แค่อยากให้ทุกเรื่อง ...และแล้วก็ Happy ending
 
เรื่องของเค้าทั้งนั้น ดูดิเพียบเลย - - "

ไม่ใช่เรื่องของเราเลยซักกะเรื่อง แต่อยากตอบ
บางเรื่องก็อินประหนึ่งตัวเองอยู่ในเหตุการณ์ บางเรื่องก็สงสาร
บางเรื่องก็...

บางเรื่องอ่านแล้วรู้สึกว่าเรายังโชคดี บางคนเจอปัญหาแย่กว่าเราอีก
บางอันตอบแล้วก็เก็บไว้เตือนตัวเองด้วย

เลยอยากเก็บไว้ในนี้เป็นความทรงจำเล็กๆของเรา


Create Date : 20 กรกฎาคม 2550
Last Update : 20 กรกฎาคม 2550 14:41:49 น. 34 comments
Counter : 373 Pageviews.

 
เราจบโท ได้ทำงานดี เงินเดือนสูง แต่เราทำอะไรไม่เป็นเลยจริงๆนะ
แบบเรื่องที่คนทั่วๆไปทำได้น่ะค่ะ เราทำไม่เป็นเลย
มีคนบอกเราคุณหนูเกินไป เราก็ว่าจริงๆนะ
พ่อแม่เราเข้มงวดกับเรามาก

เรามาคิดนะ อย่างอาทิตย์ที่แล้ววันเกิดเพื่อน ไปเที่ยวบ้านเพื่อนมา
เขาทำอาหาร ให้ครอบครัวเขากิน เราอิจฉาเขานะ เราทำอาหารไม่เป็น เปิดเตาแก๊ส ทอดไข่ยังไม่เป็นเลย(เรื่องจริงนะ)

ซักผ้า รีดผ้า งานบ้านก็ไม่เป็นอยู่บ้านมีคนทำให้ตลอด เพื่อนๆเราที่ทำงานบางคนขับรถมาเอง บางคนนั่งรถเมล์เอง เราอยากนั่งรถเมล์มั่ง อยากลองขับรถมาเองมั่ง แต่คุณแม่ไม่ยอมให้คนมารับส่งที่ทำงานทุกวัน ทั้งที่เราอายุ29แล้วนะ

อย่างที่ทำงานเหมือนกัน เรารู้สึกน้อยใจเหมือนกันนะ ทั้งที่เราก็จบโทมา แต่เราทำงานได้พื้นๆมากๆเลย (รู้ตัว) เห็นหลายคนเขาจบไม่สูงแต่เขาทำงานคล่องเก่งจังเลย กล้าพูดกล้าคุย ดูกระฉับกระเฉง ทำอะไรได้ทุกอย่าง เราแอบอิจฉาเพื่อนๆหรือลูกน้องเราเหล่านั้นจัง เพราะเราทำไม่ได้เหมือนเขา

ขนาดงานที่ทำอยู่เราก็ไม่ได้ดิ้นรนหาเองเลย จบมาคุณพ่อก็ฝากให้มาทำที่นี่ ดิฉันรู้ตัวว่าชีวิตเราเองมีคนอื่นทำให้ ซับพอร์ทให้ทุกอย่าง จะว่าที่บ้านเลี้ยงเราเหมือนไข่ในหินก็ไม่ผิด ดิฉันทำอะไรไม่เป็นเลยจริงๆ แต่ดิฉันคิดว่าตัวเองน่ะชีวิตนี้ทำได้ดีอย่างเดียวเลยจริงๆ คือเรียน แต่อย่างอื่นนี่สิทำไม่เป็นเลย

เราแอบมาอ่านกระทู้ห้องนี้บ่อยนะ ชอบอ่านชีวิตคนอื่นสนุกดี เราเองเกิดมาไม่เคยมีแฟนเพราะจะมีต้องผ่านที่บ้านก่อน ซึ่งพอมีคนจะมาจีบก็ไม่ผ่านซะแล้ว อิอิ

แค่ขอมาระบายให้ฟังน่ะค่ะ

จากคุณ : น้องใบเตย - [ 12 ก.ค. 50 23:14:06 A:58.9.198.82 X: TicketID:149551 ]

-------------------------------------------
ความคิดเห็นที่ 23

ชีวิตคุณไม่มีอะไรที่น่าจะเครียดเลยนะคะ น่าห่วงหน่อยก็ตรงที่ทำงาน ถ้าทำไม่ดีเดี๋ยวคนจะดูถูกเพราะคุณพ่อฝากให้ นอกนั้นมันไม่น่าจะเป็นปัญหาเลยค่ะ ชีวิตสุขสบายก็ดีแล้วค่ะอย่าหาเรื่องคิดให้ตัวเองทุกข์เปล่าๆเลยนะคะ

เราว่าบางคนอาจจะแอบอิจฉาคุณอยู่ก็ได้นะ ที่ทำไม่เป็นอยากทำก็ลองหัดดู ทำไม่ได้จริงๆก็ใช้คนให้เป็นก็พอค่ะ บางเรื่องมันก็แค่ของแปลกใหม่ในชีวิตที่คุณไม่เคย เลยอยากลอง ถ้าต้องทำต้องเป็นอย่างนั้นตลอดคุณอาจจะบอกว่าชอบชีวิตอย่างปัจจุบันที่สุดก็ได้

เรื่องแฟนก็ไม่ต้องคิดมากค่ะ ถ้าไม่คู่ควร ไม่ดีพอผู้ใหญ่คงไม่อยากให้คุณไปลำบาก เผลอๆเดี๋ยวมีแนะนำให้อีก ถ้าคุณไม่ชอบผู้ชายคนนั้นแล้วถูกบังคับแต่ง นั่นแหละเราว่ามันน่าจะเป็นเรื่องที่ทำให้คุณต้องเครียดที่สุดเรื่องแรกในชีวิต

จากคุณ : Happy ending - [ 13 ก.ค. 50 12:22:27 ]


//www.pantip.com/cafe/lumpini/topic/L5604291/L5604291.html


โดย: Happy ending วันที่: 20 กรกฎาคม 2550 เวลา:14:44:44 น.  

 
คุณผู้ชายค่ะ เวลาคุณเครียดจากงาน คุณจะระบายให้แฟนหรือเพื่อนสาวคนสนิทฟัง
ถามคุณผู้ชายทั้งหลาย เวลาคุณเครียดจากงาน

คุณระบายให้ใครฟัง สมมติว่า ทุกครั้งที่คุณมีปัญหามากๆ

คุณจะโทรหาเพื่อนหญิงคนสนิท (ผู้หญิงอายุน้อยกว่าผู้ชายหลายปี )

คุณโทรหาเธอคนนี้ทุกครั้ง เป็นไปได้มั้ยว่า คุณไม่ได้คิดอะไรกับเธอเลย

แล้วทำไมคุณไม่โทรไประบายให้แฟนคุณฟัง?

มีมั้ยที่ผู้ชายมีปัญหาแล้วโทรหาผู้หญิงคนนึงตลอดแบบไม่ได้คิดอะไรเลย

จากคุณ : ทิชา - [ 12 ก.ค. 50 21:08:35 A:58.9.143.192 X: TicketID:091921 ]

-----------------------------------------

ความคิดเห็นที่ 10

อาจจะไม่คิดอะไรก็ได้ค่ะ ถ้าเพื่อนรู้เรื่องงานมากกว่าแฟนก็อาจจะพูดกับเพื่อนมากกว่า แล้วก็อาจกลัวแฟนเครียดตามเป็นกังวล แต่ส่วนใหญ่ถึงแฟนไม่มีความรู้เรื่องงานก็อาจจะมีพูดถึงบ้างแต่อาจจะไม่ละเอียดเท่าเพื่อน

ถ้าเพื่อนรู้ทุกเรื่องโดนแฟนไม่มีส่วนร่วมเลยก็แปลกๆค่ะ เพราะแฟนกันน่าจะร่วมทั้งสุขทั้งทุกข์ คนส่วนใหญ่เวลามีปัญหามักจะอยากได้กำลังใจจากคนที่ตัวเองรัก

เห็นด้วยกับคห.9ค่ะ ต้องดูการกระทำอื่นๆ ควบด้วย

จากคุณ : Happy ending - [ 13 ก.ค. 50 11:58:01 ]

//www.pantip.com/cafe/lumpini/topic/L5603861/L5603861.html


โดย: Happy ending วันที่: 20 กรกฎาคม 2550 เวลา:14:46:37 น.  

 
ถ้าแฟนคุณมีเพื่อนสนิทเป็นเพศตรงข้าม คุณจะว่าไรไม๊

ประมาณว่า ไว้ใจได้ไม๊ว่าเพื่อนแฟนคุณจะมาชอบแฟนคุณ

หรือ กลัวแฟนคุณจะชอบเพื่อนเค้าในอนาคต

(ชอบในที่นี้หมายถึงแบบเสน่หานะ)

ตอนนี้เราเองก็กำลังประสบปัญหานี้เหมือนกัน

คือแฟนมองว่า ผู้หญิงกับผู้ชายไม่สามารถสนิทกันแบบเพื่อนได้ เค้าว่าสักวันหนึ่งต้องรักชอบกันแน่นอน

อืม แล้วเพื่อนๆในนี้มีประสบการณ์หรือมีแฟนแล้ว ยังสามารถมีเพื่อนเพศตรงข้ามที่สนิทๆ กันได้รึเปล่า

แล้วแฟนคุณเค้าว่าไรไม๊อ่ะ หรือคุณว่าอะไรแฟนคุณไม๊อ่ะ แชร์ไอเดียกันหน่อยเป็นไรมี

จากคุณ : ชมจันทร์ยันเช้า - [ 16 ก.ค. 50 09:01:34 A:203.209.25.247 X: TicketID:020960 ]

-------------------------------------------------

ความคิดเห็นที่ 12

ไม่ว่าค่ะ ถ้า.....

เค้าจะไม่เห็นเพื่อนดีกว่าเรา มีเวลาให้เพื่อนมากกว่าเรา เอาใจเพื่อนมากกว่าเรา คิดถึงเพื่อนก่อนคิดถึงเรา เป็นห่วงเพื่อนมากกว่าห่วงเรา เกรงใจเพื่อนมากกว่าเกรงใจเรา แคร์เพื่อนมากกว่าแคร์เรา

ไม่ใช่ไม่ไว้ใจนะคะ ไว้ใจ แต่ไม่ชอบใจ เราเชื่อว่ามิตรภาพต่างเพศอย่างบริสุทธิ์ใจมีจริงๆ (ถึงแม้ว่าคนนอกอาจจะดูว่ามันไม่งาม น่าเกลียดโดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าแต่งงานแล้ว) เพราะถ้าเค้าเป็นอย่างนี้ไม่ต้องเพื่อนต่างเพศหรอกค่ะ เพศเดียวกันเราก็ไม่ชอบ อิจฉาอย่างแรงค่ะ ถึงจะไม่มีเรื่องชู้สาวมาเกี่ยวก็เถอะ

ส่วนถ้าเรามีเพื่อนดีขนาดนี้เราก็จะขอเป็นแค่เพื่อนกับเค้าค่ะไม่พัฒนาเป็นแฟนให้โง่หรอก แล้วเราก็จะมีแฟนอีกคนที่ไม่เห็นเพื่อนดีกว่าเราแล้วก็ยอมให้เราสนิทกับเพื่อนต่างเพศคนนี้ได้โดยเค้าไม่หึงเรากับเพื่อน ถ้าจะวิเศษไปกว่านั้นแฟนของเพื่อนเราต้องไม่หึงที่แฟนเค้ามาสนิทกับเราด้วย นี่ถ้าได้อย่างนี้มันจะ(เป็นการเห็นแก่ตัวอย่าง)เพอร์เฟคที่สุดเลยค่ะ

----------------------------
ขออภัยค่ะ ถ้าบางคำอาจจะแรง อินจัดไปหน่อย ยังไงก็อยากให้นึกถึงคำว่า ใจเค้าใจเราค่ะ ไม่ใช่ถ้าเป็นเราโดนแล้วไม่คิดอะไรก็ไม่น่าเป็นอะไร อันนั้นมันจะเป็นแค่คิดถึงใจเราค่ะ อย่าลืมใจเค้าด้วยเพราะคนเราไม่เหมือนกัน อีกอย่างถ้าเราทำเอง ส่วนใหญ่เราจะไม่รู้ตัวหรอกค่ะ คนนอกค่ะถึงจะเห็น

//www.pantip.com/cafe/family/topic/N5613816/N5613816.html



โดย: Happy ending วันที่: 20 กรกฎาคม 2550 เวลา:14:51:01 น.  

 
ผู้หญิงที่เวลาคุยกันชอบเล่าเรืองแฟนให้ฟังว่า แฟนดีหยั่งงั้นอย่างงี้

ผู้หญิงที่เวลาคุยกันชอบเล่าเรืองแฟนให้ฟังว่า แฟนดีหยั่งงั้นอย่างงี้ พาเค้าว่าจะพาไปนั้นไปนี่ วันเกิดแฟนเค้า
เค้าเซอรไพส์แฟน ยังไงให้เพื่อนๆ น้องๆ มาร้อง birthday พร้อมกันโดนเธอขอร้อง แฟนเป็นคนดีแบบนั้นแบบนี้

เพื่ออะไรหรอครับ กลัวผมจะชอบเธอหรอ คือเราคบกันได้แต่ชอบพูดเรื่องแฟนเพื่อจะ เบรคผม ?

ปล เราเพิ่งรู้จักกันไม่นานประมานมกรา หลังจากจะโทรคุยกันกับ msn เป็นส่วนมาก ไม่ได้เจอหน้ากันเพราะเธออยู่ ตจว ผมอยู่ กทม แฟนเธออยู่ต่างประเทศ นานๆ คุยกันทีเธอมีแฟนแล้วแต่ผมยังไม่มี

อยากรู้ว่าผู้หญิงเค้าคุยกับเพื่อนผู้ชาย ปกติแบบนี้ไหมครับ
ไม่ชอบเลยเวลาเธอพูดถึงแฟน (เพราะผมชอบเธอ)

เธอไม่รู้ว่าผมชอบเธอ ? หรือต้องการเบรคไว้ใช่ไหมครับ
ผมมันแค่ไว้แก้เหงาเธอใช่ป่าว
เธอเคยพูดว่า เนี้ยอย่าเพิ่งมีแฟนเลยพอแฟนเค้ามาค่อยหาแฟนนะอยู่เป็นเพื่อนคุยกะเค้าก่อน

จากคุณ : nut - [ 11 ก.ค. 50 03:52:33 A:unknown X:124.120.60.172 TicketID:069440 ]

---------------------------------

ความคิดเห็นที่ 12

เห็นด้วยกับ 8 ค่ะ คงอยากเก็บคุณไว้คุยเล่นแก้เหงาแค่นั้นแหละ แต่กลัวคุณจริงจัง ประมาณว่าตัวสำรองถ้าแฟนเค้ามาคุณก็อยู่ส่วนคุณ

ผู้หญิงคนนี้ใจร้ายจัง ทั้งกับคุณแล้วก็แฟนเค้า

จากคุณ : Happy ending - [ 11 ก.ค. 50 12:38:35 ]

//www.pantip.com/cafe/lumpini/topic/L5597595/L5597595.html


โดย: Happy ending วันที่: 20 กรกฎาคม 2550 เวลา:14:53:07 น.  

 
เครียดจังเลยครับ กำลังวางแผนจะแต่งงานกับแฟน แต่กับทะเลาะกันแทบทุกวัน

เครียดจังเลยครับ กำลังวางแผนจะแต่งงานกับแฟน แต่กับทะเลาะกันแทบทุกวัน

ผม(อายุ 27)เป็นคนคิดมาก ขี้หงุดหงิด ใจร้อน
แฟน(อายุ 31)เป้นคนเอาแต่ใจ นิสัยลูกคุณหนูนิดๆ ค่อนข้างเป้นคนเรื่องมาก เก็บเงินไม่ค่อยอยู่

แต่ข้อดีก็มีนะครับ คือ ไม่เจ้าชู้ทั้งคู่ ทะเลาะกันยังไงก็ไม่มีหาทางออกโดยการไปหาคนอื่น

คบกันมาตั้งแต่ปี 47 ก็คิดๆว่ากำลังวางๆแผนจะแต่งงาน

มีทะเลาะกันเรื่อยๆ
แต่มาพักหลังตั้งแต่ผมเริ่มวางแผนจะแต่งงาน ประกอบกับแฟนได้งานใหม่
ทำให้ต้องย้ายที่พักไปอยู่หอ เริ่มทะเลาะกันมากขึ้น จนถึงขั้นทุกวัน บางวันทะเลาะกัน 2-3 รอบ

ครอบครัวผมเป้นครอบครัวฐานะธรรมดา พอมีพอกิน
ผมทำงานเงินเดือนหมื่นต้นๆ มีรถเก่าๆ 1 คัน อายุรถย่างเข้าปีที่ 11 แม่ซื้อให้
เรียนจบมาทำงานมีเงินเก็บประมาณแสนกลางๆ

ส่วนฝ่ายหญิง ครอบครัวค่อนข้างมีฐานะ
มีรถ 2 คัน แต่ทางบ้านใช้
ตัวแฟนผมทำงานได้เงินเดือนเท่าๆกันกับผม มีเงินเก็บประมาณ 1 หมื่น


เรื่องแต่งงานลองคุยกับทางฝ่ายหญิงแล้ว
สินสอด 2 แสน
ทอง 10 บาท
แน่นอนครับ เงินเก็บผมทั้งหมดที่เก็บยังไม่พอเลย ตรงนี้คงต้องรบกวนแม่
แต่ส่วนที่เหลือผมจะพยายามรับผิดชอบให้ได้ทั้งหมด


แต่ปัยหาคือแฟนค่อนข้างคาดหวังกับการแต่งงานมาก ประกอบกับอยู่ในครอบครัวที่ค่อนข้างมีฐานะมาก่อน

ยกตัวอย่าง
เรื่องแหวนดูจากเงินเก็บของผมแล้ว ผมคิดว่าน่าจะต้องอยู่ประมาณ 20000 บ.เพื่อเหลือไปลงกับส่วนอื่นด้วย
แต่แฟนบอกว่าแหวนเพชรที่เคยเห็นมันราคา 30000 - 40000 บ.ทังนั้น
อันนี้ทะเลาะกันอยู่ 2 อาทิตย์
มันตกลงกันที่งบประมาณ 25000 บ.


