Group Blog
 
All Blogs
 

อาถรรพ์บ้านไร่ (เรียบเรียงใหม่)

*** เนื่องจากผมโพสต์ ตอนที่ 2-3 ไปแล้ว มันไม่โชว์ในหน้า update ก็เลยตัดสินใจลบบล๊อกเดิมไปครับ และ เขียนตอนใหม่นี้ขึ้นมา เล่าทีเีดียวจบไปเลยก็แล้วกัน เรียบเรียงประโยคใหม่ด้วย ***

ประสบการณ์เรื่องนี้ เป็นเรื่องที่ผมได้ฟังมาจากเพื่อนคนหนึ่ง ชื่อชิต เมื่อคืนวันส่งท้ายปีเก่า ต้อนรับปีใหม่ พ.ศ. 2545 ซึ่งผมจำเรื่องที่ชิตเล่าให้ฟังได้ไม่มีลืม เรื่องมีอยู่ว่า

ชิต ครูหนุ่มจบใหม่ จากรั้วมหาวิทยาลัยใกล้ชาดหาดในภาคตะวันออก จับผลัดจับผลูได้ไปสอนที่หมู่บ้านเล็กๆแห่งหนึ่งในอำเภอบ่อพลอย จังหวัดจันทบุรี ซึ่งที่นี่เคยมีชื่อเรื่อง ขุดพลอย ไม่แพ้ อำเภอบ่อไร่ จังหวัดตราด แม้ว่าพักหลังจะซบเซาลงไปมากแล้วก็ตาม แต่หมู่บ้านที่ชิตไปสอนค่อนข้างจะกันดาร และอยู่ไกลจากตัวอำเภอมาก ไม่มีทั้งน้ำประปา ไฟฟ้า นอกจากโรงเรียนแล้ว บ้านทุกหลังในหมู่บ้าน ไม่มีไฟฟ้ากันทั้งนั้น

โรงเรียนที่มีฉากหลังเป็นภูเขานี้ มี 2 อาคาร อาคารหลังแรกเป็นอาคารเก่า สร้างมาราว 10 ปีกว่า เป็นอาคารไม้ 2 ชั้น ที่ชาวบ้าน และพวกอาสาพัฒนา ช่วยกันสร้าง ตั้งอยู่บนเนินเขา ส่วนอาคารที่สอง ตั้งอยู่บนพื้นราบ ติดกับอาคารไม้หลังเก่า เป็นอาคารปูนสูง 3 ชั้น มีบันได้ขึ้น 2 ฝั่งซ้ายขวา โถงทางเดินเปิดโล่ง ถ้าเคยเห็นโรงเรียนประชาบาลตามต่างจังหวัด ก็จะนึกออก เป็นแปลนเดียวกันทั้งประเทศครับ อาคารนี้ ทางจังหวัดสร้างให้ ด้านหน้าอาคารเป็นเสาธง มีลานโล่งๆ ใหญ่ขนาดครึ่งสนามฟุตบอลให้เด็กเข้าแถวตอนเช้า ริมลานนั้นมีแป้นบาสเก่าๆ 1 แป้น มีโกล์ฟุตบอลเล็ก 2 ตัว มีโรงไม้สำหรับเป็นที่ทำกิจกรรมของเด็ก มีโต๊ะปิงปองให้เด็กเล่น

แม้รู้ตัวว่า งานนี้ ลำบากหนักอย่างแน่นอน แต่ด้วยวิญญาณความเป็นแม่พิมพ์ของชาติ ชิตจึงขอลองอยู่ดูซักตั้ง ส่วนหนึ่งก็เพราะเด็กที่นี่น่าสงสารและโรงเรียนก็ขาดแคลนครูจริงๆ คนในหมู่บ้านนี้ทั้งหมดเป็นบ้านจนๆกันทุกคน เพื่อนผมทั้งสอนหนังสือ ทั้งชวนเด็กทำกิจกรรม เล่นกีฬา อยู่ไปซักพัก ก็เริ่มสนุก คือ เด็กๆ ที่นั่นเป็นผ้าขาวจริงๆ ไม่ถูกวัตถุนิยมย้อมสีเหมือนเด็กในเมือง

