Group Blog
 
All Blogs
 

เรื่องของผมกับพี่ฟ้า บทสรุป

Final Chapter : Always will be …

So I said “Farewell” , I’m yours forever…and I always will be
Missing you in my heart , You are the One …and you always will be …


ในที่สุดก็มาถึงบทสรุปของเรื่องนี้เสียที แม้ว่าภายหลังจากนั้นมาตลอดเวลาผมได้มีการติดต่อกับพี่ฟ้าทาง อีเมล์ อยู่ค่อนข้างจะสม่ำเสมอ และได้รับรู้ข่าวคราวของเธออยู่ไม่ขาด หลังจากแต่งงานได้ประมาณ ปีเศษๆ พี่ฟ้าก็มีทายาทเป็นหนุ่มน้อย ชื่อ น้องกล้า สาเหตุที่มีบุตรช้าเพราะพี่ฟ้ามีโรคประจำตัวคือ โรคลมชัก และต้องทานยาประจำ ซึ่งไอ้เจ้ายาตัวที่ว่านี่เองมีผลกับลูกในท้อง แพทย์จึงต้องให้ลดยาลง แน่นอนว่าส่งผลต่อการกำเริบของโรค พี่ฟ้าผ่านความยากลำบากไม่น้อยกับการมีลูกคนแรก

ผมคงไม่มีวันพบกับพี่ฟ้าอีกแล้ว จึงได้แต่ให้กำลังใจเธอผ่าน ตัวหนังสือ ตามสายโทรศัพท์ไป ไม่เห็นหน้า ไม่ได้ยินเสียง แต่ผมรับรู้ความอบอุ่น และความเป็นมิตรได้จากข้างในของตัวผมเอง จากสิ่งที่เธอมอบไว้ให้เมื่อนานมาแล้ว ผมผ่านชีวิตวัยเรียน รับปริญญาและเริ่มทำงาน ชีวิตที่พลิกผันไปต่างๆของผม ได้เจอกับเรื่องดี และร้าย ( ร้ายมากกว่า ) ผมไม่เคยได้สมหวังในความรักอีกเลย ไม่แม้แต่จะมีความรู้สึกดีๆเหมือนที่เคยเกิดขึ้นเมื่อรู้จักกับพี่ฟ้า
ทุกวันนี้ผมมีชีวิตไปวันๆ และแม้จะพยายามจะดิ้นให้พ้นปลักนี้ แต่ความสำเร็จยังอยู่ห่างไกล ผมเข้าใจแล้วว่าทำไมรูปแบบความสัมพันธ์ของผมกับพี่ฟ้าจึงออกมาในลักษณะนี้ นั่นเป็นเพราะหากมันเป็นไปในอีกรูปแบบที่ผมหวังไว้ลึกๆ ผลลัพธ์คงออกมาดูไม่ได้

พี่ฟ้าคือประสบการณ์ที่ตราตรึงที่สุดของผม อย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน เวลานับจากนี้อาจจะนานจนทุกสิ่งทุกอย่างเปลี่ยนไป ตัวของผม พี่ฟ้า แต่ผมเชื่อว่า เมื่อวันหนึ่งที่เรากลับมาพบกันอีกครั้ง ไม่ว่าเราจะเปลี่ยนไปอย่างไร ผมจะจำเธอได้ และเราจะได้เรียนรู้ซึ่งกันและกันอีกครา
เป็นเช่นนี้ ตลอดมา และตลอดไป .......


ปล . เรื่องนี้เขียนขึ้นครั้งแรก เมื่อ ปี 2546 และทำการปรับปรุงโดย รักษาเนื้อหา และความรู้สึกเดิมๆไว้ให้มากที่สุด แต่ ณ. เวลาปัจจุบัน ผมคิดว่า ผมได้พบกับใครบางคนที่ผมคิดว่าเธอใช่ และผมหวังว่า เราทั้งสองคนจะใช่ จะมีประโยชน์อะไรถ้าผมมีรักครั้งแรกกับพี่ฟ้า มีความทรงจำที่งดงาม แต่ไม่สามารถลงเอยที่ ความรักครั้งสุดท้ายได้ และกับเธอคนนี้ ผมขอสัญญาว่า จะรักเธอให้มากที่สุด เพราะเธอคือปัจจุบัน และอนาคตของผม และเพราะผมอยากให้คุณเป็นคนสุดท้ายของผมจริงๆ ......

คุณจะรู้มั้ยว่าผมกำลังพูดกับคุณ ... llnu

END …




 

Create Date : 24 มกราคม 2549    
Last Update : 24 มกราคม 2549 14:50:21 น.
Counter : 740 Pageviews.  

เรื่องของผมกับพี่ฟ้า ตอนที่ 7

Chapter 7 : Something from Nothing

ชีวิตคนความจริงว่างเปล่า ต้องบรรจุเรื่องราวมีค่าเข้าไปมากมาย
ในจำนวนนี้ หากขาดความรัก และน้ำมิตร ยังเหลืออันใด?


7 เมษายน หลังจากผ่านนรกบนดิน ที่แทบจะฆ่าผมทั้งเป็นมาได้ ผมก็กลับมาที่เดิม ที่ๆผมพบกับเธอเป็นครั้งแรก

21วัน ที่ผ่านมา รู้สึกว่ามันนานเหลือเกินคงเป็นเพราะผมจมอยู่กับความทุกข์ตลอดทั้ง 21 วัน ก็เป็นได้ แต่ไม่ว่าอย่างไร ผมก็กลับมาแล้ว และผมยังมีเวลาอีกพอสมควรที่จะทำความรู้จักกับพี่ฟ้า เพื่อจะสร้างเวลาแห่งความสุข

วันแรกที่ไปลงทะเบียน ผมลงได้หมู่ที่เรียนตอนเย็น เลิกตั้ง 5 โมงครึ่ง ทีแรกเลยผมคิดว่าพี่ฟ้าจะอยู่ถึงเย็นไหมหนอ แต่ก็อยู่ครับ จริงๆการเรียนหมู่ที่ 2 นี้ก็ดีกว่าเรียนหมู่แรกอีกครับ นับว่าฟ้าประทานโอกาสให้จริงๆ แบบนี้คงปล่อยให้พลาดไม่ได้แล้ว

และแล้วผมก็เห็นเธออีกครั้ง พี่ฟ้าอยู่ในชุดเสื้อเชิ้ตสีเลือดหมู กระโปรงยาวถึงเข่าสีเทาเข้ม ผมเห็นพี่ฟ้านานมาก ก็ตลอดทั้งคาบนั่นแหละ แต่ยังไม่ได้คุยกัน เพราะวันนี้มันยุ่งๆอยู่ ผมเองก็กลัวๆ เดี๋ยวเข้าไปสุ่มสี่สุ่มห้า เธอจะพาลเกลียดขี้หน้าเอา ในคาบผมก็นั่งอยู่หลังเธอน่ะแหละแต่ก็ไม่ได้คุยกัน สมุดประจำวิชาผมก็ส่งให้เธอกับมือ แต่ก็ไม่ได้มองหน้ากันอีก ใจเสียเล็กน้อยครับ แต่ยังสู้ วิชานี้เรียนทุกวัน แปลว่าจะมากจะน้อยต้องได้เจอพี่ฟ้าอย่างสม่ำเสมอ

วันต่อมา ผมมีศัตรูหัวใจเข้ามาอีกหนึ่งราย เป็นรุ่นน้องในคณะ แต่อยู่คนละภาควิชา หมอนั่นอยู่ภาควิชาสหกรณ์ ก็เป็นรุ่นน้องของเพื่อนร่วมหอผมอีกทีหนึ่ง ได้ข่าวว่ามันเจ้าชู้ใช่ย่อย แฟนก็มีอยู่แล้ว เพราะฉะนั้น หน้าที่ปกป้องพี่ฟ้าจึงตกมาที่ผม ( จริงๆแล้วก็คือผมเสนอหน้าเข้าไปเอง ) มันทำคะแนนไปก่อนด้วยการเข้าไปคุยกับพี่ฟ้า 2-3 ครั้ง แต่คงเป็นเรื่องลงทะเบียน ไอ้นี่มันมุขครับ ทำไมผมจะรู้ไม่ทัน แต่ดูแล้วพี่ฟ้าไม่น่าจะชอบสไตล์นี้ซักเท่าไหร่

