อันนักบวช ไม่มีศีล ก็สิ้นดี ศีลเป็นพื้นฐานสำคัญ เป็นเครื่องชี้วัดความจริงของพระอริยะเจ้าทั้งหลาย เมื่อเรานึกถึงเรื่องศีล ภาษิตโบราณก็จะผุดขึ้นมา ให้ได้ระลึกถึงโคลงกลอนที่คนโบร่ำโบราณได้ลิขิตเอาไว้ ตามความเป็นจริง ดังนี้ อันสตรี ไมีมีศีล ก็สิ้นสวย (ยังพอหาดีได้) อันบุรุษด้วย ไม่มีศีล ก็สิ้นศรี (เช่นกัน) อันนักบวช ไม่มีศีล ก็สิ้นดี (หมดกัน มีพระพุทธพจน์รับรอง) อันข้าราชการ ศีลไม่มี ก็เลวทราม (เช่นกัน) เมื่อดูโคลงกลอนดังกล่าวที่ว่ามาแล้ว คงจะเห็นได้อย่างชัดเจนถึงความสำคัญในเรื่องของศีล ว่าศีลไม่ใช่เรื่องเล็กๆน้อยๆ อย่างที่เข้าใจกันเลย ย่อมหมายถึง ความเสื่อมสลาย เสียหายถดถอยของบุคคลที่ไม่มีศีลในตัว ดังที่กล่าวมานั้น มีพระพุทธพจน์รับรองไว้อย่างชัดเจน ผลที่ตามมาจะปรากฏเป็นเรื่องที่เสียหายให้เกิดขึ้นในอนาคตข้างหน้า และมีผลต่อการบรรลุธรรมของผู้นั้นต่อไปอีกในกาลข้างหน้าเช่นกัน เพราะอะไร? เพราะขาดคุณธรรมในเบื้องต้นคือความซื่อสัตย์ต่อตนเอง เมื่อไม่มีความสัตย์ซื่อในตัวเสียแล้ว สัจธรรมความจริง หรือ สัจจะวาจาก็หาไม่ได้เช่นกัน คนพวกนี้มักทำผิดศีลได้ง่ายเช่นกัน แต่สำหรับหมู่คนบางกลุ่มที่ยังหลงงมงาย ที่มักมองข้ามความสำคัญในเรื่องนี้ไป คิดว่าศีลนั้นก็เป็นเพียงแค่ข้อห้ามข้อควรระวังเท่านั้น ไม่ได้มีความสลักสำคัญอะไรเลย เมื่อเผลอสติหรือขาดสติได้กระทำผิดศีลไปแล้ว ก็ยังสามารถแก้ไขกลับกลายมาขอศีลใหม่ได้อยู่ดี หรือในขณะที่กระทำผิดศีลอยู่นั้น ก็ยังทำหน้ามึนฝืนรับศีลต่อไปได้ เพราะไม่มีใครรู้ ไม่มีใครจับได้ไล่ทัน ถ้าไม่บอกออกไปเสียอย่าง หรือถูกจับได้ไล่ทันแบบผิดคาหนังคาเขา ใครจะรู้ มักเป็นเรื่องที่นักปฏิบัติธรรมบางท่าน ชอบนำเอามาอวดอ้างสร้างภาพให้กับตนเองเพื่อให้ดูดี มีความน่าเชื่อถือมากขึ้น เนื่องจากคิดไปว่าไม่มีใครรู้ ไม่มีใครจับได้ไล่ทันหรอก ทั้งๆที่เรื่องของศีลนั้น เป็นเรื่องเฉพาะตนที่เรียกว่าปัจจัตตัง จะรู้ได้เฉพาะตนเองว่า "ศีล" ของตนที่มีอยู่นั้น เป็นเพียงข้อห้าม ยังเป็นงานที่กำลังวิรัติให้ได้ หรือเป็นอธิศีลไปเรียบร้อยแล้ว แต่โดยมากที่ได้พบเห็นมาตามเว็บบอร์ดต่างๆนั้น มักเป็นการอวดอ้าง แอบอ้าง สร้างภาพให้กับตนเองเสียมากกว่า "ว่าตนเองเป็นผู้มีศีลบริสุทธิ์" ที่เรียกว่าอธิศีลไปแล้ว จึงเป็นเรื่องยอดนิยมที่มักนำมาอวดอ้างแอบอ้างกันมาก จะมีนักปฏิบัติธรรมบางท่านที่นำเอาเรื่องศีลบริสุทธิ์ที่ไม่มีในตนจริงๆ เที่ยวมาอวดอ้าง หรือ แอบอ้างสร้างภาพให้กับตนเอง เพื่อสร้างศรัทธาความเชื่อและความเข้าใจผิด ให้เกิดขึ้น กับผู้ที่ยังใหม่ หรือพวกศรัทธาจริต ที่เชื่อโดยขาดการไตร่ตรองให้รอบคอบเสียก่อน เราจะสามารถพิสูจน์ได้หรือไม่ว่า คนๆนั้น เป็นผู้ศีลบริสุทธิ์จริงหรือไม่? มีปัญหาอยู่ว่า เราจะรู้หรือดูได้อย่างไรว่า บุคคลที่รับสมอ้างเหล่านั้น เป็นผู้มีศีลบริสุทธิ์จริง