Group Blog
 
All blogs
 

ความเครียตในที่ทำงานหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่สามารถรับมือได้


ความเครียตในที่ทำงานหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่สามารถรับมือได้

มนุษย์ทำงานทุกท่านทราบกันดีทีเดียวคะว่าความเครียตจะเป็นตัวนำพาเราไปสู่ปัญหาสุขภาพต่างๆ มากมาย ไม่ว่าจะเป็นโรคยอดฮิดเกี่ยวกับระบบการย่อยอาหาร ระบบการขับถ่าย ไมเกรน ความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ ไปจนถึงโรคซึมเศร้า ในบางรายอาจเริ่มต้นด้วยการนอนไม่หลับ เกิดอาการอ่อนเพลีย ไม่มีแรง เหล่านี้เป็นต้น

พวกเราส่วนมากทราบดีถึงความเครียตที่ได้รับในแต่ละวัน แต่มักจะประเมินระดับความเครียตของตัวเองต่ำไป จนเมื่อรู้ตัวอีกทีก็สายไปแล้ว แต่ก่อนที่จะสายเกินแก้ไขอยากจะแนะนำเทคนิคที่ใช้ลดระดับความเครียตมาเล่าสู่กันฟังคะ

เทคนิคง่ายๆ เพียง 12 ข้ออาจทำให้ชีวิตการทำงานที่เคร่งเครียตในแต่ละวันถูกจัดสรรคได้ดีขึ้นนะคะ



  1. ลองมาจัดสรรคความเครียตกันดู  โดยการแยกแยะที่มาที่ไปของความเครียตกันก่อนว่าอะไรทำให้คุณรู้สึกกดดันมากที่สุด ไม่ว่าจะเป็น dateline ของงาน, การบริหารจัดการทีมงาน, Complain ของลูกค้า หรือแม้กระทั้งความพยายามที่จะเป็น perfect women ทั้งที่บ้านและที่ทำงานสำหรับคุณผู้หญิงบางท่าน   พอทราบถึงสุดยอดของความเครียตแล้วทีนีเราค่อยมาเริ่มจัดการกับมันคะ

  2. ต้องยอมรับความจริงที่ว่าบางสิ่งเปลี่ยนแปลงได้ก็จริง แต่สำหรับบางสิ่งก็เปลี่ยนแปลงไม่ได้  เช่นราคาน้ำมันที่คอยแต่จะขึ้นเอาๆ อาจนำมาซึ่งความเครียตอย่างช่วยไม่ได้ หรือแม้แต่ Target ที่เจ้านายตั้งเป้า (บิน) ที่แทบจะมองไม่เห็นความเป็นไปได้ให้ เหล่านี้ล้วนเป็นความเครียตที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ หรือแม้แต่ perfect women บางท่านที่กำหนดตารางชีวิตอันเคร่งครัดให้กับตัวเอง เช่นพยายามกลับบ้านไปทำกับข้าวให้สามีและลูกให้ตรงเวลาอย่างบ้าครั่งโดยไม่จำเป็น

  3. เลิกสนใจกับความคาดหวังที่เป็นไปไม่ได้  ต้องยอมรับความจริงว่าคุณไม่ใช่ยอดมนุษย์อย่างในหนังหรอกนะคะ และก็อย่าพยายามเป็นด้วย เพราะการตั้ังเป้าหมายที่ไม่มีโอกาสเป็นจริงได้นั้นรังแต่จะทำให้คุณล้มเหลว และเป็นตัวเร่งให้ความเครียตของคุณสูงขึ้น อาจต้องลองทำเป้าหมายใหญ่นั้นแยกย่อยออกมาเป็นหลายๆ เป้าเพื่อที่จะให้มันสำเร็จง่ายและเร็วขึ้น

