้นชีวิตของโคยูกิก็เริ่มเปลี่ยนแปลง เมื่อหัวใจมีรักให้กับสิ่งที่เรียกว่า "ดนตรี" ชีวิตมันก็ไม่น่าเบื่ออีกต่อไป



ริวสุเกะ (มิซึชิมะ ฮิโระ) เป็นมือกีตาร์ฝีมือขั้นเทพของวง Serial mama แต่อุดมการณ์ในงานเพลงไม่อาจไปด้วยกันได้กับเอย์จิเพื่อนร่วมวงที่เป็นนักร้องนำ พวกเขาจึงยุบวง แม้จะแยกทางกันไป แต่ทั้งเอย์จิและริวสุเกะต่างมีจุดหมายเดียวกันคือจะสร้างวงดนตรีทียอดเยี่ยมที่สุดเท่าที่เคยมีมา



สำหรับริวสุเกะมันไม่ใช่แค่ความฝันอย่างเดียว แต่มันคือ "คำสัญญา" กับใครคนหนึ่ง คำสัญญาที่ให้ไว้ต่อหน้ากับกีตาร์ปรุรู-รอยลูกปืน ไม่ว่าอย่างไรเขาจะต้องทำตามคำสัญญาให้ได้

แต่การจะเป็นวงที่ยอดเยี่ยมนั้น มันต้องมีสมาชิกร่วมวงที่รวมตัวกันแล้วยอดเยี่ยม แต่ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายจะได้มา เพราะของอย่างนี้มันต้องลงทุนลงแรง

เรื่องราวของ BECK จึงเริ่มต้นขึ้น



ไทระ โยชิยูกิ (มุคาอิ โอซามุ) มือเบสมาดเท่ ฝีมือเล่นเบสของเขานั้นเก่งกาจหาตัวจับยาก เอย์จิอดีตเพื่อนร่วมวงของริวสุเกะก็ต้องการตัวไทระไปร่วมวงเช่นกัน เมื่อคนเค้ามีฝีมือก็ต้องมีแย่งชิงกันสักหน่อย



จิบะ ซึเนมิ (คิริตานิ เคนตะ ) นักร้องเพลงแรฟหัวอัฟโฟรตัวเจ้าปัญหา (เยอะเลยล่ะ ตานี่น่ะ) แต่เขาเป็นคนเฮฮา พูดจาโผงผาง มีอารมณ์ขันที่สร้างบรรยากาศครื้นเครง และบุคลิกของเขานั้นจะดึงดูดผู้คนให้หันมาสนใจได้



ซากุราอิ ยูจิ (นากามูระ อาโออิ ) เพื่อนร่วมชั้นของโคยูกิที่เพิ่งย้ายโรงเรียนมาใหม่ และมีดนตรีเป็นเหตุให้ต้องชะตา-คบหาดูใจ ซากุจึงมีโอกาสได้รู้จักกับริวสุเกะด้วย นั่งฟังเขาเล่นดนตรีมือเคาะจังหวะอยู่ไปมาใครจะไปรู้ว่านั่นคือฝีมือธรรมชาติของมือกลองที่รอแค่ใครสักคนสังเกตุเห็น

แล้วยังมีอีกหนึ่งพรสวรรค์ดั่งเทพประทานที่แอบซ่อน รอการค้นพบ




โคยูกิ
(ซาโต้ ทาเครุ) มือใหม่หัดดีดที่ริวสุเกะยกกีตาร์ตัวเก่าให้มา ความที่อยากจะเล่นดนตรีเป็น เขาจึงฝึกฝนการเล่นกีตาร์อย่างหนัก ความมุมานะอันน่าทึ่งที่ไม่มีใครรู้มาเลยก่อนแม้กระทั่งตัวโคยูกิเองว่านอกจากพรแสวงในเครื่องดนตรีแล้ว เขายังมีพรสวรรค์ในเสียงร้องเพลงราวกับเป็น "เสียงเทพ" สามารถสะกดผู้คนให้เหลียวฟังและตกอยู่ในห้วงภวังค์ของความอิน มีคำสรุปง่ายๆ อ่านจากไหนมาไม่รู้ เขียนถึงคุณสมบัติของโคยูกิไว้ดังนี้ "นักร้องเสียงเทวดา นักกีตาร์ผู้พากเพียร" นั่นแหละใช่เลย



และ นางเอก

มินามิ มาโฮะ (คุสึนะ ชิโอริ) น้องสาวของริวสุเกะ ที่หลังจากได้รู้จักกันกับโคยูกิแล้ว ดนตรีและเสียงเพลงก็เป็นแรงดึงดูดความสนใจจนมีใจให้กัน

BECK ในฉบับการ์ตูนหรือแอนิเมะ โคยูกิเป็นพระเอกของเรื่อง แต่ตามที่ดูจากหนังผ่านสายตา เรื่องนี้พระเอกคือ ริวสุเกะ


ที่มา : //asianwiki.com/Beck


ความคิดเห็นจากมุมมองของคนไม่เคยอ่านการ์ตูนและดูแอนิเมะแค่นิดหน่อย

ขอบอกว่าความดีของหนังเรื่องนี้มีอยู่เยอะ


ที่มา : //asianwiki.com/Beck


เนื้อเรื่องสนุกดี แอนิเมะน่าจะดูสัก 7-8 ตอนได้ ดูไม่จบไม่ใช่เพราะไม่ชอบ แต่เพราะชอบถึงหยุดดูเพราะคิดว่าเนื้อเรื่องสนุกดี จึงอยากดูเวอร์ชั่นคนแสดงมากกว่า ถ้าดูแอนิเมะรู้เนื้อเรื่องแล้ว ตอนไปดูหนังกลัวไม่อินเต็มที่ เพราะกะอุทิศทั้งใจให้พระเอกคนโปรดอย่าง ซาโต้ ทาเครุ



