Group Blog
 
All Blogs
 
คุนหมิง ต้าหลี่ ( ธค. 2546 )วันสุดท้าย

วันที่ 5 ... ( 11 ธันวาคม. 2546 )

ยกเลิกโปรแกรม ป่าหิน มุ่งสู่คุนหมิง ...

วันนี้ตื่นนอนค่อนข้างสาย อาการไข้ผมดีขึ้นเล็กน้อย ลางสังหรณ์ผมแม่นมาก ว่าป่าหิน ที่เราจะไปกันในวันนี้มันจะเป็นหมัน มีบางคน ( ที่ผูกใจเจ็บจากเมื่อคืน ) เปรยๆกันว่า จะโหวตให้เราไม่ไปป่าหิน และเช้านี้หากเราจะไปป่าหินกัน เราต้องตื่น ตี 5 ครึ่ง ออกจากโรงแรม ไม่เกิน 7 โมงเช้า แต่นี่ 6 โมงครึ่ง เราเพิ่งมาถึงห้องอาหาร คนอื่นๆยิ่งแล้วใหญ่ บางคนยังไม่ลงมาเลย ทำให้แน่ใจได้เลยว่า มีการเปลี่ยนแปลงรายการแน่ ผมน่ะไม่แคร์อะไรเท่าไหร่ ป่าหินไปก็ดี ไม่ไปก็ได้ แต่หากมาคุนหมิงแล้วไม่ไปป่าหิน มันก็เหมือกินขนมจีนแล้วลืมใส่น้ำยานั่นแหละ บอกใครก็อายเขาตายเลย
อากาศวันนี้แสนจะแย่ ฝนตกค่อนข้างแรง พวกนั้นก็เลยใช้เป็นข้ออ้างในการไม่ไปป่าหิน เอาเถอะถ้าตกลงกันได้ ผม พี่ชาย และน้าของผมไม่มีปัญหาอะไรหรอก ไกด์ของเราทั้งสองทำหน้าแปลกๆ คงเพิ่งเคยเจอคณะทัวร์แบบนี้ล่ะมั้ง
ใครจะทำอะไรผมไม่สนแล้ว ไม่ไปก็เป็นอันว่า ไม่ไป นอนก่อนล่ะ ไข้ขึ้น มือสั่นอีกแล้วผม หนาวซะจนฟันกระทบกันกึกๆเลยครับ ตอนนี้เวลาแค่ 7 โมงเศษ เรามุ่งหน้าสู่คุนหมิงกันทันที ทำให้เหลือเวลาสำหรับช้อปปิ้ง ยาวนานจนตลอดวันไปถึง 4 โมงครึ่งที่เราต้องไปเช็คอิน ที่สนามบิน แพ็คสัมภาระ เครื่องจะขึ้นตอน 5 โมง ครึ่ง ใช้เวลาบินราว 1 ชั่วโมง และถึงเมืองไทยราวๆ 5 โมงครึ่ง เช่นกัน ( งงมั้ยครับ คือ เวลาที่นี่เร็วกว่าไทย 1 ชั่วโมงครับ ) เอาเลยครับ บรรดาขาช้อปทั้งหลาย มีเวลากันกี่ชั่วโมงเนี่ย

ชมรูปปั้น 3 ก๊ก ...