แต่มันก็มีเด็กอยู่คนนึง ไม่ยอมทำกิจกรรมอะไรกับเพื่อนๆ วันๆเอาแต่นั่งจับเจ่าอยู่คนเดียว ไม่พูดไม่จากับใคร หน้าตาเคร่งเครียด เพื่อนผมบอกว่า เห็นเด็กคนนี้แล้ว นึกว่า ผู้ใหญ่อายุซัก 30 คือ ทั้งสีหน้า แววตา มันเป็นผู้ใหญ่เกินตัว มองตาเด็กคนนี้ ไม่มีแววซุกซนอยู่ในนั้นเลย มีแต่ความสงบนิ่ง สุขุม แต่ก็เหมือนแบกความทุกข์หนักอึ้งเอาไว้บนบ่า

เพื่อนผม ไม่คิดอะไร นอกจากกลัวว่า เด็กจะมีปัญหา นึกๆแล้ว ก็เลยอยากไปเยี่ยมบ้านเด็กคนนี้ดู เผื่อมีอะไรจะได้ช่วยเหลือได้ ผมจำไม่ได้แล้วว่า เด็กชื่ออะไร แต่รู้สึกว่า เพื่อนผมมันจะไม่บอก ก็เอาว่า สมมติให้เด็ก ชื่อ โต ก็แล้วกัน เย็นนั้น ชิตก็เลยเดินไปหาโตที่ห้องเรียน เห็นโตกำลังจะกลับบ้าน ก็เลยเรียกโตเข้าไปคุย บอกว่า จะไปเยี่ยมบ้าน อยากไปคุยกับแม่ของโต มันบอกว่า คิดว่าจะไปคุยกับผู้ปกครองของเด็กทุกคน จะได้ดูแลเรื่องเรียน และเรื่องทางบ้านใกล้ชิด ด้วยว่าสังคมบ้านนอก จะเคารพบุคคล 2 ประเภท คือ พระ และ ครู เพราะทั้งสองบุคคลนี้ เป็นผู้ชี้นำทาง เป็นเหมือนหลักให้กับสังคมบ้านนอก อันไหนเป็นเรื่องทางโลกมากเกินกว่าที่พระจะเข้าไปวุ่นวาย ก็เป็นหน้าที่ของครู

โต ไม่มีทีท่าอิดเอื้อนแต่อย่างใด เพื่อนผมแปลกใจเล็กน้อย คิดว่า ถ้าเด็กมีปัญหาจริง จะไม่ค่อยอยากให้ครูไปยุ่มย่ามที่บ้าน แต่ก็คิดว่า ดีแล้ว ก็เลยชวนโตเดินกลับบ้าน

ซึ่ง เรื่องแปลกของโตอย่างแรกก็คือ พอเพื่อนผมทำท่าจะเดินลงซึ่งจากห้องเรียนโตอยู่ชั้น 3 ฝั่งซ้าย แทนที่โตจะเดินตามลงบันได ฝั่งซ้ายที่อยู่ติดห้องเรียนตัวเอง โตกลับเดินไปทางขวา เพื่อนผมก็ งงๆ แต่ก็เดินตามไป ระหว่างทาง เด็กโตไม่พูดไม่จา กับเพื่อนผมเลย เหมือนคิดอะไรไปตลอดทาง บ้านของเด็กๆในหมู่บ้าน จะอยู่ห่างจากโรงเรียนไปค่อนข้างไกล และบ้านแต่ละหลังจะปลูกห่างกันค่อนข้างมาก แถมมีสุมทุมพุ่มไม้หนาทึบอีก ตามลักษณะบ้านแถวบ้านนอก ส่วนเพื่อนผมพักบ้านพักครู ซึ่งมีอยู่ 4 หลัง รวมของครูใหญ่ด้วย