ถ่ายรูปสตูดิโอ ตรงนี้ผมอยากประหยัด อยากให้เป็นถ่ายรูปใหญ่หน้างาน ที่เหลือเป็นถ่ายรูปธรรมดา งบประมาณซัก 1 หมื่น เนื่องจากทางพ่อเคยทำร้านถ่ายรูปมาก่อน ทำให้ประหยัดตรงนี้ไปได้
แต่แฟนบอกคาดหวังกับตรงนี้อีกเช่นกัน แพคเกจที่ดูไว้ราคา 27000 บ.
ทะเลาะกันอีกตามเคย ตอนนี้ยังไม่ได้ข้อสรุป
แต่ตกลงว่าออกกันคนละครึ่ง ผมเลยพยายามจะหยุดคิดตรงนี้เพื่อลดความเครียด


งานเลี้ยงตอนเย็น ตอนนี้ยังไม่ได้เริ่มหาข้อมูลนัก
แต่แม่ผมพอรู้จักกับโรงแรมแถวบ้าน และคิดว่าจะจัดไม่ใหญ่ที่คิดไว้คือไม่เกิน 30 โต๊ะ
ตรงนี้ฝ่ายหญิงเค้าไม่ซีเรียจ แต่คงต้องพาเค้าไปดูสถานที่ก่อน
แต่ก็คงต้องกันตรงส่วนนี้ไว้ไม่ต่ำกว่า 50000 บ.

เรื่องแต่งงานคิดถึงแค่ตรงนี้

ส่วนเรื่องหลังแต่งงาน
หากมีลูก แฟนบอกไว้แล้วว่าจะไม่เข้าโรงพยาบาลรัฐบาล เนื่องจากเคยเจอเรื่องไม่ดี
ขอโรงพยาบาลเอกชลเท่านั้น ซึ่งที่ไปดูค่าใช่จ่ายคร่าวๆไว้ ประมาณ 50000 บ.เฉพาะ 3 วันตอนคลอด ไม่รวมค่าฝากท้องอีก 9 เดือน
ค่าใช้จ่ายพวกนี้ผมคงยังฝากความหวังไว้กับแฟนไม่ได้ เนื่องจากเป็นคนเก็บเงินไม่เก่ง
(แฟนเป็นคนผิวแพ้ง่ายต้องใช้เครื่องสำอางดีๆซึ่งแน่นอนราคาแพง)
ผมคงต้องรับผิดชอบทั้งหมด


ส่วนเรื่องมีลูก
แฟนบอกไว้แล้วว่าต้องให้เข้าโรงเรียนดีๆ
เป็นโรงเรียนนานาชาติ ซึ่งค่าเทอมก็อย่างที่รู้กัน ประถมแพงกว่าผมเรียนมหาลัยด้วยซ้ำ
เรื่องนี้ก็เคยทะเลาะกัน เพราะผมบอกเอาแค่โรงเรียนประจำจังหวัดก็ได้
เพราะผมก็เรียนโรงเรียนประจำจังหวัดมา
ตรงนี้ยังไม่ข้อสรุป


แค่ตรงนี้ก็ทำให้ผมค่อนข้างเครียด
ไม่รู้จะเก็บเงินทันค่าใช้จ่ายที่รออยู่รึป่าว



ล่าสุดเมื่อเช้าเรื่องได้งานใหม่
ตกลงกันว่าให้เค้าไปอยู่หอ ยังอยู่บ้านผมไม่ได้เนื่องจากยังไม่ได้แต่งงาน (ทางบ้านซีเรียจเรื่องนี้)
ทางบริษัทมีรถรับ-ส่งมารับกลางทาง
แต่รถเมล์ที่จะนั่งไปมันจะเลี้ยวไปอีกทางก่อนจะถึงที่จะขึ้นรถรับ-ส่ง
ทำให้ต้องเดินไปอีกประมาณ 200 ม.จึงจะถึงจุดขึ้นรถ
แฟนซีเรียจตรงนี้ ไม่อยากเดิน (ส่วนผมนั่งรถเมล์ไปทำงาน ไกลกว่าเค้าประมาณ 2 เท่า)
ผมต้องคิดหาทางออกใหม่ หลังจากที่คิดเรื่องหอว่าจะอยู่ตรงไหนมาร่วมอาทิตย์
จนเริ่มเครียด เพราะตกลงกันไว้หมดแล้ว
เพียงแต่จุดที่จะขึ้นรถเพิ่งรู้ว่าเค้าขยับไปอีกจุดนึง ทำให้รถเมลืไปไม่ถึง
แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร

แฟนเลยคิดว่าเอารถผมขับไปทำงาน แล้วไปอยู่บ้านเค้า แล้วเอาค่าหอมาจ่ายค่าน้ำมัน
ผมเลยบอกว่า ถ้าคิดเฉพาะค่าน้ำมัน มันก็ใช่ว่าประหยัดกว่าค่าหอ
แต่ต้องอย่าลืมว่ารถมัน 11 ปีแล้ว มันเริ่มเข้าระยะที่ต้องคอยซ่อม เพราะฉะนั้นมันจะมีค่าบำรุง ทีนี้ถ้าบวกค่าซ่อมบำรุงเข้าไปด้วย ผมว่าอยู่หอคุ้มกว่า
แถมเงินเดือนแค่นี้ ไม่รู้เมื่อไรจะมีปัญญาซื้อคันใหม่ได้ ถ้าเผื่อคันเก่ามันพัง

แฟนกระแนะกระแหนด้วยคำว่า "พูดไปงั้นแหละ ไม่ชอบรับผิดชอบรถคนอื่นหรอก"
ผมเริ่มเครียดกว่าเดิม แต่ก็ยังไม่พูดอะไร
เพราะพยายามจะแก้ข้อเสียเรื่องขี้หงุดหงิด
แต่คิดว่าความเครียดคงออกมาทางสีหน้าบ้าง

หลังจากนั้นเดินเข้าห้องน้ำไป เดินออกมาแฟนว่าว่า หงุดหงิดอีกแล้วเหรอ
และคำพูดอื่นๆที่ชวนทำให้เครียดมากขึ้น
ผมอยากจะหยุดเครียดให้เร็วๆเพราะเริ่มปวดหัวแล้ว เลยรีบไปซื้อข้าวให้เพราะแฟนหยุดงาน (มีรถผมคันเดียว แฟนขี่มอเตอร์ไซด์ไม่ได้ ประกอบแถวนั้นไม่มีอะไรขาย)
แล้วผมจึงรีบออกมาทำงาน


ตั้งแต่เช้าจนตอนนี้ยังไม่หายปวดหัวเลยครับ
เพราะช่วงนี้ทะเลาะและเครียดบ่อยมาก

แฟนก็ไม่ใช่ไม่ดีนะครับ เพียงแต่ครอบครัวเค้าเลี้ยงมาแบบค่อนข้างสบายจนเคย (พี่น้องคนอื่นอายุ 30 ยังขอเงินพ่อแม่อยู่เลย แต่เค้าเลิกทำเพราะผมสอนเค้า ว่าอายุขนาดนี้เราต้องเลี้ยงพ่อแม่แล้ว)
แล้วฐานะทางครอบครัวเค้าค่อนข้างแตกต่างจากผม


ขอระบายหน่อยนะครับ
ตอนนี้ไม่รู้จะทำยังไงดี
จะเปลี่ยนแปลงดีไม๊ เพราะกลัวแต่งไปแล้วทะเลาะกันทุกวันแบบนี้
แล้วก็ไม่เคยเครียดขนาดปวดหัวตั้งแต่เช้าจนเย็นแบบนี้เลย



ขอคำปรึกษาหน่อยครับ


ขอบคุณที่ทนอ่านครับ...

จากคุณ : Purity - [ 18 ก.ค. 50 18:47:33 ]

-------------------------------------

ความคิดเห็นที่ 31

เรื่องทะเลาะกันบ่อยเราก็เป็น ขอไม่ออกความเห็นเรื่องนี้นะคะ เพราะตัวเองยังเอาตัวไม่รอด 555

ขอแนะนำเรื่องที่ถนัดละกันนะคะ เรื่องเงินๆทองๆ (ของชอบ อิอิ)
เริ่มจาก อธิบายให้แฟนฟังก่อนเลยค่ะ ว่าคุณมีเงินเท่านี้จริงๆไม่ใช่กั๊กเค้า ที่เค้าอยากได้สำหรับงานแต่งทั้งหมดมีอะไร เท่าไหร่ มันไม่พอจะขาดอีกเท่าไหร่ แล้วให้เค้าเลือกว่า

1. จะรอเก็บเงินให้ได้มากกว่านี้ ค่อยแต่งแล้วได้อย่างที่เค้าต้องการ (แต่ไม่รู้อีกนานเท่าไหร่จะได้แต่ง เพราะเก็บเงินกันไม่ค่อยอยู่อย่างที่คุณเล่า ผู้หญิงก็ 31 แล้ว เค้าก็คงจะไม่อยากรอ) หรือ
2. เค้าจะช่วยคุณออกได้เท่าไหร่ (ถ้าไม่ขอที่บ้านเค้า เพราะเค้ามีเก็บแค่หมื่นเดียว - เค้าจะได้รู้ว่าเค้าควรรู้จักประหยัดเก็บเงินบ้าง) หรือ
3. ถ้าอยากแต่ง จะช่วยลดค่าใช้จ่ายอะไรที่ไม่จำเป็นได้บ้าง เช่นรูป 27,000 มันได้หลายสิบใบเลย เหลือแค่พอมีซัก 10 ใบได้เปล่า ถ่ายจริงเจอเซลล์ตื้ออีกต้องใจแข็งสุดๆ แต่หลังแต่งจะดีใจค่ะเพราะรูปมันซ้ำไปซ้ำมา 555

แต่เรื่องจะให้ตัดนั่นนี่ทิ้งเลยก็คงยากค่ะ งานแต่งงานเป็นความฝันของผู้หญิงเลย แต่งครั้งเดียวก็อยากให้ดีที่สุดแต่ก็ต้องอยู่บนพื้นฐานของความเป็นจริง ถ้ารู้จักเลือก เราก็จะได้ของดีราคาไม่แพงค่ะ (มีจริงๆนะคะ)

หรือ 4. ถ้าเค้างอแงไม่เลือกอะไรเลย ไม่มองความจริง คุยไม่รู้เรื่อง ไม่เข้าใจอะไรเลย ก็ให้เค้าไปหาคนอื่นเถอะ พูดจริงนะ ไม่งั้นหลังแต่งเค้าก็ทุกข์ที่ไม่ได้ ส่วนคุณก็ทุกข์ที่หาให้เค้าไม่ได้ ปัญหาของชีวิตคู่ก็อีกล้านแปด

เงินทองถึงจะไม่ใช่เรื่องสำคัญที่สุดในชีวิตก็จริงแต่มันก็เป็นเรื่องจำเป็นสำหรับชีวิตค่ะ เพราะ ถ้ามีลูก เค้าอยากได้สิ่งดีๆให้ลูก จะให้ได้ยังไง ในเมื่อความเป็นจริงคุณและแฟนทำงานมาแล้วกี่ปี ใช้แต่ละเดือนเท่าไหร่ เหลือเก็บเท่าไหร่ต่อเดือน มีเก็บเงินกี่เปอร์เซนต์ของรายได้ ถ้าไม่เข้าใจอย่าคิดว่าหลังแต่งจะเปลี่ยน หรือมีลูกแล้วจะคิดได้นะคะ ยากค่ะ ขนาดเข้าใจอยากปรับปรุงตัว ปฏิบัติจริงๆไม่ได้ยังเยอะแยะเลย เราว่าเค้าน่าจะเข้าใจนะคะ ถ้าอยากจะแต่งงานกับคุณจริงๆ

อ้อ..ตอนอธิบายค่อยๆพูดกับเค้าดีๆนะคะ เอาใจช่วยค่ะ อยากเห็นคนรักกันมีความสุข แต่งงานแล้วก็อยู่ด้วยกันจบแบบ Happy ending ค่ะ

จากคุณ : Happy ending - [ 19 ก.ค. 50 12:34:35 ]

//www.pantip.com/cafe/lumpini/topic/L5622814/L5622814.html


โดย: Happy ending วันที่: 20 กรกฎาคม 2550 เวลา:14:56:03 น.  

 
ถ้าแฟนไม่เคยบอกความรู้สึก โดยอ้างวากับแฟนเก่าก็ไม่เคยพูด จะทำยังไงให้เค้าบอกดีคะ

อยากรู้อ่ะค่ะว่าแฟนเราคิดยังไงกับเรา ไม่เคยบอกชอบ ไม่เคยบอกว่าเป็นคนที่ใช่ พอถามก็บอกว่าอาย กับแฟนเก่าก็ไม่เคยบอก (แล้วชั้นมันเหมือนแฟนเก่าเทอเหรอยะ) จะทำไงดีคะกับผู้ชายปากแข็ง แค่อยากได้ยินคำว่า... อ่า
เพื่อนๆช่วยออกความเห็นหน่อยค่ะ
ปล. เป็นไปได้มั้ยคะว่าที่ไม่บอกเนี่ย คือกำลังเก็บเราไว้แค่เผื่อเป็นตัวเลือกนึง เครียดค่ะเครียด

จากคุณ : ผู้ชายใจเย็น ผู้หญิงใจร้อน - [ 10 ก.ค. 50 02:55:43 A:58.9.108.66 X: TicketID:150019 ]

---------------------------------------------

ความคิดเห็นที่ 32

แฟนเราก็เป็น บอกให้ดูที่การกระทำ แต่แหม...ผู้หญิงเราก็อยากได้ความมั่นใจนี่นา

ตอนนั้นเราเลยเล่าเรื่องเพื่อนเราให้เค้าฟังว่า...เพื่อนเราเลิกกับแฟนที่คบกันมานานไปแล้วเพราะ ผู้ชายไม่เคยพูดถึงอนาคตร่วมกัน ไม่เคยให้ความมั่นใจ ไม่เคยแม้แต่จะพูดว่ารักซักคำ เรื่องเพื่อนหนะจริงเราไม่ได้เล่าแค่ขู่แต่ตอนเราเล่า เราอิน คิดถึงตัวเองว่าเป็นเหมือนกันเลย เล่าไปก็แทบร้องไห้

วันต่อมาเค้า SMS มาบอกว่ารัก เรานะดีใจจนร้องไห้เลย เวอร์ซะไม่มี ตอนนี้จำได้แค่ว่าความรู้สึกมันยิ่งใหญ่กว่าตอนเข้าพิธีแต่งงานซะอีก ทุกทีเคยแต่เสียใจร้องไห้ เพิ่งรู้ว่าซึ้งจนร้องไห้เป็นยังไง 555

แต่เค้าก็ไม่รู้หรอกว่าเรารู้สึกดีขนาดไหน เพราะเดี๋ยวนี้ก็เหมือนเดิมแหละ ถึงถามก็ไม่ค่อยบอก เราก็คิดว่า อืม ไม่ต้องพูดก็ได้แค่รักเราก็พอ แต่ห้ามไปพูดกับคนอื่นนะ ไม่งั้นฮึ่ม!!!
แก้ไขเมื่อ 11 ก.ค. 50 13:18:03

จากคุณ : Happy ending - [ 11 ก.ค. 50 13:09:34 ]



โดย: Happy ending วันที่: 20 กรกฎาคม 2550 เวลา:15:03:22 น.  

 
พี่ชายน้องสาว ต่างสายเลือด โอบไหล่กันนี่มันผิดปกติหรือเปล่าค่ะ

คือ เราเป็นครูสอนพิเศษค่ะ แล้ววันนี้
เราเห็นนักเรียนหญิงของเรา มีพี่ชายมารับกลับบ้าน(ปกติเห็นมารอปากซอย แต่วันนี้มารับที่หน้าประตู)
แล้วเค้าโอบไหล่น้องสาวแบบ เราดูแล้วมันแปลกๆ
แล้วโอบตลอดการเดินกลับบ้านเลยด้วยค่ะ ทำให้เรากลัวว่ามันจะมีอะไรมากกว่านั้น เพราะก่อนหน้านี้เคยได้ยินว่า พี่เกลียดน้องมากๆ (จากผู้ปกครองท่านอื่นที่บ้านใกล้กันบอกมา)

น้องสาวม.3 พี่ชายเราว่าคง 30 ได้แระ คือ ทั้ง 2 คนเป็นญาติกันนะคะ แต่ว่าน้องสาวเนี่ย เป็นลูกเลี้ยง (พ่อแม่แยกกันแล้วป้าเอามาเลี้ยง) แล้วก็กำลังเริ่มเป็นสาว(และสวยด้วย) แบบเรียบร้อยมากๆ เป็นเด็กหัวอ่อน และไม่มีปากเสียง เราดูว่าค่อนข้างเก็บกดด้วย

คือเราเองเป็นลูกคนเดียว ก็ไม่รู้ว่า ปกติ พี่ชายกะน้องสาว เค้าโอบกันปกติหรือเปล่า แล้วที่เราเห็นเนี่ย มันปกติ หรือผิดปกติ

เราคิดมากไปป่าวคะ แต่คนสมัยนี้ไว้ใจไม่ค่อยได้ ข่าวลงหนังสือพิมพ์ก็เยอะ ไอ้เรื่องจากคนในครอบครัวนี่ก็มิใช่น้อย มันเลยทำให้เรายิ่งคิด
เราควรทำไงดีคะ เฝ้าสังเกตการณ์ต่อไป หรือ ยกหูไปคุยกะป้าของเด็กดี แล้วเราควรเริ่มต้นยังไงดีคะ เรื่องมันละเอียดอ่อน และเพราะก็ไม่ได้สนิทอะไรกันด้วย เค้ามีแต่ฝากตังค์มาจ่ายค่าเรียน ไม่ค่อยมาถามไถ่เรื่องเรียนอะไรเท่าไหร่

แล้วสมมุติ นะคะ สมมุติ ว่าเกิดมันมีเรื่องอย่างที่เราคิดจริง แล้วที่บ้านเค้ารับรู้อยู่แล้ว แต่ทำไรไม่ได้(ก็ฝ่ายนึงลูกจริง ฝ่ายนึงลูกเลี้ยง) แล้วเราควรทำไงคะ

สุดท้าย ช่วยตอบเราเยอะๆหน่อยค่ะ คือเราคิดไรไม่ออกจริงๆ โทรไปคุยกะเพื่อนสนิท มันก็บอกว่าไม่รู้ทำไงเหมือนกันอ่ะ

จากคุณ : เราคิดมากหรือมันปกติ - [ 20 ก.ค. 50 01:53:29 A:58.136.57.76 X: TicketID:105254 ]

-------------------------------------

ความคิดเห็นที่ 5

ขอชื่นชมคุณครูก่อนเลยค่ะ ที่เอาใจใส่ดูแลนักเรียนดีมากๆเลย คุณมีจิตวิญญาณของความเป็นครูที่ดีจัง อยากให้คุณครูเป็นอย่างนี้กันทุกคนเลยค่ะ

เรื่องเด็ก เราว่ามันขึ้นกับแต่ละครอบครัวนะคะ ถึงเค้าไม่ใช่พี่น้องกันจริงแต่ก็อยู่บ้านเดียวกัน เลี้ยงเป็นลูกเลี้ยงก็อาจจะสนิทกันจริง ไม่มีคิดเกินเลยก็ได้ แต่โอกาสที่จะมีอะไรก็เป็นได้ กันไว้ดีกว่าแก้ เราว่าคุณไม่ได้คิดมากหรอกค่ะ

แต่เรื่องจะโทรไปบ้านเด็กเลยก็อาจจะเร็วไป ถ้ามันไม่ได้มีอะไร เราว่าคุณลองชวนเด็กคุยเรื่องพี่ชายคนนี้ก่อนดีมั้ยคะ ว่าเค้าสนิทกันขนาดไหน ถ้าเค้ามีอะไรจริงๆน่าจะมีพิรุธอะไรบ้างนะคะ

จากคุณ : Happy ending - [ 20 ก.ค. 50 10:33:34 ]

//www.pantip.com/cafe/lumpini/topic/L5627449/L5627449.html


โดย: Happy ending วันที่: 20 กรกฎาคม 2550 เวลา:15:10:00 น.  