แคสติ้งเพอร์เฟ็คต์ ทั้งหน้าตาทั้งคาแร็คเตอร์ของแต่ละคน ถือว่าใกล้เคียงกับแอนิเมะเลยนะ ยกเว้นนางเอกที่ในแอนิเมะจะเป็นน้องสาวต่างแม่ของริวสุเกะ ตัวสูง หน้าตามีเค้าทางฝรั่งผิวคล้ำนิดๆ



นักแสดงที่จัดมาถือได้ว่าเป็นการรวมดาราเด่นๆ ระดับพระเอกทั้งซาโต้ ทาเครุ หนุ่มหล่อคิ้วโก่ง-ฮิโระ มุคาอิก็กำลังขายดีมีผลงานอย่างต่อเนื่อง อาโออิก็พระเอกเหมือนกันนา ส่วนเคนตะ ถึงไม่ใช่พระเอก แต่ก็ แต่ไหนแต่ไรมาแล้วที่ชอบเคนตะมากกกก!!! เรื่องนี้ฮีมากับหัวอัพโฟรเข้ากั๊นเข้ากันกับหน้าตา เป็นตัวเฮฮา (แต่ไม่ไร้สาระ) ของเรื่อง แล้วก็มีจังหวะดราม่ากับเขาด้วย



ถ้าให้ระบุการชื่นชม

สีหน้าแววตาสื่ออารมณ์ความรู้สึก รื่นไหลเป็นธรรมชาติที่สุด - ซาโต้ ทาเครุ

เนียนเหมือนนักดนตรีจริงๆ มากที่สุด - มิซึชิมะ ฮิโระ

คาแร็คเตอร์เท่ที่สุด-มุคาอิ โอซามุ

เป็นสีสันความสนุกมากที่สุด-คิริตานิ เคนตะ


ที่มา : //asianwiki.com/Beck


เรื่องความเท่ ความจริงทั้งสามคนที่อยู่บทบาทนักดนตรีในวัยที่โตกว่า คือ ริวสุเกะ ไทระ และจิบะ ต่างก็เท่ทุกคนในภาพลักษณ์นักร้องนักดนตรีแม้จะมีนิสัยกันคนละแบบ ริวสุเกะใจร้อนเอาจริงเอาจัง จิบะโผงผางเฮฮา ส่วนไทระสุขุมเป็นผู้ใหญ่ แต่มันมีฉากหนึ่งที่ริวสุเกะผู้จริงจังได้พูดออกมาและรู้สึกว่า โห .. แรง คนฟังอาจช็อคในความรู้สึก คิดอยู่ว่า..น่ามีใครต่อยปากสักที แล้วมือเบสไทระคนใจเย็นกว่าใครก็ต่อยกำปั้นเข้าใส่โครม โอ้ว ได้ดั่งใจมาก นั่นก็เลยเป็นฉากที่ทำให้ไทระ เฉือนเอาตำแหน่งเท่ที่สุดไปครองทันที


ที่มา : //asianwiki.com/Beck



เพลง มันดีแค่ไหนก็ไม่รู้หรอก รู้แต่ว่าตอนนี้ก็โหลดของเขามาครบทุกเพลงแล้วล่ะ 555 ไม่ว่าจะเป็นพลงประกอบหนัง เพลงประกอบแอนิเมะที่มีมากถึงกับรวมออกมาเป็นอัลบั้มเพลง BECK ได้เลย ได้ยินคนร่ำลือเกี่ยวกับความดีเด่นของ BECK ในเรื่องการใช้เพลงประกอบอยู่เหมือนกัน ซึ่งฟังแล้วก็คงสมราคาคุย เพราะเพลง Evolution มันส์สะใจดี แต่ก็ยังอุตส่าห์ชอบเพลง Hit in the USA ได้มากกว่า ถ้าเพลงช้าต้อง Moon on the water , Slip out และ Don't look back in anger แต่ถ้าเป็นจังหวะกลางๆ ฟังอบอุ่น ต้อง follow me ที่ชอบมาก


ที่มา : //asianwiki.com/Beck


การแสดงสดที่ไลฟ์เฮ้าส์ และ คอนเสิร์ต ทำได้ดีมีอารมณ์ร่วม ถ้าว่ากันด้วยเรื่องแอคติ้งกับเครื่องดนตรีคิดว่าฮิโระทำได้ดีมาก ดู "เป็น" กับเครื่องดนตรีกว่าใคร มุคาอิก็ใช้ได้ ฉากสะบัดมือรัวเบสบนเวทีคอนเสิร์ต-เท่สุดๆ ไปเลย ซาโต้กับอาโออิไม่เด่นเท่าไหร่ในแง่แสดงฝีมือกับเครื่องดนตรี แต่ก็ลงตัวพอดีกับการเป็นมือใหม่