หลังออกรถมาได้พักใหญ่ ทางคุณไกด์ให้เราโหวต เพราะมีวัดแห่งหนึ่งที่มีรูปปั้นสามก๊ก และวิวทิวทัศน์ที่ค่อนข้างสวยงาม เหมาะแก่การถ่ายรูป ก็เลยถามเราว่าจะแวะซักหน่อยมั้ย ( ใจแกคงอยากให้เราได้ถ่ายรูปอะไรที่มันดูเป็นเมืองจีน เป็นสัญลักษณ์ของคุนหมิงเก็บไว้บ้าง ) พวกเราส่วนใหญ่ ( มีบางคนอิดออด กลัวไม่ได้ช้อปปิ้งอะไรขนาดนั้น ) เห็นดีด้วย เพราะวันนี้เรามีเวลา (ที่ควรจะอยู่ที่ป่าหิน) เหลือเฟือ เมื่อหลายคนบอกว่าเอา ที่อิดออดก็ไม่พูดอะไร ดังนั้นเราก็เลยมาแวะที่...เอ่อ....ที่....ที่ไหนหว่า ...ขออภัย...ลืมครับ เอาเป็นว่าเรียกว่าวัด สามก๊กก็ได้ ง่ายดี
ที่นี่คงเป็นสถานที่ท่องเที่ยวอีกแห่งของ คุนหมิง มีทิวทัศน์สวยทีเดียว ด้านหลังเป็นเขาสูง ด้านหน้าเป็นทะเลสาบกว้างใหญ่ มีวิหารใหญ่บนเนินเขา ทางขึ้นเป็นบันไดยาว ดูแล้วไม่น่าต่ำกว่า 100 ขั้น ยังกะในหนัง ทีแรกผมว่าจะวิ่งขึ้นไปแล้วทำท่าเหมือนจักรพรรดิ์เดินลงมา ให้พี่ถ่ายรูปให้ซะหน่อย แต่คนดูแลเค้าบอก ตอนนี้ห้ามเข้า อะไรกันเนี่ย ห้ามเข้าแล้วเอามาตั้งไว้ทำไมวะ เสียดายชะมัด อุตส่าห์คิดท่า เท่ๆ ไว้แล้วเชียว

ตะลุยช้อปปิ้ง ยกแรก ...

หลังจากแวะถ่ายรูปกันนานได้เวลาอันสมควรแล้ว ทีนี้ก็จะไปยังคุนหมิงอย่างที่หลายๆคนใฝ่ฝันไว้แล้วล่ะ การเดินทางของเราในวันนี้ก็ราบรื่นดี ไม่มีสะดุดอะไรเหมือนเมื่อวานดังนั้น เราจึงมาถึงยังที่คุนหมิงในเวลาประมาณ 10 โมงเศษๆ รถของเราเข้าไปจอดที่โรงแรม King World ที่เราเข้าพักในคืนแรก
เรานัดกันเวลา ประมาณ 11 โมง 45 นาที ที่รถ เพื่อไปกินข้าวกลางวัน แล้วไปเยี่ยมชม บริษัทผ้าไหม การเดินในงวดแรก ผมกับพี่ดันพลัดกับน้าทำให้เราต้องลุยกันเอง ก็ไม่มีปัญหา เรื่องราคาไม่ค่อยซีเรียสเท่าไหร่ ถูกกว่าซื้อเมืองไทยเป็นใช้ได้ เราเดินกันไปทีแรกอยู่กับกลุ่ม ซึ่งมีพี่ไกด์อยู่ด้วย แต่ไปๆมาๆ เหลือพวกผมเพียงสองคน พวกเราเดินไปเดินมาอยู่พักใหญ่ได้ พี่ชายได้รองเท้า เป้สะพายหลัง แล้วก็กระเป๋าถือ มาไม่น้อย ส่วนผมไม่ได้อะไรนอกจากเป้ใบเดียว เรามีเงื่อนไขอยู่ว่า ต้องใช้เงินให้หมดเพราะ แลกเงินไทยตอนนี้ขาดทุน ดันมาเจอข้อแม้บ้าๆนี่ซะได้ พอใกล้ได้เวลา เราก็กลับไปที่รถ ก่อนกลับผมแวะร้านยา ซื้อยาลดไข้ ที่นี่มีไทลินอล โคลด์ ( ลดไข้ แก้ไอ ลดน้ำมูก ) แผงละ 10.5 หยวน แล้วก็มีไวอากร้าชนิด ผลิตเลียนแบบ เป็นยี่ห้อจีนครับ กล่องละ 90บาท ทีแรกยังว่าจะซื้อกลับมาอยู่เลยแต่กลัวไม่ผ่านด่าน

อาหารไต้หวัน มื้อสุดท้าย และ แฟชั่นโชว์ ผ้าไหม ...