  4. คิดดีทำดี และพยายามเค้าบวกเอาไว้ ท่องให้ขึ้นใจว่าปัญหาทุกอย่างมีทางออกเสมอ อย่ารู้สึกสงสารตัวเอง หรือค่อยแต่จะคิดว่าทำไมฉันต้องมาเจอเรื่องแย่ๆ แบบนี้ด้วย หรือ ทำไมต้องเป็นฉันด้วย

  5. รู้จักการแบ่งเวลา  ความรู้พื้นฐานเรื่องการจดรายการที่จะทำไว้เป็น list นั้นยังคงนำมาใช้ให้เป็นประโยชน์ได้เสมอ เรียงลำดับความสำคัญของงานก็จะช่วยให้คุณรู้ว่างานไหนสำคัญและตัองทำก่อน ซึ่งจะช่วยลดความเครียตลงไปได้เยอะคะ

  6. หยุด  งด ละ เลิก จากกิจวัตที่ทำเป็นประจำไปซักพักเพื่อไปเติมความกระชุ่มกระชวยให้แก่ชีวิต อาจไปพักผ่อนจิตใจที่ไหนซักที่ ที่จะทำให้คุณสดชื่นเพื่อกลับมาเริ่มต้นใหม่ด้วยความสดใสอีกครั้ง

  7. รู้จักแบ่งงาน  อย่าทำตัวเป็นฮีโร หรือชีโรคะ เพราะนอกจากคุณจะดูไม่มีประสิทธิภาพแล้วยังจะทำให้คุณบ้า และเครียตกับงานที่รุมเร้าอยู่คนเดียว

  8. กำจัดสิ่งกวนใจ  หากมี dateline หฤโหต รออยู่นั่นหมายความว่าคุณมีเวลาจำกัดและมีสิ่งที่ต้องทำให้เสร็จ ให้ความสำคัญกับสิ่งนั้นให้เต็มที่ ถ้าจำเป็นก็ปิดประตูห้องไปเลยคะ อาจรวมไปถึงปิดมือถือด้วย ถ้าไม่มั่นใจว่าจำมีคนโทรมารบกวนการทำงานหรือเปล่า วิธีนี้จะทำให้คุณกังวลน้่อยลงและพุ่งความสนใจไปยังงานที่ที่าต้องทำให้เสร็จอย่างเดี่ยว

  9. หลีกเลี่ยงสารกระตุ้น ไม่ว่าจะเป็น คาเฟอีน นิโคติน หรือ แอลกอฮอล์ เพราะความเป็นจริงแล้วสิ่งเหล่านี้ไม่ได้ช่่วยให้ความเครียตลดลง แต่มีผลวิจัยหลายชิ้นบ่งชี้ว่ามันจะไปช่วยกระตุ้นระดับความเครียตให้มากขึ้น

  10. ออกกำลังกาย   อาจใช้เวลาประมาณ 20 นาที ในการออกกำลังกายเพื่อเป็นอีกทางหนึ่งในการระบายความเครียตออกมา นอกจากนี้การออกกำลังกายจะช่วยกำจัดสารพิษในร่างกายที่เกิดจากความเครียตอีกด้วย

  11. ลองหาเทคนิคใหม่ๆ ในการผ่อนคลาย  ไปสบา ฝึกทำสมาธิ หัดหายใจให้ถูกวิธี หรือเรียนศิลปะ เพื่อการผ่อนคลาย ที่สำคัญหัดหัวเราะเสียบ้างก็ดีคะ เพราะมีการพิสูจน์แล้วจากหลายสถาบันว่าช่วยลดความเครียตได้จริง

  12. หาตัวช่วย หากลองมาหมดทุกวิธีที่กล่าวข้างต้น แล้วไม่ได้ผล คุณจำเป็นต้องไปพบผู้เชี่ยวชาญ เช่นปรึกษาหมอ หรือจิตแพทย์ก่อนที่จะมีอาการเครียตสะสมไปมากกว่านี้


ชีวิตคนเราคงหลีกเลี่ยงความเครียตไม่ได้อย่างแน่นอนคะ แต่อย่าตกเป็นทาสของความเครียตนะคะ เชื่อว่าเพื่อนๆ หลายท่านจะฝ่าฟันอุปสรรค์ต่างๆ จากการทำงาน และใช้ชีวิตอย่างมีความสุขคะ ขอเป็นกำลังใจให้กับมนุษย์ทำงานทุกท่านคะ









 

Create Date : 28 กรกฎาคม 2551    
Last Update : 30 กรกฎาคม 2551 23:22:49 น.
Counter : 662 Pageviews.  