พอตอนเย็นผมก็เลยทำคะแนนของผมไป ด้วยการเข้าไปหาเธออีก และพี่ฟ้าจำผมได้ ก็ทักทายไปตามเรื่อง ค่อนข้างเกร็ง ทั้งผม และพี่ฟ้า คงเป็นเพราะเรายังไม่ค่อยคุ้นกันเท่าไร พี่ฟ้าใส่เสื้อเชิ้ตสีดำลายเข็มสีเทา กระโปรงแคบสีดำ สวยคล่องแคล่วดีครับ หลังจากทักทายพอหอมปากหอมคอ แสดงความเป็นห่วงว่า เธอดูไม่ค่อยสบายเลย พี่ฟ้าบอกผมว่า เจอกันพรุ่งนี้ วันแรกทำได้ขนาดนี้นับว่าดีอยู่ครับ เอาล่ะกำลังใจมาเป็นกองทีเดียว อันที่จริงไอ้เจ้าหนุ่มผมยาว ที่ชื่อ กล้วย นั่นก็ถือว่ามีบุญคุณกับผมไม่น้อย ถ้าไม่เพราะมันเป็นตัวกระตุ้นผมคงอาจจะผลัดวันประกันพรุ่งอีกแต่ นี่เริ่มมาดีทีเดียว คอยดูกันต่อไปก็แล้วกัน

วันต่อมากว่าจะเลิกเรียนก็เย็นมากๆแล้ว ดีที่เป็นหน้าร้อนมืดช้า แต่ก็เริ่มสลัวๆแล้ว ยังพอมีเวลาคุยกันในแต่ละวัน ผมร่างแผนไว้ในใจเช่นนี้ ก็เข้าไปหาพี่ฟ้าอีก เธอถามผมว่าชื่อโจใช่มั้ย ดีจริงๆครับ พี่ฟ้าจำชื่อผมได้แล้ว แต่เสียหน้าตอนที่ถามว่าเรียนคณะอะไร ปีอะไร พอรู้ปีก็ถามผมว่าจะจบแล้วใช่ไหม ผมล่ะอายแทบแทรกแผ่นดิน เพราะผมคงไม่สามารถจบพร้อมเพื่อนๆได้ พี่ฟ้าบอกกับผมว่า วันจันทร์จะมามหาวิทยาลัย ซึ่งก็แปลว่า พี่ฟ้าไม่ได้รังเกียจ หรือ กลัวผมเลย เราคุยกันนานขึ้น ผมตั้งใจว่าจะหาของขวัญให้เธอในวันจันทร์ เพราะปิดสงกรานต์ไป เปิดมาก็เป็นวันเกิดของเธอแล้ว ผมเลือกเทปเพลงของ Suzanne Ziani ชุด Turning ~ Best n’ Love Collection ไว้ในใจ เพราะเป็นชุดโปรดของผม และเพลงก็อ่อนโยนและสื่อความหมายได้ดีมากด้วย

วันจันทร์ผมก็ได้มอบทั้งเทป และจดหมายไว้ที่หน้ารถเธอ ทำไมไม่ให้กับมือก็ไม่รู้ แต่มันอายเหมือนกันนะ ในจดหมายผมบ่งบอกความคิดต่อเธอไว้ชัดเจน ว่า ไม่เคยคิดจะเป็นแฟนเธอ แต่ผมมีความรู้สึกดีๆกับพี่ฟ้า และอยากจะรู้จัก และเป็นเพื่อน หรือน้องชาย หรืออะไรก็ได้ที่เธอต้องการ ของอย่างเดียวอย่าไล่ผมไปไกลๆก็แล้วกัน
ความรักในแบบที่ผมมีให้พี่ฟ้าเป็นความรักที่เก็บไว้ในใจ

รักนี้มีแต่ฝากไว้ในความคิดคำนึง
มีแต่ในห้วงความคิดคำนึง จึงสามารถรักษาความรักไว้ได้ตลอดกาล


หยุดสงกรานต์ไปนานทีเดียว ก็เปิดเรียนอีกครั้ง 19 เมษายน วันจันทร์ ผมไปมหาวิทยาลัย และได้พบกับพี่ฟ้าอย่างที่หวัง คราวนี้ก้าวหน้าครับ ไปรอเจอเธอตอนเที่ยงๆ ที่เธอจะเข้าหมู่ 1 ช่วยเธอถือกระเป๋า ซึ่งก็เท่ากับเป็นการเปิดศึกอย่างเปิดเผยกับไอ้เจ๋ง ที่นั่งมองผมตาเขม็ง แต่ขอบอกว่า ไม่สนใจว่ะ .. ตอนเย็นพี่ฟ้ากลับไปก่อน เลยไม่ทันได้เจอเธอ

วันอังคารที่ 20 เมษายน เป็นวันเกิดของพี่ฟ้า ทักทายเธอด้วยการเข้าไปแบบตื่นเต้นเล่นเอาพี่ฟ้าตกใจไปเหมือนกัน ผมยึดหน้าที่ถือกระเป๋าเป็นหน้าที่หลักแล้ว ถามพี่ฟ้าว่าเย็นนี้มีธุระที่ไหนรึเปล่า พี่ฟ้าบอกว่าไม่มี เอาล่ะครับ เท่านี้ก็เข้าแผนที่วางไว้ ที่เหลือก็คือความกล้า คือผมคิดจะให้การ์ดอวยพรวันเกิดกับพี่ฟ้า ซึ่งต้องขอสารภาพเลยว่า เป็นครั้งแรกในชีวิตที่ให้การ์ดอวยพรกับคนอื่น แล้วก็ให้กับมือของเธอเลยด้วย ไม่ใช่ไปเสียบไว้หน้ารถอีก

ไอ้กล้วย ยังคงเป็นศัตรูหัวใจหมายเลขหนึ่ง จริงๆมันมีอีกเยอะ แต่ไม่กล้าเผยโฉมมากกว่า มันมองผมด้วยสายตาไม่เป็นมิตร แต่ช่างหัวมันสิครับ แบบนี้ก็ดี กระตุ้นผมไปในตัว ผมก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว จริงๆควรจะเอาเหล้าไปเซ่นไอ้กล้วยซักขวดด้วยซ้ำ วันนี้เราเพิ่มความเป็นกันเองมากขึ้น ตอนนี้อะไรๆ ก็ดูเดินหน้าอย่างรวดเร็ว รู้สึกมันลงตัวไปซะทุกอย่างทีเดียว วันต่อมา เราคุยกันนานมากทีเดียว ผมได้รู้เรื่องของเธอมากขึ้นด้วย พี่ฟ้าเรียนจบปริญญาตรี ที่ มหาวิทยาลัย K ของพวกเรานี้เอง คณะ A ปี 35 เรียนเกี่ยวกับเด็ก ผมเองก็รู้สึกว่าจิตใจงดงามอย่างพี่ฟ้าเหมาะแล้วที่จะทำงานกับเด็ก เธอก็เรียนปานกลาง จบ เกรด 2.5 พอดีเป๊ะ เริ่มเรียนปริญญาโทตอนปี 37 แล้วก็ยาวมาจนถึงตอนนี้ ทีแรกก็ไม่ได้คิดจะเรียน แต่อาจารย์คะยั้นคะยอให้สอบ แล้วก็สอบติด เธอบอกว่ามีพี่ชาย กับพี่สาว เธอเป็นลูกคนสุดท้อง เดิมก็อยากเป็นครูแต่พอเอาเข้าจริง เด็กมันดื้อเหลือหลาย วันนี้เราคุยกันค่อนข้างสนุก หัวเราะกันหลายครั้ง แล้วก็เธอก็อยู่คอนโดฯ แถวรัชโยธินจริงๆด้วย ส่วนบ้านพ่อแม่เธออยู่แถวๆ สนามธูปเตมีย์ เธอบอกว่าจะไปบ้านพ่อแม่วันนี้ ผมเลยบอกให้เธอรีบไป เพราะเราคุยกันจนมืดมากแล้ว เรียกว่ายิ่งมายิ่งก้าวหน้าอย่างคาดไม่ถึงจริงๆ

ผ่านไปอีกสองวันกว่าผมจะได้เจอพี่ฟ้าอีกที ช่วงนี้เธอกำลังยุ่งกับวิทยานิพนธ์ก็เลยไม่ค่อยได้มา บางทีก็แค่มาดูว่ามีงานต้องทำรึเปล่า ถ้าไม่มีก็จะกลับ แต่ก็ยังได้คุยกับเธอนานๆอยู่เหมือนกันครับ มีวันนึงที่เราคุยกันนานมากๆอีกเหมือนกัน ที่รถเธอนั่นเอง ยืนกันจนยุงตอมเลยทีเดียว ส่วนใหญ่ผมจะสนใจใคร่รู้เรื่องของเธอมากกว่า ช่วงนี้เหมือนสุขภาพพี่ฟ้าไม่สู้ดี ไม่สบายบ่อย แต่ก็ยังคุยกับผมค่อนข้างสนุก มีวันหนึ่งเธอทำข้อสอบจนค่ำแล้วผมก็ยังรอ เธอก็แซวว่าถ้าเธอไปไหนแล้วจอดรถทิ้งไว้ ผมมิต้องเฝ้าทั้งคืนเลยหรือ แต่ดูแล้วพี่ฟ้าก็ไว้ใจผมมากขึ้น และยังขอบคุณผมด้วยที่รอ ( จริงๆแล้วผมทำไปเพื่อตัวเองต่างหาก )

วันเวลาผ่านไปเร็วจริงๆ เผลอแวบเดียวปาเข้ามาวันที่ 7 พฤษภาคมแล้ว วันนั้นพี่ฟ้าก็ไม่ได้เข้าห้องเรียน แต่ผมกลับโชคดีที่ได้คุยกับเธอ แรกเลยเรากะจะคุยกันนิดหน่อยเพราะเธอจะกลับไปทำวิทยานิพนธ์ แต่ไปๆมาๆ กลับยืนคุยกันอยู่เป็นชั่วโมงเลยทีเดียว พี่ฟ้าบอกว่าคุยบ้างก็ดี ไม่งั้นต้องกับไปเจอกองวิทยานิพนธ์สูงท่วมหัว ก็แปลว่าพี่ฟ้าสบายใจที่จะคุยกับผม และผมก็เชื่อว่าพี่ฟ้ารู้สึกกับผมดีพอสมควร คงเป็นเพราะการวางตัวของผมด้วย มันคงเกิดผลกับความรู้สึกของพี่ฟ้าบ้างไม่มากก็น้อย ผมผ่านเวลาความสุขไปแบบติดปีกแม้ความสัมพันธ์ของผมกับพี่ฟ้าจะอยู่เท่าเดิมที่เพื่อนรุ่นน้อง แต่ความคุ้นเคยก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว ระหว่างผมกับพี่ฟ้ามีช่องว่างน้อยลง เธอกล้าคุย กล้าถาม กล้าไหว้วานผม แม้วันที่มาจะไม่มีอะไร แต่ถ้าเธอเจอผมก็ยังไม่รีบกลับ เธอจะนั่งคุยกับผมบางครั้งก็นานเป็นชั่วโมงทีเดียว

ผมก็ได้รู้เรื่องราวในชีวิตพี่ฟ้ามากขึ้นทีละน้อย ผมเองเพิ่งได้รู้ว่าพี่ฟ้าจบ สาธิต มหาวิทยาลัย G และพ่อของพี่ฟ้าเป็นอาจารย์สอนคณะวิศวกรรมศาสตร์ที่นั่นอยู่ช่วงหนึ่ง และหนึ่งในความยินดีอย่างที่สุดก็คือ วันที่ผมขอเบอร์โทรศัพท์พี่ฟ้า เธอคิดอยู่นานจนผมเสียวแว้บ แต่ก็ยิ้มๆ แล้วเธอให้มาทั้งเบอร์มือถือ , ICQ , E-Mail Address นับเป็นความสำเร็จอย่างไม่คิดไม่ฝันของผมเลยก็ว่าได้

ระหว่างผมกับพี่ฟ้ากลายเป็นเรื่องรู้กันในหมู่อาจารย์ที่สนิทกับพี่ฟ้า ผมล่ะอายจังเลย แต่ผมก็บริสุทธิ์ใจนะครับ อาจารย์ที่ปรึกษาของพี่ฟ้าที่ชื่ออาจารย์อัมรา ก็ใจดีมากๆ ผมนั่งรอพี่ฟ้าอยู่ข้างนอก ท่านก็เรียกผมเข้าไปนั่งในห้องด้วยกัน เอารูปพี่ฟ้าในหนังสือ ( ที่ผมมีแล้ว )มาให้ดูด้วย ยิ่งนานวันผมกับพี่ฟ้าก็กลายมาเป็นเหมือนเพื่อนกันเข้าไปทุกที เธอยินดีให้ผมติดรถไปด้วยกัน ไปไหนมาไหนโดยไม่รู้สึกว่าจะดูไม่ดี อาจจะเป็นเพราะเราทั้งคู่บริสุทธิ์ใจก็เป็นได้ ความไว้ใจที่มีก็มากขึ้น บางทีก็เอากุญแจให้ผมไปเอาของในรถเธอบ้าง และยังมีข่าวดีให้ลุ้นก็คือ เธอยังช่วยสอนเทอมหน้า แต่เป็นที่คณะสังคมโน่น คงตามยากกว่าที่นี่ และผมก็ไม่มีเวลามากด้วย แต่ก็ยังดีที่ผมได้ต่อเวลาเจอเธอไปอีกหน่อย

ระหว่างที่มีแต่เรื่องดีๆ ก็ยังอุตส่าห์มีเรื่องไม่สบายใจ คงเป็นเพราะผมเอาแต่ใจตัวเองมากไป และก็คิดไปเองมากกว่า เรื่องมีประมาณว่า ผมไปรอเจอพี่ฟ้ารอนานแล้วได้คุยน้อย อาจารย์หลายๆคนก็มอง พี่ฟ้าก็ดูไม่ค่อยสบายใจนัก ผมเลยรู้สึกตัวเองเป็นไอ้งี่เง่า คงมาจากที่ผมเจอแต่เรื่องดีๆมานานจนเคยตัวน่ะครับ เลยลืมไปว่า ที่คาดหวังไว้ตอนแรกกับตอนนี้ ถ้าผมจะมีอะไรที่ไม่สมหวังบ้างก็ต้องยอมรับ ผมได้รับมามากเกินพอแล้ว แต่ในเวลานั้นเหมือนมันลืมตัวครับ สุดท้ายตัวเองก็ต้องรู้สึกแย่เอง แถมยังได้เกรดวิชา ศิลปะการดำเนินชีวิตแค่ B+ อีกแน่ะ ซวยซ้ำซวยซ้อนจริงๆ ผมทำอะไรงี่เง่าอีกหลายอย่าง แต่ดูพี่ฟ้าก็ยังไม่ค่อยถือสานับว่าเธอใจเย็นมาก ในที่สุดผมก็ได้คิดแล้วเรื่องก็ค่อยๆคลี่คลาย สรุปคืออาจารย์หลายๆท่านเป็นห่วงว่าการเรียนผมจะตกเพราะมัวแต่มาสนใจเรื่องนี้ พี่ฟ้าก็ยังดีกับผมอยู่ แต่กว่าจะผ่านช่วงนั้นมาได้ก็เป็นอาทิตย์ทีเดียว

แต่หลังจากวันนั้นผมก็ไม่ได้คุยกับพี่ฟ้าอีกนานทีเดียว หัวใจที่เพิ่งได้รับการเยียวยายังไม่หายดี ก็เลยทรุดลงอีกกว่าจะได้เจอเธออีกทีก็นานเลย เจอพี่ฟ้าทีหนึ่งก็ดีขึ้นทีหนึ่ง ช่วงนี้เรานานๆถึงจะได้คุยกันซักที เป็นเพราะเธอสอนที่คณะสังคมด้วย ทำให้ไม่ค่อยสะดวกทั้งเวลา และสถานที่ พอนานๆได้เจอกันที ก็ดันหามุขมาคุยไม่ได้ เหมือนชีวิตอยู่ในช่วงขาลง ทั้งๆที่พี่ฟ้าอุตส่าห์ถ่วงเวลาซับหน้า ทาโลชั่นไปเรื่อยผมก็ยังจนแต้ม ปากปิดสนิทอยู่ดี สุดท้ายก็ต้องบอกลา