 
เรื่อเงิน เราผิดหรือแฟนเราผิดคะ???

กลุ้มใจมากๆๆเลยค่ะ
เราคบกับแฟนเรามาได้6เดือนแล้วค่ะ
เค้าเป็นข้าราชการทหารชั้นสัญญาบัตรเพิ่งจบ
เงินเดือน 8000
เราเองเรียนโทอยู่ค่ะ ไม่มีเงินเดือน แต่ก็มี
งานpart time ทำพอมีรายได้ประมาณ 4000บาท

แฟนเราไม่มีรถ ไปไหนก็ไปรถเราตลอด
ค่าน้ำมันเราก็ออกตลอด

บ้านเราอยู่ในเมือง แถวๆห้วยขวาง
แฟนเราบ้านอยู่เลยไปรังสิตคลอง 4

ปัญหาคือ เงินไม่พอใช้ค่ะ จะดูหนังยังดูไม่ได้เลย
เพราะแฟนเรามีรายจ่ายส่วนตัวเยอะ เงินเหลือแค่นิดเดียว
ไปไหนก็ไม่ได้ อย่างดูหนัง ไม่ต้องพูดถึง
ถ้าจะดูคือเราต้องเลี้ยงแฟน กินอาหารก็กินแบบถูกๆ
คบกันไม่ได้ไปไหนเลยค่ะ เราต้องขับรถจากห้วยขวาง
ไปหาแฟนที่รังสิตเพื่อนั่งกันที่บ้านเค้า
เพราะไม่มีเงินไปไหนกัน แต่เราก็อดทนเพราะรัก

ปัญหาก็มีเรื่อยมา จนล่าสุดเราชวนเค้าไปดูหนัง
วันเสาร์นี้ เค้าบอกว่าเงินหมด ไม่เหลือเลย

อ้อ ลืมบอกไปว่าค่าโทร.เค้าก็ไม่มีค่ะ
เค้าใช้เติมเงินแต่เงินหมดตลอด
เราต้องโทรหาเค้าเองค่ะ

พอเราชวนไปดูหนังเค้าบอกไม่มีเงิน ขอเลื่อน
ไปอีก2อาทิตย์ได้มั้ย เราก็แบบทนไม่ไหวแล้ว
จึงถามเค้าไปว่า ทำไมไม่ขอเงินแม่บ้าง
เพราะแม่เค้าก็ไม่ได้ยากจน

คือเค้าเป็นคน ตจว.แต่แม่มีเงินซื้อบ้านหลัง ไม่ใช่ทาวเฮาส์
ให้ที่รังสิตราคาประมาณเกือบ 3ล้าน

แต่แฟนเราไม่มีพ่อแล้ว พ่อเสีย เค้าจะรักแม่มากกก
แบบไม่ขอเงินแม่เลยและให้แม่ด้วย ทั้งๆที่ตัวเอง
ก็ไม่มีข้าวจะกินอยู่แล้ว แบบกินมาม่าทุกวันเลย

เราพูดเพราะเรารู้ว่าถ้าแม่เค้ารู้ แม่เค้าน่าจะให้เงินเค้า
มาใช้ยังชีพในส่วนตัวของเค้าบ้างและส่วนอื่นๆ
จะได้มาแชร์กับเราบ้างเพราะเรารับภาระแทบไม่ไหวแล้ว

แต่แฟนเราบอกว่า เค้าจบแล้วไม่ขอเงินแม่หรอก
ต่อให้แม่ให้เค้าก็จะคืน

เราฟังแล้วแบบพูดไม่ออกค่ะ เค้าบอกว่าถ้าเราจะคบเค้า
ก็ต้องอดทนแบบนี้ ไม่มีเงินก็ไม่ต้องไปไหนสิ
อยู่บ้านกินมาม่าไง
หนังจะดูทำไมไร้สาระ กินข้าวนอกบ้านไร้สาระ
ไปเที่ยวก็ไร้สาระ คือทุกอย่างไร้สาระไปหมด

ตอนนี้เราเลยคิดว่านี่เราผิดหรือเปล่าที่เราอดทนต่อไม่ไหว
หรือเค้าผิด

หรือที่จริงไม่มีใครผิดคะ เราอยากจะเลิกกับเค้ามากๆ
แต่เราเห็นว่าเค้าเป็นคนดี แต่เรื่องเงินทำไมเค้า
เป็นแบบนี้นะ
เราเองก็ไม่ได้รวยพอจะออกทุกๆอย่างได้
ทั้งค่าน้ำมัน ค่าโทร. ค่าอาหาร พวกเนี้ยค่ะ

เราควรทำไงดี คิดไงดีคะ
ช่วยทีนะคะ กลุ้มใจมากๆๆๆๆๆเลยค่ะ

จากคุณ : chicken 09 - [ 19 ก.ค. 50 00:20:43 A:58.8.127.68 X: TicketID:135176 ]
--------------------------

ความคิดเห็นที่ 5

เราอดทนกินมาม่าไม่ไหวนะคะ คุณอาซิ่มกินไหวหรอคะ
ทุกมื้อๆๆทุกครั้งๆๆที่เจอกัน เราเลยแก้ปัญหาโดย
ซื้ออาหารเข้าไปกินที่บ้านเค้า เราผิดมั้ยคะที่เบื่อจะกินมาม่าทุกวันเนี่ย?

เรารักเค้านะ
แต่เราท้อและเหนื่อยค่ะ กับการที่ต้องหารายได้มา
ใช้จ่ายเรื่องกิจกรรมต่างๆของเรากับเค้า เช่นดูหนัง กินข้าว โทรศัพท์
เค้าบอกว่าให้เราอดทนหน่อย อีก5-6ปีคงดีขึ้น

เรามีภาระทางบ้านหลายอย่างเหมือนกัน
แต่ตอนนี้เหมือนเราต้องเลี้ยงเค้าอีกคน แต่เค้าไม่ได้แบมือของเงินเรานะ
แต่เค้าจะแบบ อย่างโทรศัพท์ บางทีเค้าเงียบไปนาน
เรารู้แล้วว่าเงินหมดไม่ได้เติมเงิน
หรือบางทีเค้าบอกเลยว่า เดือนนี้ขอไม่เจอกันนะ

คือเราบอกไม่ถูกน่ะค่ะ คือเค้าไม่ได้มาแบบขอเงินหน่อย
แต่ถ้าเป็นคุณล่ะ แฟนคุณหายไปเลย ไม่โทรไม่เจอ
พอคุณติดต่อไป บอกว่าไม่มีเงิน
เลยขออยู่ห่างๆ เราก็ไม่รู้จะพูดไงนะ มันแก้ปัญหาง่ายไปมั้ย

เราอาจจะผิดมั้งที่ทนไม่ได้ ถ้าใครเจอแบบเราแล้วทนได้
เราขอให้ช่วยแสดงตัวทีนะคะ และช่วยบอกเราหน่อยว่าคุณทำได้ไง

คนคบกันนะคะ แต่ไม่ขอคุยโทร.ไม่ขอเจอ
แล้วเราจะทนได้ไงอ่ะ เราเลยแบบไม่ต้องๆเด๋วเราโทรไปเอง
ไปเจอเราออกตังค์ให้ แบบเนี้ยค่ะ

เราคงต้องหาแฟนรวยอย่างที่คห.2บอกแหล่ะมั้งคะ
ไม่ใช่กินมาม่าไม่ได้ ไม่ใช่อยากไปดูหนังจนตัวสั่น
คบมา6เดือนเคยดุครั้งเดียว

แต่เพราะอย่างที่บอกน่ะค่ะ ไม่ได้ต้องการแฟนรวยหรอกค่ะ
แต่อยากได้แฟนธรรมดาๆทั่วไปที่ช่วยกันแชร์กัน
ไม่ใช่พอไม่มีก็เงินก็พูดง่ายๆว่างั้นไม่ต้องเจอ ไม่ต้องคุย
แล้วเป็นแบบนี้บ่อยมากจนเรา..พูดไม่ออกค่ะ

จากคุณ : จขกท. - [ 19 ก.ค. 50 02:05:47 A:58.8.127.68 X: TicketID:135176 ]

---------------------------------
ความคิดเห็นที่ 7

คือแฟนเรา เงินเดือน 8000 บาท
ให้แม่ 3000
เลี้ยงลูกน้อง 1000-1500
ค่ารถเดือนละ 2000
ค่าอาหารเดือนละ 1500-2000
หมดแล้วค่ะ

นี่คือรายการใช้จ่ายที่เค้าบอกเรา

แล้วของเรา เงินเดือนจากอาชีพเสริม 4-5000 ถ้าโชคดีได้ 6000
ค่าน่ำมันรถ 3000
ค่าโทรศัพท์เปลืองหน่อยต้องโทรหาเค้า 2000
ค่าอาหารกลางวัน เราขอแม่ค่ะ

คุณอาซิ่ม ช่วยบริหารให้ทีสิคะ
จะขอบคุณมากๆเลยค่ะ

จากคุณ : จขกท. - [ 19 ก.ค. 50 02:18:32 A:58.8.127.68 X: TicketID:135176 ]

----------------------------------


ความคิดเห็นที่ 40

ความคิดเห็นที่ 30

ความรักอย่างเดียวมันไม่อิ่มท้อง อาหารของความรักคือความเอาใจใส่
แต่ถ้าใครคนใดคนหนึ่งเอาใจใส่ข้างเดียวก็ถือว่าบกพร่องแล้ว


---------------------------------

เห็นด้วยอย่างแรงค่ะ เรื่องเงิน เรื่องอาหาร เรื่องหนัง มันแค่ผลที่ถูกแสดงออกมามากกว่า ส่วนเหตุของความไม่พอใจคือเค้าไม่ใส่ใจ ไม่แคร์คุณมากกว่า เหมือนทนได้ก็ทน ทนไม่ได้ก็ช่วยไม่ได้ เค้าก็เป็นของเค้าอย่างนี้แหละ ไม่อยากบอกว่าเหมือนไม่รัก แต่คงเป็นเค้ารักคุณน้อยกว่าที่คุณรักเค้ามาก เค้าเลยไม่พยายามจะทำอะไรเลย

ถ้าเค้ารักคุณมากพอ อยากเจอ อยากมีกิจกรรมร่วมกัน เค้าจะช่วยคุณหาทางออกเองแหละค่ะ ไม่ให้คุณดิ้นอยู่ฝ่ายเดียวหรอก ทางออกมีเยอะแยะแบบที่เพื่อนๆแนะนำ

คนอื่นไม่แคร์เรา มันไม่เจ็บเท่ากับคนที่เรารักไม่แคร์เราหรอกใช่มั๊ยคะ

ความรักถ้ามันไม่สมดุลย์กันมากๆ มันจะเจ็บ แล้วก็เหนื่อยมาก....(ขอเตือน) เพราะเรายังไม่สามารถรักเค้าแบบไม่ต้องการการตอบแทนเหมือนพ่อแม่รักลูกได้ ถ้าเค้าเป็นอย่างนี้ถึงเค้าจะมีเงินเยอะแค่ไหนแต่ในสถานการณ์ที่ไม่ต้องใช้เงินเค้าก็จะแสดงออกต่อคุณเหมือนเดิมอยู่ดี ลองทำอย่างที่เพื่อนๆแนะนำก่อนแล้วถ้าคิดว่ายังเหมือนเดิมไม่พัฒนาก็พิจารณาใหม่เถอะค่ะ เพราะปัญหามันไม่ได้อยู่ที่ไม่มีเงินแล้วหละ --ไม่ได้ยุให้เลิกนะคะ เพราะผู้ชายดีๆ ไม่เที่ยว ไม่เจ้าชู้ กตัญญู มีอนาคต และเรารักหาไม่ง่าย แต่ถ้าต้องทนอยู่กับผู้ชายเพอร์เฟคแต่ไม่รักเรา มันก็คงทนอยู่ด้วยได้ไม่นานหรอกค่ะ

แต่เราไม่ได้บอกให้คุณเห็นแก่ตัวนะคะ เรื่องขอเงินแม่ หรืองดให้เงินแม่ หรือคำว่าจน เงินน้อย เรื่องพวกนี้เซ้นซิทีฟต่อคนฟังมากค่ะ ต้องระวัง เดี๋ยวเค้าจะเข้าใจคุณผิดว่าคิดถึงแต่เงิน แล้วลองพูดถึงเรื่องของความรู้สึก ความมั่นใจในความรักของเค้า ความมั่นคงในอนาคต เค้าน่าจะพอคิดได้ค่ะ

จากคุณ : Happy ending - [ 20 ก.ค. 50 12:13:19 ]

//www.pantip.com/cafe/lumpini/topic/L5623571/L5623571.html




โดย: Happy ending วันที่: 20 กรกฎาคม 2550 เวลา:15:18:46 น.  

 
ผู้ชายชวนกินข้าว 2 คน นี่ชอบเราหรือเปล่าคะ

คือ เป็นน้องที่ทำงานน่ะค่ะ แต่สนิทกัน ก็คุยกันเรื่องหญิง เรื่องหนุ่มกันบ่อย ๆ เคยไปไหนกัน 2คน บางทีบ่นเบื่อๆ
เค้าก็ชวนเรากินข้าว เค้าชอบเราบ้างมั๊ยคะ เราชอบๆเค้านิดหน่อย แหะๆ

จากคุณ : เอ - [ 3 ก.ค. 50 23:07:44 A:58.8.90.21 X: TicketID:124750 ]

-------------------------------

ความคิดเห็นที่ 23

ความคิดเห็นที่ 7

กระทู้นี้เป็นตัวบ่งบอกอย่างดีว่า ถ้าไม่ได้คิดอะไรต่อกัน
ชายกับหญิงไม่ควรไปไหนกันสองต่อสองบ่อยๆ เพราะ
อาจจะมีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งคิดมาก คิดเข้าข้างตัวเอง หรือ
เข้าใจผิดเอาจิตไปผูกพันได้

ธรรมชาติผู้หญิง ถ้าไม่มีใจให้ฝ่ายชาย ก็แทบจะไม่อยาก
ออกไปไหนด้วยหรอก ดังนั้น คุณผู้ชายหากไม่คิดอะไร
กับฝ่ายหญิงไม่ว่าจะเพื่อนหรือพี่หรือน้องก็ได้โปรดระวังๆ
นิดนึงค่ะ อย่าพยายามทำอะไรที่เป็นการเปิดช่องให้คิด..
เป็นเรื่องขึ้นมาจะหาทางแก้ไขลำบาก

เรื่องของจิตใจต้องระวัง จะมาทำเป็นเล่นๆไม่ได้

(ฝากไปถึงใครบางคน อ่านซะ!! เอิ๊กๆ )

จากคุณ : อุนากัณ - [ 4 ก.ค. 50 00:50:21 ]

--------------------------

555 ถูกใจความเห็นค่ะ บางคนไม่คิดอะไรแน่ๆ แต่อีกคนเค้าคิดหรือเปล่า เราไม่รู้หรอก ใจคนอื่นหนะ ยากแท้หยั่งถึง

จากคุณ : Happy ending - [ 4 ก.ค. 50 13:48:47 ]



โดย: Happy ending วันที่: 20 กรกฎาคม 2550 เวลา:15:21:45 น.  

 
คิดอย่างไรกับการที่คนที่เป็นเพื่อนกัน มีเซ็กส์กัน

อยากรู้ว่า พวกคุณในทีนี้มีความเห็นอย่างไรกับคนที่เป็นเพื่อนสนิทที่สนิทกันมาก(ชาย กับ ญน่ะ)

แล้วมีเซ็กส์กัน ไม่ใช่ด้วยความรักแต่เป็นเพราะความใคร่

และที่สำคัญ ทั้งสองฝ่ายมีแฟนกันทั้งคู่

หลังจากที่มีเซ็กส์กัน ทั้งสองคนก็ยังเป็นเพื่อนสนิทกันอยู่ พูดคุย คำหยาบกันเป็นเรื่องปรกติ

คุณคิดอย่างไรครับ

ปล.อยากให้กระทู้แสดงในหน้ารวมน่ะครับ จึงโพสในนี้ โทษทีหากไม่ตรงกับเจตนาของห้อง

จากคุณ : Future is on my hand - [ 4 ก.ค. 50 14:07:26 ]
------------------------------------

ความคิดเห็นที่ 37

ที่จริงก็เรื่องของเค้า เราเองไม่เดือดร้อน คนเดือดร้อนคือแฟนของทั้งคู่

แต่...... เราไม่อยากคิดว่ามันเป็นเรื่องปกติ เรื่องของเค้าเราไม่เกี่ยว
เรากลัวมันจะกลายเป็นเรื่องธรรมดาที่ชินชาในสังคมเข้าซักวัน
ที่พูดว่าทำไมเราจะทำไม่ได้ใครๆเค้าก็ทำกัน สังคมทุกสังคมต้องมีการเปลี่ยนแปลง (ทั้งเจริญขึ้นและเจริญลงฮวบๆ)
เพราะในสังคมเราก็มีทั้งคนที่มีหลักยึดเหนี่ยวกับพวกลอยตามกระแส

โอ้....เราก็ว่าไปนั่น แต่มันน่ากลัวจะเกิดขึ้นจริงๆหนะสิ
ไม่เริ่มมีเลยซักกะคู่ในสังคมดีที่สุด

จากคุณ : Happy ending - [ 5 ก.ค. 50 16:48:00 ]


โดย: Happy ending วันที่: 20 กรกฎาคม 2550 เวลา:15:24:06 น.  

 
.....ผิดไหมและแปลกไหม ที่ความรักหวั่นไหว เพราะ มีคนที่ดีๆๆมาอยู่ใกล้ๆ อีกคน........

