มองต่างมุม ซีพีควบรวมกิจการโลตัส โอกาสใหม่ค้าปลีกไทย หลังจากคณะกรรมการแข่งขันทางการค้ามีมติให้ซีพีควบรวมกิจการเทสโก้ โลตัสได้ โดยไม่ถือเป็นการผูกขาด และให้เงื่อนไข 7 ข้อที่ซีพีต้องปฏิบัติตาม แต่ก็ยังไม่ถูกใจหลายคน จึงต้องออกมาตั้งโต๊ะเสวนาวิพากษ์วิจารณ์กันต่อ หากจะมองกันจริง ๆ ก็ถือเป็นเรื่องธรรมดาของยักษ์ใหญ่ เวลาจะขยับตัวทำอะไรที ย่อมมีแรงสั่นสะเทือนมาก ซึ่งเรื่องนี้ถ้าไม่ใช่ซีพี อาจไม่เป็นประเด็นให้สนใจมากนัก และเพราะความเป็นยักษ์ใหญ่นี่เอง แรงกระเพื่อมทั้งบวกและลบจึงมีสูง แต่ทั้งสองด้านนั้น ก็ย่อมมีทั้งผู้ได้รับประโยชน์และเสียประโยชน์รวมอยู่ด้วยกัน ในมุมของความกังวล ส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องของความกลัวว่าจะเกิดการผูกขาด หรือการมีอำนาจเหนือตลาดที่สามารถกำหนดราคาสินค้าได้เอง จนไปถึงอาจมีการกีดกันทางการค้า แต่ในมุมของโอกาสกลับเห็นช่องทางที่หลากหลายจากความเป็นธุรกิจรายใหญ่ของซีพีนั่นเอง นักวิชาการหลายท่านได้ให้ความเห็นไว้อย่างน่าสนใจ โดยผู้อำนวยการศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ดร.ธนวรรธน์ พลวิชัย มองว่า ธุรกิจค้าปลีกในปัจจุบันมีการแข่งขันค่อนข้างรุนแรง ไม่ใช่แค่กับคู่แข่งในธุรกิจค้าปลีกรายเดิม ๆ แต่ตลาดใหม่ ๆ อย่าง การค้าปลีกออนไลน์ (e-commerce เช่น Shopee, Lazada) บริการส่งถึงบ้าน (Home Delivery: Grab, LineMan, Panda) ก็เป็นตัวแปรสำคัญมากในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมผู้บริโภค ตลาดไฮเปอร์มาร์เก็ตอย่างเทสโก้ โลตัส และ บิ๊กซี ต่างต้องพลิกตำราหากลยุทธ์กันไม่หยุด เพื่อให้ทันต่อความเปลี่ยนแปลงและความอยู่รอด แต่ก็ยังคงต้องใช้กลยุทธ์การแข่งขันกันลดราคาอยู่ดี ซึ่งดูยังไงผู้บริโภคก็ได้ประโยชน์ และหากกลุ่มซีพีมีวิธีการบริหารจัดการต้นทุน การกระจายสินค้า ที่ทำให้ต้นทุนการดำเนินการลดลง ราคาสินค้าอาจจะถึงมือผู้บริโภคในราคาที่ถูกลง จะผลักดันให้ตลาดค้าปลีกมีการแข่งขันที่รุนแรงขึ้น ซึ่งทั้งหมดล้วนเป็นประโยชน์ต่อผู้บริโภค ส่วนความกังวลที่ว่าจะไปกดดันซัพพลายเออร์นั้น ดร.ธนวรรธน์ มองว่า หากมีการใช้อำนาจกดดันซัพพลายเออร์ ทำให้ซัพพลายเออร์ล้มเหลวในการทำธุรกิจ ก็จะเป็นผลร้ายต่อบริษัทเอง อย่างน้อยก็จะไม่มีซัพพลายเออร์นำสินค้ามาขายให้ ซึ่งบริษัทไม่ได้ทำธุรกิจทุกอย่างได้เองทั้งหมด ในทางปฏิบัติ กลุ่มซีพีจึงไม่สามารถผูกขาดตลาดหรือมีอำนาจเหนือตลาดได้ และทุกบริษัทในเครือซีพีก็อยู่ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ซึ่งมีการกำกับดูแลเรื่องความโปร่งใส และธรรมภิบาลในการดำเนินธุรกิจ ด้านคณบดีคณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย รศ.