ช่วงเวลานั้นเป็นช่วงเวลาที่แสนทรมานจริงๆ แม้จะรู้ว่าซักวันต้องมีวันนี้ แต่ผมก็ยังรู้สึกยากจะยอมรับอยู่ดี เหตุการณ์ยังแย่อยู่จนถึงวันที่ 23 กรกฎาคม ที่ผมได้เจอพี่ฟ้าอีกครั้ง แม้เราจะไม่ได้คุยกันแต่ พี่ฟ้าก็ยิ้มให้ผม ยิ้มอย่างงดงาม ปราศจากการเสแสร้ง เพียงเท่านี้อาจจะช่วยให้ผมยอมรับในความเป็นจริงว่าถึงเวลาแล้วที่เราจะต้องจากกัน แม้จะยังได้เห็นเธอบ้าง พบปะคุยกันบ้างตามโอกาส ซึ่งก็นานๆครั้ง

และแล้ววันที่ 29 พฤศจิกายน พี่ฟ้าก็แต่งงาน ผมไม่รู้ว่าเธอแต่งงานที่ไหน เมื่อไหร่ แต่เพื่อนผมมาบอกว่าเห็นจากในโทรทัศน์ งานใหญ่อลังการ เพราะคุณแมน แฟนพี่ฟ้าเป็นเจ้าของธุรกิจทางด้านสื่อโทรทัศน์ ที่ยิ่งใหญ่นั่นเอง ผมได้ฟังก็รู้สึกวูบเล็กน้อย แต่ก็รู้อยู่แล้วว่ามันต้องเป็นแบบนี้ ไม่ว่าอย่างไรสิ่งดีๆที่พี่ฟ้าหยิบยื่นให้กับผมมันจะคงอยู่ในใจผมตลอดไป

ต้นรักเกิด และเติบโตขึ้นในจิตใจของผม แม้ว่าเจ้าของต้นกล้าจะจากไปแล้วแต่ต้นรักนี้ยังคงงอกงามจากความทรงจำแสนงดงามที่หล่อเลี้ยงทั้งต้นรัก และชีวิตของผมให้ดำเนินต่อไป ต้นรักนี้ได้เติมเต็มส่วนที่ว่างเปล่าในใจของผมจนเต็ม แม้จะรู้ว่าต้องมีช่วงเวลาที่ยากจะผ่านพ้น อาจจะนานนับปี แต่ผมไม่เคยเสียใจที่รักพี่ฟ้า แม้แค่เพียงวันเดียวผมก็ยังคงยืนยันที่จะรัก ...







 

Create Date : 24 มกราคม 2549    
Last Update : 24 มกราคม 2549 14:42:50 น.
Counter : 2662 Pageviews.  

เรื่องของผมกับพี่ฟ้า ตอนที่ 6

Chapter 6 : Stronger than all

การเคี่ยวกรำทางร่างกาย เป็นผู้อื่นเคี่ยวกรำท่าน ทรมานท่าน
แต่การเคี่ยวกรำทางจิตใจ เป็นท่านทรมานตนเอง ทารุณตนเอง


ในที่สุดผมก็ได้มาเมืองเลยจนได้ แต่ทั้งๆที่ควรจะมีความสุขเหมือนเคย ก็เปล่า ผมคิดถึงแต่พี่ฟ้า ทำให้ปกติที่เคยสนุกเมื่ออยู่ที่นี่ กลายเป็นไม่สนุกไป ผมเอาแต่เร่งให้แต่ละวันผ่านไปโดยเร็ว ความคิดถึงที่มีมันทำให้ผมยากที่จะหันไปสนใจกับสิ่งอื่นๆรอบตัวได้ ซึ่งจริงๆแล้ว ผมมาเมืองเลย ผมชอบอยู่ที่นี่นะ มันสงบสุขดี น่าเสียดายที่นี่เป็นช่วงเวลาที่ไม่ปกติของผม เหมือนผมลืมเอาหัวใจมาด้วย คิดๆดูก็ไม่ถูกต้องเลยกับการกระทำแบบนี้ ท่าน ติช นัท ฮันน์ พระภิกษุเซน ชาวเวียตนาม เคยกล่าวเกี่ยวกับเรื่องนี้ไว้ว่า

การดื่มชาให้อร่อยนั้น จิตใจจะต้องต้องอยู่ที่ชาถ้วยนั้น มือจึงรับรู้ถึงความอุ่นของชา จมูกรับรู้กลิ่นหอมกรุ่น ลิ้นได้ลิ้มรสกลมกล่อมของชา หากมัวแต่พะวักพะวงถึงอนาคตที่ยังมาไม่ถึง หรือ กลัดกลุ้มกังวล ต่ออดีตที่ผ่านมาแล้ว เมื่อมารู้สึกตัวอีกที ชาก็หมดถ้วยเสียแล้ว และเราก็พลาดประสบการณ์ดีๆอีกอย่างของชีวิตไปอย่างน่าเสียดาย เราเรียนรู้จากอดีตได้ และวางแผนกับอนาคตได้ แต่อย่ามากเสียจนลืมเสพรับความสุข ณ เวลาปัจจุบันไป

แต่ก็อย่างที่ว่า พูดนั้นง่ายกว่าทำ ใครเป็นผมยังใจเย็นอยู่ได้ก็แปลกไปแล้ว ผมจึงพยายามบรรเทาความคิดถึงด้วยเพลง เลือกเพลงที่ทำให้ระลึกถึงช่วงเวลานั้นๆ ด้วยความที่เป็นคนรักดนตรีอยู่แล้ว ก็เลยอินได้ไม่ยาก ผมก็เลยนั่งเหม่อลอยอยู่บ่อยๆ ไม่ได้สนุกสนานเฮฮาเหมือนเก่า

บททดสอบที่ยิ่งกว่านรกของผม ปรากฎตัวขึ้นแล้ว หลังจากคืนวันหนึ่งที่อ๊อตโต้ ลูกพี่ลูกน้องของผมชวนผมไปเที่ยวเธค อันที่จริงผมก็ไม่ค่อยอยากไปหรอก แต่ในเมื่ออ๊อตโต้พยายามฉุดลากผมไปผมก็เลยไป ซึ่งก็ไม่สนุกตรงไหน แต่กว่าจะกลับมาได้ก็ดึกเหมือนกัน

พอรุ่งเช้า ผมกำลังอาบน้ำ มือก็พลันถูไปกระทบสิ่งหนึ่งบนแผ่นหลัง มีลักษณะเป็นตุ่มใสๆ และแตกออกตอนที่ผมเผลอไปโดนเข้า ผมเอะใจเล็กน้อย พลางคิดไปถึงเรื่องบางเรื่องที่ผมหวาดกลัวก่อนที่จะมาที่นี่ แต่ผมก็ยังปลอบใจตัวเองว่า ไม่หรอก เรื่องนั้นมันผ่านมานานแล้วนี่นา ก็คิดว่าคงเป็นสิวนั่นแหละ พออาบน้ำเสร็จ เช็ดตัว หวีผม พลันสายตาที่จ้องมองไปในกระจก ก็พบกับสิ่งแปลกปลอมบนใบหน้า ผมเพ่งมอง มันเป็นตุ่มใสๆ เล็ก ผุดขึ้นมาบนหน้าผาก ผมเริ่มใจเสียแล้ว และสิ่งที่ผมหวาดกลัวกำลังจะเป็นจริง ผมลองสังเกตดูตัวเองก็พบว่ายังมีตุ่มลักษณะเดียวกันปรากฏอยู่ประปรายตามแขน ... ผมต้องครวญครางอย่างโหยหวน .... มันนั่นเอง ไม่ผิดแน่แล้ว

ผมรีบไปพบหมอ ขอคำยืนยัน ...

“ครับ ..คุณเป็นอีสุกอีใส” ...