ส่วนเคนตะที่รับบทนักร้องของวง "จิบะ" ขอบอกว่าเหนือความคาดหมาย เก่งมากๆ กับการแสดงเป็นนักร้อง ทั้งร้องแร็พที่มาดให้ และร้องร็อคที่แสดงคอนเสิร์ตได้มันส์มาก สลัดคราบตัวตลกแสนบื้ออย่างในซีรีย์ Ryusei no kizuna หรือ Rookies ไปหมดเลย ทั้งที่เรื่องนี้เขาก็ยังตลกอยู่ แต่มันได้ความเท่มาช่วยเสริม บวกกับอารมณ์วิตกเพราะความไม่มั่นใจกับสถานะในวงของตัวเอง (ก็มีคนเสียงเทวดาอยู่ร่วมทั้งคน) ทำให้ชอบบทของเคนตะมาก น่ารักที่สุด เรื่องนี้จำเป็นต้องขอปันใจจากซาโต้อย่างเปิดเผย



BECK เป็นหนังฟอร์มวงที่มีเครื่องดนตรี มีนักดนตรีที่แสดงโดยดาราหนุ่มๆ มีเสียงเพลง มีคอนเสิร์ต มีเนื้อหาการฟันฝ่าสู้เพื่อฝัน และมีมิตรภาพที่ไม่ค่อยขาดหายในหนังญี่ปุ่น แทบไม่มีอะไรจะว่า BECK ได้ เพราะก็เป็นคนชอบหนังแนวนี้และอินง่ายอยู่แล้ว



ซาโต้ ทาเครุ ถึงจะโตเป็นหนุ่มขึ้นมากแต่ก็ยังเล่นบทเด็กมัธยมได้สมวัย เพราะก็มีหุ่นผอมบางบวกกับทรงผมปรกหน้าผากที่ช่วยแบ๊วได้เยอะ บทของซาโต้แม้จะหันมาเล่นดนตรีแล้วก็ไม่ได้เปลี่ยนบุคลิกไปเป็นนักดนตรีสุดเท่ ยังคงดูเป็นเด็กๆ หน้าตาตื่นคน ตื่นเวทีอยู่เหมือนเดิม



ดังนั้น หนังเรื่องนี้มันไม่ควรจะมีปัญหาอะไรเลย มันโอเคแล้วทุกอย่าง

แต่....

ยกเว้นอย่างเดียว ซึ่งเป็นอย่างเดียวที่ทำลายความรู้สึกเกี่ยวกับหนังไปเยอะอย่างน่าใจหาย นั่นก็คือเรื่องของ "เสียงในจินตนาการ"

ไม่มีเสียงร้องเทวดาของโคยูกิในเรื่องนี้ ทั้งหมด ขอย้ำว่า "ทั้งหมด" ที่ซาโต้ร้องเพลง

ไม่มีการปล่อยเสียงเพลงออกมาให้ได้ยิน



คงไม่ใช่เรื่องของความห่วยในเสียงร้องเพลง เพราะถ้าห่วยขนาดนั้น คงไม่ไปแคสเอาซาโต้มาเล่นในหนังที่ต้องร้องเพลง และซาโต้เองก็คงไม่รับเล่นถ้าหากร้องเพลงไม่ได้เรื่องใช่ไหมล่ะ จึงเข้าใจว่านั่นอาจเป็นความมุ่งหมายที่จะสื่อถึงเสียงเทวดาของโคยูกิในในแบบที่ให้คนดูจินตนาการเอาเอง



ร้องเพลงให้ฟังด้วยเสียงในจินตนาการ ??

ถึงกับอึ้ง อึ้งมาก

เพราะไม่ได้คิดว่าจะมีอะไรแบบนี้ ..ไม่อาจจะจินตนาการไปถึง

มองโลกในแง่ดี แบบ positive thinking กันดีกว่า

เขาคงทำแบบนี้แค่ครั้งแรกเพื่อเรียกร้องความสนใจ



และถ้ายังไม่ปล่อยเสียงร้องอีกครั้ง ?

หรือเค้าจะทำแบบหนังเรื่อง Bandage นะ ที่ปล่อยเนื้อร้องแค่ท่อนเดียวก่อน
ท่อนเดียวซ้ำๆ แล้วก็จัดเต็มในช่วงจังหวะถูกที่ถูกเวลา ถูกเนื้อหาจนได้ใจผู้ชม (คนนี้)

เมื่อไม่มี และเริ่มจะทำใจได้ แต่ลึกๆ ก็ยังแอบหวัง

กับเพลงเรียกคนในคอนเสิร์ตที่ต้องตัดสินชี้ชะตาสำคัญ

เสียง ... ใบ้อีก ?



หลายคนไม่ติดใจอะไรเกี่ยวกับเสียงในจินตนาการ เพราะเข้าใจว่ามันอาจจะยากที่จะหาเสียงไพเราะใดมาแสดงว่าเป็นเสียงเทพ ดังนั้นก็จงจิ้นกันเองเองเถอะว่าเสียงเทพนั้นมันเป็นอย่างไร เหมือนคนที่อ่านการ์ตูนเรื่องนี้ไง ที่ก็จินตนาการจนรู้สึกไปได้ว่าโคยูกิเสียงเพราะ ทั้งที่การ์ตูนมันเป็นหน้ากระดาษ-ไม่มีเสียงใดๆ ให้ฟัง