ผิดไหมและแปลกไหม ที่ความรักหวั่นไหว เพราะ มีคนที่ดีๆๆมาอยู่ใกล้ๆ อีกคน........
เมื่อ คุณมีคนที่รัก และที่เข้าใจอยู่แล้ว แต่
หน้าที่การงานทำให้เราต้องอยู่ห่างไกลกัน และต่างคนต่างทำงานหนักมาก
ทำให้เวลาที่มีให้กัน มีน้อยลง ซึ่งทำให้เราเหงาบ้างในบางเวลา
คนที่เรารัก ก็ดีแสนดี เป็นคนดี นิสัยดี และเข้าใจเรา
แต่เมื่อ ที่ที่เราทำงานทำให้เรารู้จัก คนดีอีกคนหนึ่ง
ที่เริ่มรู้จักกันมากขึ้นเพราะได้ทำงานด้วยกันมากขึ้น
ทำให้เกิดความรู้สึกดีๆๆขึ้นมาดูเหมือนเขาเข้าใจเราได้ดี
แต่คนที่ทำงานนี้ เธอมีรูปร่าง หน้าตา ที่ดีกว่า คนรักเรา (ซึ่งคนรักเราก็หน้าตาดีแล้วแต่คนนี้ดูดีกว่าอีก)
และเธอเหมือนมีใจให้
ความรู้สึกหวั่นไหว จึงเกิดขึ้น

จากคุณ : sunseg888 - [ 9 ก.ค. 50 15:40:20 ]
--------------------------------

ความคิดเห็นที่ 11

ตอนนี้ กำลังห้ามใจ พยายามทำตัว หนีคนที่ทำงาน
แต่เขายิ่งตาม และยิ่งทำดีกะเรา อะ
รู้สึกเจ็บ อะ สภาพที่เป็นอยู่ เรากำลังพยายามหนี
การห้ามใจไมให้รักใครเนี่ย มันทรมานเนอะ
แต่เราก็เลือกที่จะ เลือกคนรักเราเพราะ เขาเป็นคนดีที่ดีกับเรามานานและอยู่เคียงข้างเราเสมอ ความเจ็บเพียงเท่านี้ เราทนได้แต่จะบ้าตายอยู่แล้ว
ยิ่งหนี ความรู้สึกกับยิ่งมีมากขึ้นเรื่อยๆๆ

จากคุณ : จขกท (sunseg888) - [ 9 ก.ค. 50 16:59:36 ]

----------------------------------

ความคิดเห็นที่ 20

เราว่าแปลกนะ
คน สวย ดี เก่ง ใครก็ชอบทั้งนั้นแหละ แต่มีแฟนแล้วกลับหวั่นไหวบอกว่าดีกว่าแฟนตัวเองอีก เฮ้อ....
สงสารแฟนคุณจัง จะเลิกก็รีบเลิกนะคะ ให้ไวเลย
คนบนโลกนี้ก็มีคนสวย ดี เก่ง กว่า คนใหม่คุณอีกเยอะแยะ อย่างนี้ไม่ต้องหวั่นไหวตลอดไปหรอเนี่ย

เรากลับคิดว่าคุณไม่ได้รักแฟนคุณจริงๆแหละ ไม่ได้ว่ารักน้อยลงนะ แต่ไม่ได้รักจริงเท่านั้นเอง

จากคุณ : Happy ending - [ 9 ก.ค. 50 20:23:36 ]


โดย: Happy ending วันที่: 20 กรกฎาคม 2550 เวลา:15:32:05 น.  

 
คิดมากไปไหม ถ้าแฟนจะย้ายไปอยู่ห้องเช่ากับผู้หญิงอื่นและญาติ

แฟนเรียนอยู่ต่างประเทศค่ะ อยู่ในช่วงนี้ต้องหาที่พักใหม่ ซึ่งเค้าบอกว่าจะย้ายไปอยู่ apartment 1ห้องนอน 1 ห้องนั่งเล่น มีลูกพี่ลูกน้องผู้ชายไปอยู่ด้วย แล้วก็เพื่อนผู้หญิงรุ่นน้องอีกคนนึง....หนึ่งห้องนอน นอนกันสามคม....เป็นคุณคุณจะคิดมากมั๊ย............แล้วยิ่งถ้าลูกพี่ลูกน้องเค้าไม่กลับมานอนหละ....ยิ่งคิดเรายิ่งรับไม่ได้

เราไม่อยากทะเลาะกับเค้า แต่ใจเรารับไม่ได้ ทำยังไงดีคะ

จากคุณ : spank spank spank - [ 21 ก.ค. 50 07:16:50 ]
--------------------------------

ความคิดเห็นที่ 7

เราว่าไม่คิดมากนะ ส่วนแฟนคุณหนะคิดน้อยไปต่างหาก

ถึงค่าครองชีพจะสูงยังไงก็เถอะ อยู่กันห้องนอนเดียว หารูมเมทผู้ชายไม่ได้เลยหรอ จะอยู่ซัก 5 คนก็ตามสบาย

ปล. เค้าแค่มาบอกให้คุณรู้ หรือมาขออนุญาต ขอความเห็นคุณคะ

จากคุณ : Happy ending - [ 21 ก.ค. 50 17:17:15 ]

//www.pantip.com/cafe/lumpini/topic/L5630911/L5630911.htm
----------------------------------------

ไม่รู้แฟนเค้าคิดยังไงเนอะ ถึงต้องทำให้ไม่สบายใจ ทางออกอื่นก็น่าจะมีเยอะแยะไป ไม่เข้าใจเลยจริงๆ หาเรื่องเนอะ
(อันนี้ไม่กล้าคอมมเนท์ที่กระทู้นั้น สงสารเจ้าของกระทู้)


โดย: Happy ending วันที่: 21 กรกฎาคม 2550 เวลา:17:47:53 น.  

 
เกลียดเพื่อนสนิทแฟน

คือตามหัวข้อเลยครับ ผมไม่ชอบหรือจะใช้คำว่าเกลียดเพื่อนสนิทของแฟนมาก ๆ เลย ขนาดว่าไม่อยากจะหายในอากาศในห้องเดียวกันเลย

ถามว่าเค้ามาทำอะไรให้ผมรึเปล่า มันเป็นการไม่ชอบขี้หน้าซะมากกว่าแล้วก้อกลายมาเป็นความเกลียดแบบเห็นแล้วอี๋อะ ขยะแขยงประมาณว่า แต่แฟนผมนี่ก้อดิ กุ๊กกิ๊ก ๆ กันตลอด

กลุ้มอะครับ มีใครเคยอยู่ในสถานการณ์นี้บ้างมั้ยครับ

จากคุณ : cyberpear - [ 4 ก.ค. 50 07:43:56 ]

-----------------------------------

ความคิดเห็นที่ 13

บรรยายความเกลียดได้อารมณ์มากเลยค่ะ เห็นภาพสุดๆ

เราก็เป็นแต่ไม่ถึงขนาดเกลียด แค่ไม่ชอบหน้า แล้วก็มีเหตุผลในการไม่ชอบด้วย เราว่าเราไม่ใช่พวกชอบทำร้ายใครก่อนแน่ๆ แต่คนนั้นก็เพื่อนเค้าไม่ใช่เพื่อนเรา เราสั่งให้เค้าเลิกคบกันไม่ได้แน่ ส่วนจะให้เลิกเกลียดเค้าแบบใช้วิธีธรรมะมันก็ยากสำหรับคนธรรมดาอย่างเราๆ

เราใช้วิธีคิดของเราอย่างนี้นะ
ให้
1=เราทุกข์ทรมานจากเพื่อนเค้า
2=แฟนเรามีความสุขจากการคบเพื่อนเค้า
3=เราทุกข์ทรมานจากการเลิกกับแฟน หรือความสุขจากการรักเค้า

ทดสอบ
ถ้า... 1>2 แฟนที่ดีควรเลิกคบเพื่อนเพื่อเห็นแก่เรา
ถ้า... 1<2 เราก็ควรทนเพื่อแฟนเราบ้าง

แต่ถ้า... 1>2 แต่แฟนเรากลับไม่เลิกคบเพื่อน
ให้ทดสอบต่อดังนี้

ถ้า... 1>3 เราก็เลิกกับแฟนซะ จบปัญหา คนอะไรเห็นความสุขตัวเองสำคัญกว่าความทุกข์ของเรา
ถ้า... 1<3 เราก็ควรทำใจ ทนๆต่อไป รักเค้ามากก็ยอมทุกข์เองละกัน หรือ อ้อนวอนจนกว่าแฟนจะเลิกคบเพื่อนคนนี้ (ถ้าเป็นไปได้คงไม่ต้องคิดมากตั้งแต่เริ่มเนอะ 55)


ลองเอาไปคิดดูละกันค่ะ

จากคุณ : Happy ending - [ 4 ก.ค. 50 14:18:05 ]


โดย: Happy ending วันที่: 21 กรกฎาคม 2550 เวลา:18:39:15 น.  

 
กระทู้เพ้อฝันครับ...ถ้าคุณมีเงินและมีเวลาเหลือเฟือ..ไม่จำกัด คุณจะใช้ชีวิตต่อไปอย่างไรครับ

ตามกระทู้ครับ..สำหรับผมคง Retire ออกจากงานประจำและเดินหน้าทำงานทางด้านการกุศลช่วยเหลือผู้ตกทุกข์ได้ยาก โดยไม่ประสงค์ออกนาม

จากคุณ : Phathom01 - [ 4 ก.ค. 50 09:37:33 ]
--------------------------------------

ความคิดเห็นที่ 13

เราอยากพาพ่อกับแม่ไปเที่ยว ปิดบ้านไปนานๆเลย เพราะที่บ้านแทบจะไม่เคยได้ไปเที่ยวไหนไกลๆนานๆพร้อมหน้ากันทุกคน

ไปเที่ยว(อีกแล้ว) แต่คราวนี้ไปกะซะมีแค่ 2 คนพอ ไปที่ไหนก็ได้ที่เค้าอยากไป-เริ่มจากเที่ยววัดที่ญี่ปุ่นก่อนเลย- หรือที่ไหนก็ได้ยิ่งไกลยิ่งนานยิ่งดี เพราะจะได้ไม่มีคนสามารถลางานขอไปด้วยได้ กลัว...(เก็บกดเล็กน้อย 55)

เปิดโรงงาน....ทดสอบความสามารถในการผลิตและการบริหารเล่นๆ + เป็นมรดกครอบครัวชิ้นเล็กๆให้ลูกหลานทำกินต่อไป

เปิดโรงเรียน ที่มีคุณภาพ อุปกรณ์ครบ ครูเลิศ แต่เน้น คุณธรรม +วิชาการ +มารยาท ทุกจังหวัดเลย เด็กจะได้ไม่ต้องมาแออัด+จากพ่อแม่มาเรียนในกรุงเทพอีก สำคัญที่สุดอนาคตคนไทยจะได้มีคุณภาพ ไม่รังแกเบียดเบียนผู้อื่นทั้งโดยตั้งใจและไม่ตั้งใจ ไม่โง่ ไม่จน ไม่เจ็บ

เก็บออมบ้างบางส่วน เพราะอนาคตเป็นสิ่งไม่แน่นอน -- สำคัญนะ

เงินที่เหลือ ให้คนที่มีความสามารถ รู้ลึกรู้จริงกว่าเราไปบริหารจัดการยังไงก็ได้ให้โลกสงบสุข มีแต่คนมีความสุข ส่วนคนเลวเหลือน้อยที่สุดที่จะเป็นไปได้ เพราะถ้าสังคมไม่มีคุณภาพ เรามีเงินเยอะแค่ไหนก็สุขไม่ได้เต็มที่หรอก

จากคุณ : Happy ending - [ 4 ก.ค. 50 13:33:44 ]



โดย: Happy ending วันที่: 21 กรกฎาคม 2550 เวลา:18:41:11 น.  

 
มุมมองของคนไทยต่องานฟรีเเลนซ์ เฮ้อ..ตกงาน???

เราเคยทำงานประจำมาหลายปี เเต่จับพลัดจับผลูเเต่งงานโยกย้ายไปต่างปท.หลายครั้ง ก็เลยจับงานฟรีเเลนซ์ที่ไม่ตรงกับปริญญา เเต่ถนัดมากกว่าเเละทำได้ดีมากๆ เเถมเงินดีด้วย ทำให้มีเงินออมเต็มเม็ดเต็มหน่วย เเล้วยังได้ดูเเลครอบครัว รู้สึกสุขภาพจิตดีขึ้นเยอะ รู้ตัวเลยว่าตัวเองเหมาะกับงานอิสระ ไม่ตอกบัตร ไม่รีบเร่ง

เเต่เเน่นอนละว่า งานเเบบนี้มีข้อเสียหลายข้อตรงที่ไม่ค่อยมั่นคง ต้องรับผิดชอบสุขภาพตัวเอง เเล้วสังคมเพื่อนๆก็จำกัด ......ได้อย่างเสียอย่าง

เเถมพอบอกใครๆว่าทำงานอยู่ที่บ้าน อธิบายชัดๆว่าดีต่อเรายังไง โดยเฉพาะผู้ใหญ่ค่อยข้างตำหนิมาเยอะเลย บอกว่า น่าจะทำงานประจำ จะได้เป็นคนมีคุณค่า อ้าว เเปลว่าฟรีเเลนซ์คือตกงานซะเเล้วหรือ? (เสียเซลฟ์เล็กๆ)

อ้อ ไม่เถียงว่างานประจำดีที่สุดเพราะมั่นคงปลอดภัย เรายังเเอบอิจฉาหนุ่มสาวออฟฟิศที่มีความสุขกับการทำงานประจำเลย เเต่งานไม่ประจำก็น่าจะเป็นทางเลือกอีกทางสำหรับคนคลั่งไคล้อิสรภาพโดยไม่ถูกมองว่าตกงานอ่ะ....

จากคุณ : iamjetski - [ 4 ก.ค. 50 16:52:57 ]

--------------------------------------

ความคิดเห็นที่ 24

แล้วแต่เราเหมาะกับอะไรมากกว่ากันนะคะ ถ้ามันทำให้เราเลี้ยงตัวเองได้ก็ไม่เห็นเป็นอะไร ที่ผู้ใหญ่เค้าพูดงั้นเพราะเค้าอาจจะไม่รู้ว่าสิ่งที่คุณทำอยู่หนะคืองาน หรือไม่ทราบว่าคุณรายได้เท่าไหร่หรือเปล่า เลยนึกว่าคุณไม่ยอมไปทำงาน

ของทุกอย่าง ได้อย่างก็เสียอย่าง เราเองทำงานเล็กๆน้อยๆอยู่บ้านก็ยอมรับว่าเหงาเป็นบางทีขนาดเป็นคนไม่ติดสังคม บางทีก็มีคำพูดมารผจญเหมือนคุณให้จิตตกเล่น แต่เทียบกับตอนทำงานประจำเราชอบอย่างนี้มากกว่า เหงานิดหน่อยรับได้ถ้าเทียบกับรถติดหลายชั่วโมง สามีกลับถึงบ้านเราก็ได้เห็นหน้าเลย ถ้าทำงานประจำเราคงต้องแยกกันอยู่คนละจังหวัด ซึ่งสำหรับเราเป็นสิ่งที่รับไม่ได้ คิดบวกลบแล้ว เราว่าเรายังบวกอยู่เยอะมาก เราเลยพอใจในแบบที่เราเป็น เราไม่อยากเป็นบวกในสายตาของคนอื่น แต่ลบกับความรู้สึกของตัวเอง แล้วที่เราทำก็ไม่ได้ไปเบียดเบียนทำให้คนอื่นเดือดร้อน

ในขณะที่บางคนเค้าก็ชอบยัดเยียดความคิดตัวเองให้คนอื่น เรายังเคยโดนบางคนพูดว่า เราโชคดีที่มีสามีเลี้ยง(เป็นนัยเหมือนว่าเราเลี้ยงตัวเองไม่ได้) แต่ใช้จ่ายอะไรไม่ได้ อยากซื้อของแบรนด์เนมก็ไม่ได้ สังคมคับแคบ ไม่ได้ใช้ภาษาอังกฤษ ไม่ได้แต่งตัวแบบสาวออฟฟิส ให้มาอยู่อย่างเราเค้าไม่เอาเด็ดขาดไม่รู้เราอยู่เข้าไปได้ยังไง เราก็จิตตกเหมือนกัน

แต่พอคิดได้ว่าเราไม่ได้เดือดร้อนอย่างที่เค้าว่าซะหน่อย สิ่งที่เค้าฝันอยากได้ มันก็ไม่ใช่สิ่งที่เราอยากมีอยากเป็น เค้าก็อยู่อย่างที่เค้าชอบ เราก็อยู่อย่างที่เราพอใจ คนเราทุกคนต่างก็เลือกสิ่งที่คิดว่าดีที่สุดให้กับตัวเองอยู่แล้วเพราะทุกคนก็รักตัวเอง เพียงแต่อย่าทำให้ตัวเองมีความสุข ดูสูงขึ้นโดยการกดคนอื่นลงก็พอ

จากคุณ : Happy ending - [ 5 ก.ค. 50 13:39:25 ]


โดย: Happy ending วันที่: 21 กรกฎาคม 2550 เวลา:18:46:32 น.  

 
เรื่องราวของแฟนเก่าแฟน เรา "ควรรู้" สักแค่ไหนคะ?

ตามนี้ค่ะ
ควรรู้มั้ยคะ?

หรือไม่ควรรู้เลย?

ไม่รู้เลยเรียกว่าโง่มั้ยคะ?

ถ้าถามแล้วเค้าบอกไม่อยากพูดถึง ควรรอจนกว่าเค้าจะสบายใจใช่ไหมคะ?

คบมา 6 เดือนแล้วอ่ะ รวมเวลาที่รู้จักกันมาก็เกือบปีแล้ว
นานไปไหม-*-

ไม่ได้อยากรู้มากมาย

แต่รู้สึกว่า "ควรรู้"

ไม่รู้เหมือนกันว่าจะรู้ไปเพื่ออะไร -*-

แต่การไม่รู้เลย รู้แค่บางเศษส่วน มันเป็นปริศนาลึกลับดำมืดยังไงไม่รู้

ขอย้ำอีกรอบว่าไม่ได้อยากรู้นะคะ เหอๆ

... ไม่ได้แคร์อดีตเค้าอยู่แล้ว

แต่การรู้แล้วไม่แคร์ กับไม่รู้แล้วไม่แคร์ ต่างกันนะเฟ้ยยย -*-

รู้แล้วไม่แคร์ คือรู้ว่าเค้าทำอะไรมา ให้อภัย รับได้

ไม่รู้-ไม่แคร์ คือ อืม ค่ะ รับได้ค่ะไม่ว่าคุณจะทำอะไรมา

แต่อีกแง่นึงคือ มันจะไม่แคร์ได้จริงหรอถ้าเป็นแบบนี้ ในเมื่อเราไม่รู้ ว่าเราจะต้องแคร์เรื่องอะไร? ถ้าเรารู้แล้วจะแคร์มั้ย? งงไหมคะ 55

คือเราไม่อยากรับรู้เศษๆ เหตุการณ์อยู่เรื่อยๆ แล้วมานั่งเดาเอาเองอีกแล้วอ่ะ-------- ว๊ากกกก

จากคุณ : Forgiven, but not forgotten - [ 25 มิ.ย. 50 00:29:16 ]
----------------------------

ความคิดเห็นที่ 27

เราก็อยากรู้นะ แต่ไม่ได้อยากรู้ว่าแฟนเก่าเค้าชอบอะไร ไม่ชอบอะไร เพราะไม่ได้สนใจผู้หญิงคนนั้น แต่เราอยากรู้ว่าเค้าดูแลแฟนเรายังไง ดีขนาดไหน ทำไมเลิกกัน เราจะได้ทำให้ดีกว่าคนเก่า ประวัติศาตร์ไม่ซ้ำรอย แล้วก็แค่อยากรู้อยากเห็นเป็นธรรมดา แต่แฟนเราเค้าไม่ค่อยยอมเล่าเลยไม่กล้าถามถึงอีก (คงกลัวเราคิดมาก)

เราไม่สนใจอดีต เพราะเค้าเลิกกันไปแล้วนี่นา ปัจจุบันก็ไม่ได้ติดต่อไม่ได้คุย ของที่ระลึกก็ไม่มีเก็บไว้ให้เราระแวง เราก็เลยไม่คิดมากทั้งที่ปกติเป็นคนคิดมาก...ที่สุดในโลก แต่จะคิดมากกับปัจจุบันถ้าเค้าใจดี เอาอกเอาใจ คอยดูแลคนอื่น เห็นคนอื่นดีกว่าเรา เพราะเราไม่ได้สนใจอยากเป็นอดีตของเค้า แต่ถ้าปัจจุบันและอนาคตนี่ยังไงเราก็ไม่ยอม

จากคุณ : Happy ending - [ วันต่อต้านยาเสพติดโลก 11:33:08 ]


โดย: Happy ending วันที่: 21 กรกฎาคม 2550 เวลา:19:02:27 น.  