ชิตไปถึงบ้านของโต ก็เห็นแม่ของโตเดินออกมา แม่ของเด็กแปลกใจเล็กน้อยแต่ก็ยกมือไหว้คุณครูคนใหม่ ด้วยความเคารพ กุลีกุจอหาที่นั่ง หาน้ำหาท่าให้ และชวนกินข้าวเย็นตามประสา เพื่อนผมไม่เห็นพ่อของโต ก็เลยถามว่า คุณพ่อไปไหนล่ะ ... แม่เด็กได้ยินก็บอกว่า พ่อโตตายไปตั้งแต่ 4 ปีก่อนแล้ว แกบอกว่า มันเป็นอุบัติเหตุ พ่อเด็กได้ยินเสียงมาจากปลายไร่ กลัวว่า เป็นโจรขโมยเครื่องสูบน้ำ กว่าจะหาหยิบยืมเงินญาติพี่น้องมาดาวน์ได้ก็แทบตาย นี่ยังผ่อนส่งได้ไม่ทันไร ถ้าหายไปก็ไม่มีเครื่องมือทำมาหากิน แถมเป็นหนี้ท่วมหัว

สำหรับคนบ้านนอกแล้ว เงินหมื่นสองหมื่น เป็นอะไรที่ต้องฝันเอาเท่านั้น ชีวิตจริงอย่าหวังว่าจะได้แตะ

พ่อ โตออกไปครึ่งคืนค่อนคืน แม่โตไม่ได้ยินเสียงปืนสักนัด จะออกไปตามก็ไม่กล้า ลูกยังเล็ก หากออกไปใครจะดู กลัวก็กลัว ห่วงก็ห่วง ฟ้าสางพ่อโตกลายเป็นศพนอนแข็งทื่ออยู่ท้ายไร่แล้ว ไม่มีบาดแผล ไม่มีร่องรอยต่อสู้ เครื่องสูบน้ำยังอยู่ดี แต่เสาหลักของครอบครัวหายไปแทน ......

หลังจากพ่อเด็กตาย โตก็ซึมไป ตอนนั้น โตอายุแค่ 8 ขวบเท่านั้นเอง แม่เห็นโตมองออกไปที่ไร่ตลอดเวลา ไม่พูดกับใครเป็นเดือนๆ บางทีก็เห็นลูกน้ำตาไหล แต่โตไม่เคยร้องไห้งอแง เหมือนเด็กอื่นๆ

พูด ถึงตรงนี้ แม่โตก็เงียบไป เหมือนลังเล จะพูดอะไรก็ไม่กล้า เพื่อนผมมองหน้าโต เห็นโตมองแม่ ด้วยแววตาสงสารแม่จับใจ อยู่ๆโตก็พูดกับเจ้าชิตเพื่อนผมว่า

"ผมรู้ว่าพ่อออกไปแล้วจะไม่ได้กลับครับครู .... ผมเรียกพ่อไว้ แต่พ่อไม่ฟัง"

ชิตหันไปมองหน้าแม่โต เห็นแม่เด็กพยักหน้า ก็รู้ว่า โตไม่ได้ล้อเล่น ครูชิตรู้สึกทั้งตกใจ ทั้งประหลาดใจ ก็เลยขอให้โตเล่าให้ฟัง

โต เล่าให้ฟังว่า คืนนั้น โตเห็นพ่อเดินลงเรือน แต่พ่อไม่มีหัว เขาพยายามห้ามพ่อแล้ว แต่จนแล้วจนรอด พ่อก็ไม่ฟัง พ่อห่วงเครื่องสูบน้ำมาก

แต่เขารู้ รู้ว่า ไม่มีโจรที่ไหน แต่มีบางอย่าง บางอย่างที่ดำมืดอยู่ข้างนอกนั่น

ชิตฟังโตพูด สองจิตสองใจ ไม่อยากคิดว่า เด็กจะตั้งใจโกหก แต่ก็อาจจะเป็นไปได้ว่า เด็กได้รับความกระทบกระเทือนทางอารมณ์มาก เพราะพ่อตายไปทั้งคน

เพื่อนผมถามว่า ทำไมโตถึงรู้ โตเห็นอะไร

เด็ก โต บอกว่า ตอนนั้นเขายังไม่เห็นอะไรมาก นอกจากเห็นพ่อไม่มีหัว แต่ก็รู้สึกได้ว่า มันมีบางอย่างไม่ดี จนกระทั่งเดี๋ยวนี้ เขาไม่เคยให้แม่ออกไปนอกบ้านหลังตะวันลับขอบฟ้าเลย