ที่มา : //asianwiki.com/Beck


แต่นั่นมันเรื่องของการ์ตูน เมื่อมันกลายเป็นหนัง โดยส่วนตัวกลับคิดตรงกันข้าม เพราะแม้แต่เสียงของโคยูกิในแอนนิเมะ ก็ไม่ใช่เสียงที่จะเลิศเลอจนหาไม่ได้เหนือนักร้องทั่วไปอื่น เป็นเสียงติดแหบเล็กๆ เสียด้วยซ้ำไป แต่ด้วยทุกอย่างมันบิ๊วอยู่แล้ว เพลงก็ดี อารมณ์ก็ได้ เวลาที่ร้องออกมา จะรู้สึกไปด้วยว่าเสียงเพลงมันเพราะและมีเสน่ห์ ความจริงเสียงซาโต้ก็ไม่น่าจะแย่จนบิ๊วไม่ได้ เพราะฉะนั้นจึงคิดว่าคงเป็นเรื่องของความตั้งใจที่จะให้เป็นเสียงในจินตนาการเอาเองมากกว่า ซึ่งเป็นจุดเดียวของหนังที่ไม่ชอบเอามากๆ และคงมีคนที่รู้สึกเหมือนกัน จึงมีพบความเห็นด่าเป็นภาษาเสียงลมเช่น S*** & F*** ด้วยความขัดใจยิ่ง แต่ก็ยังไม่ลืมที่จะชมข้อดีอื่นๆ ของหนัง เพราะมันก็มีดีอยู่จริง


ที่มา : //asianwiki.com/Beck



แต่ก็ยังคงมีความหวัง (ได้อีก) ดูอย่างหนังเรื่อง Shindo มีแต่เสียงเปียโนตลอดเรื่อง ยังปล่อยเสียงร้องตอนช่วงเครดิตปิดหนัง Tokyo Sonata ตั้งชื่อหนังเหมือนเกี่ยวกับเพลง แต่บรรเลงเพลงเต็มๆ ก็ฉากสุดท้าย BECK จึงอาจจะรอจังหวะอะไรอยู่ในการปลดปล่อยเสียงเพลงของโคยูกิเพื่อความพีค

หลังจากจิบะได้จัดเต็มกับเพลง Evolution ได้มันส์เต็มเหนี่ยวแล้ว

นี่อาจจะถึงเวลาปลดปล่อยเสียงสวรรค์ของโคยูกิเสียที แต่ ..เหมือนเดิม

ภาพความทรงจำที่ต่อสู้ฟันฝ่า ผ่านรอยยิ้ม เสียงหัวเราะ ผ่านความเป็นความตาย มันไม่อินเท่าไหร่เลย เมื่อมีแค่ทำนองดนตรีประกอบโดยปราศจากเสียงร้องเพลง



เพลงที่ไม่ได้ยินเสียงร้อง มันก็เหมือนเพลงที่ไม่ได้สัมผัสถึงอารมณ์ เหมือนความรู้สึกจะเต็มได้ แต่ก็ยังไม่เต็มอยู่ดี เพราะมันพร่องอารมณ์ของเพลงที่ควรจะได้อินกับหนังอยู่แล้วเต็มที่ แต่พอขาดเสียงร้องมันก็เลยยังบิ๊วให้เกิดความซาบซึ้งได้ไม่พอ



ขอว่าตามตรงตามความรู้สึกเลยนะ ถ้าหนังเรื่องนี้ไม่มีฉากร้องเพลงที่จิบะคอยจัดให้ และช่วงท้ายที่จัดเต็มให้ BECK ได้เล่นดนตรีสุดเหวี่ยง มันก็จะไม่ค่อยมีอะไรน่าจดจำในความเป็น BECK วงดนตรีที่จะดึงดูดผู้คนมาสร้างตำนาน สานฝันสู่การเป็นวงดนตรีทียอดเยี่ยม สร้างบทเพลงอย่างที่มีคำพูดหรูๆ ของตัวละครหนึ่งได้พูดไว้ด้วยความมั่นใจว่า BECK ทำได้ "เพลงที่จะเรียกสติและเปลี่ยนสำนึกผู้คน" ซึ่งต้องถือว่าบทบาทร้องเพลงของจิบะก็ช่วยได้มากจริงๆ



ขัดใจแค่ภาพของซาโต้ที่ร้องเพลงแบบไม่มีเสียง
เพราะทำให้เกิดความรู้สึกอัดอั้นมากขึ้นทุกครั้งที่เห็น
ยิ่งผิดหวัง ยิ่งคาดหวัง คงจะมีสักครั้งที่ปล่อยเสียงร้องเพลง

แต่ สุดท้ายก็ยังคงผิดหวัง..(แทบน้ำตาคลอ)

อพิโธ่ โถ ..ถัง.. ซาโต้ของฉัน อุตส่าห์ได้เล่นหนังร้องเพลงกับเขาทั้งที
ดันเป็นหนังแนวดนตรีที่ไม่มีปล่อยเสียงร้องให้ฟัง ซะงั้น

แต่ก็ชอบอยู่นะ เพราะนี่เป็นหนังที่ดูสุขใจ ก็แค่ดูแล้วมันไม่อิ่มเท่านั้นเอง
















ที่มา : //asianwiki.com/Beck








 

Create Date : 29 สิงหาคม 2555    
Last Update : 29 สิงหาคม 2555 21:39:13 น.
Counter : 15570 Pageviews.  

Mushishi กีฏจารย์กับอาถรรพ์แมลงพิศดาร -:- โอดากิริ โจ , อาโออิ ยู -:-



Credit :
//asianwiki.com
//www.imdb.com/title/tt0862946

Director: Katsuhiro Otomo , Sato Hideaki (Assist.)
Writer: Sadayuki Murai, Yuki Urushibara (Manga)
Release date : March 24, 2007 Runtime : 131 min.