 
มือถือกับคนเป็นแฟนกันนี่เป็นของส่วนตัวที่ไม่ควรแตะต้องเลยเหรอคะ

จริงๆ เค้ากับเราเป็นเพื่อนกันมานานมากแล้วค่ะ เรียกว่ารู้ไส้รู้พุงหมดละ คือเราคบกับเค้ามาเกือบครึ่งปีละ เค้าเคยเล่าว่าเค้าทะเลาะกับแฟนเก่าเพราะแฟนเก่าขอเช็คมือถือ แต่เค้าไม่ยอม บอกว่ามันเป็นเรื่องส่วนตัว ซึ่งตอนนั้นเค้าก็โทรคุยกับผู้หญิงอีกคนอยู่ แต่พอเป็นแฟนกัน เค้าก็ไม่ยอมให้เราดูโทรศัพท์เค้าเหมือนกัน เคยทะเลาะกันหลายครั้งเพราะเรื่องโทรศัพท์หลายครั้งละ มีอยู่วันนึงเค้าวางโทรศัพท์ไว้ เราหยิบมาดู (เค้ามีสองเครื่อง เครื่องนึงใช้บ่อย อีกเครื่องไม่บ่อยเท่าเค้าวางเครื่องที่ใช้ไม่บ่อยทิ้งไว้)ปรากฏว่ามันมีข้อความของแฟนเก่าเค้าส่งมาในวันที่เราไป ตจว. ว่า "วันนี้ไม่ต้องมารับนะคะ จะกลับบ้าน" พอเราถามว่ายังติดต่อกับแฟนเก่าอยู่เหรอ เค้าก็บอกว่า เปล่า เราเลยถามว่าแล้วทำไมมีข้อความแบบนี้ เค้าก็บอก ไม่รู้ คำเดียว เราไม่ได้โกรธอะไรนะถึงเค้าจะยังคุยกันอยู่ แต่เราโกรธที่เค้าไม่บอกเราทั้งที่เราถาม เลือกที่จะปฎิเสธมากกว่า หลังจากครั้งนั้นพอทะเลาะกันเรื่องโทรศัพท์ เค้าก็จะจับมือแล้วก็บอกว่าไม่มีอะไร ให้เชื่อเค้า แต่ก็ไม่เคยยอมให้ดูโทรศัพท์เลย เราเลยอยากรู้ว่า
โทรศัพท์เนี่ยมันเป็นความส่วนตัวมากเลยเหรอคะ สำหรับคนเป็นแฟนกัน

อีกข้อที่อยากถาม คือ เราจะกล่าวหาว่าเค้านอกใจ เราก็ไม่แน่ใจนัก เพราะเค้าก็โทรมาหาเราตลอด ทำตัวสม่ำเสมอดี แต่เค้าเลิกงานดึก แล้วบางวันจะโทรติดต่อไม่ได้เลยหลังเลิกงานเราก็เข้าใจว่าแบตคงหมด พอโทรติด คิดว่าเค้ากลับถึงบ้านแล้ว แต่ก็เปล่า เค้าบอกว่ากำลังกลับบ้านขับรถอยู่ งั้นก็แสดงว่าเมื่อกี้เค้าปิดเครื่องไม่ใช่แบตหมด เป็นอย่างนี้มา 2 ครั้งแล้วค่ะ แต่เราไม่แน่ใจว่าเค้านอกใจอยู่หรือเปล่าเพราะเค้าก็ดีกับเรา อยากจะลองพิสูจน์ แต่ก็ไม่รู้ทำยังไง อึดอัดจังเลยค่ะ จนบางครั้งอยากจะนึก ขอให้จับได้ซะทีว่าเค้ามีคนอื่น เราจะได้เลิกไปเลยเหมือนกัน

จากคุณ : สังขยานมสด - [ 27 มิ.ย. 50 17:22:18 ]

-------------------------------------

ความคิดเห็นที่ 26

สำหรับเราเป็นของส่วนตัวแต่แตะต้องได้ค่ะ ถ้าเป็นคนในครอบครัวหยิบดูได้ ไม่มีความลับต่อกันอยู่แล้ว แต่ถ้าเป็นคนนอกหยิบไปดู เรียกเสียมารยาท

เราก็เคยโดนแฟนว่า(อย่างรุนแรง) เค้าโกรธมากที่เอามือถือเค้าไปเล่น บอกว่าของส่วนตัวแฟนหรือใครก็ไม่มีสิทธิ์ จริงๆเราก็ไม่ได้จะเช็คจับผิดอะไรทั้งนั้น แค่อยากรู้ว่าเค้ายังเก็บsmsที่เราส่งไปให้เค้าหรือเปล่า แต่ปากหนักไม่ถาม+เขิน ครั้งนั้นเรายอมรับว่าเราผิด เพราะบ้านเราไม่ถือ บ้านเค้าอาจถือก็ได้ ไม่เหมือนกัน

แต่เพื่อนร่วมงานเค้าเคยหยิบมือถือเค้าไปเล่น เค้าก็ไม่เห็นว่าอะไร เลยน้อยใจว่า ทำไมมาถือแต่กับเรา แล้วกับคนอื่นทำไมไม่โกรธ ตอนหลังมาคิดว่า ที่เค้าโกรธเราคงเพราะคิดว่าเราไม่ให้เกียรติไปเช็คมือถือเค้า แต่เพื่อนหนะต้องเอาไปดูเล่นจริงๆอยู่แล้ว

ส่วนเคสคุณเนี่ย ถ้ามองโลกแง่ดีสุดๆคือ เค้ายังติดต่อแฟนเก่าจริง แต่แบบเพื่อน แต่กลัวคุณคิดมาก เลยไม่อยากให้คุณรู้ว่ายังติดต่อกัน แล้วเค้าก็สม่ำเสมอกับคุณดี คิดมากปวดหัวค่ะ

บอกเค้าเลยค่ะ ถ้าจะไม่รัก จะเลิกก็บอกตรงๆ ไม่งั้นไปไหนก็ให้บอก ห้ามปิดมือถือ ต้องติดต่อได้ ไม่ทำตัวให้น่าระแวงอีก ผู้หญิงที่ไหนจะอยากไปเครียดคิดมากให้หน้าแก่

ที่สำคัญให้เกียรติคุณบ้าง ประเภทมีแฟนแล้วยังไปรับ-ไปส่งผู้หญิงอื่น แอบติดต่อหญิงอื่นลับหลังเนี่ย พฤติกรรมแย่....ยิ่งกว่าแอบเช็คโทรศัพท์แฟนอีก

จากคุณ : Happy ending - [ 28 มิ.ย. 50 11:14:27 ]


โดย: Happy ending วันที่: 21 กรกฎาคม 2550 เวลา:19:06:02 น.  

 
ถามหน่อยว่าคุณๆเข้ากับแฟนเพื่อนได้มากน้อยแค่ไหนกัน

มีความสนิทสนมกันมากน้อยแค่ไหน แล้วรู้สึกอึดอัดหรือเปล่าที่เวลาไปไหนมีเพื่อนของแฟนไปด้วย (เริ่มๆแอบรำคาญ) ทีแรกก็ไม่คิดแต่มาก ๆเข้าเป็นเงามันน่าเบื่อมากเลย เพื่อน ๆคนอื่นมีใครเป็นบ้างมั้ย ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาตอบจ้า

จากคุณ : อึดอัดใจ - [ วันต่อต้านยาเสพติดโลก 22:26:00 A:58.9.55.252 X: TicketID:148958 ]
---------------------------------

ความคิดเห็นที่ 15

เข้าได้บ้างไม่ได้บ้างค่ะ แล้วแต่คน

มีไปเที่ยวเป็นกลุ่มก็สนุกไปอีกแบบค่ะ จนเดี๋ยวนี้แทบไม่เคยไปเที่ยวไหนกัน 2 คนเลย เลยแอบเบื่อพวกเพื่อนๆของคุณแฟนมาก...ถึงมากปานกลาง พอทนไหว ต้องรักษามารยาทบ้าง ให้เกียรติแฟน แต่ยังไงเพื่อนแฟนก็คือเพื่อนแฟน

แต่ไม่ชอบที่สุดก็ตอนไปกันแค่ 3 คน แล้วแฟนทิ้งเราประจำ คุยแต่กับเพื่อน เดินกับเพื่อน ให้เราเดินตามต้อยๆ แบบนี้มีงอนค่ะ

จากคุณ : Happy ending - [ 27 มิ.ย. 50 12:14:21 ]



โดย: Happy ending วันที่: 21 กรกฎาคม 2550 เวลา:19:13:21 น.  

 
กระทู้อยากรู้เรื่องชาวบ้าน เพื่อนๆห้องนี้ เรียนจบอะไรแล้วทำงนอะไรคะ

หุหุ อยากรู้จิงๆ เรื่องชาวบ้าน วันนี้วันอาทิด หยุดงาน หยุดหมด เลยว่าง อยากรู้ ว่าเพื่อนๆห้องนี้ เรียนจบอะไรมา แล้วทำงานอะไรกันมั่งคะส่วนเรา เรียนจบบริหารธุรกิจ ทำงานในโรงแรมคะ

จากคุณ : สิงห์คะนองบอร์ดตามหยอดทุกลีลา - [ 24 มิ.ย. 50 14:56:18 ]

-------------------------------------

ความคิดเห็นที่ 60

จบบัญชี ...
เคยทำออดิท... เคยทำบัญชี... เคยเหนื่อย... เคยเบื่อ... เคยลาออก... 555 เหมือนวัฏจักรของคนจบบัญชีเลยนะคะ


ปัจจุบัน เป็นผู้จัดการทั่วไป........
ดูแลทุกอย่างภายในบ้านค่ะ ตั้งแต่ทำอาหาร ทำความสะอาดบ้าน เหนื่อยเป็นบางครั้ง เบื่อเป็นบางหน แต่ไม่ยอมลาออกเด็ดขาดค่ะ สู้สู้...

จากคุณ : Happy ending - [ วันต่อต้านยาเสพติดโลก 11:49:34 ]


โดย: Happy ending วันที่: 21 กรกฎาคม 2550 เวลา:19:17:59 น.  

 
เคยเป็นกันบ้างไหม อยากพักการตั้งท้องไว้ก่อน (กระทู้แอบบ่น)

อย่าประนามกันนะคะ อารมณ์แบบประมาณว่า อยากเห็นลูกก็อยากนะ อยากเลี้ยงก็อยากอยู่ แต่ประมาณว่าขอเบรกไว้ก่อนได้ไหม

มันเหนื๋อย เหนื่อย เครี๊ยด เครียด ทั้งที่เราไม่ได้ทำงานเลยตั้งแต่รู้ว่าท้องได้ 3 เดือน แต่ไม่ได้ทำในสิ่งที่อยากทำ ไม่ได้กินในสิ่งที่อยากกิน ไม่ได้เจอพ่อแม่เพื่อนฝูงที่เมืองไทย คนเข้าใจคนอื่นก็ไม่มีเวลาทะเลาะกะแฟน เลือดก็ออกบ่อยๆทำให้ไม่กล้านั่งรถไปเที่ยวไกลๆ ใช้เงินก็ไม่กล้าอีกเพราะจะคลอดแล้ว

สรุปแล้วมันเป็นช่วงชีวิตที่น่าเบื่อจนน่าเครียดไปเลย แล้วเราคิดพอลูกออกมาแล้วอาจจะเครียดยิ่งกว่านี้อีก อารมณ์เลยแบบ ขอพักสักหน่อยได้ไหมเนี่ย กายพร้อม ใจไม่พร้อมแหล่ว

จากคุณ : Gebadius - [ 18 มิ.ย. 50 07:26:06 ]
-------------------------------------------

ความคิดเห็นที่ 15

ไม่ประนามหรอกค่ะ อย่างนี้เราน่าประนามกว่าอีก
เราเองอยากท้อง แต่ไม่ท้องซักที จนตอนนี้ชักไม่ค่อยอยากจะมีลูกแล้วค่ะ
กลัวไปหมดเลย กลัวกับอนาคตของเรา ของลูก...
คิดว่าถ้ามีเลิกมีกลางทางก็ไม่ได้ ออกมาแล้วยัดกลับก็ไม่ได้

แต่ในใจลึกๆก็ยังอยากเป็นคุณแม่ค่ะ สับสนจัง

จากคุณ : Happy ending - [ 18 มิ.ย. 50 15:07:17 ]


โดย: Happy ending วันที่: 21 กรกฎาคม 2550 เวลา:19:22:02 น.  

 
เบื่อ"งานบ้าน"ไหนมากสุดคะ แบบถ้ามีอุปกรณ์วิเศษช่วยทำให้ได้ก็น่าจะดี...

มีงานบ้านแบบไหนที่คิดว่า อยากให้มีของวิเศษของโดเรมอนช่วยทำให้จังเลย ช่วยกันนึกหน่อยว่าจะเอาเครื่องอะไรดี

จากคุณ : Spark as Fireflight - [ 18 มิ.ย. 50 08:35:17 ]

-----------------------------------------

ความคิดเห็นที่ 24

เบื่อทุกอย่างค่ะ เพราะมันเหมือนเป็นงานที่ไม่มีวันเสร็จสิ้น
เมื่อวานทำเสร็จแล้ว วันนี้ก็มีมาอีก ถ้าวันนี้เราไม่ทำ กองเอาไว้ สิ่งที่เราทำไปเมื่อวานวันจะเหมือนไม่มีค่าเลย

ยิ่งถ้าวันนี้มีงาน 10 อย่าง ทำเสร็จไป 8 อย่าง แล้วมีคนมาบ่นว่าอย่างที่ 9 กับ 10 ทำไมไม่ทำ ปล่อยไว้ได้ยังไง จะยิ่งรู้สึกเซ็งมาก

แต่พอทำเสร็จแล้ว รู้สึกภูมิใจกับตัวเองค่ะ ว่าทั้งหมดนี่ฝีมือเรา

จากคุณ : Happy ending - [ 18 มิ.ย. 50 14:30:16 ]


โดย: Happy ending วันที่: 21 กรกฎาคม 2550 เวลา:19:23:25 น.  

 
"ปล่อยวาง" คุณทำได้แค่ไหน

เวลามีปัญหาไม่ว่าปัญหาจะร้ายแรงแค่ไหน ใครก็รู้ว่าถ้าอยากจะทุกข์ให้มันน้อยที่สุดต้อง"ปล่อยวาง" หรือ ปลงให้มันตก อยากไปยึดติดอยู่กับมัน ทำได้อย่างงั้นก็ทุกข์น้อยลง

หลายคนรวมทั้งผมด้วย เวลามีเพื่อนๆมาตั้งกระทู้ ชอบตอบเหมือนคนเข้าใจชีวิตว่า "ทำอย่างงี้สิ อยู่กลับตัวเองรักตัวเองให้มากๆ ปล่อยวาง พยายามทำใจ ฯลฯ"

จริงๆมันเป้นคำตอบของชีวิตนั้นหล่ะคือมีปํญหาแล้ว ต้องรู้จักสงบใจปลงกับมันแล้วจะเห้นวิธีการแก้ อกหักโดนทิ้ง จะไปทำอะไรได้ เพราะเหตุทุกข์เกิดจากเราไปรักไปหลงเค้าจะแก้คงต้องแก้ที่ต้องเอง คือ ต้องปล่ยอวาง

พูดนี่มันง่ายดีนะ คุณว่าไม๊ ??? ปล่อยวางเถอะ ทำใจเถอะ แต่ทำจริงๆเนี้ยยาก ประสบการณ์ชีวิตบางคนต่างกัน บางคนทุกข์เรื่องรัก ใช้เวลาเจ็ดวันก็กลับสู่สภาพเดิมได้ บางคนใช้เวลาเป็นปี บางคนอีกนั้นหล่ะเลือกที่จะตายเพื่อพ้นทุกข์ แหงล่ะ คนเราไม่ใช่เทวดาหรือจิตใจแข็งแกร่งกันทุกคน ทุกคนไม่สามารถเข้าใจชีวิตได้อย่างเท่าเทียมกัน

สำหรับผมเรื่องรักไม่ใช่ปัญหาทำให้ทุกข์เทาไหร่ ส่วนมากจะเป็นเรื่องงาน คนรู้จักเพื่อน พี่ๆ ก็บอกอย่าไปเครียดกับมันมาก ให้มันเป็นไป พยายามทำอยู่แต่ทำไม่ค่อยได้ มีเรื่องพวกนี้แล้วยังไงจิตก็จดจ่ออยู่กับมัน ทำให้ดีที่สุด เหนื่อยไม่ว่าเครียดช่างมัน จะมีความสุขหรือปล่อยวางมันไปได้ก็ต่อเมื่องานผ่านไปแล้วเท่านั้น

เรื่องปล่อยวาง แม้ผมจะทำได้ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ แต่คิดว่าเป้นคนปลงตกระดับนึง คือ ยอมรับสิ่งที่จะเกิดขึ้นได้ ก็คงจะเสียใจถ้ามีอะไรมากระทบจิตใจให้มันมีปัญหา แต่คงไม่ฟูมฟายมากนัก เพราะคิดว่าชีวิตมันต้องดำเนินต่อไป แล้วคุณๆล่ะครับ เคยบอกให้เพื่อนๆทำใจบ้างหรือเปล่า บอกคนอื่นแล้วตัวท่านเองสามารถปล่อยวางกับปํญหาหรือความทุกข์ได้มากน้อยแค่ไหน มาคุยกันหน่อย

ลากลับบ้านก่อน เดี๋ยวมืดๆเข้ามาอ่าน บายๆ

จากคุณ : I.Brother - [ 3 เม.ย. 50 18:20:22 ]

-------------------------------------------

ความคิดเห็นที่ 50

ทำได้ยากมากค่ะ ถึงแม้จะอยากทำแต่มันก็มารบกวนจิตใจเสมอๆ ยิ่งอยู่คนเดียวยิ่งคิดมาก

วิธีแก้ของเราคือ ระบายค่ะ พูดบ่นไปเรื่อย เหมือนยิ่งหมกมุ่นนะคะ แต่พอบ่นเสร็จเราสบายใจ ยิ่งเรื่องที่กลุ้มมากก็บ่นมาก มีคนมารับฟัง มาเสนอแนะ หรือมาอือๆออๆเราก็จะรู้สึกดีขึ้นมาก รู้สึกว่าเรายังมีคนรัก คนห่วงอยู่ เราไม่ได้เผชิญปัญหาอยู่คนเดียว ไม่ว่าจะเกิดอะไรเรายังมีคนที่พร้อมจะอยู่กับเรา แล้วพอเวลาผ่านไป ถึงจะไม่ลืมเรื่องที่เกิด แต่เราก็ไม่โกรธ ไม่ทุกข์ขนาดนั้นแล้ว บางเรื่องก็ลืมไปเรียบร้อย

จากคุณ : Happy ending - [ 4 เม.ย. 50 09:57:22 ]


โดย: Happy ending วันที่: 21 กรกฎาคม 2550 เวลา:19:25:44 น.  