เรามากินอาหารไต้หวันกันครับ มื้อสุดท้ายนี้ อาหารอร่อยใช้ได้แถมภาชนะที่ใช้ใส่ยังดูสวยอีกด้วย แต่เพื่อนร่วมโต๊ะของผม วันแรกยังไง วันสุดท้ายก็ยังอย่างนั้น ยังกินกันช้าเหมือนเดิม นี่นะอยากช้อปนานๆ กินกันอืดเหลือเกิน
หลังจากกินเสร็จก็ไปดูแฟชั่น ผ้าไหม มีการเดินแบบให้ดูด้วย นางแบบจีนนี่หุ่นดีจริงๆครับ หน้าตาแบบจีนๆนี่ สมัยนี้ยุโรป อเมริกากำลังฮิตนะครับ หลังจากจบแฟชั่นโชว์ เขาก็พาเราไปเสียเงิน แต่คณะนี้งกครับ งกไม่งกเปล่า ดูนานอีกต่างหาก ผมเพิ่งรู้นะว่าใยไหมที่เค้าได้มาจากรัง มีความเหนียวขนาดเอาไปใช้ทำเสื้อกันกระสุนได้เลย
เพราะความล่าช้า ทำให้เราเหลือเวลาอีกแค่ ชั่วโมงเศษที่จะซื้อของ บ้าชะมัด ยกสองนี้เราจะ โฟกัสไปที่ร้าน CD ซึ่งไกด์ของเราบอกว่ามีอยู่สองร้านใหญ่ๆ ราคาถูกด้วย ผมฝันไว้เยอะว่าจะซื้ออะไรบ้าง แต่พอไปถึง รู้สึกอยากเขกกะโหลกคุณไกด์ซักโป๊กให้ตายเหอะ โดนต้มซะเปื่อยเลย...
หลังจากวิ่งหาอยู่นาน ผมต้องเชื่อสิ่งที่เห็น ร้านเล็กๆ แคบๆ ที่เห็นอยู่ตรงหน้านี้คือร้านที่ไกด์รูปหล่อ โปรโมตไว้นักหนา ตูจะบ้าตาย ...เข้าไปมีแต่ เพลงจีน ไอ้เจ้าเพลง ที่ผมต้องการ กลายเป็นฝันค้าง พยายามหลับตาหยิบๆมา เป็นสิบๆแผ่น กะว่า ซัก 300 กว่าหยวนแล้วมั้ง แต่ราคาแค่ 200 กว่าหยวนเอง เอาล่ะครับ ผมจะทำไงดี เหลือเงินอยู่อีกกว่า 500 หยวน มีเวลาเหลือแค่ 45 นาที เป็นครั้งแรกในชีวิตที่ใช้เงินด้วยความรู้สึกเป็นทุกข์ ...
ผมเลือกร้านนาฬิกา ครับ และได้มาสองเรือน ต่อราคากันไม่นาน ผมบอกว่า
ไม่ต่อแล้วจะรีบไปขึ้นเครื่อง เจ้าของร้านเลย ตกลง ทำเป็นบ่นๆ หนอย ฟันตูไปเท่าไหร่ล่ะ ได้มาสองเรือน ขาออกมาผมเลยซื้อกระติกชาแบบที่คนจีนนิยมใช้กันฝากแม่ด้วย ไม่ต่อมันแล้วครับไม่มีเวลา คนขายถึงกับตะลึง 35 หยวนค่ะ ขอบคุณผมยกใหญ่ โบกมือบ๊ายบายให้อีก อะไรวะกระติกใบเดียว ทำยังกะเราให้เลขท้าย 3 ตัว แต่ไม่มีเวลาสงสัยแล้วครับ คิดว่าช่างเถอะ คิดเป็นเงินไทยแล้วก็ยังพอทน
แต่พอเดินมา แถวที่รถจอดรออยู่ พอมีเวลาเหลือ ก็เลยเดินเตร่ไปตามร้าน ดันไปเห็นไอ้เจ้ากระติกที่เพิ่งซื้อมา เหมือนกันทุกอณู เพียงแต่มันติดไว้ 15 หยวนเป็นราคาตั้ง
ยังต่อได้อีก ....ตูจะบ้า ...พูดไม่ออก ทำอะไรไม่ถูก ตะลึง ..ทำได้แค่ยกสองมือขึ้นทาบ อก และตะโกนสุดเสียงว่า “เจ๊อยากต๊ายยยย” ...มิน่าล่ะมัน บ๊ายบายผมใหญ่เลย อยากซื้อที่วางขายนี่ไปเขวี้ยงกะบาลยัยหมวยนั่นจริงๆ พับผ่าซิ
ผมคงต้องยอมรับสภาพแล้วว่า ไม่มีทางผลาญเงินได้หมดเป็นแน่ ก็เลยคิดว่าเก็บไว้ก็ได้วะ เผื่อคราวหน้ามาเที่ยวอีก เหลืออยู่เกือบ 300 หยวน ดีว่าได้พี่ไกด์แลกไป 100 หยวน ที่เหลือก็เก็บกลับบ้านครับ ช่างเป็นการช้อปปิ้งที่ทรมานซะนี่กระไร เพราะทำอะไรกันอืดอาดผมเลยได้ของไม่ครบตามที่ต้องการเลย แย่จัง
เอาล่ะครับ ทีนี้ก็ได้เวลากลับเมืองไทยกันซะทีแล้ว หลายคนหายใจโล่งอก อยากกลับบ้านกันเต็มแก่ แสดงว่าพวกนี้เขาไม่ค่อยได้ห่างบ้าน ผมน่ะเฉยๆ ให้อยู่ต่อ เป็นปียังไม่สะท้านเลยครับ สนุกซะอีกล่ะไม่ว่า แต่ให้เลือก ไปต้าหลี่ดีกว่า