2007 Catalonian International Film Festival :
Best Original Soundtrack
Best Special Effects
(Nominated : Best Film)




Mushishi (Bugmaster) กีฏจารย์กับอาถรรพ์แมลงพิศดาร

แค่ชื่อเรื่องก็มึนละ "กีฏจารย์" ? อะไร ?

แต่ถ้าเป็น โจ โอดากิริ หนังจะแปลกแหวกแนวแค่ไหน รับได้ทุกอย่าง

หนังเรื่องนี้อาการหนักกว่าแปลก คือประหลาดมาก แต่มันเป็นความประหลาดที่ไม่ผิด เพราะนี่คือหนังแฟนตาซี ที่มีสเปเชียลเอฟเฟคต์สวยๆ เป็นคนชอบแนวแฟนตาซีอยู่แล้ว และหนังเรื่องนี้ถือว่าในเรื่องของภาพ สวยงามถูกใจมาก



เรื่องราวของชายคนหนึ่งที่ชื่อ "กิงโคะ" (โอดากิริ โจ) เขามีผมสีขาว ตาบอดข้างซ้าย ชอบดูดไปป์ มีกระเป๋าใบใหญ่เป็นลิ้นชักข้างในแบกติดหลัง เขาเป็น "กีฏจารย์" หรือ ผู้เชี่ยวชาญเรื่องแมลง ที่ออกเดินทางช่วยเหลือชาวบ้านที่ถูกแมลงพิศดารต่างๆ ทำร้าย และระหว่างเดินทางเขาได้พบกับชายพเนจรคนหนึ่งชื่อ "นิจิโระ" (โอโมริ นาโอะ) ผู้แบกโอ่งติดหลังมาด้วยหนึ่งใบ โอ่งที่เตรียมไว้สำหรับใส่สายรุ้งที่เขาออกตามหามากว่า 5 ปี ????

ขอย้ำอีกครั้ง นี่คือหนังแฟนตาซี ที่เนื้อเรื่องมันอยู่เหนือจินตนาการ จึงไม่ต้องการเหตุผลใดๆ




กิงโคะ ได้รับจดหมายฉบับหนึ่งจาก "ท่านทามะ" (Reisen Ri ) ที่ขอให้เขาเดินทางไปพบอย่างเร่งด่วน กิงโคะกับนิจิโระ จึงเป็นเพื่อนร่วมเดินทางไปด้วยกัน



ท่านทามะ ตามกิงโคะมาพบ เพื่อช่วยรักษา "ท่านหญิงทังยุ" (อาโออิ ยู) ผู้กำลังป่วยหนักจากพิษของภูติแมลง

ตระกูลทังยุเป็นตระกูลต้องคำสาปที่ทายาทจะมีพลังแมลงภูติพิศดารติดตัวมาแต่กำเนิด หรือว่ากันง่ายๆ คือโดนแมลงภูติสิงสู่อยู่ในร่างกายนับจากสมัยบรรพบุรุษ คนในตระกูลทังยุจะใช้พลังภูติในตัวบันทึกเรื่องราวของแมลงภูติพิศดารมามาย ซึ่งเป็นวิธีในการปิดผนึกภูติแมลงปิศาจเอาไว้



แต่นับจากท่านหญิงทังยุ ได้พบกับกีฏจารย์แปลกหน้าคนหนึ่ง ผู้เดินทางผ่านมาพร้อมกับชายเป็นใบ้ หลังจากวันนั้น ท่านหญิงก็ล้มป่วยลง ภูติแมลงที่กัดกินร่างกายอยู่เริ่มลุกลามไปทั่วร่าง

เพื่อจะช่วยท่านหญิงทังยุ กิงโคะได้พบกับความเร้นลับต่างๆ ของภูติแมลงซึ่งได้นำเขาไปสู่การผจญภัยที่พัวพันกับอดีตอันหลอกหลอนของตัวเอง
.......



ไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่า ครั้งหนึ่งน้องหนู อาโออิ ยู เคยเป็นนางเอกให้พี่โจเขา (แถมได้ขี่หลังด้วย.. น่ารัก) หนังไม่ได้แสดงอะไรในแง่ความรักมากหรอกนะคะ แต่ก็สื่อให้รู้ถึงการรู้จักคุ้นเคยระหว่างกีฏจารย์นักเดินทางกับท่านหญิงพลังภูติ ให้รู้สึกถึงความพิเศษ และอาศัยจินตนาการเอาเองอีกนิดหน่อย (อิอิ ขอนิดนึง)



เปิดเรื่องด้วยบรรยากาศอันชวนวิเวกด้วยขุนเขาสงบนิ่ง นกบินผ่าน ม่านหมอกขาวโพลนที่พลิ้วไหว เสียงหวีดหวิวแปลกๆ ที่ชวนวังเวง และโดยรวมหนังค่อนข้างเงียบ มีบรรยากาศของความมืด แสง เงา และสิ่งมีชีวิตบางอย่างที่งอก แตกยอด ขยายปลาย เลื้อย และคุกคาม

มันก็ไม่ได้น่ากลัวนัก แต่มันหลอน

เพราะคาดเดาอะไรไม่ได้ เมื่อถึงจังหวะลุ้นๆ หนังจึงตื่นเต้นดี แต่ด้วยหนังค่อนข้างเงียบ ถ้าใครมีเชื้อง่วงอยู่ในตัว อาจถึงขั้นผลอยหลับได้