 
สาว ๆ ในนี้เคยมั้ยคะ วันที่ใส่เดรสหรือชุดแซคไปเที่ยวกะแฟนแล้วแฟนบ่นว่าแต่งตัวเวอร์อ่ะ

คือวันนี้เราออกไปกินข้าวดูหนังกะแฟนมา แล้วก็ใส่ชุดแซคแบบแขนตุ๊กตาสีน้ำตาลไปซึ่งมันก็ธรรมดามาก ๆ แต่พอเค้าเห็นก็บอกว่ามันดูดีเกินไปแบบประมาณมองแล้วส่ายหัวแซวว่าจะไปดินเนอร์เหรอจ๊ะ แล้วบอกว่าคราวหน้าถ้าใส่มาอีกจะไม่เดินด้วย ไม่รู้ว่าเพื่อน ๆ เคยเป็นป่ะคะ

จากคุณ : ชิฟฟอนคาปูชิโน่ - [ 14 มิ.ย. 50 16:47:03 ]
---------------------------------

ความคิดเห็นที่ 25

เมื่อก่อนเราใส่กางเกงไปเที่ยวด้วย ก็บอกว่าอยากให้ใส่กระโปรง แต่เราจะเก็บไว้ใส่วันทำงาน

เดี๋ยวนี้ไม่ได้ทำงานนอกบ้าน ไม่ค่อยมีโอกาสใส่กระโปรง เราเอาแซคมาใส่ ไม่มีชมซักคำเลย แถมบอกว่าแต่งตัวไม่เข้ากับบรรยากาศ ซะงั้น... แหมก็อยากสวยบ้างนี่นา

จากคุณ : Happy ending - [ 15 มิ.ย. 50 13:20:54 ]



โดย: Happy ending วันที่: 21 กรกฎาคม 2550 เวลา:19:27:40 น.  

 
!!! MBA ป.โท Y Exec จุฬา กับ Flex MBA นิด้า อันไหนหนักและเหนื่อยกว่ากันครับ

MBA ป.โท Y Exec จุฬา กับ Flex MBA นิด้า
เป็นภาคพิเศษ เรียนเสาร์-อาทิตย์ทั้งคู่ อยากทราบครับว่า

1) สองที่นี้ที่ไหนเรียนหนัก, โหด และเหนื่อยกว่ากันครับ
(ผมอยากทราบเวลาเรียนน่ะครับ ว่าเรียนกี่โมงถึงกี่โมงโดยปกติ แล้วรายงาน, โครงงาน และการนำเสนอที่ต้องทำ มากน้อยแค่ไหนครับ ไปรบกวนเวลาทำงาน
ปกติจันทร์- ศุกร์ ของคุณหรือเปล่า)

2) การแข่งขันในการสอบเข้า ที่ไหนอัตราการแข่งขันสูง โอกาสยากกว่า
(เปิดรับจำนวนกี่คนน่ะครับ ของจุฬารู้สึกว่า 50 คน ของนิด้าผมไม่ทราบ)

3) ผมทำงานด้านวิศวะอยู่ครับ มันจะมีบางครั้งที่ต้องไปทำงานต่างจังหวัดบ้าง
ในช่วงเสาร์อาทิตย์ แต่ไม่บ่อยครับ 2 -3 เดือน อาจจะมีสักครั้งถึงสองครั้ง
จะมีผลกระทบแค่ไหนครับ รู้สึกว่าทั้งสองหลักสูตรนี้มีการเช็คชื่อเข้าเรียน
ด้วยใช่ไหมครับ

จากคุณ : วีระ - [ 21 ก.ค. 50 20:07:28 A:10.216.242.121 X:203.170.231.232 TicketID:076495 ]

------------------------------------

ความคิดเห็นที่ 6

ไม่ใช่ประสบการณ์ตรงค่ะ แต่มีเพื่อนเรียนทั้งที่จุฬาและนิด้าแล้วก็จบไปหมดแล้ว--โปรดใช้วิจารณญาณ อิอิ

ที่จุฬาสอบข้อเขียนไม่ยาก ยิ่งคุณพื้นฐานเด็กวิศวะไม่ต้องพูดถึง แต่สอบสัมภาษณ์แล้วแต่ดวง+หน้าที่การงาน+แบคกรานด์ป.ตรี ว่าเรียนที่ไหน
เรียนกลุ่มไม่ใหญ่รู้จักสนิทกันหมด เฮฮาดี สังคมดี(คงเพราะเค้าคัดมาให้อย่างดีแล้ว) แต่ถ้าใครบังเอิญเป็นแกะดำของห้องก็....แทบไม่เหลือเพื่อนให้คบเพราะห้องเล็ก
เรื่องรายงานก็เห็นมีเรื่อยๆ เรียนเน้นปฏิบัติ ทฤษฎีไม่มากเท่าตอนเรียนป.ตรี ถือว่าไม่หนักเท่าที่(เพื่อน)คาดไว้ ส่วนใหญ่ในรุ่นก็จบกันทุกคน

ส่วนนิด้า เรียนแบบเพื่อนช่วยเพื่อนดีมาก สังคมน่ารัก (นี่ก็เพื่อนบอก) เรียนสนุกลุกนั่งสบาย เนื้อหาไม่หนักแต่รายงานเยอะ เข้าเยอะแต่ก็ออกไปไม่น้อย--ไม่รู้ทำไมเป็นงั้น ทั้งที่เพื่อนเราก็บอกว่ามันไม่ยาก

ทั้งสองคนเราก็เห็นมีเวลาไปดี๊ด๊ากันได้ปกตินะคะ ยกเว้นช่วงสอบก็อาจจะเงียบๆไปบ้าง เรียน MBA ส่วนใหญ่ก็ทำรายงานเยอะทุกที่แหละค่ะ เรื่องเบียดบังเวลางานก็เป็นปกติ แล้วแต่ใครจะจัดสรรเวลาเก่งกว่ากัน เรียนที่เดียวกันบางคนยังบอกหนักบางคนบอกเบายังมีเลยค่ะ ขึ้นกับพื้นฐานที่ติดตัวมาด้วยค่ะ เราว่าเอาที่เดินทางสะดวกดีมั๊ยคะ ฟังดูเหมือนไร้สาระแต่สำคัญนะคะ เผื่อเรียนแล้วเหนื่อยจะได้ไม่ท้อเกินไป

จากคุณ : Happy ending - [ 23 ก.ค. 50 16:19:55 ]



โดย: Happy ending วันที่: 23 กรกฎาคม 2550 เวลา:16:34:35 น.  

 
ขอปรึกษาสาวๆที่แต่งงานแล้วว่า...แต่ละเดือนหมดกับค่าช๊อปปิ้งไปเท่าไหร่ครับ

แฟนผมได้เงินเดือนประมาณ 18,000 ให้แม่ครึ่งนึงอีกครึ่งใช้ซื้อเสื้อผ้าและเครื่องสำอางค์
ส่วนผมได้เงินเดือน 25,000 แต่จะออกค่าน้ำมัน ค่าอาหาร ค่าอาหารเสริมและวิตามินให้เธอ
รวมถึงค่าใช้จ่ายในบ้านอื่นๆ ด้วย แต่แฟนผมใช้เงินเดือนของเธอแต่ละเดือนแทบไม่มีเก็บ
อย่างมากก็เก็บ 1,000 บาทต่อเดือน แต่พอมีเรื่องให้ใช้เงินก็หมดอีก ผมพยายามเตือนให้เธอ
เก็บบ้างเพราะหากมีลูกคงต้องใช้เงินเยอะและเผื่อฉุกเฉินอีก แต่เธอไม่ฟังเลย บอกว่าเงินเธอหามาเอง
เธอมีความสุขที่ได้ช๊อปปิ้งได้ซื้อเสื้อผ้า ขอให้เธอมีความสุขกับสิ่งที่เธอชอบได้มั้ย

ผมเป็นห่วงเธอและอนาคตของเธอนะ ถ้าเกิดผมเป็นอะไรไปจะทำยังไง สังคมทุกวันนี้อะไรก็เกิดขึ้นได้
ถึงแม้ครอบครัวเธอมีฐานะแต่ก็ไม่สามารถพึ่งพวกท่านไปได้ตลอด

ไม่ทราบว่าเพื่อนๆ หมดเงินกับช๊อปปิ้งในแต่ละเดือนไปเท่าไหร่ครับ
ที่เธอใช้เงินแบบนี้ถือเป็นปกติของผู้หญิงหรือเปล่าครับ ผมควรจะบอกหรือ
แนะนำให้เธอนึกถึงอนาคตยังไงดีครับ

จากคุณ : ชีวิตคู่ - [ 23 ก.ค. 50 22:24:00 A:58.8.170.213 X: TicketID:138731 ]

---------------------------------
ความคิดเห็นที่ 14

เราหมดไม่เยอะนะนานๆหลายเดือนจะซื้อซักที (เรื่องช็อปกับผู้หญิงคงคู่กัน)แต่จะเลือกที่ไม่แพงมากจนเกินไปแต่ถ้าเป็นของแฟน เราจะกล้าซื้อของดีๆให้มากกว่า ส่วนใหญ่ถ้าไปห้างก็หมดกับอาหารแล้วก็ของใช้ในบ้าน(ซื้อเยอะทุกครั้ง ช่วยลดอาการอยากช็อปเสื้อผ้าได้ดี)
แล้วเมื่อก่อนเรามีแม่กับพี่สาวเป็นสปอนเซอร์เครื่องสำอางค์ พอแต่งงานจะรับเหมือนเดิมก็เกรงใจ แถมสามีก็ให้เงินเดือนเค้าเกือบทั้งหมดมารับผิดชอบอีก ทั้งที่เงินส่วนของเราก็มีพอจะช็อปได้แต่พอรวมกระเป๋าเดียวกันถ้าเราใช้ก็เหมือนใช้ของเค้าด้วย จะซื้ออะไรก็ขอหรือปรึกษาเค้าก่อน ถือว่าให้เกียรติเค้าด้วย เราไม่อยากสร้างปัญหาให้กับชีวิตคู่กับเรื่องที่เราคิดว่าเราควบคุมได้อย่างเรื่องเงิน

แต่คนเรานิสัยไม่เหมือนกัน เราไม่ค่อยฟุ่มเฟือยตั้งแต่ก่อนแต่งงาน หลังแต่งเลยไม่ถึงขนาดอึดอัด ส่วนแฟนคุณถ้าเค้าซื้อเป็นนิสัยหมดเดือนละเกือบหมื่น อยู่ๆจะให้เค้าหยุดหรือลดฮวบฮาบคงจะยากหน่อย แต่เล่นอ้างเงินเธอหามาเลยช็อปหมดก็เกินไปเหมือนกันเนอะ เพราะเงินเดือนเธอยังเลี้ยงตัวเธอเองไม่ได้เลย ขนาดไม่เหลือสำหรับค่าอาหารและอื่นๆส่วนตัวเลยเนี่ย เอ..ถ้าก่อนแต่งช็อปขนาดนี้จะกินอยู่ยังไงเนี่ยสงสัย

ตอนคุยกับเธอ ก็อธิบายดีๆค่อยๆพูดนะคะ ว่าเป็นห่วงอนาคต เพื่อเธอและลูก ไม่ใช่คุณงก มีชมบ้างว่าสวยอยู่แล้วจะได้ไม่ต้องซื้อเพิ่ม(มุกนี้แฟนเราใช้ ทั้งที่ทุกทีไม่เคยชมเราเล้ย) แล้วก็ตั้งงบช็อปซื้อกระหน่ำแต่ห้ามเกินที่ตั้ง เงินเธอที่เหลือให้ฝากคุณจัดการออม+จ่ายค่าใช้จ่ายจำเป็นให้ ไม่งั้นกลับกันคือบังคับออม เอาเงินหักไปฝากธนาคารเท่ากันทุกเดือนก่อน(ถ้าขาดส่งไม่ได้เรทดอกเบี้ยพิเศษ) เงินคุณที่เหลือให้เธอบริหารทั้งหมด เดือนแรกๆอาจลำบาก วิธีนี้โหดแต่ให้เธอค่อยๆเรียนรู้เอง ไม่รู้จะใช้ได้หรือเปล่าแต่ก็น่าลองดูนะคะ

มองอีกมุมก่อนแต่งคุณก็คงเห็นเธอซื้อเป็นประจำ (เหมือนผู้ชายบ้าเครื่องเสียง บ้าบอล แต่งรถ) คุณเคยเตือนเธอไม๊หรือผู้ชายเคยนึกเปล่าว่า กว่าผู้หญิง(บางคน)จะสวยได้ เธอลงทุนกันไปเท่าไหร่ แล้วเธอเคยช่วยออกค่าอาหาร ดูหนัง เวลาไปเดทกับคุณเปล่า ถ้าไม่เคยก็คงดัดกันยากแล้วเพราะคุณก็รู้ว่าเธอเป็นไงแต่ก็เลือกเธอนี่นา ตอนนี้รักไปแล้วแต่งไปแล้วก็พูดยากอีก

จากคุณ : Happy ending - [ 24 ก.ค. 50 15:01:29 ]



-----------------------------------


โดย: Happy ending วันที่: 24 กรกฎาคม 2550 เวลา:15:08:46 น.  

 
ไปบิ๊กซีกับแฟน แฟนบอกแคชเชียร์ว่าให้แยกบิลล์

เรากับแฟนมีกำหนดจะแต่งงานกันเดือนพฤศจิกายนนี้ค่ะ จองโรงแรมแล้ว

วันก่อน เราไปบิ๊กซีกับแฟน ที่ผ่านมา เราแทบไม่เคยซื้ออะไรเลยเวลาไปกับแฟน แต่วันนั้น เราซื้อนม v soy สองแพ็ค และขนมสองห่อ รวมราคา 100 กว่าบาท ส่วนแฟนซื้อเสื้อตัวหนึ่ง

ตอนรอคิวจ่ายเงินที่แคชเชียร์ แฟนยืนอยู่ข้างหน้าเรา ถือนมวีซอยให้เรา เราเลยบอกแฟนว่า เดี๋ยวเราออกเงินเอง

แฟนตอบด้วยน้ำเสียงระโหยว่า "ไม่เป็นไร"

เราก็เลยนึกว่าแฟนจะออกเงินให้ แต่แฟนกลับใช้มือแยกของที่ซื้อของเรากับแฟนออกเป็น 2 กอง แล้วบอกแคชเชียร์ว่า

"แยกบิลล์"

เราเลยเดินแซงหน้าแฟนออกไปจ่ายเงินส่วนของเราเอง

เราก็ไม่ได้ต่อว่าแฟนนะ ไม่โกรธ แต่เสียความรู้สึก เพราะเราไม่ใช่แฟนธรรมดา แต่เป็นแฟนที่กำลังจะแต่งงานกัน เราไม่ได้เสียดายเงิน เพราะเสื้อผ้าหลายพัน เราก็เคยให้แฟนมาแล้ว แต่แฟนทำเหมือนกับเราเป็นคนอื่น

__________________________________________

คบกันมา 6-7 เดือน แฟนมารับไปกินข้าว แฟนจะออกเงินเลี้ยงอาหารตลอด

ยกเว้นวันเกิดแฟน หรือบางวัน เราก็จะขอเลี้ยง

เราให้ของขวัญวันเกิดแฟน และของฝากแก่แฟน พ่อแม่แฟน พี่สาวและน้องชายของแฟน เป็นมูลค่าไม่น้อย

ก็เลยเสียความรู้สึก

วันต่อมา แฟนมาหาเรา ก็ทำตัวดีขึ้นนะ หวานเอาใจมากขึ้น เราก็ไม่ได้ต่อว่าอะไร

เพียงแต่คิดว่า ต่อไป แต่งงานกันไปแล้ว เราคงต้องหาเงินใช้เอง ไม่ค่อยกล้าใช้เงินเขา

แล้วถ้าแต่งงานไปแล้ว ไปชอปปิ้งที่บิ๊กซีอีก เขาคงไม่บอกให้แยกบิลล์อีกแล้วนะ

ขอบคุณมากค่ะ ทุกความเห็น

จากคุณ : e - [ 31 ก.ค. 50 13:54:11 A:125.25.182.247 X: TicketID:139926 ]

-------------------------------------
เราว่าเข้าใจกันผิดค่ะ ลองไปถามเค้าดูสิคะ เราว่าเข้าใจกันผิดแน่ๆ
ผู้ชายบางคนเราก็ว่าซื่อบื้อจริงๆ แต่งานนี้เราว่าเข้าใจผิดชัวร์ค่ะ

คุณบอกว่า "เดี๋ยวเราออกเอง" แฟนคุณคงเข้าใจว่าคุณจะออกค่าเสื้อให้เค้า เค้าเลยเกรงใจคุณ
เลยบอกคุณว่า "ไม่เป็นไร" คือเดี๋ยวเค้าออกของเค้าเอง ไม่ต้องออกให้เค้าหรอก
เลยบอกแคชเชียร์ให้แยกบิล คุณจะได้ไม่ต้องออกให้เค้า

เข้าใจกันผิดมากกว่าค่ะ จะแต่งงานกันอยู่แล้ว แค่ค่านมไม่กี่บาทเค้าไม่น่าจะงกกับคุณหรอก
เพราะคุณเองก็บอกว่า เวลากินข้าวแฟนก็เลี้ยงคุณนี่นา อย่าคิดมากเลยค่ะ
คุยกันเถอะค่ะ เข้าใจกันดีแล้วเข้ามาส่งข่าวบ้างนะคะ อยากติดตามผลค่ะ

เอาใจช่วยจ้า

จากคุณ : Happy ending - [ 1 ส.ค. 50 18:04:42 ]


โดย: Happy ending วันที่: 1 สิงหาคม 2550 เวลา:18:11:38 น.  