ดร.วิเลิศ ภูริวัชร ให้ความเห็นไว้ว่า ธุรกิจไฮเปอร์มาร์เก็ตสนับสนุนทั้งตลาดสินค้าและตลาดแรงงาน เปรียบเป็นเส้นเลือดใหญ่กระจายเลือดหล่อเลี้ยงอวัยวะทุกส่วน รวมถึงสนับสนุนเสาหลักของประเทศอย่างเกษตรกรและผู้ผลิตรายย่อยรายใหญ่ ให้กระจายสินค้าไปทุกพื้นที่ของประเทศได้ ที่สำคัญยังส่งเสริมการจ้างงาน สร้างรายได้ ยิ่งดีลใหญ่ขนาดนี้ ซีพียิ่งต้องมีการจ้างงานในประเทศมากขึ้น ส่งเสริมสินค้าในประเทศไปวางขายในเทสโก้มากขึ้น ซึ่งสอดคล้องกับกลยุทธ์และทิศทางของเครือซีพีที่กำลังดำเนินการอยู่ กับการวางบทบาทของไฮเปอร์มาร์ทอย่าง เทสโก้ โลตัส ให้เข้ามาช่วยขยายภาคธุรกิจค้าปลีกของไทย ในฐานะช่องทางจำหน่ายสินค้าโอท็อป เอสเอ็มอี และขยายส่งสินค้าไปในต่างประเทศ ทั้งนี้ กลยุทธ์การดำเนินธุรกิจที่ควบคู่กับชุมชนและสังคมไทยอย่างยั่งยืนของซีพี ยังสอดคล้องกับงานวิจัยของคณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ที่ว่าการพัฒนาเศรษฐกิจไทยผ่านไฮเปอร์มาร์เก็ต ควรจะต้องส่งเสริมการเรียนรู้ด้านธุรกิจผสานสัมพันธ์ระหว่างชุมชน สังคมและธุรกิจไฮเปอร์มาร์เก็ตอย่างความยั่งยืนมากขึ้น นอกจากนี้ งานวิจัยก่อนหน้านี้ของฮาร์เวิร์ดยังบอกด้วยว่า ประเทศไทยควรมีองค์กรขนาดใหญ่เพื่อแข่งกับบริษัทระดับโลกได้ เช่น เกาหลีใต้มีซัมซุง แอลจี ฮุนได ญี่ปุ่นมีโตโยต้า ฮอนด้า และจีนมีหัวเว่ย อาลีบาบา เพื่อเป็นผู้เล่นระดับโลกไปเปิดตลาดต่างประเทศ ซึ่งหากไม่มีผู้ประกอบการรายใหญ่ที่มีขนาดเพียงพอที่จะไปต่อรองในตลาดโลกและพารายเล็กไปขยายตลาด ก็ยากที่รายเล็กจะอยู่รอด เพราะในปัจจุบันถ้าเราไม่ออกไปบุกตลาดโลก ตลาดโลกก็มาบุกประเทศเราอยู่ดี สรุปว่า ไม่ว่าซีพีจะได้เทสโก้ โลตัสไปหรือไม่ ตลาดค้าปลีกไทยก็ยังต้องเผชิญกับแรงสั่นสะเทือนอยู่ดี โดยเฉพาะจากผู้ค้าหน้าใหม่ของแพลตฟอร์มออนไลน์ และดิลิเวอรี่ ดังนั้น ความกังวลว่ารายย่อยหรือโชห่วยจะอยู่ไม่ได้เพราะซีพี จึงไม่ควรมีน้ำหนักมากนัก แต่การมีซีพีที่เป็นธุรกิจยักษ์ใหญ่น่าจะเป็นเกาะคุ้มภัยให้กับธุรกิจรายเล็กของไทยได้อยู่รอดไปสู้กับธุรกิจออนไลน์ของต่างชาติที่เข้ามาบุกตลาดไทยได้มากกว่า |
สมาชิกหมายเลข 3761838
Rss Feed ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?] Group Blog All Blog
Link |
||
Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved. |