หนังสร้างมาจากหนังสือการ์ตูนและเห็นว่ามีแอนิเมชั่นด้วย น่าดูจังนะคะ เชื่อว่าภาพของแอนิเมชั่นยิ่งจะสามารถเนรมิตได้สวยงาม และคงจะมีแมลงพิศดารมากมายชนิดมากกว่าเพราะได้ยินว่าการ์ตูนเป็นการจบในตอนของแมลงแต่ละชนิดที่่ทำพิษให้พระเอกได้ช่วยรักษาผู้คน (อ่านข้อมูลแล้วเข้าใจว่างั้นน่ะนะ) ฉบับการ์ตูนดูลายเส้นเห็นแล้วน่าอ่านด้วย เป็นลายเส้นสวยแบบที่ตัวเองชอบ ดูแล้วน่าจะอ่านสนุกอยู่เหมือนกัน แต่ที่เห็นในหนังก็ชอบในไอเดียบรรเจิดของคนเขียนเรื่องนะคะ "แมลงภูติ" ก็มี "ตัวเกิด" "ตัวดับ" ตัวหนึ่งกัดกินสรรพเสียงจากผู้คน อีกตัวทำให้ผู้คนได้ยินสรรพเสียงที่ไม่ต้องการ หลอกหลอนด้วยเสียงแห่งความทรงจำ นับถือจินตนาการของคนเขียนเรื่องมากๆ (อ.อุรุชิบาระ ยูคิ) ในแง่ของสรรพสัตว์ตัวเล็กๆ ที่เรียกว่า "แมลง" ถ้าเป็นการ์ตูนคิดว่าอาจจะมีรายละเอียดที่ให้ความหมายเชิงคิดได้มากกว่านี้ ที่คิดอะไรไม่ได้เลยนอกจากดูเอาเพลิน หนังช่วงต้นจะตัดฉากสลับกันไปมาระหว่างเรื่องเดินทางของพระเอกกับอดีตเยาว์วัยที่ค่อยๆ แง้มเรื่องราว



เรื่องนี้ชอบคำเพราะๆ ที่ใช้พูดถึงสิ่งต่างๆ เช่น อักษรภูติ เงามืดที่ดับสูญ สายธารแห่งชีวิตภูติ มีร่างดั่งเงามายา ร่างแสงสีเงินทีกัดกินเงามืด ฯลฯ

สิ่งที่ชอบมากในหนังเรื่องนี้คือ สเปเชียลเอฟเฟ็กต์ที่ดูสวยงาม มีทั้งแบบนุ่มนวลชวนหลอน และแบบหนักแน่นของแรงอาถรรพ์ ชอบฉากควันภูติสีดำที่มีทั้งกรุ่นๆ บางเบาให้หวั่นๆ แล้วก็มีพรั่งพรูดำหนาทึบแลดูตื่นเต้นและน่ากลัว ความเร้นลับของเรื่องราวมันน่าติดตามค้นหา แต่ปัญหาคือ..ฉันไม่ค่อยเข้าใจ ไม่ต้องคิดเรื่องคาดเดา แค่คิดตามให้เข้าใจทันหนังก็เก่งแล้วล่ะเรา

เรื่องนี้โจหล่อมากเลยกับผมสีขาว เป็นบทที่ดูสบายกว่าเรื่องอื่นๆ นะ ไม่ค่อยได้ใช้อารมณ์มาก ความจริงมีหนังของโจที่ยังไม่ได้ดูติดบ้านอยู่ 2 เรื่อง แต่เลือกเรื่องนี้ เพราะเรื่องนั้น เนื้อเรื่องค่อนข้างแรง เลยขอเก็บไว้ก่อน

หนูอาโออิ ยู ก็ทั้งสวยทั้งน่ารัก ชอบฉากผนึกอักษรภูติช่วยพระเอกมากเลย ท่านหญิงทังยุเธอเท่มาก





























ขอแปะภาพสุดสวยยูและสุดหล่อโจจาก AsianWiki





และขอปิดภาพน่ารักๆ และรอยยิ้มหวานๆ ของอาโออิ ยู











..............................................




 

Create Date : 26 สิงหาคม 2555    
Last Update : 28 สิงหาคม 2555 7:50:27 น.
Counter : 6117 Pageviews.  

Dear Doctor คุณหมอที่รัก


Movie: Dear Doctor
Genre: Drama
Director: Miwa Nishikawa
Writer: Miwa Nishikawa
Release Date: June 27, 2009
Runtime: 127 min.




อยากสั่งซื้อหนังล็อตใหม่ (ซื้อกันเป็นล็อตเลยทีเดียว)
แต่ถ้าของเก่ายังดูไม่หมดเป็นตั้ง จะซื้อใหม่ก็รู้สึกผิดน่ะสิ
หนังของเอย์ตะมีอยู่ 5 เรื่อง เหลือเรื่องนี้เรื่องสุดท้ายละ
หมดแล้วจะได้ไปหามาตุนใหม่ พร้อมกับหนังอีกหลายเรื่อง
ของนักแสดงอีกหลายคนที่อยากดู