 
หากรู้จัก "ปฏิเสธ" และ "รักษาระยะห่าง" เสียบ้าง ชีวิตคุณอาจเป็นสุขขึ้น

ได้ข้อเขียนนี้มาจากเพื่อนคนหนึ่ง เลยเอามาแบ่งปันในสวนลุมค่ะ ^^

------------------

"หากรู้จัก "ปฏิเสธ" และ "รักษาระยะห่าง" เสียบ้าง ชีวิตคุณอาจเป็นสุขขึ้น"

โดย shadatsu

มีคนในสังคมมากมายที่เป็นคนใจดี ชอบช่วยเหลือ และปฏิเสธคนไม่ค่อยจะเป็น
เห็นใครตกทุกข์ได้ยาก ลำบากลำบน ก็อยากจะไปโอบอุ้มประคับประคองซะหมด

แน่นอนค่ะ มีคนแบบนี้บนโลกมากๆย่อมดีกว่ามีคนที่ไม่นึกถึงใครนอกจากตัวเองมากๆ
แต่สิ่งที่น่าเป็นห่วงสำหรับคนกลุ่มนี้ก็คือ ในบางครั้งเขาจะถูกเอารัดเอาเปรียบ ถูกกดดันมากกว่าปกติ
เพราะคนมองออกว่าเขาเป็น "ผู้ให้" และไม่ค่อยกล้าบอกปัดกับใครนั่นเอง
เหมือนเวลาที่เราเจออาจารย์ดุกับอาจารย์ใจดีน่ะค่ะ
ถ้าเจออาจารย์ดุ แล้วเราลืมทำการบ้านมา เราก็คงไม่กล้าไปอ้อนขอให้ผัดผ่อนวันส่ง
แต่ถ้ากับอาจารย์ใจดี เราก็อาจจะไปอ้อนวอน หาข้ออ้างๆต่างๆนานา เพื่อให้อาจารย์ใจอ่อน
เพราะรู้ว่ามีโอกาสเป็นไปได้สูงที่จะรอดตัว

ดังนั้น ถ้าคุณตกอยู่ในจำพวกคนกลุ่ม "อาจารย์ใจดี" ล่ะก็
กระทู้นี้สำคัญต่อคุณมาก เพราะถ้าคุณไม่เรียนรู้ที่จะปฏิเสธหรือรักษาระยะห่าง
คุณจะเหนื่อยล้าไปได้ง่ายๆ เพราะต้องรับภาระและความคาดหวังมากกว่าปกติ
และในบางครั้ง ถ้าโชคไม่ดีเจอคนประเภท "ปรสิต" ก็จะยิ่งมีแต่ถูกดูดพลังงาน
โดยไม่ได้รับสิ่งดีๆกลับคืนมาเลย ซึ่งไม่ยุติธรรมกับตัวคุณ

สิ่งที่ควรระลึกเสมอก็คือ ก่อนจะตกลงรับปากทำอะไรเพื่อใคร
ขอให้ถามตัวเองก่อนว่า "มันเดือดร้อนตัวเรารึเปล่า?"
อย่าสักแต่ยอมเพียงเพราะคุณเห็นใจ เกรงใจ สงสาร ฯลฯ
เพราะในหลายๆครั้งคนคนนั้นอาจไม่ได้น่าเห็นใจ น่าเกรงใจ หรือน่าสงสารเลยแม้แต่นิดเดียว
อาศัยว่าเขาเห็นคุณเป็นคนใจอ่อน เขาก็เลยจับจุดถูก
มีวิธีพูดให้ฟังดูว่าเขาควรได้รับการช่วยเหลือ ทั้งๆที่อาจเป็นเรื่องที่ควรต้องแก้ไขด้วยตัวเองแท้ๆ

ประการต่อมา ถามตัวเองว่า "การช่วยเหลือนี้ จะทำให้คนที่ว่าพึ่งพาเราน้อยลงและยืนหยัดด้วยตัวเองมากขึ้นหรือไม่?"
ถ้าเป็นการช่วยเพื่อให้เขาได้ดีกว่าเดิม และเพื่อให้เราไม่ต้องคอยพยุงเขาตลอดไป แบบนี้สมควรทำ
แต่ถ้าเป็นการช่วยที่จะทำให้เขาสบาย เคยตัว และชินกับการมีคนยื่นมือมาช่วยเรื่อยๆ
คุณควรจะปฏิเสธโดยด่วน เพราะนอกจากเขาจะไม่กระตือรือร้นทำอะไรเพื่อตัวเองแล้ว
คุณจะแย่ไปด้วย จากที่ช่วยเหลืออาจมีหน้าที่ไม่ต่างจากคนรับใช้หรือพี่เลี้ยง
แล้วมันเรื่องอะไรที่คุณจะต้องอยู่ในสถานะนั้น เอาเวลาไปทำอย่างอื่นเพื่อตัวเองดีกว่า

นอกจากนี้ ต้องหัดดูคนให้เป็น
อย่าเห็นว่าใครเป็นทุกข์ น่าสงสาร ก็จะต้องไปช่วย ไปเป็นที่พักพิงให้เขาหมด
โดยเฉพาะในกรณีที่คนคนนั้นมีปัญหาเรื่องเดิมซ้ำซาก หมกมุ่นอยู่กับเรื่องเดิมๆโดยตัวเองไม่รู้จักหาทางออก
แล้วมาพล่ามให้คุณฟัง อาจจะอ้างว่าระบาย แต่ถ้ามันครั้งที่สามก็แล้ว ครั้งที่สี่ก็แล้ว
คุณควรจะรู้จักหาทางตัดบท เพราะที่เขาทำอยู่มันไม่ใช่แค่การระบาย แต่เป็นการเอาอารมณ์บูดเน่าของตัวเองมาเทใส่คุณ
การที่คุณยิ่งฟัง ก็จะยิ่งสนับสนุนให้เขารู้สึกว่าปัญหาเขามีคุณค่าพอที่คนจะต้องสนใจ
และทำให้เขาวนเวียนกับเรื่องเดิมไม่จบไม่สิ้น สนใจแต่ตัวเองอยู่อย่างนั้น คุณจึงต้องรีบตัดไฟแต่ต้นลม
เวลาเป็นสิ่งมีค่า ต่อให้คุณว่าง ไม่มีอะไรต้องทำ
แต่ก็คุณก็ย่อมสมควรใช้เวลานั้นอย่างสงบ หรือทำสิ่งที่น่าชื่นใจ
มากกว่าจะมานั่งฟังปัญหาของคนที่สนใจแต่เรื่องความทุกข์ร้อนตัวเองใช่ไหม?
ซึ่งคนประเภทนี้ ก็คือคนจำพวก "ปรสิต" ที่เราได้เอ่ยไว้ตอนต้น
คือจะพยายามให้คนมาเห็นใจ ให้คนมาประคับประคองตลอด
แต่ตัวเองไม่สามารถที่จะให้ความเห็นใจหรือประคับประคองคนอื่นตอบได้ในระดับเดียวกัน
เพราะในหัวไม่คิดอะไร ไม่สนใจอะไร นอกจากเรื่องของตัวเอง
เขาจะตักตวงคำแนะนำ กำลังใจ ความรู้สึกเป็นห่วงเป็นใยเราไป
แต่จะไม่เอาไปทำตาม ไม่เจริญก้าวหน้ากว่าที่เป็นอยู่ แล้วไม่นานก็กลับมาโอดครวญกับคุณใหม่
เจอคนแบบนี้นอกจากสมควรจะปฏิเสธแล้ว คุณต้องยิ่งถอยห่างโดยไว
เพราะความช่วยเหลือ ความใจดีของคุณ จะมีแต่ทำให้เขายิ่งเป็นตัวถ่วงของคุณ

ที่เขียนมานี้ก็ใช่ว่าจะให้ปฏิเสธหรือถอยห่างจากทุกคนที่มาขอความเห็นใจหรือความช่วยเหลือ
แต่ในฐานะผู้ให้ คุณเองก็ต้องปกป้องดูแลตัวเองด้วย ไม่ใช่ปล่อยให้ใครต่อใครมาตักตวงจนตัวเองเหนื่อย
ซึ่งบางทีอาจจะส่งผลกระทบต่อชีวิตคุณ ต้องมากลุ้มใจรับภาระคนอื่นโดยไม่จำเป็น
การรู้จักแยกแยะว่าเมื่อไรควรเอ่ยคำ "ปฏิเสธ" หรือควร "รักษาระยะห่าง" จึงเป็นเหมือนด่านชั้นดีที่กรองของเสียออกไป
คุณมีสิทธิ์ทำได้เต็มที่ ไม่ต้องกลัว ไม่ต้องเกรงใจ ไม่ต้องรู้สึกผิด
คนที่ต้องเกรงใจควรเป็นฝ่ายที่เข้ามา "ขอ" อะไรบางอย่างจากเราต่างหาก
และถ้าเราปฏิเสธเขาก็ต้องยอมรับและเคารพการตัดสินใจนั้น จะมาดันทุรังไม่ได้

การช่วยเหลือคนเป็นสิ่งที่ดี แต่เราก็ต้องรู้จัก "คุณค่า" ของการกระทำที่เราช่วยใครสักคนด้วย
หากช่วยแล้วเขาไปได้ดี พัฒนาในทางที่ดีขึ้น แบบนี้มันก็น่าชื่นใจ
แต่หากช่วยแล้วกลายเป็นว่าคุณได้เลี้ยงปรสิตตัวหนึ่งให้อ้วนบวมเป่งขึ้นทุกที แล้วยังเกาะหนึบคุณอยู่อย่างนั้น
คุณต้องใจแข็ง ดีดมันออกไป เพื่อที่เขาจะได้หัดทำตัวแบบมนุษย์ปกติ ยืนด้วยตัวเอง อยู่ด้วยตัวเองสักวัน

จากคุณ : aqua - [ 26 พ.ย. 50 22:28:09 A:172.214.237.208 X: TicketID:152752 ]

----------------------------------------------

ความคิดเห็นที่ 22

อะไรที่เกินไปเราว่าไม่ดีทั้งนั้นแหละค่ะ ทั้งใจดีเกินไปหรือแล้งน้ำใจเกินไป

ใจดีไม่รู้จักปฏิเสธกับบางคนก็ดีเป็นบางครั้งถ้าเราใจดีกับถูกคน อะไรที่เราช่วยได้แล้วไม่เดือดร้อนตัวเองก็ช่วยกันไป ถือว่ามีน้ำใจต่อกัน แต่กับบางคนเค้าไม่รู้สึกว่าเราดีก็มีค่ะ เค้ากลับมองว่ามันเป็นหน้าที่ หรือถูกมองว่าโง่อย่างที่ข้างบนว่าก็มีค่ะ

โดยเฉพาะถ้าใจดี ปฏิเสธไม่เป็นกับคนอื่นนอกครอบครัวเสมอๆ แต่ต้องมาสร้างความไม่สบายใจกับคนใกล้ตัวแทน บางครั้งก็อดน้อยใจไม่ได้เหมือนกันนะคะ จริงเปล่า...

จากคุณ : Happy ending - [ วันสาธารณสุขแห่งชาติ 14:54:01 ]


โดย: Happy ending วันที่: 8 ธันวาคม 2550 เวลา:15:06:50 น.  

 
เคยคาดหวังกับสามีมากเกินไปไหมค่ะ??

เช่นว่าจะทำโน่นทำนี่ได้ และตัวเขาเองเขาก็คิดว่าเขาทำได้ แต่สุดท้ายเขาทำไม่ได้ เราก็เฮ้อ เหนื่อย บอกแล้ว เช่นให้ซ่อมอะไรสักอย่าง เราบอกเอาไปให้ร้านเขาซ่อมดีกว่าไหม? พูดดีๆ เขาบอกเขาทำได้ ทำไมไม่เชื่อใจกันเลยหรือไง เราก็เอ้า! อยากซ่อมก็ซ่อม จากนั้น จากเสียนิดเดียวกลายเป็นพังเลย ทะเลาะกันอีก มีใครเป็นเหมือนคู่เราไหมเนี่ย? <เหนื่อยใจ>

จากคุณ : vs.ff - [ 9 พ.ย. 50 10:30:53 ]

---------------------------------------

ความคิดเห็นที่ 14

คาดหวังค่ะ ใช่เลยค่ะ หวังแล้วก็เจ็บถ้ามันไม่เป็นอย่างที่เราคิด แล้วก็คิดว่าจะไม่หวังแล้ว แต่พอเค้าทำดีถูกใจเรา เราก็เริ่มหวังอีกแล้วว่าเค้าคงจะเข้าใจเราแล้ว เค้าคงเปลี่ยนแปลงเพื่อเราได้ แล้วมันจะเป็นอย่างนี้ตลอดไป แต่เปล่าเลย มันก็เป็นแค่ความพยายามของเค้า พอบางวันเค้ากลับไปเป็นเหมือนเดิม เราก็เจ็บ ผิดหวังอีกเหมือนเดิม

รู้ดีว่าควรปล่อยวาง ไม่คาดหวังแต่มันก็ทำยากนะคะ ปลงได้เป็นบางวัน แล้วก็ลืมกลับมาเหมือนเดิม

จากคุณ : . (Happy ending) - [ 9 พ.ย. 50 16:41:02 ]


โดย: Happy ending วันที่: 8 ธันวาคม 2550 เวลา:15:17:00 น.  

 
คุณคิดยังไงกับผู้ชายหัวล้าน

อยากรู้อะครับ ว่าคิดยังไงกับผู้ชายหัวล้านที่ขาดความมั่นใจ และคิดยังไงกับคนที่ไปทำศัลยกรรมปลูกผมว่ามันเป็นเรื่องน่าอายหรือป่าวกับสิ่งที่เค้าจะทำให้ชีวิตกลับมาปกติ
ช่วยตอบด้วยนะครับ ขอบคุณครับ

จากคุณ : lean back - [ 30 พ.ย. 50 00:12:31 ]

----------------------------------------

ความคิดเห็นที่ 7

คิดว่าเป็นเรื่องปกติค่ะ พออายุมากขึ้นส่วนใหญ่ก็หัวล้านผมบางกันทั้งนั้น แต่ถ้าไปเร็วตั้งแต่อายุยังน้อยก็ไปทำดีกว่าค่ะ จะได้มั่นใจดูดี

มันเป็นแค่ความประทับเริ่มแรกเท่านั้นค่ะ เหมือนผู้ชายชอบผู้หญิงสวยหุ่นดี แต่สุดท้ายก็รักเพราะอย่างอื่นมากกว่าภายนอก

แฟนเราก็เริ่มจะไปแล้วเหมือนกัน แต่รักแล้วไม่เปลี่ยนเพราะผมบางหรอกค่ะ แต่ไม่อยากให้ล้านเร็ว เพราะเราก็ผมบางเลยเป็นห่วงลูกว่าน่าจะมีโอกาสหัวล้านสูง

จากคุณ : . (Happy ending) - [ 30 พ.ย. 50 09:31:40 ]


โดย: Happy ending วันที่: 8 ธันวาคม 2550 เวลา:15:24:53 น.  

 
สงสัยเรื่องสูตรบัญชี X-Y ครับ

จริงๆ เรื่องนี้เกิดสมัยเรียนมหาวิทยาลัยเนื่องจากไปเรียนบัญชีรวมกับบริหาร อ.ที่สอนเขาสอนบอกว่าเป็นสูตรคำนวณแบบนี้ยกตัวอย่างง่ายๆ นะครับ
X - Y
ที่นี่ตอนทำคำนวนค่า Y แล้วมันขาดทุน(ได้มาเป็นลบ) เราก็เด็กวิทย์เอาเลยครับแทนค่า - (-Y) ลบๆเป็นบวก สรุปเขาบอกว่าเราผิดขาดทุนจะเป็นบวกได้อย่างไง พวกผมก็เอาเลยบอกก็คิดตามสูตรที่อ.ให้มานี่แหละครับ กดเครื่องคิดเลขให้ดูด้วย(แต่เป็นแบบพวกคำนวนสูตร) อ. บอกคำตอบให้พวกผมเข้าใจอย่างมากว่าเครื่องคิดเลขของพวกคุณดีเกินไป พร้อมกับหยิบเครื่องคิดธรรมดามาแล้วกดให้ดูโดยกดเครื่องหมายลบ 2 ครั้งแล้วก็ตัวเลขแล้วก็บอกเห็นไหมไม่เห็นเป็นบวกเลย - -''

ตั้งแต่นั้นมาคณะผมเลยโดนประนามมาตลอด ด้วยสายตาว่าพวก...คิดได้งัยลบลบเป็นบวก จริงๆ ผมพอเข้าใจว่าที่เรียกว่าสูตรของเขามันจริงๆ แล้วไม่ใช่สูตรแทนค่า แต่น่าจะอธิบายให้เข้ามากกว่าว่ามันมายังงัย ไม่ใช่บอกเราให้แทนค่าแล้วมาคำนวนแปลกๆ ยังแค้นมาจนทุกวันนี้เลย

แก้ไขเมื่อ 07 พ.ย. 50 02:44:43

จากคุณ : time3957 - [ 7 พ.ย. 50 02:41:54 ]
----------------------------------------------

ความคิดเห็นที่ 22

อยากลองอธิบายดูบ้างค่ะ แต่ไม่ทราบว่าจะยิ่งทำให้งงขึ้นหรือเปล่านะคะ เพราะตัวเองก็ยังงงๆกับบัญชีอยู่บ่อยๆ ^^


ทรัพย์สินที่เป็นของบริษัท มาจาก กู้ยืมเค้ามา (เป็นหนี้) หรือเจ้าของเอามาลงทุนเอง (ทุน หรือส่วนของเจ้าของ)
ดังนั้น ทรัพย์สิน = หนี้สิน+ทุน

ต่อมา บริษัทไปดำเนินกิจการ เกิดรายได้ และมีค่าใช้จ่ายเกิดขึ้น ส่วนต่างของรายได้และค่าใช้จ่าย คือ กำไร หรือไม่ก็ ขาดทุน
ดังนั้น กำไร = รายได้ - ค่าใช้จ่าย
หรือ ขาดทุน = รายได้ - ค่าใช้จ่าย


ไม่ว่าจะกำไรหรือขาดทุน เจ้าของจะต้องรับไปว่าจะรวยขึ้นหรือจนลง คือจะทำให้ไปกระทบกับทุน
ดังนั้น ทรัพย์สิน = หนี้สิน+ (ทุน +รายได้ - ค่าใช้จ่าย )

แต่เขียนแล้วมี บวกๆลบๆ เดี๋ยวนักบัญชีจะงง เลยย้ายข้าง ค่าใช้จ่ายไป บวกกับทรัพย์สินแทนจะได้ดูง่ายๆขึ้นหน่อย
ดังนั้น ทรัพย์สิน+ค่าใช้จ่าย = หนี้สิน+ ทุน +รายได้


ทีนี้ถ้ามีเหตุการณ์อะไรกับบริษัทที่ทำให้ ทรัพย์สิน หรือ ค่าใช้จ่ายของบริษัทเพิ่มขึ้น จะพูดว่า "ฝั่งซ้ายของสมการเพิ่ม" มันพูดแล้วยาว เมื่อยปาก เลยตั้งคำว่า "เดบิต" ขึ้นมาเรียกแทนเท่ๆให้คนอื่นที่ไม่ได้เรียนบัญชีงงเล่นว่ามันพูดอะไรกัน
เช่น แทนที่จะพูดว่า ทรัพย์สินซึ่งอยู่ฝั่งซ้ายมือของสมการนะเพิ่มขึ้น ก็บอกว่า เดบิตทรัพย์สิน