แม่โตนั่งลงข้างๆ ลูก เล่าเสริมขึ้นมาว่า นางก็ไม่รู้ว่า ลูกรู้ ลูกเห็นอะไร แต่ก็เชื่อลูก นับแต่พ่อเด็กตาย ก็มีเรื่องแปลกเกิดขึ้น โตเคยทักเพื่อนบ้านคนหนึ่งว่า อย่าขี่มอเตอร์ไซค์ แต่ไอ้หนุ่มคนนั้นไม่เชื่อ บอกว่าจะขี่เข้าไปเที่ยวในเมือง ไม่ทันพ้นหมู่บ้านดี มอเตอร์ไซค์ตกหลุม คว่ำไม่เป็นท่า คนขับคอหักตาย ตั้งแต่นั้น ก็มีคนร่ำลือว่าลูกของนาง มีญาณวิเศษ มองเห็นอนาคต ยิ่งไปกว่านั้น เคยมีคนโดนผีเข้า คนโดนของ มาขอให้ลูกของนางช่วย โตก็ไม่ปฏิเสธ แถมแก้ให้รอดได้ทุกรายไป

ครั้นนางถามลูกชายว่า ไปรู้วิชาพวกนี้มาจากไหน ลูกก็บอกว่า ไม่รู้เหมือนกัน ตั้งแต่เด็กๆ เวลาเขานอนหลับฝันไป ก็จะพบว่า ตัวเอง ไปอยู่ในที่แห่งหนึ่ง สว่างไสว สวยงาม เบื้องหน้า มีศาลาสีทองเรืองรอง กลางศาลามีแท่นแก้ว บนแท่นแก้วมีหนังสือเป็นพับๆ เหมือนสมุดใบลานในวัน ข้างในนั้นมีเรื่องให้อ่านให้เรียนมากมาย แต่ไม่ใช่ภาษไทย กอไก่ ขอไข่ อย่างที่เขาเรียน เป็นภาษาอะไรก็ไม่รู้ แต่เขาดูแล้วเข้าใจ เขานอนหลับไปทีไรก็ได้ไปที่แห่งนั้นทุกทีไป อยากรู้อะไรก็ไปอ่าน ก็จะเจอทุกทีไป แม่โตเล่าว่า โตนั่งสมาธิตั้งแต่ยังเล็ก นางยังคิดอยู่ว่า ลูกคนนี้คงเอาดีทางพระธรรมแน่แล้ว

โตเล่าให้ฟังว่า ตอนที่พ่อตาย เขาก็ฝันแบบนี้ แต่ตอนนั้นไม่คิดสนใจอะไรมาก อ่านเล่นๆไปเท่านั้นเอง พอพ่อตายไป เขาเสียใจมาก ก็เลยตั้งใจอ่าน ตั้งใจศึกษา ที่นี่มีอะไรอีกหลายอย่าง ที่คนอื่นๆไม่รู้ ไม่เห็น แต่เขาเห็น และเขาก็ตั้งใจว่า จะช่วยเหลือคนให้ได้มากที่สุด

ชิตก็ถามว่า แล้วไม่คิดเหรอว่า มันเป็นอุบัติเหตุ มันเกิดจากความประมาทแต่ โตบอกว่า มันมีหลายอย่างทำทำให้เป็น บางอย่างเกิดจากสิ่งลี้ลับบางอย่างที่ไม่มีใครรู้ ใครเห็น แต่บางคนก็มีกรรมเก่าต้องชดใช้ ไม่มีทางหนีพ้น ไม่ว่าโตจะบอกเตือนยังไง คำเตือนของเขาก็จะมีอันตกไปเสียทุกครั้ง

จนมีอยู่ครั้ง หนึ่ง เขาฝันว่าไปที่ศาลาหลังเดิม แต่พบว่า มีฤาษีท่านหนึ่งนั่งสมาธิอยู่หน้าศาลา ฤาษีท่านนี้บอกว่า ท่านกับโตผูกพันเป็นครูเป็นศิษย์กันมาหลายภพหลายชาติ ท่านได้มาเตือนไม่ให้โตพยายามเปลี่ยนกรรมของใคร ซึ่งเป็นเรื่องทำให้เขาทุกข์ใจอย่างมาก เพราะเขาเห็นว่าคนที่เขารู้จัก กำลังจะตาย แต่ก็บอกไม่ได้