ตามที่อวดอ้างหรือแอบอ้างสร้างภาพไว้ หลักฐานข้อแรกนั้นที่จะพิสูจน์ได้อย่างชัดเจนที่สุด คือ การได้อยู่ร่วมกันสักระยะเวลาหนึ่ง โดยความเป็นจริงเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ยาก เมื่อเป็นเช่นนี้ คงต้องหาวิธีที่จะพิสูจน์ให้เห็นชัดเจนลงไปได้ ก็ด้วยการได้ฟังข้อธรรมจากบุคคลที่อวดอ้าง หรือแอบอ้างสร้างภาพนั้น ถ้าสามารถกล่าวธรรมในขั้นพื้นฐาน ที่เกี่ยวกับเรื่องปฏิบัติธรรมกรรมฐานภาวนา หรือสัมมาสมาธิได้ถูกต้องตามความเป็นจริง โดยเฉพาะสภาวะธรรมของจิตในขณะปฏิบัติธรรมสมาธิกรรมฐานภาวนา เพราะศีลที่มีสมาธิอบรมดีแล้ว ย่อมให้ผลใหญ่ให้อานิสงส์ใหญ่ (พระพุทธพจน์) เมื่อธรรมอันเป็นรากฐานสำคัญ ซึ่งบุคคลที่ชอบอวดอ้าง หรือแอบอ้างตนเองยังไม่สามารถเข้าถึงธรรมอันสมควรแก่ธรรมได้ จะเอากำลังสติปัฏฐานที่เป็นพื้นฐานสำคัญ อันเกิดจากการมีรากฐานสำคัญมาจากไหน เป็นกำลังเพื่อวิรัติจากข้อห้ามต่างๆเหล่านั้นได้อย่างไร ศีล สมาธิ ปัญญา เป็นอริยมรรค คือ เป็นทางอันเอก ทางเดียวเท่านั้น ทางอื่นนอกจากนี้ไม่มีอีกแล้ว เป็นไปเพื่อความบริสุทธิ์ของเหล่าสัตว์ทั้งหลาย เป็นทางที่ต้องปฏิบัติ จนศีล สมาธิ ปัญญา สมังคีเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันให้ได้ หรือที่เรียกว่า "มรรคสมังคี" ศีลจึงเป็นรากฐานสำคัญทำให้เกิดสัมมาสมาธิ เมื่อจิตตั้งมั่นเป็นสมาธิ ปัญญาคือการรู้เห็นตามความเป็นจริง ก็จะย่อมปรากฏ เรื่องนี้มีพระพุทธพจน์รับรองไว้อย่างชัดเจน ยิ่งภิกษุที่ทุศีล โดยเฉพาะที่เป็นคุรุกรรมแล้ว ยิ่งแย่เข้าไปใหญ่ ไม่มีทางเยียวยา ใหม่ๆของการรับศีลนั้น เป็นเพียงข้อห้ามเท่านั้น การที่จะทำให้วิรัติได้นั้น ต้องปฏิบัติธรรมกรรมฐานภาวนาเพียงอย่างเดียว (มีพระพุทธพจน์รองรับ) เป็นการชำระจิตให้มีสติตั้งมั่นไม่หวั่นไหว ย่อมเป็นกำลังให้จิต สามารถวิรัติจากข้อธรรมเหล่านั้นได้ มีอุทาหรณ์เรื่องการทุศีลที่เกิดขึ้นกับนักบวช ที่ผ่านมาให้ได้เห็นเมื่อไม่นานนี้ แต่ก็เป็นเพียงหมอกควันจางๆ ที่มีพรรคพวกช่วยกันกระพือให้พัดผ่านหายไป โดยคาดคิดไม่ถึงว่า โทษภัยใหญ่อันน่ากลัว ที่จะเกิดขึ้นตามมาในอนาคตกาลข้างหน้า ที่เกิดจากการที่ภิกษุทุศีลไม่มีความละอายใจต่อบาปกรรมที่ตนได้กระทำลงไป ยังพยายามหาพรรคพวกเข้ามาช่วยบิดเบือนความจริง และเป็นเรื่องที่ทำให้พระพุทธพจน์ ต้องถูกบิดเบือนไปจากความเป็นจริงด้วย อันว่านักบวช ไม่มีศีล (ทุศีล) เสียแล้ว โบราณว่าไว้ เป็นบุคคล "ที่สิ้นดี" ความหมายก็ชัดเจนแล้วว่า หาความดีไม่ได้ (ตัดทางมรรคผล นิพพาน) อีกต่อไปแล้ว ไม่ว่ากาลไหนๆ ไม่ต้องมองไปไกล แค่ที่ผ่านๆมา ศีลวิบัติเพราะอะไร? เพราะไม่เคยรู้จักการปฏิบัติกรรมฐานภาวนาที่ถูกต้องอันเป็นกำลังมาก่อน จึงทำให้ศีลวิบัติถึงขั้นขาดจากการเป็นนักบวชไปแล้ว แต่ก็ยังมีความพยายามอาศัยหมู่คนที่หลงผิดเข้ามาช่วยกันกระพือ บิดเบือนความจริงว่าปัจจุบันนี้ได้มีการสอนเรื่องภาวนาแล้ว โดยมองข้ามความจริงที่ได้เกิดขึ้นผ่านๆมาว่า ก่อนหน้านั้น สอนให้มองข้ามเรื่องภาวนา (สัมมาสมาธิ) ให้เห็นว่าสมาธินั้น เป็นเพียงเรื่องเล็กๆน้อยๆเท่านั้น เป็นเรื่องไม่จำเป็น ไม่รู้จักพื้นฐานสำคัญ เพราะตนเองก็ละเมิดรากฐากสำคัญเสียเอง โดยกระทำการทุศีลแบบซ้ำซาก แถมอดีตที่ผ่านมา ที่เป็นประเด็นสำคัญอย่างยิ่ง คือ การแอบอ้าง หรืออวดอ้างเพื่อให้เกิดความเข้าใจผิด ว่าพ่อแม่ครูบาอาจารย์ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบบางท่าน ได้รับรองผลการปฏิบัติธรรมให้กับตนเอง และพยายามสื่อให้เชื่อถึงผลการรับรองนั้น ทั้งที่เมื่อเปรียบเทียบดูคำสั่งสอนของผู้ให้การรับรอง กับ ผู้ที่นำมาแอบอ้างหรืออวดอ้างแล้ว เป็นคนละเรื่องกันเลย กับผู้ที่นำมาแอบอ้าง หรืออวดอ้างพยายามสอนอยู่ และ พยายามชี้นำให้เชื่อว่าเหมือนกัน ซึ่งไม่มีทางที่จะเป็นไปได้เลย ผู้ที่รับรองผลนั้น จะไม่รับรองผลให้กับคนอื่น หรือใครอื่นง่ายๆ ที่สอนธรรมะไม่เหมือนกับที่ตนเองได้สอนไว้ ไม่มีทางเป็นไปได้ นี่ก็เป็นการผิดศีลในข้อมุสาอย่างชัดเจน โดยไม่มีความละอายต่อบาปกรรมที่กระทำลงไป คือได้อวดอุตตริมนุษยธรรมที่ไม่มีในตนไปเรียบร้อยแล้ว เมื่อคนหลงเชื่อ ต้องถือว่ากิจนั้นสำเร็จเสร็จสิ้นไปแล้ว โดยไม่มีข้ออ้างหรือข้อแก้ตัวใดๆทั้งสิ้น มีพระพุทธพจน์รับรองเรื่องภิกษุทุศีล ที่ไม่สามารถเป็นผู้ไกลจากกิเลสไว้ ดังนี้ "ดูกรภิกษุทั้งหลาย สัมมาสมาธิของภิกษุผู้ทุศีล มีศีลวิบัติแล้ว ย่อมเป็นธรรมมีอุปนิสัยขาดแล้ว เมื่อสัมมาสมาธิไม่มี ยถาภูตญาณทัสสนะ ๑ ของภิกษุผู้มีสัมมาสมาธิวิบัติ ย่อมเป็นธรรมมีอุปนิสัยขาดแล้ว" สุดท้ายนี้ เมื่อเห็นใครมาอวดอ้างหรือแอบอ้างสร้างภาพว่าตนเองนั้น เป็นผู้ที่มีศีลบริสุทธิ์ ก็อย่าเพิ่งปักใจเชื่อลงไป เพราะความเชื่อเป็นมหรคตเฉพาะตนเท่านั้น ให้พิจารณาดูจากข้อธรรมที่สอนอันเป็นพื้นฐานสำคัญมาเป็นองค์ประกอบว่า คนนั้นกล่าวข้อธรรมได้ถูกต้องตรงตามพระธรรมคำสอนของพระพุทธองค์หรือไม่? โดยเฉพาะเรื่องจิตที่เป็นหัวใจสำคัญทางพระพุทธศาสนา เมื่อรากฐานสำคัญ คือศีล ยังกระพร่องกระแพร่ง ประคองเอาไว้ไม่ได้ ก็อย่าหวังเลยว่าพื้นฐานสำคัญ คือสัมมาสมาธิ จะมั่นคงไปได้เลย ยิ่งภิกษุทุศีลด้วยแล้ว ยิ่งห่างไกลจาก สมาธิ ปัญญา และมรรค ผล นิพพาน ก็เป็นการบอกให้รู้ถึงตัวตนที่แท้จริงของบุคคลนั้น ขอนำธรรมโอวาท หลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ มาฝาก อยากจะไปนิพพาน แต่ศีล ๕ ยังรักษาไม่ได้ จะไปได้อย่างไร เจริญในธรรมทุกๆท่าน ธรรมภูต |
ในความฝันของใครสักคน
Rss Feed Smember ผู้ติดตามบล็อก : 4 คน [?] หน้าแรก Blog ธรรมภูต - พระภัทรสิทธิ์ Group Blog All Blog
|
|||
Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved. |