เรื่องย่อ Dear Doctor

เคย์สุเกะ โซมะ (Eita) นักศึกษาแพทย์ผู้ได้รับมอบหมายมาเป็นแพทย์ฝึกหัด ณ เมืองชนบทเล็กๆ แห่งหนึ่งที่ห่างไกล ที่นั่น เขาได้พบกับแพทย์ประจำเมืองเพียงคนเดียวที่ชื่อว่า คุณหมออิโนะ (Shofukutei Tsurube) หมอผู้เป็นที่รักของชาวเมือง ขยันขันแข็ง ทำงานเกือบจะตลอด 24 ชั่วโมง มีความรอบรู้เกือบทุกสิ่งที่เกี่ยวกับโรคของชาวบ้านและครอบครัวของพวกเขา



เนื่องจากเป็นเมืองเล็กๆ ที่มีประชากรส่วนใหญ่เป็นคนสูงวัย บางคนจึงเปรียบว่าเมืองนี้เป็นแหล่งบ้านพักคนชรา บ้านของพวกคนแก่ที่โดยนิสัยไม่ชอบหาหมอ หมอจึงต้องออกไปหาคนแก่เพื่อตรวจรักษาดูแลสุขภาพให้ดีกันเอาไว้ก่อน เพราะหากมีใครเจ็บป่วยหนักกระทันหันขึ้นมา จากที่นั่น ต้องใช้เวลาเดินทางด้วยรถยนตร์กว่า 2 ชั่วโมง จึงจะพาคนป่วยไปถึงโรงพยาบาลในตัวเมืองที่มีเครื่องมือพร้อมได้



เมื่อหมอเคย์สุเกะมาเป็นแพทย์ฝึกหัดผู้ช่วย เขาจึงได้ติดตามหมออิโนะไปดูแลรักษาผู้ป่วยตามบ้านเรือน ทำให้เขาได้เรียนรู้หลายสิ่งที่ไม่เคยได้รู้มาก่อนในมหาวิทยาลัยแพทย์



คุณหมอเคย์สุเกะต้องมาใช้ชีวิตดั่งหมออาสาสมัครในชนบท ดึกดื่นค่อนคืนยังต้องถูกตามไปบ้านโน้นบ้านนี้ที่มีคนป่วย ซึ่งหากดูจากรถที่ขับและสถานะของพ่อที่ถูกเอ่ยถึง คุณหมอก็คงเป็นลูกคุณหนูร่ำรวยไม่น้อย ทว่าเมื่อครั้งขับรถผ่านทุ่งนาเข้ามาในหมู่บ้านครั้งแรก เขาก็ไม่ได้มีท่าทีหรือแสดงทัศนคติที่แย่ แต่พร้อมเปิดใจต่อการเป็นหมอของชาวบ้านในชนบท อย่างไม่มีปริปากบ่น แถมยังตั้งอกตั้งใจเรียนรู้เพื่อจะเป็นหมอที่ดี



การพบกับคุณหมออิโนะ ผู้ถูกห้อมล้อมไปด้วยชาวบ้านที่เปี่ยมไปด้วยความนิยมชมชอบ และได้เผื่อแผ่มิตรไมตรีเหล่านั้นมายังคุณหมอหนุ่มคนใหม่ให้ได้รับการต้อนรับเป็นอย่างดี ช่วงเวลาที่อยู่ที่นั่นทำให้เคย์สุเกะมีความรู้สึกดีๆ ต่อการเป็นหมอในชนบท และเขาหวังว่าหลังเสร็จสิ้นการฝึกงานเขาจะกลับมาเป็นหมอประจำอยู่ที่เมืองเล็กๆ แห่งนี้



แต่ว่า ก็เริ่มมีบางสิ่งน่าเคลือบแคลง
หมออิโนะที่ใครๆ ต่างชื่นชมนับถือ
แท้จริงเขาเป็นใคร และเป็นคนอย่างไรกันแน่

ความลับบางอย่าง ... ที่ไม่มีใครรู้

แต่ความลับ ไม่มีอยู่ในโลก

อะไรที่เคยลับ จะไม่ลับอยู่ตลอดไป

เพราะใครบางคนก็มีหน้าที่ต้องเปิดโปง

หมอเคย์สุเกะกับชาวบ้าน
จำเป็นต้องรับรู้ในสิ่งใหม่ เกี่ยวกับหมออิโนะ
ที่อาจไม่ได้เป็น อย่างที่พวกเขาเคยศรัทธา



เขียนบทและกำกับโดย นิชิกาว่า มิวะ ( Nishikawa Miwa )
ผลงานคุณภาพก่อนหน้าคือหนังเรื่อง Sway (Yureru) (2006)
ที่เธอเขียนบทและกำกับเองด้วยเหมือนกัน
เป็นหนังคุณภาพที่กวาดรางวัลไปครองเพียบ

เมื่อ Dear Doctor เป็นผลงานกำกับและเขียนบทคนเดียวกันกับ Sway
นั่นอาจเป็นเหตุผลที่ทำให้หนังมีสไตล์ของ "เงื่อนงำ" ที่คล้ายคลึงกัน

สไตล์..ทำให้สงสัย แล้วก็ปล่อยให้ คิดเอาเอง



ซึ่งมันก็ได้ผล เพราะ Dear Doctor ล่ารางวัลมาได้ล้นหลาม
เหนือกว่า Sway ที่กวาดเก็บ 8 รางวัล จาก 4 สถาบัน
และเป็นเกียรติเข้าร่วม 5 เทศกาลภาพยนตร์ในปี 2006-2007

มาดูรางวัลของ Dear Doctor บ้าง จาก 4 สถาบันเดียวกัน
ได้รับ 12 รางวัล กับเข้าร่วม 5 เทศกาลภาพยนตร์ เยอะจัด