โรงพยาบาล เป็นที่ที่โตไม่อยากไปมากที่สุด เพราะเขาเห็นพวกคนที่ทนทุกข์ทรมานเหล่านั้น พวกเขาบางคนไม่สามารถไปไหนได้ ก็เดินวนเวียนอยู่ในนั้น และเขาเห็นญาติพี่น้องมองคนไข้ที่กำลังจะตาย โดยที่พวกเขาไม่รู้เลยว่า ชะตาของคนๆนั้น ถึงฆาตแล้ว ด้วยเหตุนี้ ทุกครั้งที่เข้าไปในโรงพยาบาล เขาทั้งกลัว ทั้งสังเวช แต่โตบอกว่า เดี๋ยวนี้ความกลัวหายไปแล้ว แต่ก็ยังรู้สึกสังเวชใจ จนไม่อยากไปโรงพยาบาล

แต่เรื่องที่ชิตอดจะขนลุกไม่ได้ก็คือ มีอยู่บางคืน ที่โตลุกขึ้นมากลางดึก หยิบดาบไทยโบราณที่แขวนอยู่ที่เสาบ้านสะพายขึ้นหลัง แล้วเดินดุ่มๆออกไปกลางดึก เด็กชายห้ามไม่ให้แม่ถามหรือตามออกไป จนค่อนคืนจึงกลับมา กลับมาก็ไม่ได้พูดอะไร เป็นแบบนี้อยู่หลายครั้ง ซึ่งไม่มีใครรู้ได้ว่า โตออกไปไหน ไปทำอะไร

แต่ไม่ว่าจะเป็นอะไร สำหรับชิต หรือกระทั่งตัวผมที่นั่งฟังคำบอกเล่าของเพื่อนอีกที ยังอึ้งว่า เรื่องนี้มันจะประหลาดเกินไปแล้ว ขนาดเพื่อนผมว่า กล้าๆ ยังไม่กล้าออกมาจากบ้านพักดึกๆดื่นๆเลย แต่นี่เด็กอะไร อายุแค่ 12-13 สะพายดาบเดินดุ่มๆออกไปกลางป่า ดึกดื่นมืดค่ำขนาดนั้น

สำหรับเจ้าชิต เพื่อนผม ก็มีประสบการณ์ตรง เกี่ยวกับเรื่องนี้ ก็คือ บ้านพักครู จะอยู่ใกล้กับโรงเรียนที่สุด เพราะจะได้เฝ้าโรงเรียนด้วย เพราะภารโรงก็อายุปาเข้าไป เกินวัยเกษียณแล้ว คงอาศัยเป็นหูเป็นตาไม่ได้

มี อยู่คืนหนึ่ง ที่ฝนตกค่อนข้างหนัก เพื่อนผมได้ยินเสียง สวบสาบ เหมือนคนบุกป่าหญ้าไปทางอาคารเรียน เสียงย่ำเท้าเป็นจังหวะเหมือนคนเดิน เพื่อนผมก็กลัวว่า จะเป็นขโมยไปงัดห้องครูใหญ่ ทั้งๆที่ใจก็กลัวจนเยี่ยวแทบราด ก็กลั้นใจหยิบลูกซองสั้นไทยประดิษฐ์ เหน็บเอว ถือไฟฉายเดินออกไป

ฝนเริ่มซาแล้ว กลัวก็กลัว หนาวก็หนาว นึกในใจว่า กูมาทำอะไรวะ งัดห้องครูใหญ่ตอนนี้ ค่าเทอมก็เอาเข้าธนาคารไปตั้งแต่อาทิตย์ก่อนแล้ว อย่างมากก็ได้แค่เศษสตางค์ในกระป๋องออมสินของครูใหญ่เท่านั้นล่ะวะ นึกแล้วก็รู้สึกว่า ไม่คุ้ม กำลังจะหันกลับ ดันมีเสียงก๊อกแก็กที่ข้างอาคารไม้ เพื่อนผมชะงัก แล้วก็ค่อยๆย่องเข้าไปใกล้ๆ ยิ่งเข้าใกล้ก็ยิ่งได้ยินเสียงคนกระซิบคุยกัน มันชักปืนออกมาถือ ใจก็คิดว่า กูจะเอาไงดี จะยิงมัน หรือจะยิงขึ้นฟ้าดี ลูกซองสั้นยิงได้นัดเดียว เกิดยิงขึ้นฟ้าแล้วมันไม่วิ่ง กูจะทำไงวะ คิดไปคิดมา ย่องมาห่างไม่ถึงสามก้าวแล้ว เสียงกระซิบยังคงดังแว่วให้ได้ยิน ผสมกับเสียงน้ำฝนไหลผ่านรางรองน้ำฝนลงโอ่งดินเผาใบใหญ่