ป้องกันมะเร็งรังไขด้วยการเดิน


สาวๆ ออฟิตทั้งหลายที่อาศัยอยู่กับความสะดวกสบายจนชิน ต้องลองอ่านบทความต่อไปนี้กันซักหน่อยแล้วค่ะ เพราะมีการวิจัยจาก Public Health Agency ในออนตาริโอ ประเทศแคนาดา พบว่า การเดินเหยาะๆ เพียง 3 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ จะช่วยลดความเสี่ยง่ในการก่อให้เกิดมะเร็งรังไข่ได้

การวิจัยโดยการนำ ผู้ป่วยมะเร็งรังไข่ จำนวน 442 คน และบุคคลที่มีสุขภาพดีจำนวน 2,135 คน ตอบแบบสอบถามโดยแบ่งตามประเภทของกิจกรรมที่ทำยามว่าง 12 รายการ พบว่าผู้หญิงที่มีการออกกำลังกายปานกลาง เช่นการเดินเหยาะๆ เล่นกอล์ฟ หรือโยนโบว์ลิ่ง ประมาณ 30-60 นาที ติดต่อกัน 5 ครั้งต่อ 1 สัปดาห์ ซึ่งมีอยู่ประมาณ 30% จากกลุ่มที่ตอบแบบสอบถามทั้งหมด มีความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งรังไข่น้อยกว่าผู้หญิ่งที่ไม่ชอบการออกกำลังกาย

นักวิจัยอาวุโสสด้านวิทยาศาสตร์ Harward Morisson ระบุว่าผู้หญิงที่ออกกำลังกายสม่ำเสมอจะช่วยให้ร่างกายผลิตฮอร์โมนเอสโตรเจนลดลง ซึ่งจะเป็นผลดีเพราะจะช่วยลดความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งรังไข่โดยตรง

เมื่อรู้เช่นนี้แล้วสาวๆ ออฟฟิตที่นั่งติดแหง็กกับคอมพิวเตอร์ คงต้องลุกขึ้นมาเดินกันให้มากขึ้นแล้วนะคะ




 

Create Date : 20 พฤษภาคม 2551    
Last Update : 26 กรกฎาคม 2551 23:37:57 น.
Counter : 535 Pageviews.  

รู้ทันเทคโนโลยีใกล้ตัวในออฟฟิส


มนุษย์ทำงานอย่างเราๆ บางที่ก็คิดว่านั่งทำงานอยู่ในออฟฟิสมันมันก็สะดวกสบายดีนะคะ ไหนเลยจะมีเครื่องอำนวยความสะดวกครบครัน เผลอๆ บางคนให้คิดไปว่าสะดวกกว่าที่บ้านด้วยซ้ำไปซะนั่น แต่ท่ามกลางความสะดวกสบายนี้แหละค่ะที่เรามักมองข้ามถึงอันตรายแอบแฝงอยู่รอบๆ ตัวขณะอยู่ในออฟฟิสไป เราอาจคุ้นเคยหรือได้ทราบกันมาบ้างแล้วว่าปัญหาพื้นๆ ที่ต้องพึงระวังจะเป็นเรื่องปัญหาผิวพรรณเป็นส่วนใหญ่ เป็นต้นว่า ปัญหามีฝ้า กระ หรือริ้วรอยก่อนวัย อันเนื่องมากจากแสงรังสีที่มาจากคอมพิวเตอร์ที่นั่งใช้กันอยู่ทุกวัน แต่ทราบหรือเปล่าคะว่าพิษภัยในที่ทำงานอันเนื่องจากอุปกรณ์อำนวยความสะดวกนั่นมากมายร้ายแรงกว่าที่ทราบกันนัก เป็นห่วงกันนะคะจึงอยากจะแนะนำเพื่อนๆ ให้มาลองหาวิธีป้องกันตัวเองจากเครื่องใช้เหล่านี้กันเถอะค่ะ