เหมือนสายฟ้าฟาดลงมากลางกบาล ผมนึกอยู่แล้ว มันเกิดขึ้นจริงๆด้วย .. ไม่ใช่ที่เธค ผมนึกย้อนไปถึงเพื่อนผมที่อยู่หอเดียวกัน มันไปเฝ้าแฟนที่เป็นอีสุกอีใส มันเคยเป็นมาแล้ว แต่ผมยัง ... กรรมจึงมาตกอยู่ที่ผม มันเกิดขึ้นช้าจนผมเกือบจะลืมไปแล้ว เมื่อคืนผมคงเที่ยวดึก พักผ่อนน้อย ทำให้เชื้อที่ฝังตัวอยู่ปรากฏขึ้น บ้าที่สุด ทำไมต้องเลือกเป็นเวลานี้ด้วยนะ ผมมีเวลาอีกไม่ถึงเดือนที่จะไปพบพี่ฟ้า แต่ก่อนอื่นคือต้องไปลงทะเบียนให้ทันก่อน ไม่งั้นถ้าไม่ได้เรียนมันก็คงแย่ ผมคงหาเรื่องไปคุยกับเธอทุกวันไม่ได้ แล้วที่สำคัญก็คือ มันจะทิ้งรอยแผลน่าเกลียดไว้รึเปล่า พี่ฟ้าจะรังเกียจหรือเปล่า ผมจะเสียโฉมรึเปล่า เพราะอย่างน้อยๆมันต้องอาศัยเวลาอีกนานกว่าริ้วรอยจะเลือนหาย เค้าว่ากันว่าใครเป็นอีสุกอีใสตอนโตจะหายยาก แล้วก็เป็นมากด้วย ผมคงทำใจไม่ได้หากเรื่องของผมกับพี่ฟ้าต้องยุติลงเพราะโรคที่น่ารังเกียจนี้

วันผ่านไปสองถึงสามวัน ตุ่มหนองผุดขึ้นมาจากไหนไม่รู้ เต็มตัวเต็มหน้าผมเลย โอ...นี่มันอะไรกัน ทำไมขึ้นมากมายขนาดนี้ ผมแทบไม่อยากทำอะไรเลย ไม่อยากกินไม่อยากอ่านหนังสือ ดูหนัง นี่มันแย่ที่สุด แต่เหมือนมีโชคอยู่บ้าง ที่มีคนขายล๊อตเตอรี่ผ่านมาเห็นก็บอกว่า ให้เอาน้ำต้มกับแก่นของต้นมะขาม แล้วอาบเช้าเย็น ค่อนข้างแปลกทีเดียว อย่างกับสวรรค์ดลใจเลย ผมลองทำตาม ตอนนี้อะไรที่พอจะหวังได้ต้องลองทั้งหมด ผมต้องต่อสู้กับความอ่อนแอข้างในด้วย ความท้อแท้ทำให้ร่างกายทรุดโทรมลงได้อย่างไม่น่าเชื่อ ผ่านไป สี่ห้าวัน หน้าผม ไม่เหลือที่ว่างอีกต่อไป ตุ่มใสตุ่มขุ่น ผดเม็ดใสขึ้นเต็มไปหมด จนคนอื่นๆเค้าแปลกใจว่าทำไมเป็นมากขนาดนี้

ผมได้พักรักษาตัวอยู่ในห้อง นั่งครุ่นคิดไปเรื่อยๆ ผมต้องทำใจแล้วว่า คงไปลงทะเบียน
ไม่ทันแน่นอน คงต้องพยายามไป add เอาทีหลัง คิดไปคิดมา ไม่รู้ว่าอะไรมาดลใจให้นึกไปถึงเมื่อครั้งที่ไปบางแสน ผมเคยบนบานศาลกล่าวกับเจ้าแม่เขาสามมุกไว้สองเรื่องคือเรื่องพี่ฟ้า กับเรื่องวิชาแคลคูลัส แต่รายการหลังนี้ ไม่มีพลังใดๆจะแข็งแกร่งไปกว่าความขี้เกียจของผม จึงไม่สมหวัง แต่สำหรับข้อแรกถือว่าสมหวัง ผมยังไม่ได้แก้บนเลย จริงๆ แล้วผมแทบจะลืมไปแล้วต่างหาก

เรื่องแบบนี้เค้าว่า ไม่เชื่ออย่าลบหลู่ ว่าแล้วก็ตั้งจิตอธิษฐานว่า หลังจากหายแล้วจะกินเจตามที่ได้บนบานไว้ ( จะว่าไปเรื่องนี้มีผลดีเพราะหลังจากหายจากโรค และกินเจ บวกกับออกกำลังกายด้วย ทำให้ผมดูดีที่สุดในชีวิต หนัก แค่ 68 กก. อ้อ ผมสูง 175 ซม. )

วันลงทะเบียนผ่านพ้นไป ผมปลงได้ตก ถึงไม่ได้เรียน ไม่ได้คว้า A มาอวดพี่ฟ้า แต่ก็ยังสามารถทำอย่างอื่นที่จะเป็นความประทับใจได้นี่นะ อย่างอารมณ์ขัน น้ำใจ ที่ผมพร้อมจะมีให้เธอนั่นไง ผมวางแผนจะปรับปรุงบุคลิกภาพครั้งใหญ่ ทั้งการแต่งกาย ทรงผม ตอนนี้น้ำหนักก็ลดลงมากเลยด้วย เพราะกินอะไรไม่ค่อยจะลง แต่เท่าที่ดูสภาพแผลก็ดีขึ้นมา ส่วนใหญ่แห้งแล้ว และกำลังตกสะเก็ด เหลือแต่คอยระวังเรื่องแผลเป็นเท่านั้น น้ำมะขามสรรพคุณสุดยอดจริงๆ ยาผีบอกชัดๆ ถึงแม้คนบอกจะขายหวยก็เถอะ ผมเตรียมตัวกลับแล้ว กะว่าจะไป add เผื่อฟลุ๊ค

ผมมีเหตุหลายอย่างทำให้ต้องเลื่อนการเดินทาง จนมาถึงวันเสาร์ที่ 3 เมษายน ซึ่งพออยู่ๆไปก็ชักเริ่มสนุกแล้วซิ แต่ผมมีเรื่องต้องทำ ก็เลยต้องกลับมา ตอนนี้สภาพผมประมาณ 80 % แล้ว แผลแห้ง และตกสะเก็ดเร็วกว่าที่คิด คงไม่เกินสองสามวันที่ผมจะสมบูรณ์เต็มที่ และกลับมาเป็นผมคนเดิม ( ที่อาจจะดีกว่าเดิมด้วย เพราะน้ำหนักลดลงฮวบฮาบ )

ผมไม่รู้ว่าเป็นเพราะสาเหตุใดกันแน่ถึงทำให้ผมหายจากโรคอย่างรวดเร็ว นับรวมเวลาจากวันแรกที่รู้ตัวว่าเป็นมาจนถึงวันนี้ที่สะเก็ดสุดท้ายกำลังจะหลุดก็เป็นเวลาแค่ 13 วันเท่านั้นเอง ปรกติผมเป็นคนที่ร่างกายฟื้นตัวได้รวดเร็วอยู่แล้ว แต่นี่มันน่าแปลก เรียกว่าเหลือเชื่อเลยก็ว่าได้ แผลเป็นก็ไม่มีเอาเลยด้วย นับๆดูบนใบหน้ามีแค่สองรอยที่หน้าผากเท่านั้น ถ้าไม่บอกคงไม่มีใครรู้ว่าผมเพิ่งเป็นอีสุกอีใสมาเมื่ออาทิตย์กว่าๆนี้เอง บางทีอาจจะเป็นเพราะน้ำมะขาม คำอธิษฐาน หรือสภาพร่างกายของผมเอง แต่ผมคิดว่าที่สำคัญกว่าอื่นใดก็คือ กำลังใจของผม ที่ไม่ยอมแพ้


หากจะมีพลังอำนาจอะไรซักอย่างที่แข็งแกร่งที่สุดในโลกนี้

ผมคิดว่าสิ่งนั้นคงเป็นความรัก

และ

ผมอยากจะเชื่อว่า สิ่งนี้เอง ที่ทำให้ผมกลับมาอีกครั้ง
เพื่อใช้เวลาที่งดงามที่สุดช่วงหนึ่งของชีวิต

กับ พี่ฟ้า

To be continue …




 

Create Date : 24 มกราคม 2549    
Last Update : 24 มกราคม 2549 10:01:31 น.
Counter : 361 Pageviews.  

เรื่องของผมกับพี่ฟ้า ตอนที่ 5

Chapter 5 : Nothing but Love

เพชรต้องผ่านการเจียระไนจึงเปล่งประกาย ความรักก็เป็นเช่นเดียวกัน
ความรักที่ไม่อาจรับการทดสอบ เฉกเช่นดอกไม้กระดาษ
ทั้งปราศจากความหอมของบุปชาติ ทั้งไม่มีผลงอกเงย


พี่ฟ้าหันกลับมามองดูผม ด้วยสีหน้างุนงงเล็กน้อย แต่ปราศจากเค้าของความหวาดระแวง และก่อนที่เธอจะพูดอะไร ผมรีบแนะนำตัวไปว่า ผมเองที่เป็นคนส่งจดหมายให้กับเธอ และในที่สุด พี่ฟ้าก็ยิ้มแล้ว..