Award
2009 (34th) Hochi Film Awards
"Best Director" Miwa Nishikawa
"Best Supporting Actor" Eita
"Best Supporting Actress" Kaoru Yachigusa

2009 (22nd) Nikkan Sports Film Awards
"Best Picture"
"Best Director" Miwa Nishikawa
"Best Actor" Tsurube Shofukutei
"Best Supporting Actress" Kimiko Yo

2009 (52nd) Blue Ribbon Awards "Best Director" Miwa Nishikawa
"Best Actor" Tsurube Shofukutei
"Best Supporting Actress" Kaoru Yachigusa

2010 (33rd) Japan Academy Prize
"Screenplay of the Year" Miwa Nishikawa
"Outstanding Performance by an Actress in a Supporting Role" Kimiko Yo

Film Festivals
2009 (14th) Pusan International Film Festival "A Window on Asian Cinema"
2010 (10th) Nippon Connection "Nippon Cinema *European Premiere"
2010 (9th) New York Asian Film Festival "New York Premiere"
2010 (54th) BFI London Film Festival " World Cinema"
2010 (14th) Toronto Reel Asian International Film Festival



เอารางวัลมาโชว์พาว สำหรับคนที่ชอบการการันตี
หรือถ้าไม่ รางวัลมากๆ อย่างนี้ก็อาจช่วยดึงดูดความสนใจ
เพราะมันน่าสนใช่ไหมล่ะ ว่าเหตุใดหนอ กรรมการถึงชอบกันจัง

เนื่องจากไม่เคยอ่านข้อมูลหนังมาก่อน นอกจากอ่านพลอต
เพราะแค่มีเอย์ตะอยู่ในหนังคนนึง แล้วฉันก็ไม่ต้องการสิ่งใด
ดูหนังจบมาเห็นรางวัลเหล่านี้ ก็อึ้งรับประทาน

เพราะไม่ได้รู้สึกว่าหนังมันมีพลังมากพอจะได้รางวัลเยอะ

และถ้าเปรียบกับหนังเรื่อง Sway
ความอิน ความกินใจ ไม่อาจเทียมเท่า



อาจเป็นเพราะหนัง ทำให้ต้องคิดเองมากเกินไป
ดูจบแล้ว ยังไม่เคลียร์เลยว่า
ตกลง..หมออิโนะเป็นคนแบบไหนกัน

หมอเคย์สุเกะ ชาวบ้าน
และผู้คนที่เกี่ยวข้องเหล่านั้น
รู้สึกกับเรื่องของหมออิโนะอย่างไร

ความเข้าใจมันก็มีอยู่หรอก
แต่เป็นความเข้าใจแบบ ฉันคิดว่านะ..
เป็นความรู้สึก..ไม่ชัด เป็นความเข้าใจ..บางเบา
จึงไม่กล้าฟันธง ฉันคิดถูก รึป่าวหว่า ?
มันอาจไม่มีถูกหรือผิด ใช่หรือไม่ใช่
ขึ้นอยู่กับมุมมองของแต่ละคน



ชอบหมอเคย์สุเกะ (ของมันแน่อยู่แล้ว) หมอหนุ่มคนเมือง
ขับรถเปิดประทุน สีแดงเจิดจ้าตัดสีทุ่งนาเขียวขอุ่ม
เขามาด้วยมาดเฮ้วนิดๆ แต่จิตใจดี ปรับตัวง่าย และขยันเรียนรู้

ชอบบรรยากาศสีเขียวสดชื่นของต้นไม้ใบหญ้าและทุ่งนาข้าวของหมู่บ้านมาก
ยิ่งตอนถ่ายทุ่งนาแบบเต็มจอ สายลมโชยยอดต้นข้าวพลิ้วเป็นระลอกคลื่นสีเขียว ..สวยงาม

ร่วมด้วยนักแสดงสมทบ

พยาบาล



คุณป้าผู้เจ็บป่วย ลูกหลานห่างไกลใช้ชีวิตลำพัง
และเป็นที่ห่วงใยของลุงๆ ในหมู่บ้าน



ลูกสาวคุณป้า-ประชากรรุ่นหนุ่มสาวของเมืองนี้
เธอได้ร่ำเรียนสำเร็จแพทย์และเป็นแพทย์ประจำ
อยู่ที่โรงพยาบาลในโตเกียว (ชอบเธอคนนี้จัง ฮารุกะ อิกาวะ)



เขาเรียกตัวเองว่า "เภสัชกร"



นายกเทศมนตรี



ใครคนหนึ่ง



และใครคนหนึ่ง



Dear Doctor เป็นหนังที่ไม่กล้าแนะนำ แต่อยากให้ลอง
เหมาะกับคนชอบดูหนังแนวแอบแฝงแบบดูแล้วต้องคิด
ถ้าลองดู แล้วคิดได้กระจ่างหรือคลุมเคลืออย่างไร
จะแวะมาบอกเล่าแถวบล็อกนี้บ้างก็ได้นะคะ .. ยินดี











เครดิตข้อมูล จาก AsianWiki




 

Create Date : 23 สิงหาคม 2555    
Last Update : 26 สิงหาคม 2555 10:12:58 น.
Counter : 2808 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  

prysang
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 98 คน [?]




จำนวนผู้ชม คน : Users Online
New Comments
Friends' blogs
[Add prysang's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.