มันค่อยๆแอบอยู่หลังโอ่งชะโงกหน้าไปช้าๆ เสียงกระซิบยังอยู่ข้างๆนี้เอง พอโผล่ครึ่งหัว สิ่งที่เห็นก็คือ ..

ไม่มีอะไร มีแต่ความมืด เสียงกระซิบที่ดังแว่วๆ เมื่อตะกี้ หายไปไหนเสียแล้วก็ไม่รู้ นาทีนั้นชิตสารภาพกับผมว่า
“วินาทีแรก กูโคตรโล่งใจเลย แม่งไม่ใช่โจร แต่วินาทีต่อมากูเยี่ยวแตกเลยมึง แม่งไม่ใช่โจร มึงเป็นอะไรล่ะ”

หลังจากได้ฟังเรื่องของโตมาได้สักพัก เพื่อนผมยังไม่ปักใจเชื่อนัก ก็เลย แกล้งถามไปว่า
"โรงเรียนของเรามีผีไหม"
โตบอกว่า "มีครับครู"

ชิตรู้สึกสองจิตสองใจ ใจหนึ่งก็อยากจะเชื่อเด็ก แต่อีกใจหนึ่ง ก็อยากจะลองหลอกถาม เพื่อจับผิดเด็ก คนมีการศึกษาจบปริญญา สอนวิชาคณิตศาสตร์ด้วย แม้จะโตมาในสภาพแวดล้อมของบ้านนา บ้านทุ่ง เหมือนกัน แต่จะให้ปักใจเชื่อทุกคำพูดของเด็ก 13 ขวบ มันก็จะกระไรอยู่ อย่าว่าแต่เรื่องที่โตเล่าให้ฟัง ถ้าไม่ได้ยินกับหู คงนึกว่า นิทานข้างกองไฟ

"ครูเคยเจอผีนะ ที่อาคารเก่า" เพื่อนผมเล่าเรื่องที่เคยเจอให้โตฟัง
โต มองหน้าเพื่อนผม บอกว่า "ที่อาคารเก่าไม่มีผีหรอกครู ครูอาจจะหูแว่วไป หรือก็อาจจะเป็นผีที่มาป้วนเปี้ยนอยู่รอบๆอาคาร แต่ถ้าครูกลัว ครูหนีขึ้นไปบนอาคารเก่า ผมรับรองว่า ครูจะไม่เจออะไรเลยครับ"

เพื่อน ผมรู้สึกผิดคาด เพราะโดยธรรมชาติ การรับรู้ของเด็กวัยนี้ จะมาจากการบอกเล่าของผู้ใหญ่ ไม่เฉพาะเด็ก แต่ผู้ใหญ่อย่างเราๆ มักจะคิดว่า ที่ๆเก่าแก่ โบราณ มีประวัติยาวนาน มักจะมีสิ่งลี้ลับอยู่เสมอ ในขณะที่อาคารใหม่เอี่ยมอ่อง ไม่มีประวัติอะไร การก่อสร้างเป็นไปอย่างราบรื่น จะไม่มีอะไรน่ากลัว แต่เด็กคนนี้พูดตรงข้ามกับสิ่งที่เพื่อนผมคิด หรืออีกนัยหนึ่ง ตรงข้ามกับสิ่งที่ผู้ใหญ่อย่างเพื่อนผมเชื่อ

โตบอกว่า อาคารเก่าที่ชั้นล่าง มีฤาษีท่านนั่งเฝ้าอยู่ ผีไม่กล้าขึ้นไปบนนั้น ส่วนชั้นสองผียิ่งไม่กล้าขึ้นไป เพราะบารมีขององค์พระพุทธรูปที่โต๊ะหมู่บูชในห้องครูใหญ่