ลาก่อน คุนหมิง ...

กลับมาที่รถกันก่อน ตอนกินข้าวพวกเรารวมเงินให้ไกด์จีน และ คนขับผู้ไม่เคยคุยกับเรา แต่เขาก็ขับรถได้นุ่มนวลมากเมื่อเทียบกับ คนจีนทั่วๆไป ตลอดการเดินทางจึงไร้ปัญหา ทั้งที่น่าหวาดเสียวแทบตาย ผมนึกไม่ออกเลยว่าเราเคยเบรกหัวทิ่มบ้างมั้ย เพราะฉะนั้น เราควรแสดงน้ำใจบ้าง ทริปนี้มีทั้งดี และไม่ดี โดยเฉลี่ยๆแล้วดี เพราะจะให้อะไรทั้งหลายมันเป็นอย่างใจเราคงไม่ได้ ถ้าอยากรู้สึกสบายเหมือนอยู่บ้านก็ต้องนอนอยู่บ้านนั่นแหละครับ เรามาเที่ยวก็อยากเจออะไรที่มันแตกต่าง ทั้งดี และไม่ดีก็ต้องทำใจยอมรับ ผมคิดของผมแบบนี้แหละไม่งั้นเที่ยวที่ไหนก็คงไม่สนุกแน่ๆ
ได้เวลาออกเดินทางสู่ สนามบินแล้ว ประสบการณ์ท่องเที่ยวเมืองจีน ครั้งแรกในชีวิต มีทั้งสุข เศร้า ( นิดๆ ) พอใจ เบื่อหน่าย หัวเราะ หงุดหงิด ปะปนกันไป สภาพแวดล้อมใหม่ๆ ผู้คนแปลกหน้า ต่างวัฒนธรรม เพื่อนใหม่ ที่ผ่านเข้ามาในชีวิตเดิมๆ คือสีสันที่จะแต่งแต้ม ความจำเจของเรา ให้มีอะไรที่ควรค่าแก่การระลึกถึง และเติมเต็มความหมายของคำว่า ชีวิต
จนกว่าจะพบกันใหม่ ไจ้เจี้ยน คุนหมิง ไจ้เจี้ยน เมืองจีน ...

มุ่งหน้าสู่เชียงใหม่ ...

พี่ไกด์คนจีนอวยพรเรา และกล่าวคำอำลา โดยที่สนามบิน เขาต้องรับทัวร์อีก
กรุ๊ปนึงทันที โดยจะให้พี่สาวมาช่วยเรื่องที่สนามบินของพวกเรา แทน ขยันจังเลยนะ
รถจอดแล้วครับ พวกเราเอาของลงมาแพ็ค ค่อนข้างวุ่นวายกันทีเดียว ยุ่งกว่าขามาเพราะมีพวกของที่ซื้อกันมาอีก ทำให้กระเป๋ามีเยอะขึ้น แต่เที่ยวบินของเราก็ ดีเลย์
ไปอีกราว 45 นาที วุ่นวายกันพักใหญ่ก็ได้ขึ้นเครื่องกันซักที