ผู้ช่วยตัวเก่ง…..คอมพิวเตอร์
คงปฏิเสธไม่ได้ว่าคอมพิวเตอร์เข้ามามีบทบาทในชีวิตการทำงานตลอดจนชีวิตประจำวันเราอย่างมากทีเดียว แต่การที่นั่งอยู่หน้าคอมฯนานๆจะก่อให้เกิดผลเสียต่อร่างกายหลายอย่างอันเนื่องมาจากคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่แผ่เป็นรังสีออกมาจากหน้าจอ มีการศึกษาเรื่องนี้ต่างประเทศค่ะ และได้พบว่ารังสีที่ว่านี้มีอันตรายต่อประสาทตา และอาจถึงคลื่นไส้อาเจียนเลยทีเดียว

มีรายงานจากประเทศออสเตรเลียว่าผู้ที่ทำงานหน้าคอมฯ มีความเสียงในการเป็นมะเร็งสมองสูงกว่าเนื่องจากสนามแม่เหล็กที่ส่งผ่านออกมาจากจอมอนิเตอร์ (จอคอมฯที่ใช้หลอด Cathoderay) มีงานวิจัยสนับสนุนเรื่องนี้ โดยใช้ชื่อว่า Adelaide Study เรื่อง “การได้รับสนามแม่เหล็กกับมะเร็ง” โดยงานวิจัยนี้เน้นศึกษามะเร็งสมองชนิด (Glioma) และพบว่าผู้หญิงมีอัตราเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งชนิดนี้สูงกว่าเพศชาย

อย่างไรก็ตามนั่นก็เป็นเพียงสมมติฐานหนึ่งเท่านั้น เนื่องจากการวิจัยพบว่ายังมีปัจจัยที่เกี่ยวข้องอื่นๆ ที่สามารถทำให้เกิดขึ้นได้ แต่ก็มีงานวิจัยกว่า 30 ชิ้นที่ศึกษาผู้คนที่ทำงานในที่ที่มีสนามแม่เหล็กสูง พบว่าบุคคลเหล่านี้เป็นมะเร็งในเม็ดเลือด มะเร็งสมอง มะเร็งทรวงอก (น่ากลัวจังค่ะ)

รังสีที่มาจากเครื่องคอมพิวเตอร์มีผลเสียต่อร่างกายเราจริงค่ะ เช่นผู้หญิงที่นั่งทำงานหน้าคอมฯทุกวันโอกาสตั้งครรภ์จะน้อย เด็กและสตรีมีครรภ์ไม่ควรอยู่ใกล้คอมฯ เพราะอันตรายจากรังสีจากคอมพิวเตอร์ทำให้เซลล์ที่ควบคุมแคลเซียมทำงานเร็วขึ้น เป็นผลให้ง่ายต่อการเกิดมะเร็ง และทำให้เกิดความผิดปกติแก่เด็กในครรภ์ มีโอกาสแท้งสูง หรือคลอดก่อนกำหนด นอกจากนี้รังสีจากคอมฯ ยังมีผลทำให้เยื่อจมูกอักเสบ ปวดศีรษะ นอนไม่หลับ หายใจไม่สะดวกเป็นต้น