ไม่ว่าก่อนหน้านี้ผมต้องเผชิญกับความรู้สึกเลวร้ายเพียงใด หากเพื่อรอยยิ้มนี้ ผมรู้สึกว่าไม่ว่าต้องเสียสละเท่าใด ก็คู่ควร ..

ผมรู้สึกใจชื้นขึ้นเป็นกอง เมื่อพี่ฟ้ายิ้ม ความกลัวของผมก็ละลายหายไปแล้ว เธอถามผมว่า ทำไมไม่เห็นใส่แว่นเหมือนในรูปที่วาดมาให้ดูเลย ผมชี้ไปที่กระเป๋าเสื้อ หลังจากนั้นผมก็อ้ำอึ้งอยู่พักหนึ่ง ก็จะทำยังไงได้ ในเมื่อผมใช้แทบทั้งชีวิตที่จะเอ่ยปากทักเธอ ตอนนี้แข้งขามันอ่อนระทวยไปหมดแล้ว พี่ฟ้าก็เดินไปที่รถ ผมเลยเดินตามไป พี่ฟ้าเดินพลางถามผมว่า ผมยังไม่ปิดเทอมอีกหรือ ..ผมก็เอ้อ อ้า ..กว่าจะตอบออกมาว่า ปิดแล้ว ได้ก็ยากเย็นนัก รู้สึกอับอายในความขี้อายของตัวเองเหมือนกัน ทีนี้เธอก็ยิ้มแล้วถามผมว่า “อ้าว แล้วมาทำอะไรล่ะ มารอพี่เหรอ?”

ไอ้ผมก็ดันพาซื่อตอบไปว่า ครับ .... มันเป็นไปเองนะครับ ผมเตรียมคำพูดมาเยอะแยะ มาถึงเวลานี้กลับนึกไม่ออกแม้ซักคำเดียว ผมอยากคุยกับเธอนานๆ อยากได้ยินเธอพูด ผมก็ไม่รู้จะบอกยังไง แค่เห็นพี่ฟ้ายิ้มมันก็เป็นทุกอย่างที่ผมต้องการแล้ว เลยลืมไปหมดที่เตรียมไว้ พอพี่ฟ้าฟังคำตอบที่ไร้ฟอร์ม ไม่มีมุขใดๆทั้งสิ้นของผม คงแปลกใจ เลยหัวเราะเบาๆ

ผมรู้สึกมันเหลือเชื่อจริงๆ ที่ผู้หญิงที่ผมเฝ้าคิดถึง เฝ้าตามดูมาตลอดเกือบครึ่งปีนี้ กำลังอยู่ต่อหน้าผม คุยกับผม และยิ้มให้ผม ในสมองผมรู้สึกเบลอๆ อย่างกับความฝัน จะมีอะไรในโลกที่บันดาลให้คนเราทั้งชาญฉลาด และโง่งม.. กล้าหาญ และขลาดกลัว.. เข้มแข็งและอ่อนแอได้เท่านี้

คงมีแต่ความรักเท่านั้น

ข่าวดีต่อมาก็คือ พี่ฟ้าชวนผมลงเรียนวิชา ศิลปะการดำเนินชีวิต ในซัมเมอร์นี้ เพราะเธอยังต้องช่วยเป็น T.A. ต่อไปอีกเทอม พร้อมทั้งบอกว่า เธอมามหาวิทยาลัยวันนี้เป็นวันสุดท้ายแล้ว กว่าจะมาอีกทีก็เปิดซัมเมอร์โน่นเลย .. ผมเสียววูบเลยเมื่อได้ยิน หากผมเพียง ขี้เกียจกว่านี้ ท้อแท้กว่านี้ หรือแม้แต่วันนี้ไม่เอะใจ ว่าคนที่ขับเบนซ์มาคนนั้นเป็นเธอ คงพลาดไปทั้งชีวิต คงจะไม่มีคำอธิบายใดที่อธิบายสิ่งๆนี้ได้ คงต้องปล่อยให้เป็นปริศนาของชีวิตต่อไป แต่ที่สำคัญที่สุดคือ

ผมโชคดีที่ไม่ถอดใจไปเสียก่อน ถึงวันนี้ผมเชื่อแล้วว่า โซ่แห่งโชคชะตามีอยู่จริงๆ เพราะมันดึงผมกับพี่ฟ้ามาอยู่ต่อหน้ากันตอนนี้แล้ว ...

ผมบอกกับเธอว่า ผมจะมาเรียนแน่ๆ พี่ฟ้ายิ้มแล้วบอกกับผมว่า “แล้วเจอกันตอนซัมเมอร์นะ” ... ผมถือโอกาสมองหน้าเธอเต็มๆตา เป็นครั้งแรก .. ผมสาบานได้ว่า ไม่เคยเห็นใครยิ้มสวยเท่าพี่ฟ้ามาก่อนเลย และก่อนจะขึ้นรถไปเธอหันมาบอกกับผมอีกว่า “แล้วคุยกันใหม่นะ”
ผมพอได้ยิน ถ้าไม่เกรงใจว่าต้องรักษาฟอร์มไว้บ้าง คงกระโดดตัวลอยไปแล้ว ตอนเดินกลับหอ ผมแทบหมดแรง ต้องหาที่นั่งพักสงบจิตสงบใจ ที่มันพลุ่งพล่าน แต่ก็มีความสุขมากๆ เย็นนั้นผมกลับไปเตรียมของเพื่อเดินทางไป เมืองเลย ตามแผนการเดิมที่ได้วางไว้ ด้วยความปลอดโปร่ง และเร่งเวลาให้ซัมเมอร์เปิดไวๆ ก่อนไปผมโทรไปหาเจิด เพื่อนผู้ช่วยเหลือผมมาตลอดในภารกิจนี้ เพื่อรายงานความสำเร็จของผมในครั้ง

ผมเองก็ไม่คาดฝันมาก่อนว่า การพบกันครั้งนี้เป็นเพียงการเริ่มต้นเท่านั้น ที่ผมพยายามมาตลอดนั้นไม่ได้หวังอะไรเลย เพียงแต่อยากบอกให้เธอรับรู้ไว้เท่านั้นว่า ผมชอบเธอ ผมเพียงแค่ไม่อยากให้ความรู้สึกของผมเป็นเหมือนจดหมายที่เขียนไว้แล้วเก็บไว้ในลิ้นชัก ไม่ได้ส่งไปถึงใครอีกคน ไม่อยากให้พี่ฟ้าเหมือนคนอื่นๆ ที่เพียงแค่เดินผ่านเข้ามาสร้างความประทับใจ แล้วก็เดินจากไปโดย ยังไม่ได้ทำความรู้จักกัน ผมต้องการเพียงเท่านี้จริงๆ แต่เมื่อบางครั้งที่เราลังเลที่จะเริ่มต้นก้าวแรกเพื่อทำอะไรซักอย่างหากเรามีความกล้าเพียงพอ และมันลงตัว เราจะก้าวต่อไปอีกเรื่อยๆ อย่างน่าประหลาดใจ

แต่ก่อนจะถึงเวลานั้น ผมยังต้องเจอนรกอีกครั้ง รักแท้นี่ช่างยากเย็นแสนเข็ญเสียเหลือเกิน แต่ รักแท้ต้องผ่านการทดสอบครับ อะไรที่ได้มาง่ายดายมัก ไม่ยั่งยืน แต่บททดสอบนี้ทำร้ายผมสาหัสกว่าเพียงแค่จิตใจ ร่างกายผมก็แทบตายทั้งเป็นทีเดียว ..จะเป็นอะไรกันหนอ ..

To be continue …




 

Create Date : 24 มกราคม 2549    
Last Update : 24 มกราคม 2549 9:46:00 น.
Counter : 423 Pageviews.  