ชิตไม่สงสัยเรื่องโต๊ะหมู่บูชา แต่สงสัยเรื่องฤาษี ว่าทำไมชั้นล่างมีฤาษีท่านนั่งเฝ้าอยู่ได้ ถ้าบอกว่าพระภูมิเจ้าที่ก็ว่าไปอย่าง แต่ว่าที่โรงเรียนนี้ไม่มีศาลพระภูมิครับ เรื่องฤาษี เพื่อนผมไม่เข้าใจอยู่นาน จนเดินผ่านห้องนาฎศิลป์ ถึงได้เห็น ว่าบนหิ้งมีหัวโขนเป็นฤาษี ซึ่งทางนาฎศิลป์ ถือว่า ท่านเป็นครูแห่งศาสตร์ทางด้านนี้ เพื่อนผมถึงได้ร้องอ๋อ ....

พอถามว่า แล้วผีอยู่ที่ไหนกันล่ะ เพื่อนผมก็สังเกตเห็นว่า พอพูดถึงเรื่องนี้ โตมีสีหน้าที่เคร่งเครียดลงอย่างเห็นได้ชัด

"ที่ตึกใหม่ครับครู ในห้องเก็บของใต้บันไดทิศตะวันตก (ก็คือบันไดทางฝั่งซ้ายนั่นเอง) ผมก็มองไม่เห็นข้างในเหมือนกัน มันมืดดำไปหมด แต่รู้ว่าในนั้นทั้งมืด ทั้งหนาว ผมได้ยินเสียงคร่ำครวญ โหยหวน ไม่รู้กี่สิบ กี่ร้อย ในห้องนั้น"

เพื่อนผมได้ยินถึงกับอึ้ง ตอนผมนั่งฟัง ยังรู้สึกขนลุก ห้องที่ว่า ถ้าใครเคยเรียนโรงเรียนที่มีตึกประเภทนี้ บริเวณทางขึ้นบันได จะมีช่องว่างใต้บันได ที่เขามักจะทำเป็นห้องเก็บของ ความสูงขนาดผู้ใหญ่ยืนเต็มตัวไม่ได้ กว้างยาว ก็ไม่น่าจะเกินสองตารางเมตร เพื่อนผมบอกว่า ไม่เคยเข้าไป รู้แต่ว่าเป็นที่เก็บของไม่ใช้แล้ว ล๊อกกุญแจมานานมาก ตั้งแต่สมัยครูใหญ่คนปัจจุบันยังไม่มา กุญแจอาจจะอยู่ที่ลุงคนที่เป็นภารโรง แต่ก็ไม่เคยเห็นมีใครไปเปิดซักที เห็นว่าเป็นห้องเก็บของเล็กๆ เพื่อนผมก็เลยไม่สนใจ

เพื่อนผมเลยถามว่า พวกนั้นมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง เป็นคนในหมู่บ้านหรือเปล่า

โต บอกว่า เขาอยู่กันมานานมากแล้ว มันเป็นที่ของเขา ห้องนั้นเป็นจุดอับมันมืดดำมองไม่เห็นอะไรเลย ผมไม่เคยเห็นที่ไหนมืดเท่าที่นี่ ผมไม่กล้าเดินผ่านเลย พวกเขารู้ว่าผมได้ยิน

ตรงนี้ถ้าให้ผมวิจารณ์ ก็คงเหมือนหลักฮวงจุ้ย ละครับ มันอาจจะเป็นมุมที่มีพลังไม่ดีมารวมกัน พวกนั้นก็เลยมารวมกันอยู่ที่นี่

เพื่อนผมถามต่อไปว่า "แล้วกุญแจละ ห้องนั้นโดนล๊อก แปลว่าพวกนั้นถูกขังอยู่ใช่ไหม"
โต บอกว่า "ขังเขาไม่ได้หรอกครับครู เขาอยู่มานานกว่าเรามาก พวกเรามาอยู่ที่นี่ก็เท่ากับเรามาอาศัยเขา แต่ที่ตรงนั้นมันมีอะไรบางอย่างฉุดดึงให้พวกเขาเข้าไปอยู่ด้วยกัน"

เพื่อนผมชักเริ่มหวาดๆ ก็เลยถามว่า "แล้วพวกเขาจะทำอันตรายคนในหมู่บ้านไหม"