ถึงเชียงใหม่ บทลาจากเพื่อนร่วมทัวร์ …

เราเดินทางมาถึง เชียงใหม่เวลาเดียวกับที่ออกเดินทาง กัปตันคนนี้ลงไม่นุ่มเหมือนกัปตันชวาลย์เลย รู้สึกว่าการเดินทางของผมเจอแต่คนสวยๆ น่ารักทั้งนั้นเลย ถือว่าทำบุญมาดี แต่เจอแบบ สายฟ้าแลบ แป๊ปเดียวก็ลาจาก ก็ถือว่าคงจะทำบุญมาน้อย
(ยกตัวอย่าง เช่น ทำบุญด้วยหูฉลามน้ำแดง แต่ทำแค่ครั้งเดียวในชีวิต ประมาณนั้น ) ดังนั้น ผมกับน้องๆ พี่ๆ ( รวมถึงรุ่นน้า รุ่นป้า )ที่รู้จักกันมาได้ 5 วัน กับอีก 4 คืน ก็เช่นกัน คงถึงเวลาที่ต้องกล่าวคำอำลากันแล้ว
หลังจากแยกย้ายกัน ผมกับพี่ก็ขึ้นรถแท็กซี่ หาที่พัก ส่วนน้ากลับกรุงเทพเลย
พอถึงห้องพัก ผมก็แทบจะสลบมันตรงนั้นเลย ทิ้งตัวลงนอน ถอดปลั๊กตัวเอง สลบคาที่ไปเลยครับ ตื่นอีกทีประมาณ 4 ทุ่ม ผมกับพี่ ก็ออกมาเดินเล่น ที่โรงแรมนี้อยู่ใกล้ไนต์บาซ่า เราแค่เดินตรงดิ่งออกมาที่ปากซอย ในระยะประมาณ 200 เมตรเท่านั้น รู้สึกว่า ทำไมราคาของมันแพงก็ไม่รู้ สงสัยเอาราคาที่คุนหมิงมาเทียบ เลยไม่อยากซื้ออะไร ซึ่งก็ดี ต้องเก็บไว้เป็นค่าเดินทาง คืนนั้นผมหลับเป็นตายเลยครับ นี่เราอยู่เมืองไทยแล้วเหรอ..นอนคิดๆไป ว่าเราเจออะไรมาบ้าง คิดย้อนกลับไปเรื่อยๆ ก็ยิ่งสนุก ก่อนจะเริ่มคิดว่า บันทึกไว้ดีกว่า คิดไป คิดมา ความคิดสุดท้ายที่แว่บเข้ามาในหัวก็คือ
ทำไมมันเร็วจัง 5 วัน 4 คืน อย่างกะฝันแน่ะ......คิดได้แค่นั้นก็หลับไปซะแล้ว

จบบริบูรณ์



Create Date : 17 มกราคม 2549
Last Update : 17 มกราคม 2549 23:56:37 น. 0 comments
Counter : 811 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

Indiana Joe
Location :
กรุงเทพ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




จะกู้ชาติกันไปทำไม ....
ถ้ามันเหลือแต่ซาก .....
สีเหลือง สีแดง สีขาว .....
ใีครคือผู้ที่กู้ชาติอย่างแท้จริง ....
คนที่กู้ชาติจริงๆ คือ คนที่ทำงานทุกคน ...
หมอ ทนายความ ครู นักการเงิน ภารโรง ....
และทุกๆอาชีพ ที่ทำงานของตนเองให้ดีที่สุด .....
เพื่อพยุงเศรษฐกิจของประเทศนี้ให้อยู่รอดได้ ...
คนพวกนี้แหละ กู้ชาติ .....
ไม่ใช่ประท้วงเพื่ออุดมการณ์ที่ไม่อยู่ในโลกความเป็นจริง ...
จะเอาเขาพระวิหารมาทำไม ถ้าเขาใหญ่เรายังดูแลไม่ทั่วถึง ..
จะสนเกียรติยศศักดิ์ศรีทำไม ถ้าพี่น้องเรากำลังจะอดตาย ...
Friends' blogs
[Add Indiana Joe's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.