เรื่องของผมกับพี่ฟ้า ตอนที่ 4

Chapter 4 : Fallen one

ชีวิตคนเรานั้นคล้ายหนังสือ เราไม่มีวันรู้เลยว่าขณะที่เรากำลังอ่านมันอยู่นั้น เมื่อไรจะเป็นบทอวสาน บางทีอาจเป็นหน้าถัดไป เริ่มต้นอย่างน่ากลัว และจบลงด้วยความเศร้า แต่ส่วนสำคัญที่สุด ก็คือ เรื่องราวระหว่างนั้น

หลังจากได้รับจดหมายฉบับนั้นมาแล้ว ผมดีใจมาก กลับมาที่หอ ก็เอาแต่นั่งอ่านจดหมายที่เธอตอบกลับมา ซ้ำไปซ้ำมา อ่านแล้วก็ยิ้มอยู่คนเดียว เหมือนคนบ้า ตอนนั้นผมรู้สึกมีความกล้า และต้องการจะได้รู้จักพี่ฟ้าจริงๆ ผมไม่นึกถึงผลที่จะตามมาอีกต่อไป ผมคิดว่าตัวเองไม่กลัวแล้ว ในนาทีนั้นที่ผมถือจดหมายอยู่ในมือ ผมรู้สึกตัวเองมีความกล้าอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

ความกล้าสามารถก่อเกิดได้จากหลายเหตุผล บ้างสืบเนื่องจากความรัก บ้างเกิดจากคุณธรรมน้ำมิตร หรือแม้แต่สืบเนื่องจากความแค้น แต่ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใด ความกล้าเป็นสิ่งที่น่ายกย่องทั้งสิ้น

แต่ผมกลับมีนิสัยเสีย ที่ชอบผลัดวันประกันพรุ่ง มักละเลยปล่อยให้โอกาสหลุดลอยไปอยู่บ่อยๆ คิดเพียงแต่ว่า เอาไว้วันหลัง เดี๋ยวจะทำ ผมมักมั่นใจว่าตัวเองวางแผนเป็นมั่นเหมาะ ต้องไม่พลาดแน่นอน แต่ความพยามอยู่ที่คน ความสำเร็จกลับอยู่ที่ฟ้า ..และครั้งนี้ผมจะได้สำนึกแล้ว..

วันต่อมาหลังจากตอบจดหมาย ผมนั่งรอดูเธอระยะใกล้ ในใจนั้นหวังว่าถ้าจังหวะเหมาะจะได้เดินเข้าไปหา ผมนั่งที่ร้านถ่ายเอกสารข้างๆ คณะคหกรรม สักพักพี่ฟ้าก็เดินออกมา วันนี้พี่ฟ้าใส่ชุดทำงานสีดำทั้งชุด เสื้อเชิ้ตตัวในสีน้ำตาล ผมเห็นเธอเดินไปที่รถ พลางมองดูกระจกหน้า เดาเอาว่าคงมองหาจดหมายนะ ผมได้ยินเสียงหัวใจผมเต้นดังรัว และถี่ จริงๆแล้วมันแทบจะกระดอนออกมาข้างนอกเลยมากกว่า .... ใกล้เข้ามาแล้ว ....พี่ฟ้ากำลังจะไปที่รถ ... ไปซิ ! เร็ว

... ไม่มีอะไรเกิดขึ้น ... พี่ฟ้าไขกุญแจรถแล้ว ... ขณะที่ผมยังคงนั่งนิ่งอยู่ที่เดิม ..ขาทั้งสองข้างไม่ได้ขยับแม้แต่น้อย ... พี่ฟ้าก้าวเข้าไปนั่งในรถแล้ว ... ไปซิโว้ย! ... สายไปแล้ว... พี่ฟ้าปิดประตูรถ พร้อมๆ กับที่ผมปิดประตูความหวังของตัวเอง รถค่อยๆแล่นผ่านไป ...ผมไม่รู้ว่าเธอสังเกตเห็นผมรึเปล่า เพราะผมมัวแต่เอาหนังสือปิดหน้าอยู่ นี่หรือความกล้าที่ผมมี รู้สึกแย่จริงๆ ผมปล่อยโอกาสไปอีกครั้ง แล้วครั้งไหนล่ะ จะเป็นโอกาสครั้งสุดท้ายของผม

วันนั้น เป็นวันศุกร์ ที่ 12 มีนาคม เป็นวันสุดท้ายของเทอม แม้จะยังเหลือสอบในวันเสาร์ อาทิตย์ ก็ตาม แต่สำหรับผู้ที่จะมาทำธุระ หรือติดต่องานนี่เป็นวันสุดท้าย ดังนั้นวันนี้ผมต้องไม่พลาดอีก ผมคิดว่าผมต้องทำได้

แต่เพียงแค่เริ่มต้นวันมันก็แย่ซะแล้ว ผมอ่านหนังสือทั้งคืน แต่พอเห็นข้อสอบเท่านั้น ก็แทบลุกขึ้นส่งกระดาษเปล่าเลย ผมตกแน่ ...

การได้เข้าไปหาพี่ฟ้าอาจจะเป็นอะไรที่พอจะช่วยได้ ในด้านของกำลังใจ พวกเพื่อนๆ ไปดูหนังผ่อนคลายกัน แต่ผมในเวลานั้น เพียงอยากพบพี่ฟ้าเท่านั้น แต่โอกาสที่ผมเพิ่งปล่อยให้มันวิ่งหายไปเมื่อวาน ดูเหมือนจะเป็นโอกาสสุดท้าย เพราะผมรอจนเย็น จนเค้าปิดคณะกันแล้ว ก็ไม่เห็นแม้แต่เงาของพี่ฟ้า เมื่อมองดูลานจอดรถว่างเปล่า และอาคารเรียน ปิดประตูหน้าต่างหมดแล้วผมรู้สึกเหมือนโลกทั้งโลกพังครืนลงตรงหน้า ความเศร้าในขณะนั้น เป็นความเศร้าที่ไม่เคยเกิดขึ้นกับผมมาก่อน บางทีมันอาจเป็นเพราะว่า ผู้ที่ทำลายโอกาสที่ใกล้วเพียงมือคว้าของผมนั้น คือตัวของผมเองก็เป็นได้ ผมรู้สึกเกลียดตัวเองอย่างมาก ไม่เคยมีครั้งไหนที่ผมจะผิดหวังในตัวเองเท่านี้ ผมเดินไปเรื่อยๆอย่างเคว้งคว้างว่างเปล่า นั่งอยู่ที่สวนหย่อมข้างๆ อนุสาวรีย์สามบูรพาจารย์ ไม่รู้ว่ามองอะไร คิดอะไร ผมรู้สึกว่ามันมึน เบลอไปหมด รู้ตัวอีกทีก็เดินมาถึงหอ โชคดีที่ยังไม่มีใครกลับมา ผมเข้าไปในห้องน้ำ แล้วก็ร้องไห้ ......

ผมตระหนักแล้วว่า พี่ฟ้าเป็นคนพิเศษสำหรับผมจริงๆ ผมเพียงภาวนา ขอโอกาสอีกสักครั้ง แล้วผมจะไม่รีรอเลย ที่จะเข้าไปเพื่อบอกกับเธอว่า ผมนี่แหละที่เป็นคนส่งจดหมาย และมองเธออยู่นานแล้ว ผมอยากพูดเท่านี้จริงๆ เพื่อที่จะได้ไม่มีอะไรค้างคาในใจ แม้ต้องจากกันผมก็พร้อมจะยอมรับ แต่ขอให้ผมได้พูด ได้บอกกับเธอก่อนเถอะ ...

ผมไม่รู้ว่า ปาฏิหาริย์ จะบังเกิดขึ้นอีกครั้งหรือไม่ แต่หลังจากผ่านค่ำคืนที่แสนทรมานนั้นมาผมก็ตั้งใจแล้วว่า ผมจะไม่รอคอยปาฏิหารย์เพียงอย่างเดียว แต่ผมจะสร้างมันขึ้นมา สิ่งที่ผมเชื่อก็คือ ครึ่งหนึ่งของปาฏิหาริย์คือความพยายามของคน ..

ผมเริ่มกลับมาใช้ความคิด และสติปัญญาอีกครั้ง หลังจากมีความรู้สึกเหมือนตายไปแล้วเมื่อคืนที่ผ่านมา เพียงแค่คิดย้อนกลับไปก็รู้สึกว่ามันช่างน่ากลัวเหลือเกิน นี่กลับเป็นอีกด้านของความรัก ... แต่เมื่อผมได้มีเวลาสงบสติอารมณ์ และหยิบจดหมายนั้นขึ้นมาใหม่ ผมก็เริ่มมองเห็นความหวังเลือนราง พี่ฟ้าบอกว่าจะจบในซัมเมอร์นี้ ... นั่นแหละ .. ซัมเมอร์นี้ ไม่ใช่เทอมนี้นี่นา..