เครื่องถ่ายเอกสาร
หนุ่มสาวออฟฟิสทั้งหลายเคยถามตัวเองหรือเปล่าคะว่าวันๆ หนึ่งคุณถ่ายเอกสารวันละกี่ครั้ง สาวๆ บางท่านอาจนับไม่ถ้วน ตัวดิฉันเองก็เหมือนกันคะ ชีวิตเวียนไหว้ตายเกิดระหว่างห้องทำงานกับเครื่องถ่ายเอกสาร ซ้ำร้ายบางออฟฟิสก็จัดการรวมเอา Printer กับเครื่องถ่ายเอกสารไว้ในเครื่องเดียวกันซะเลยก็มีค่ะ อย่างนี้ก็เดินกันทั้งวันหละค่ะ แต่รู้ไหมคะว่าอันตรายจากเจ้าเครื่องนี้มีมากมายเหลือเกินเราลองมาดูกัน

ผงหมึก ที่ใช้ในเครื่องถ่ายเอกสารระบบแห้งประกอบด้วยผงคาร์บอนและเรซิน ในขณะที่เครื่องถ่ายเอกสารระบบเปียกผงหมึกจะละลายในสารละลายอินทรีย์พวกปิโตรเลียม ซึ่งทั้งสองระบบล้วนเป็นอันตรายจากสารเคมีที่เป็นส่วนประกอบทั้งสิ้น หากหายใจเอาผงหมึกเข้าไปในปริมาณมากจะทำให้เกิดอาการระคายเคืองต่อระบบหายใจ ไอ หรือจาม นอกจากนี้สารไนโตรไพรินที่พบในคาร์บอนดำ และไตรไนโตรฟูโอรีนจัดเป็นสารที่ทำให้เกิดมะเร็งด้วย ยิ่งไปกว่านั้นสารตัวนี้เองก็มีผลทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางพันธุกรรมซึ่งจะทำให้เกิดความผิดปกติต่อทารกในครรภ์ ทราบอย่างนี้แล้ว สาวๆ ที่ตั้งครรภ์ควรหลีกเลี่ยงการทำงานใกล้เครื่องถ่ายเอกสารนะคะ

รังสียูวี ที่ออกมาจากหลอกไฟขณะถ่ายเอกสารนั้นจะก่อให้เกิดการอักเสบของกระจกตา ตลอดจนมีผื่นคันตามผิวหนัง

ก๊าซโอโซน เกิดมาจากการอัดตัวและปล่อยประจุไฟฟ้าที่ลูกกลิ้งและกระดาษโอโซน และเกิดขึ้นเมื่อมีการปล่อยรังสียูวีออกมาจากเครื่องถ่ายเอกสาร จะส่งผลให้เกิดความระคายเครื่องต่อตา จมูก คอ ทำให้เกิดอาการวิเวียน ใจสั่น ปวดศีรษะ เป็นสาเหตุให้เกิดความเหนื่อยล้า และสูญเสียประสาทรับรู้กลิ่น ในรายที่เป็นโรคทางเดินหายใจอยู่แล้ว เช่น หอบ หืด ควรหลีกเลี่ยงก๊าซโอโซนอย่างมากค่ะ

สารปิโตรเลียมไฮโดรคาร์บอน สารตัวนี้เป็นตัวทำลายในผงหมึกของเครื่องถ่ายเอกสารระบบเปียกค่ะ ถ้าได้รับเข้าไปมากๆ จะทำให้เกิดอาการระคายเคืองตา ผิวหนัง ตลอดจนระบบทางเดินหายใจทำให้หายใจติดๆ ขัดๆ ซึ่งจะมีผลต่อเนื่องไปยังระบบประสาทส่วนกลางด้วย

นอกจากนี้ยังมีสารเคมีอื่นๆ ที่อยู่ในเครื่องถ่ายเอกสารเป็นต้นว่า สาร ซีลีเนียมแคดเมียมซัลไฟด์ซิงค์ออกไซด์ และสารโพลิเมอร์ ที่เคลือบเอาไว้ที่ลูกกลิ้งของเครื่องถ่ายเอกสาร สารพวกนี้มีลักษณะเป็นสารนำแสง จะมีผลทำให้เกิดการระคายเคืองต่อระบบทางเดินหายใจส่วนต้น และชั้นเยื่อเมือกของกระเพาะอาหาร ที่สำคัญสารชนิดนี้เป็นสารก่อมะเร็ง อย่างไรก็ตามสารเหล่านี้ถูกปล่อยออกมาจากเครื่องถ่ายเอกสารในปริมาณที่ไม่มากนัก ทำให้ตรวจสอบได้ยาก