แต่ถ้าฝั่งซ้ายของสมการมันลด เราก็เรียกตรงกันข้ามว่า "เครดิต" แทน (นี่ถ้าเราเป็นคนคิดสมการนี้ได้เป็นคนแรกของโลกนะ เราจะตั้งเป็นภาษาไทยแทน คำว่า เดบิต กับเครดิตเนี่ยไม่เอาหรอก ไม่เห็นเพราะเลยเนอะ แถมเสียงคล้ายๆกันอีก บิตๆ ดิตๆ ฟังแล้วปวดหัว)

ในขณะที่ หนี้สิน ทุน และ รายได้ของบริษัท เป็นอีกฝั่งของสมการ ซึ่งถ้าฝั่งขวาของสมการเพิ่ม เราจะเรียกเดบิตเหมือนฝั่งซ้ายเพิ่มก็ไม่ได้ ต้องเรียกให้ตรงกันข้าม คือ "เครดิต" เหมือนกับเวลาเราจะย้ายข้างสมการจากบวกก็ต้องเปลี่ยนเป็นลบถึงจะย้ายมาอีกข้างได้ นี่จากเดบิตเลยเป็นเครดิตแทน เหมือนคณิตศาสตร์ย้ายข้างธรรมดา

ดังนั้น ถ้า หนี้สิน ทุน หรือ รายได้ของบริษัท จะลดลง เราจึงเรียกว่า เดบิตแทนเหมือนกัน (ตรงข้ามกับเรียกฝั่งซ้ายมือ)



ส่วนเวลาเกิดรายการบัญชีแล้วไม่รู้ว่าจะต้องลงเดบิต หรือเครดิตอะไร ก็ให้คิดถึงความเป็นจริง

เช่น ไปซื้อเครื่องมา 1 ล้านบาท เราได้เครื่องจักรมาเพิ่ม เครื่องจักรเป็นทรัพย์สิน ทรัพย์สินอยู่ซ้ายมือของสมการ
ดังนั้น เดบิต เครื่องจักร 1ล้านบาท

เครื่องจักรได้มา เราเสียอะไรไปแลก ถ้าเราติดหนี้เค้ายังไม่ได้จ่าย ก็มีหนี้เพิ่ม หนี้อยู่ข้างขวาของสมการ
ดังนั้น เครดิต หนี้สิน 1ล้านบาท

ถ้าเขียนเป็นสมการก็คือ
ทรัพย์สิน +ค่าใช้จ่าย = หนี้สิน+ ทุน +รายได้

+1ล้านของเครื่องจักร + 0 ค่าใช้จ่าย = +1ล้านของหนี้ +0ทุน + 0รายได้
1=1 ถูกต้อง

แต่ถ้าเรารวยจ่ายเงินสดไป หนี้เราก็ไม่ได้เพิ่มขึ้น ทุนก็เท่าเดิมเพราะแค่ซื้อของไม่ได้กำไรหรือขาดทุน ฝั่งขวาของสมการก็เหมือนเดิม แต่เงินสดลดลง เงินสดมันเป็นทรัพย์สิน อยู่ซ้ายมือของสมการ เงินลดลง
ดังนั้นเลยเรียกเท่ๆว่า เครดิต เงินสด 1 ล้านบาท

จากคุณ : Happy ending - [ 8 พ.ย. 50 15:43:12 ]


โดย: Happy ending วันที่: 8 ธันวาคม 2550 เวลา:15:29:50 น.  

 
"ปล่อยวาง" คุณทำได้แค่ไหน

เวลามีปัญหาไม่ว่าปัญหาจะร้ายแรงแค่ไหน ใครก็รู้ว่าถ้าอยากจะทุกข์ให้มันน้อยที่สุดต้อง"ปล่อยวาง" หรือ ปลงให้มันตก อยากไปยึดติดอยู่กับมัน ทำได้อย่างงั้นก็ทุกข์น้อยลง

หลายคนรวมทั้งผมด้วย เวลามีเพื่อนๆมาตั้งกระทู้ ชอบตอบเหมือนคนเข้าใจชีวิตว่า "ทำอย่างงี้สิ อยู่กลับตัวเองรักตัวเองให้มากๆ ปล่อยวาง พยายามทำใจ ฯลฯ"

จริงๆมันเป้นคำตอบของชีวิตนั้นหล่ะคือมีปํญหาแล้ว ต้องรู้จักสงบใจปลงกับมันแล้วจะเห้นวิธีการแก้ อกหักโดนทิ้ง จะไปทำอะไรได้ เพราะเหตุทุกข์เกิดจากเราไปรักไปหลงเค้าจะแก้คงต้องแก้ที่ต้องเอง คือ ต้องปล่ยอวาง

พูดนี่มันง่ายดีนะ คุณว่าไม๊ ??? ปล่อยวางเถอะ ทำใจเถอะ แต่ทำจริงๆเนี้ยยาก ประสบการณ์ชีวิตบางคนต่างกัน บางคนทุกข์เรื่องรัก ใช้เวลาเจ็ดวันก็กลับสู่สภาพเดิมได้ บางคนใช้เวลาเป็นปี บางคนอีกนั้นหล่ะเลือกที่จะตายเพื่อพ้นทุกข์ แหงล่ะ คนเราไม่ใช่เทวดาหรือจิตใจแข็งแกร่งกันทุกคน ทุกคนไม่สามารถเข้าใจชีวิตได้อย่างเท่าเทียมกัน

สำหรับผมเรื่องรักไม่ใช่ปัญหาทำให้ทุกข์เทาไหร่ ส่วนมากจะเป็นเรื่องงาน คนรู้จักเพื่อน พี่ๆ ก็บอกอย่าไปเครียดกับมันมาก ให้มันเป็นไป พยายามทำอยู่แต่ทำไม่ค่อยได้ มีเรื่องพวกนี้แล้วยังไงจิตก็จดจ่ออยู่กับมัน ทำให้ดีที่สุด เหนื่อยไม่ว่าเครียดช่างมัน จะมีความสุขหรือปล่อยวางมันไปได้ก็ต่อเมื่องานผ่านไปแล้วเท่านั้น

เรื่องปล่อยวาง แม้ผมจะทำได้ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ แต่คิดว่าเป้นคนปลงตกระดับนึง คือ ยอมรับสิ่งที่จะเกิดขึ้นได้ ก็คงจะเสียใจถ้ามีอะไรมากระทบจิตใจให้มันมีปัญหา แต่คงไม่ฟูมฟายมากนัก เพราะคิดว่าชีวิตมันต้องดำเนินต่อไป แล้วคุณๆล่ะครับ เคยบอกให้เพื่อนๆทำใจบ้างหรือเปล่า บอกคนอื่นแล้วตัวท่านเองสามารถปล่อยวางกับปํญหาหรือความทุกข์ได้มากน้อยแค่ไหน มาคุยกันหน่อย

ลากลับบ้านก่อน เดี๋ยวมืดๆเข้ามาอ่าน บายๆ

จากคุณ : I.Brother - [ 3 เม.ย. 50 18:20:22 ]

--------------------------------------

ความคิดเห็นที่ 50

ทำได้ยากมากค่ะ ถึงแม้จะอยากทำแต่มันก็มารบกวนจิตใจเสมอๆ ยิ่งอยู่คนเดียวยิ่งคิดมาก

วิธีแก้ของเราคือ ระบายค่ะ พูดบ่นไปเรื่อย เหมือนยิ่งหมกมุ่นนะคะ แต่พอบ่นเสร็จเราสบายใจ ยิ่งเรื่องที่กลุ้มมากก็บ่นมาก มีคนมารับฟัง มาเสนอแนะ หรือมาอือๆออๆเราก็จะรู้สึกดีขึ้นมาก รู้สึกว่าเรายังมีคนรัก คนห่วงอยู่ เราไม่ได้เผชิญปัญหาอยู่คนเดียว ไม่ว่าจะเกิดอะไรเรายังมีคนที่พร้อมจะอยู่กับเรา แล้วพอเวลาผ่านไป ถึงจะไม่ลืมเรื่องที่เกิด แต่เราก็ไม่โกรธ ไม่ทุกข์ขนาดนั้นแล้ว บางเรื่องก็ลืมไปเรียบร้อย

จากคุณ : Happy ending - [ 4 เม.ย. 50 09:57:22 ]



โดย: Happy ending วันที่: 8 ธันวาคม 2550 เวลา:15:36:11 น.  

 
เป็นไหมคะ เวลาที่คุณพูด ไม่มีใครฟังคุณเลย

หมายถึงเวลาคุยเรื่องตัวเอง หรือระบายความในใจน่ะค่ะ เวลาคนพูดไรให้เราฟัง เราจะตั้งใจฟังเสมอ
เป็นเรื่องปกติในวงสนทนา ว่าเราจะไม่ค่อยได้พูดกับเค้าเลย แต่ก็ไม่เป็นไร
แต่ทำไมเวลาเราพูด ไม่ค่อยมีใครฟังเราเลย แอบน้อยใจอยู่บ่อยๆ ทั้งที่นานๆทีเราถึงจะพูด ไม่ได้พูดพร่ำเพรื่อเรื่องเดิมๆให้คนฟังเบื่อ
เพื่อนสนิทก็เป็น เพื่อนมักจะโทรมาระบายกับเราเสมอ ระบายเสร็จก็วาง
พอเราจะพูดเรื่องของเราบ้าง เค้าก็ฟัง แต่เหมือนไม่มีสมาธิ ชอบคุยกับคนอื่นไปด้วย จนเราต้องถามบ่อยๆว่า นี่ฟังเราอยู่ป่าววะ
ที่ยิ่งแล้วที่เคยเจอคือ บางทีพอเราเริ่มพูดเรื่องของเรา เค้าก็บอก เฮ้ย ต้องวางก่อนแระ พอดีมีธุระ
บางทีเรามีเรื่องกลุ้มใจมากๆ ตอนโทรบอกเพื่อน ต้องพูดว่า ช่วยฟังเราหน่อยนะ
ส่วนแม่หรือคนในบ้านฟังๆ แล้วก็ชอบเปลี่ยนเรื่องไปเรื่อย เหมือนเห็นเรื่องเราไม่สลักสำคัญ
กับแฟนก็ดีค่ะ เค้าเป็นคนเดียวที่ตั้งใจฟัง แต่ก็เกรงใจเหมือนกัน ไม่อยากให้มาเครียดกับเราบ่อยๆ
บางทีอึดอัดจนอยากไปหาจิตแพทย์เลยค่ะ เพื่อจะได้มีคนตั้งใจฟังเรา

จากคุณ : shepherddog - [ 1 เม.ย. 50 21:40:41 ]

--------------------------------------
ความคิดเห็นที่ 18

แฟนรับฟังก็ยังดีค่ะ ดีกว่าไม่มีใครเลย....

เครียดก็ระบายในนี้ก็ดีนะคะ ไม่มีใครรู้จักเรา ไม่ต้องรักษาฟอร์มเหมือนชีวิตจริง

จากคุณ : Happy ending - [ 3 เม.ย. 50 13:38:05 ]



โดย: Happy ending วันที่: 8 ธันวาคม 2550 เวลา:15:40:42 น.  

 
ภายในไมโครเวฟเวลาทำงานนี่ร้อนกี่องศาคะ

เพิ่งซื้อภาชนะใส่อาหารสำหรับนำเข้าไมโครเวฟน่ะค่ะ

เป็นชามแบบพลาสติก ใช้ได้ที่อุณภูมิ -20องศาเซลเซียส ถึง +140 องศาเซลเซียส

ถ้ากรณีอุ่นอาหารคงไม่มีปัญหา แต่ถ้าอยากทำกับข้าวเล็กๆน้อยๆอย่างไข่ตุ๋นล่ะคะ จะเป็นอันตรายรึเปล่า

แล้วพลาสติกพวกนี้มันปลอดภัยจริงเหรอคะ

แล้วจะมีสารตกค้างอะไรหรือเปล่า

แก้ไขเมื่อ 11 ต.ค. 50 14:04:42

จากคุณ : munbok - [ 11 ต.ค. 50 14:03:48 ]

---------------------------------------
ความคิดเห็นที่ 7

ใช้ได้เฉพาะที่เขียนว่าใช้กับไมโครเวฟได้นะคะ ถ้าไม่ได้เขียนอย่าใช้เลยค่ะ อย่าเสี่ยงเลย ถึงจะบอกว่าทนความร้อนได้สูงก็ตาม เพราะพลาสติกมีหลายเกรด หลายประเภท

ส่วนกระเบื้องถ้าของทองเข้าไม่ได้ แต่พวกลายๆเข้าได้นะคะ

จากคุณ : . (Happy ending) - [ 13 ต.ค. 50 11:40:14 ]


โดย: Happy ending วันที่: 8 ธันวาคม 2550 เวลา:15:45:24 น.  

 
ถ้าคุณโดนคนที่ Office นินทาเรื่องชู้สาว

คือ Office ผมอะ เจ้านายเขามีเมียน้อย แต่ก้อไม่มีใครจับได้จริงๆหรอกนะครับว่าใช่แน่ๆไหม .. เป็นที่นินทากันแบบสุดๆไปเลย 2-3 ปีต่อเนื่อง

แล้วทีเนี่ยคราวนี้ผม กับน้องที่แผนก ตกเป็นเป้าซะเอง ทั้งที่เราไม่เคยมีอะไรกัน อาจจะมีการเทคแคร์กันบ้าง เช่นซื้ออาหารเช้ามาให้กัน บางทีไปทานข้าวด้วยกัน กลับด้วยกัน คุยกันไพเราะมีหยอกล้อนิดหน่อย มีความรู้สึกดีๆต่อกัน .. แต่ไม่เคยมีเรื่องชู้สาวใดๆ อ๋อ ผมมีครอบครัวแล้ว ... อ๋อครอบครัวผมนี่อบอุ่นมากๆแบบดูดีที่สุดในแผนกแล้วอะ ทั้งฐานะและทุกๆด้าน ..

แล้วที่นี้ก้อมีน้องที่แผนกนี่แหละ นินทากันอยู่ๆได้ส่วนให่ญจะพูดให้ผู้หญิงเสียหายทั้งๆที่เพื่อนเขาแท้ๆและไม่เคยมาถามความจริงกันเลยว่าเป็นงัย.. พูดกันบ้างแหละว่าทำตัวเป็นเมียน้อยผม .. พูดกันบ้างแหละว่ายัยคนนี้นี่รู้ว่าเขามีเมียแล้วยังไปยุ่งกะเขาอยู่ได้ .. ทั้งๆที่น้องคนที่โดนนินทานี่เป็นคนเดียวที่ดีที่สุดแล้วที่ไม่เคยนินทาใครให้ฟังเลย... โอเคน้องเขาเคยบอกว่ารู้สึกดีๆกะผม และผมก้อคุยกะเขาแล้วว่าเราเป็นได้แค่พี่ น้องนะ และมันก้อเคีลยร์เราก้อคบกันแบบนั้นมาเรื่อยๆ

แต่คนที่นินทานี่สิคือลูกน้องผู้หญิงผมโดยตรงเลย พอลับหลังล่ะนินทาฉอดๆทั้งที่ไม่ได้ทำให้เขาเดือดร้อนซักนิด ทั้งที่เคยพูดให้ฟังแล้วนะว่าไม่มีอะไร(หลังจากที่รู้สึกได้ว่านินทากันครั้งแรกๆ)

..ผมควรจะสนใจเขาดีไหมเนี่ย หรือผมควรจะทำยังงัยดี .. และที่สำคัญผมไม่เข้าใจว่าทำมัยเขาคิดกับเพื่อนเขาได้แบบนั้น

แก้ไขเมื่อ 07 ธ.ค. 50 21:46:19

แก้ไขเมื่อ 07 ธ.ค. 50 21:40:33

แก้ไขเมื่อ 07 ธ.ค. 50 00:06:13

จากคุณ : loveengland - [ 6 ธ.ค. 50 23:57:35 ]

-------------------------------------
ความคิดเห็นที่ 25

กำลังจะมาบอกว่า คำพูดแค่ปากใครก็พูดได้ว่าบริสุทธิ์ใจ ไม่คิดอะไร แค่พี่แค่น้อง แต่สิ่งที่เถียงแทนเราได้ดีที่สุดว่าเราไม่ได้คิดอะไรเกินเลยจริงๆคือการกระทำ การวางตัวที่ดี ถ้าคุณไม่ได้คิดอะไรกับน้องเค้าและต้องการที่จะปกป้องน้องที่คุณไม่อยากให้เค้าเสียหาย คุณก็ควรวางตัวให้ดี ใครจะมานินทาพวกคุณได้ แต่แล้วเรื่องก็กลับกลายเป็นอย่างที่คนส่วนใหญ่คิดจริงๆ

เราจะบอกว่าการที่ภรรยาคุณรู้จักน้อง ให้น้องมาสอนพิเศษลูกคุณ รู้ว่าคุณเทคแคร์น้องเค้ายังไง แล้วไม่โวยวายไม่วีน ไม่ได้หมายความว่าภรรยาคุณเค้าจะไม่คิดมากนะคะ ผู้หญิงร้อยทั้งร้อยคิดมากทั้งนั้นแหละค่ะ (ถ้าเป็นฝ่ายถูกกระทำไม่ใช่ฝ่ายกระทำแบบคุณกับน้อง) เพียงแต่ว่าจะพูดหรือไม่พูดเท่านั้นเอง แล้วเธอคิดว่าซักวันความดีของเธอคงเอาชนะใจคุณได้ เลยให้เกียรติคุณ เพราะคุณคงแค่หลงไปชั่วขณะ แต่คุณกลับไม่รู้ตัวเลย

จากคุณ : Happy ending - [ 7 ธ.ค. 50 13:08:58 ]
-------------------------------------

ความคิดเห็นที่ 26

(ต่อค่ะเมื่อกี๊กดผิด) พวกเพื่อนน้องเค้าคุณยังว่าเพื่อนกันแท้ๆกลับจิตใจต่ำคิดกับเพื่อนได้ แล้วคุณหละคะ กับภรรยากับคนในครอบครัวแท้ๆคุณยังทำกันได้ ใครแย่กว่ากันหรอ คนที่คุณควรจะแคร์ไม่ใช่น้องเค้าที่ถูกนินทาค่ะ แต่คุณควรแคร์จิตใจภรรยาคุณมากกว่าค่ะ

นี่หละคนส่วนใหญ่เค้าถึงไม่ค่อยจะเชื่อเรื่องรักและเทคแคร์แบบพี่น้องของชายหญิง (เพราะมีจริงแต่หาได้ยากมา) ถึงแต่งงานแล้วก็ไม่ได้การันตีว่าทั้งคู่จะคิดได้ ยังดีอยู่อย่างที่คุณยังไม่ได้นอกกายภรรยาด้วยถึงแม้จะนอกใจ(แบบไม่รู้ตัวหรือไม่ยอมรับก็ไม่รู้)ไปนานแล้วก็ตาม

จากคุณ : Happy ending - [ 7 ธ.ค. 50 13:14:46 ]


โดย: Happy ending วันที่: 8 ธันวาคม 2550 เวลา:15:55:46 น.  

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 
 
 

Happy ending
Location :
กรุงเทพ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




แค่อยากให้ทุกเรื่อง ...และแล้วก็ Happy ending
[Add Happy ending's blog to your web]

 
pantip.com pantipmarket.com pantown.com
pantip.com pantipmarket.com pantown.com