ความหวัง จะมากจะน้อยก็เป็นความหวัง
ขอเพียงมีความหวัง ไม่ว่าน้อยนิดเพียงใด
ก็ล้วนคู่ควรให้ดิ้นรน ไขว่คว้า ...

วันเสาร์ผมไปสอบวิชาสุดท้าย ทำได้พอสมควร คิดว่าไม่น่าจะตก หลังจากสอบเสร็จ ผมก็ไปนั่งรอพี่ฟ้า นานมากๆ เกือบๆจะ 6 ชั่วโมง เดินอีกหลายกิโลฯ เพื่อไปยังที่ๆ เชื่อว่าเธออาจจะแวะเวียนไป เหมือนจะถูกทดสอบความอดทน แต่ผมกลับไม่รู้สึกเครียดอีก ทั้งนี้เพราะเมื่อมาถึงตอนนี้ ผมได้ตระหนักในใจแล้วว่า ความรู้สึกที่มีให้พี่ฟ้า เป็นของจริง สิ่งที่ผลักดันให้ผมยืนอยู่ที่นี่ ทำสิ่งเหล่านี้ ก็คือความรู้สึกนี้เอง

วันอาทิตย์ ผมไม่คิดว่าจะมีใครมามหาวิทยาลัย เลยไม่ได้ไปรอ ตอนนี้ ความอดทน และความกล้าของผมขึ้นถึงขีดสุดแล้ว ผมมีลางสังหรณ์ว่าผมจะสร้างปาฏิหาริย์ได้สำเร็จ
วันจันทร์ ที่ 15 มีนาคม ผมไปที่คณะของผม หาที่นั่งรอในหอสมุดของคณะ เลือกที่เหมาะๆสำหรับดูที่จอดรถที่อยู่ฝั่งตรงข้ามได้แล้ว วันนี้แม้จะเป็นวันปิดเทอม แต่ก็มีคนมาไม่น้อย ผมหวังว่า พี่ฟ้าจะเป็นหนึ่งในนั้น ผมมาตั้งแต่ประมาณ 8 โมงเช้า นั่งรอไปเรื่อยๆ เดินไปดูบ้าง เข้าห้องน้ำบ้าง ไม่แตะอาหารเลย จนถึง 5 โมงครึ่ง เค้าปิดตึก ก็กลับ ผมยังคงไม่ท้อถอย แม้ตามสถิติที่ผมบันทึกไว้ วันอังคารตามสถิติของผมแล้ว เป็นวันที่พี่ฟ้า มาที่มหาวิทยาลัยน้อยที่สุดแต่มันก็ไม่แน่เหมือนกัน ผมยังยินดีที่จะรอ

ไม่ว่าความมืดจะยาวนานปานใด จะช้าหรือเร็ว
แสงสว่างอันเรืองรองต้องกรายมา

คนท้อแท้สิ้นหวัง ที่สามารถมีชีวิตสืบต่อ เพราะฝากความหวังไว้กับคำ “วันพรุ่งนี้”

วันอังคารที่ 16 มีนาคม ผมมาถึงมหาวิทยาลัยตอน 10 โมงครึ่ง รถที่คณะ A น้อยจนน่าตกใจ ผมรู้สึกใจเสียวูบหนึ่ง แต่ก็พยายามหนักแน่นไว้ หากเราคือคนสองคนที่ควรจะใกล้ชิดกัน มันก็จะมีโซ่เส้นหนึ่งที่ดึงเราทั้งคู่มาใกล้กันในที่สุด ผมทุ่มเทไปทั้งหมดแล้ว ที่เหลือ อยู่ที่โชคชะตา
และโชคชะตาคงกำหนดไว้แล้วเช่นกัน หลังจากการได้เรียนรู้บทเรียนอันเจ็บปวด ขณะที่ผมกำลังนั่งมองจากหน้าต่างห้องสมุดคณะ ผมเห็นรถแอคคอร์ดสีขาว แล่นมาจอด แต่กลับไม่ใช่รถพี่ฟ้า จนเวลาเริ่มล่วงเข้าบ่ายคล้อย แสงแดดเริ่มอ่อน ประมาณ 3 โมง ถึง 4 โมงเย็น รถเบนซ์สีดำที่ไม่สะดุดตาคันหนึ่งแล่นเข้ามาช้าๆ ทีแรกผมไม่ใส่ใจที่จะมองด้วยซ้ำ ผมนั่งเหม่อมอง ในใจครุ่นคิดว่า พรุ่งนี้จะยอมเลิกดีไหมหนอ แต่เมื่อคนที่ขับรถเบนซ์คันนั้นเดินเข้าไปในตึก เพียงพริบตาเดียวที่ผมเห็นชายเสื้อ และเงาหลังแค่เสี้ยวเดียว ต้องบอกว่าแค่เสี้ยวเดียวจริงๆ แต่หัวใจผมนี่สิ เหมือนกับมันรับรู้ได้ถึงการมาของเธอ คนที่ผมเฝ้ารอ

เหมือนวันแรกเลย หัวใจเต้นรัวแบบนี้ ใช่แน่แล้ว พี่ฟ้า ไม่มีใครอื่นอีกแล้วที่จะทำให้ผมเกิดอาการแบบนี้ แม้มองไม่เห็น แต่จิตใจผมสัมผัสได้ ผมรีบวิ่งลงมาที่ร้านถ่ายเอกสาร ใจก็เริ่มวิตกว่า เอ..ทำไมถึงเปลี่ยนรถ รถนี้ก็ไม่ใช่ใหม่ ..หรือว่ามากับแฟน ...แต่เท่าที่มองดูก็ไม่เห็นมีใครที่ส่อว่าจะเป็นคนที่ผมกลัวอยู่

ผมรออยู่นานมากๆ จนเย็นเกือบจะ 5 โมงเข้าไปแล้ว ชักกลัวๆขึ้นมา และแล้ว พี่ฟ้าก็เดินออกมา ผมเดินมาอยู่ที่ตู้โทรศัพท์ และเธอเดินเข้ามาแล้ว ใกล้แค่นี้เอง ใจผมยิ่งเต้นรัว โอย..จะทำไงดี ต้องไม่กลัวนะ ต้องไม่กลัว ในใจผมพร่ำภาวนาแต่คำนี้ พี่ฟ้าอยู่ในชุดเสื้อแขนยาวสีขาว กระโปรงแคบยาวถึงเข่า สีเทา ผมกำลังจะหันหลังกลับ จึงรีบขู่ตัวเองว่า อย่าเชียวนะ พลาดคราวนี้ตายก็ตายตาไม่หลับแน่

ผมทุ่มเทความกล้าทั้งชีวิตออกไป พร้อมๆ กับ ความรู้สึกอีกมากมาย ก้าวยาวๆเข้าไป และเอ่ยขึ้นด้วยเสียงแผ่วเบาราวกระซิบ .......... “พี่ฟ้าครับ” ..........

To be continue …




 

Create Date : 21 มกราคม 2549    
Last Update : 22 มกราคม 2549 9:43:13 น.
Counter : 429 Pageviews.  

1  2  

Indiana Joe
Location :
กรุงเทพ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




จะกู้ชาติกันไปทำไม ....
ถ้ามันเหลือแต่ซาก .....
สีเหลือง สีแดง สีขาว .....
ใีครคือผู้ที่กู้ชาติอย่างแท้จริง ....
คนที่กู้ชาติจริงๆ คือ คนที่ทำงานทุกคน ...
หมอ ทนายความ ครู นักการเงิน ภารโรง ....
และทุกๆอาชีพ ที่ทำงานของตนเองให้ดีที่สุด .....
เพื่อพยุงเศรษฐกิจของประเทศนี้ให้อยู่รอดได้ ...
คนพวกนี้แหละ กู้ชาติ .....
ไม่ใช่ประท้วงเพื่ออุดมการณ์ที่ไม่อยู่ในโลกความเป็นจริง ...
จะเอาเขาพระวิหารมาทำไม ถ้าเขาใหญ่เรายังดูแลไม่ทั่วถึง ..
จะสนเกียรติยศศักดิ์ศรีทำไม ถ้าพี่น้องเรากำลังจะอดตาย ...
Friends' blogs
[Add Indiana Joe's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.