โต บอกว่า "ครูเคยได้ยินคำว่า ผีซ้ำด้ามพลอยไหมครับ ... คนบางคนตกเคราะห์หามยามร้าย แต่ไม่ถึงชีวิต หากไปเจอพวกเขา พวกเขาจะเข้าทำให้ถึงตาย เหมือนพ่อ กลางคืน จิตเราอ่อน อะไรๆก็เข้าแทรกได้ง่าย"

เพื่อนผมฉุกคิดเรื่องที่ โตสะพายดาบออกจากบ้านกลางดึก ก็เลยถามว่า
“แล้วที่โตสะพายดาบออกไป กลางดึก ไม่กลัวหรือไง หรือว่า ตบะแข็งกล้ากว่าคนอื่น เราเก่งเรื่องผีก็จริง แต่กลัวคนไว้บ้าง คนเราก็หลอกกันได้ คิดร้ายกันได้ อันตรายกว่าผีอีก”

โตไม่มองหน้าเพื่อนผม แต่มองออกไปตามแนวป่า
"ไม่จริงหรอกครู ผมก็กลัวครับครู กลัวจนไม่อยากลุกขึ้นมาเลย แต่ผมไม่ไป ไม่ได้" พูดแค่นี้ โตก็ไม่พูดอะไรอีก เพื่อนผมก็ไม่เซ้าซี้ ได้แต่เก็บความสงสัยไว้

เพื่อน ผมถามแม่โตเรื่องของหมู่บ้าน แต่ก็ไม่ได้ความอะไร นอกจากรู้ว่า ที่นี่เคยเจริญ ผู้คนพลุกพล่าน เพราะแห่กันมาขุดพลอย แต่นานเข้า ขุดหาได้น้อยลง แถมตลาดพลอยซบเซา ก็ทิ้งหมู่บ้านไปทำงานในเมืองกันเป็นส่วนมาก เหลืออยู่แค่พวกที่ลงหลักปักฐานปลูกบ้านแล้วเท่านั้น

เพื่อนผมเล่า ไว้เท่านี้ ก็ไม่ได้เจอกันอีก ก็เลยไม่ได้รู้ว่า ที่นี่มีประวัติอะไรยังไง บางเรื่องมันก็เล่าไว้เหมือนกัน แต่ผมลืมไปเยอะ คืนปีใหม่ นั่งคุยเรื่องนี้กับมัน ตั้งแต่ 4 ทุ่ม ยันสว่างครับ ยังไงปีใหม่ปีนี้ ถ้ามันมาปาร์ตี้กับผมได้ ก็อยากจะถามมันเหมือนกัน

ก็ใช้ วิจารณญาณกันนะครับ บอกแล้วว่า ไม่รับประกัน ว่าจริง ไม่จริง เด็กอาจจะกุเรื่อง หรือ เพื่อนผมอาจจะกุเรื่องเองก็ได้ แต่ สำหรับตัวผม ได้ยินมาแค่ไหน ก็เล่าให้ฟังแค่นั้นครับ




 

Create Date : 02 ธันวาคม 2551    
Last Update : 2 ธันวาคม 2551 10:36:18 น.
Counter : 546 Pageviews.  


Indiana Joe
Location :
กรุงเทพ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




จะกู้ชาติกันไปทำไม ....
ถ้ามันเหลือแต่ซาก .....
สีเหลือง สีแดง สีขาว .....
ใีครคือผู้ที่กู้ชาติอย่างแท้จริง ....
คนที่กู้ชาติจริงๆ คือ คนที่ทำงานทุกคน ...
หมอ ทนายความ ครู นักการเงิน ภารโรง ....
และทุกๆอาชีพ ที่ทำงานของตนเองให้ดีที่สุด .....
เพื่อพยุงเศรษฐกิจของประเทศนี้ให้อยู่รอดได้ ...
คนพวกนี้แหละ กู้ชาติ .....
ไม่ใช่ประท้วงเพื่ออุดมการณ์ที่ไม่อยู่ในโลกความเป็นจริง ...
จะเอาเขาพระวิหารมาทำไม ถ้าเขาใหญ่เรายังดูแลไม่ทั่วถึง ..
จะสนเกียรติยศศักดิ์ศรีทำไม ถ้าพี่น้องเรากำลังจะอดตาย ...
Friends' blogs
[Add Indiana Joe's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.