โทรศัพท์มือถือ ปัจจัย 5 ที่ขาดไม่ได้ไปซะแล้ว
มีรายงานการวิจัยในต่างประเทศออกมาอย่างต่อเนื่องเกี่ยวกับอันตรายจากการใช้โทรศัพท์มือถือ และเชื่อว่าทุกๆ ท่านคงเคยได้รับข่าวคราวกันบ้างแล้วนะคะถึงพิษภัยของรังสีเคลื่อนแม่เหล็กไฟฟ้าที่ออกมาจากโทรศัพท์มือมือ ซึ่งเจ้ารังสีนี้เป็นชนิดเดียวกันกับที่อยู่ในเตาไมโครเวฟนั่นแหละค่ะ โดยคลื่นนี้เป็นคลื่นความร้อนที่สามารถทำลายเซลล์ในร่างกายเราได้ เพียงแต่ว่าปริมาณที่ออกมาจากโทรศัพท์มือถือมีน้อยกว่าเตาไมโครเวฟนั่นเอง มีการศึกษาในสหรัฐอเมริกา พบว่าเจ้ารังสีไมโครเวฟนี้สามารถทำลายเซล์ประสาทและเซลล์ตัวอ่อนที่อยู่ในครรภ์มารดา ทำให้เด็กเป็นโรคต้อกระจก ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในเลือด ตลอดจนยังส่งผลในระบบภูมิคุ้นกันอีกด้วยนะคะ เค้าก็ไม่ได้สุ่มสีสุ่มห้าวิจัยหรอกคะ เพราะได้ทำการศึกษาถึงผลข้างเคียงจากการใช้โทรศัพท์มือถือมาร่วม 7 ปี ก่อนจะรายงานสรุปออกมาว่า รังสีไมโครเวฟที่ออกมาจากโทรศัพท์มือถือนี้ มีผลทำลายสารพันธุกรรมในเม็ดเลือด อย่างไรก็ตามการจะได้รับรังสีมากน้อยก็ขึ้นอยู่กับระยะเวลาของการใช้งาน เพราะผู้ที่ใช้โทรศัพท์มือถือคุยต่อเนื่องกันนานๆ ก็จะมีโอกาสเสี่ยงสูงที่จะเป็นโรคเนื้องอกในสมอง (ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้จากรายงานของ ดร.เลนนาร์ท ฮาร์เดลล์ ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคมะเร็ง)

เขียนไปก็ขนลุกไป เพราะในชีวิตประจำวันอย่างเราๆ ก็คงเลี่ยงที่จะใช้อุปกรณ์เหล่านี้ไม่ได้หรอกนะคะ แต่เมื่อเรารู้เท่าทันอันตรายที่สามารถเกิดต่อสุขภาพของเราอย่างนี้แล้วก็ต้องระมัดระวัง และหลีกเลี่ยงการใช้งานเมื่อไม่จำเป็น เทคโนโลยีเป็นสิ่งที่ดีและช่วยอำนวยความสะดวกในการดำเนินชีวิตเราอย่างมาก หากรู้จักใช้อย่างฉลาดและอยู่บนพื้นฐานแห่งความระมัดระวังค่ะ

ขอขอบคุณที่มีจาก //www.ttonline.net




 

Create Date : 05 เมษายน 2551    
Last Update : 1 กันยายน 2551 7:38:23 น.
Counter : 859 Pageviews.  

1  2  

Doungchampa
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




หนึ่งฤทัย
Comment
--
Friends' blogs
[Add Doungchampa's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.